อุ่นรักรสซ่า
เขียนโดย อนันโย
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21.45 น.
แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 21.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
การจราจรช่วงเช้าวันนี้ค่อนข้างจะพลุกพล่านเต็มไปด้วยความจอแจของนักศึกษาใหม่ที่ต่างทยอยเข้ามาในวิทยาลัยสอนศิลปะแห่งหนึ่ง อันเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของสถานศึกษา ทุกชีวิตที่ย่างก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ต่างมีแต่ความเบิกบานบนใบหน้า
เช่นเดียวกับหญิงสาวร่างบางคนหนึ่งกำลังก้าวเดินเข้ามายังทางคอนกรีตพื้นเรียบทอดยาวไปสู่หน้าพระบรมรูป
อาคารเรียนหลังเก่าทั้งสี่ด้านปรากฏแก่สายตา เมื่อแหงนมองขึ้นไปก็จะพบแต่นักศึกษาเก่าใหม่ที่เดินปะปนกันอยู่บนระเบียงทางเดินซึ่งทอดยาวเชื่อมถึงกันทุกตึก บ้างจับคู่สนทนาบ้างยืนพิงราวระเบียงมองลงมายังผู้คนเบื้องล่าง
หญิงสาวหันกลับมามองยังพระบรมรูปอีกครั้ง ในใจพลันคิดถึงข้อความในเอกสารที่ทางวิทยาลัยได้พิมพ์แจก
{จุดมุ่งหมายของการเข้าค่ายคือการได้พบปะกระชับมิตรเพื่อนร่วมคณะและต่างคณะ เพื่อบรรลุถึงความสมัครสมานสามัคคี และประโยชน์สูงสุดที่เหล่านักศึกษาจะได้รับ}
รอยยิ้มพริ้มใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน คิดในใจอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าเป้าหมายแรกที่เธอจะทำก็คือ ...การหาเพื่อนผู้หญิงไม่อย่างงั้นจะไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเข้าห้องน้ำด้วย
“ตึกเรียนก็เก่าคล้ำคล้า แล้วห้องน้ำมันไม่ยิ่งกว่ารึ โทรมๆอย่างนี้ต้องมีผีแน่ๆเลย บรือ...”
หญิงสาวทำท่าสยองขวัญ จากนั้นเสียงจากลำโพงกระจายเสียงก็ดังขึ้น
“ให้นักศึกษาใหม่ทุกชั้นปี ลงมาตั้งแถวที่ลานด้านหน้าพระบรมรูป ตามหมู่คณะของแต่ล่ะคน ให้เรียงจากด้านซ้ายมือขอย้ำให้นักศึกษาใหม่ทุกคนลงมาตั้งแถวโดยด่วน”
เสียงอาจารย์ชายสูงอายุท่านหนึ่งยืนถือไมค์ประกาศอยู่ห่างจากจุดที่ อรธิวายืนอมยิ้มเหม่อลอยอยู่ไม่มากนัก หญิงสาวยังคงไม่ขยับไปไหนจนกระทั่งอาจารย์ชายท่านนั้นหันมาขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่ เธอจึงรู้สึกเหมือนมีเข็มมาทิมแทงเนื้อหนังให้สะดุ้งตื่นจากความเพ้อเจ้อที่สมองใบน้อยของเธอวาดฝันไว้เวลาได้พบกับเพื่อนในจิตนาการ
อรรีบตวัดกระเป๋าเป้ใบใหญ่เข้าบ่าแล้วคว้ากระเป๋าใบหย่อมสีดำสองใบที่วางอยู่ข้างลำตัว เร่งเดินให้ไกลตาโดยไม่ได้คิดถึงทางที่จะต้องไป
“โหย...ดุชะมัด แค่เหม่อหน่อยทำไมต้องจ้องขนาดนั้นนะ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชั้นไหนกัน เราไม่คิดจะโอ้เอ้สักหน่อยแค่ขยับตัวช้ากว่าชาวบ้านเขานิดเดี๋ยว..อุ้ย ขอโทษค่ะ...เอ๊ะ ขอโทษค่ะ”
อรหน้าตาตื่นเมื่อเดินไปชนหญิงสาวคนหนึ่ง ในขณะที่กำลังขอโทษขอโพยเป้ใบใหญ่ก็ตวัดไปโดนผู้ชายอีกคนที่เดินสวนมาด้านหลัง เธอส่งยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของทั้งสองคน
จึงทำทีว่าเจอแถวของตัวเองก็รีบรี่เข้าไปหาทั้งที่ความจริงไม่รู้หรอกว่ามันจะใช่หรือเปล่า จนเมื่อเดินแกมวิ่งเข้ามาใกล้ปลายแถวเธอก็ได้เห็นป้ายปักไว้สูงเหนือหัว
“โชคดีแฮะ ใช่ห้องเราด้วย”
แล้วจัดแจงเข้าต่อแถวเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของผู้ชายด้านหน้า ก็ต้องขมวดคิ้วเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัยบางอย่างแล้วจึงชะโงกหน้าขึ้นไปยังหัวแถวเมื่อเห็นว่ามีแต่ผู้ชายเธอก็ใจเสีย รีบหันขวับกลับไปมองท้ายแถวก็ใจชื่นขึ้นมาบ้างที่เห็นเพื่อนผู้หญิงหลายคนยืนต่อแถวอยู่
“ค่อยยังชั่ว” อรพูดแผ่วเบาออกมาอย่างโล่งใจ
เวลาผ่านไป อากาศตอนนี้เริ่มร้อนเพราะแสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมาอย่างไม่มีอะไรมาปิดบังเหนือหัวของอรธิวา ความร้อนของมันแผ่กระจายทั่วร่าง ใบหน้าเรียวที่ขมวดมุ้ยอย่างขุ่นเคืองต่อดินฟ้าอากาศนั้น มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มและไหลย้อยลงมาตามขมับผ่านแก้มอิ่มแล้วหยดลงปลายคางดั่งสายน้ำ
เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเต็มแผ่นหลังถึงเอวคอดและชื้นแฉะไปถึงกระเป๋าเป้ที่สะพาย อีกทั้งถุงนอนกับมุ้งขนาดย่อมทำให้มันดูกลมโตและหนัก จนเหมือนเธอกำลังแบกหินสีดำก้อนใหญ่มากกว่า
ส่วนกระเป๋าหิ้วสีดำใบใหญ่สองใบก็ถูกอัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้า ผ้าห่มผืนใหญ่และขนม ซึ่งเตรียมมาพร้อมตามที่ทางวิทยาลัยระบุไว้ในเอกสารใบปลิวซึ่งอรไม่คิดจะตัดทอนสิ่งใดออกไปเลย
“โอ๊ย! ร้อน เมื่อไหร่จะพูดจบสักทีเนี่ย จะกรอบเกรียมอยู่แล้ว”
อรพร่ำบ่นกับตัวเองอย่างหงุดหงิดทั้งหนักทั้งร้อนจึงไม่ได้ฟังเลยว่าอาจารย์ได้พูดอะไรไปบ้าง เมื่อรู้สึกตัวอีกทีรอบข้างก็เริ่มขยับเขยื้อนเดินเป็นแถวกระจายกันไปตามทางเดินหน้าวิทยาลัย เพื่อจะไปขึ้นรถบัสที่จอดรออยู่
ด้วยความที่มีข้าวของเยอะกว่าชาวบ้านสิ่งที่หอบหิ้วจึงดูพะรุงพะรัง บวกกับเรือนผมสีน้ำตาลแดงหยักศกที่ถูกปล่อยให้ระแผ่นหลังกับใบหน้าชื้นเหงื่อก็ฟูฟ่องและยุ่งเหยิงเวลาก้มขึ้นลง ทำให้เธอดูโดดเด่นทั้งใบหน้าและลักษณะท่าทาง
นี่เราจะมากระชับมิตรหรือมาสร้างศัตรูกันแน่นะ ถึงได้เดินชนคนโน้นคนนี้ไปทั่ว
อรคิดอย่างหงุดหงิดก้มหน้าก้มตาเดินบ่นไปจนถึงประตูรถบัส เมื่อก้าวขึ้นบนรถเธอมองอย่างรวดเร็วไปยังที่นั่งซ้ายขวาครู่เดียวก็มาหยุดลงที่ว่างริมทางเดินด้านข้างเป็นหญิงสาวผมซอยสั้นตาคม ผอมบางคนหนึ่งนั่งอยู่และกำลังจ้องมองมายังเธอ
เฮ...เจอเพื่อนใหม่แล้ว
อรเฮลั่นอยู่ในใจพลางฉีกยิ้มกว้างก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มนิดๆอย่างมีมารยาท
“ขอเรานั่งด้วยคนได้ไหม...เอ่อ เราชื่อ อรธิวา” อรแนะนำตัวเองพลางนั่งลง
“เราชื่อ กานต์”
อีกฝ่ายแนะนำตัวตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆก่อนจะหันไปสนใจมองนอกหน้าต่าง ทิ้งให้อรรอคอยคำพูดที่เคยจินตนาการไว้อย่างผิดหวังเล็กๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตัวเองเธอจึงหันไปจัดการกับสัมภาระให้เข้าที่ พร้อมชำเลืองมองคนนั่งข้างๆเป็นระยะจนกระทั่งคนถูกมองรู้สึกตัว จึงหันมาพูดคุยกับหญิงสาว
“เธออยู่โรงเรียนอะไรมาก่อนล่ะ” เมื่อได้ยินเธอถามอย่างนั้นอรก็ยิ้มแฉ่ง
“เราอยู่โรงเรียนสตรีมาก่อนที่จะมาสอบเข้าที่นี้แล้วกานต์ล่ะ”
“โรงเรียนเอกชนแถวเนี้ย”
“อืม....”
“แล้วเธอหอบอะไรมาล่ะ ทำไมถึงดูเยอะแยะขนาดนี้”
กานต์ถามอย่างสงสัยมากเพราะเธอมีสัมภาระทั้งหมดแค่เป้สีน้ำตาลใบย่อมเท่านั้น
“เขาแค่บอกว่าให้เอามาไม่ต้องมาก เอามาแต่เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น...แล้วเธอเอาอะไรมาบ้างล่ะ”
กานต์ตั้งแง่ถามเริ่มขบขันกับเพื่อนใหม่ที่แสดงสีหน้านิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ก็มีขัน สบู่ ยาสีฟันแปรงสีฟัน...แล้วก็..”
“อืม...อืม” กานต์ออกเสียงเออออตาม
อรเล่ายาวหน้าตาบ่งบอกว่าของที่บอกมาในกระเป๋าทั้งหมดมีแค่นี้ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมอีกอย่างหนึ่งไป
“อ๋อ แล้วก็ผ้าห่ม เกือบลืมแน่ะ” อรกล่าวเสียงใสหน้าตาร่าเริง
“แค่เนี้ย ทั้งหมดเธอยัดลงกระเป๋าสามใบขนาดนี้ แค่เนี้ย”
กานต์กล่าวอย่างตกใจ นับถือเลยว่าเธอเก่งมากที่ยัดของทั้งหมดลงกระเป๋าทั้งสามใบได้ ที่อรบอกมาทั้งหมดมันมากเกินไปสำหรับการเข้าค่าย 3 วัน 2คืน ภายในวัดที่เจริญแล้วใกล้กรุงเทพฯ
อรยิ้มรับระรื่น ไม่ได้รู้สึกตัวกับน้ำเสียงประชดประชันของอีกฝ่ายเลย
“แล้วกานต์อยู่เลขที่เท่าไรล่ะ” อรถามกลับบ้าง
“32 เธอล่ะ”
“34 ”
อรตอบกลับพร้อมล้วงขนมขึ้นมาแกะแบ่งให้เพื่อนใหม่ แล้วกานต์ก็เหลือบไปเห็นบัตรนักศึกษาที่ตกลงมา เมื่อเธอหยิบขึ้นมามองหญิงสาวก็ตาลุกวาวอย่างตกใจ
“ตายแล้วอร เธออยู่รอบบ่ายหรือ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ