ข้ามขอบฟ้ามาพบรัก

-

เขียนโดย zhengxiuwen

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.32 น.

  7 บท
  1 วิจารณ์
  11.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 23.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            เสียงข้าวของถูกกวาดลงจากโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยว อ่างแก้วตกแตกกระจายน้ำนองอยู่บนพื้น ปลาทองตัวน้อยพยายามกระโดดดิ้นเข้าหาน้ำอย่างต้องการอากาศหายใจ แต่ชายวัยกลางคนหาได้สนใจกับชีวิตน้อยๆของมันไม่ เขาปราดเข้าไปลงไม้ลงมือกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไม่ยั้งมือเพื่อต้องการระบายอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในอก

            “แกปล่อยให้มันรอดไปได้ยังไงกัน!”

            ถังเจี้ยนผิงระเบิดโทสะออกมาอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ ใบหน้าอูมอ้วนแดงก่ำบิดเบี้ยวด้วยแรงโทสะและความร้อนรน มือสังหารที่เขาส่งไปฆ่าเผิงเฟยครั้งนี้เป็นถึงมือสังหารในตำนานเชียวนะ ถึงแม้จะมีบ้างที่ชอบเล่นกับเหยื่อ แต่งานที่มอบหมายไปไม่เคยมีคำว่าพลาด

            “เราเกือบจะจัดการมันได้อยู่แล้วนะครับนายท่าน ถ้า...”

            “ถ้า?...ถ้าอะไร?”

            “ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่โผล่มาช่วยมันเสียก่อน”

            “ผู้หญิง? นี่แกอย่าบอกนะที่อาฮุ่ยมันสะบักสะบอมกลับมานอนหยอดน้ำข้าวต้มเป็นเพราะเสียทีให้กับผู้หญิง?”

            ยิ่งคิดถึงสภาพปางตายของมือสังหารโหดในตำนานแต่กลับมาเสียท่าให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ อารมณ์โทสะก็ยิ่งทบเท่าทวีคูณ

            “ดี! ดีจริงๆ! นี่พวกแกมันไร้ฝีมือถึงขนาดแพ้ให้กับผู้หญิงฉันเลี้ยงพวกแกไว้มันคงเสียข้าวสุกไปเสียเปล่าๆเสียแล้วมั้ง?”

            ร่างอ้วนกระชากปืนออกมาแล้วสะบัดไปทางลี่เฉิงนิ้วพร้อมจะเหนี่ยวไก

            “แต่เราได้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นมานะครับนายท่าน”

            ลี่เฉิงละล่ำละลักร้อนรนขึ้นมาทันที ตายน่ะเขาไม่กลัวหรอกแต่เขาไม่อยากเป็นเหยื่ออารมณ์ของถังเจี้ยนผิง คนที่ทำงานให้กับเจี้ยนผิงล้วนรู้ดีภายใต้ความเมตตาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดอำมหิต กระสุนนัดนี้แน่นอนว่าจะต้องยิงให้ไม่ให้ถึงตาย เจี้ยนผิงต้องเอาตัวเขาไปทรมานต่อจนกว่าอารมณ์โมโหนี้จะคลายลงไปได้อย่างแน่นอน

              ใบหน้าอ้วนหรี่ตาลงอย่างต้องการดูว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหน

             “ว่ามา”

             “ผมรู้สึกว่ามันดูแปลกๆที่คนเราอยู่ดีๆจะเอาตัวเข้ามาเสี่ยงช่วยคนแปลกหน้าทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน    ผมก็เลยตามสืบประวัติของผู้หญิงคนนั้นดู ปรากฏว่าเธอเป็นนักเรียนทุนของรัฐบาลครับ แต่น่ามันแปลกตรงที่ว่าการเป็นอยู่ของเธอดูอภิสิทธิ์มากกว่านักเรียนคนอื่นๆมาก แม้แต่เงินรายเดือนก็มากกว่าคนอื่นเช่นกัน ซึ่งพอผมลองถามคนที่ดูแลเรื่องนี้อยู่เขาบอกว่านี่เป็นรางวัลสำหรับคนที่เรียนได้คะแนนสูงที่สุดในชั้นปี”

            “ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการมหาลัยไม่เห็นจะรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย” น้ำเสียงเปี่ยมโทสะเมื่อครู่ค่อยอ่อนลง พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อใจ แต่ลี่เฉิงเห็นว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีจึงรีบรายงานต่อ

            “ผมก็รู้สึกว่าดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยก็เลยลองสืบต่อ ผลก็คือเงินก้อนนั้นเป็นเงินที่โอนมาจากบัญชีของเหว่ยเพ่ยหลิน และเมื่อสามเดือนที่ผ่านมาเงินจำนวนนี้กลับโอนมาจากบัญชีของ...”

            “ของไอ้นกบ้า[1]นั่นสินะ” นักฆ่ามือหนึ่งพยักหน้าเบาๆ คิ้วเฉียงบนใบหน้าอูมขมวดเป็นปม ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสองแม่ลูกนี่ต้องมายุ่งอะไรกับผู้หญิงคนนี้ด้วย หรือว่า...

             “แกจะบอกว่ามันสนใจผู้หญิงคนนี้”

             “ใช่ครับ” เสียงตอบหนักแน่น

             “แกรู้แน่ได้ยังไงแค่โอนเงินให้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีจิตพิศวาสยัยผู้หญิงนี่เสียหน่อย”

             “แต่คนของเรารายงานนะครับ ว่ามันเอาใจใส่ผู้หญิงคนนี้มากๆ ถึงขนาดพาเข้าบ้านเลยนะครับ”

             “หืมม”เสียงที่ดังออกมาจากลำคอบ่งบอกถึงความสนใจ

             ‘ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันคงจะหวงเป็นจงอางหวงไข่แน่ โอกาสที่จะเข้าใกล้คงยากขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่สำคัญผู้หญิงคนนี้รู้อะไรมากน้อยแค่ไหน’ เจี้ยนผิงครุ่นคิดภายในใจ

              “ห้าวัน” คำสั่งลากเนือย

              “ฉันให้เวลาแกห้าวัน เอาตัวผู้หญิงคนนี้มาให้ฉันให้ได้!”

               เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังบทสนทนาจบลงพอดี ลี่เฉิงเดินก้มหน้าก้มตาออกไป ชายร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาแทนที่ เขามองคนที่เดินสวนออกไปด้วยแววตาสงสัย

               ‘ลี่เฉิง?มันมาทำอะไรที่นี่?’

               “โอ้!เหวินป๋อหลานรักวันนี้นึกอะไรถึงมาหาลุงที่นี่ล่ะ?” เจี้ยนผิงพูดพลางเดินเข้าไปโอบกอดชายที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยท่าทียินดี ทั้งเสียงและท่าทีของผู้เป็นลุงทำให้ชายหนุ่มต้องพักเรื่องของลี่เฉิงไปเสียก่อน

               “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ พอดีผมผ่านมาทำธุระแถวนี้เลยแวะมาหาลุงเสียหน่อย” ชายหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดี

               “ลุงได้ยินเรื่องเมื่อคืนแล้วรึยังครับ?” เหวินป๋อถามเข้าประเด็น

                “อืม ลุงได้ยินมาบ้างแล้วล่ะ แต่ยังไม่รู้รายละเอียด” เจี้ยนผิงบอกปัด ทั้งๆเรื่องทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นก็เพราะมัน

               “หึ!ท่าทางคนที่เกลียดพวกมันคงไม่ได้จะมีแต่เราสินะครับ น่าเสียดายที่มันรอดไปได้ ” เสียงนั้นพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน

              “แต่ก็ดีเหมือนกันที่มันไม่เป็นอะไรมาก เพราะผมจะจัดการพวกคนชั่วอย่างพวกมันทีละคนให้สาสมกับที่มันทำกับครอบครัวของผมไว้ด้วยมือของผมเอง”

              ร่องรอยของความอาฆาตพยาบาทที่ดังออกมาจากปากของชายหนุ่มทำให้เจี้ยนผิงรู้สึกยินดี

              ‘ใช่!เกลียดมันเข้าไป แค้นมันให้มาก ฉันจะใช้ความเกลียดชังของแกกำจัดทั้งมันแล้วก็แกให้พ้นไปจากทางของฉันเสียที!’

-----------------------------------------------------------------------------------------------

            ฉัตตานั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลาโดยมีเจ้าสองตัวขนฟูเจาสี่และเจาฉายนั่งอยู่เป็นเพื่อนที่ศาลากลางน้ำ โดยห่างออกไปไม่ไกลรอบๆตัวเธอห้อมล้อมไปด้วยเหล่าบรรดาบอดีการ์ดที่เผิง-เฟยส่งมาดูแลความปลอดภัยให้เธอ ลมเย็นๆโชยพัดกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวมาเป็นระลอกๆ หญิงสาวหลับตาปิดหนังสือในมือพลางคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่พูดกับนายน้อยตระกูลเหว่ย

            “คุณรู้จักเทียนจินดีแค่ไหนกันอิงเหลียน” คำถามที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ฉัตตาสัมผัสได้ว่ามันมีกลิ่นอายของอันตรายอบอวลมาแต่ไกล เท่าที่เธอรู้เทียนจินก็เป็นแค่เมืองท่าที่มีความสำคัญมากในอดีตเพราะไม่ว่าจะขึ้นเหนือลงใต้ยังไงผู้คนก็ต้องใช้เมืองนี้เป็นทางผ่าน เมื่อกาลเวลาผันผ่าน การคมนาคมพัฒนามากขึ้น เส้นทางการเดินเรือใหม่ๆถูกค้นพบทำให้บทบาทของเทียน-จินลดลงไป แต่ถึงอย่างนั้นการเดินเรือน้ำลึกและการขนส่งสินค้าทางทะเลก็ยังคงเป็นธุรกิจสำคัญของที่นี่อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

            “ตระกูลของผมเป็นตระกูลเก่าแก่ แต่เดิมเราก็อาศัยท่าเรือเป็นที่ทำมาหากิน บรรพบุรุษของผมแรกเริ่มก็เป็นเพียงลูกหาบที่หาเช้ากินค่ำ ใช้เหงื่อแลกข้าวไม่ต่างกับชนชั้นแรงงานอื่นๆ แต่ด้วยความขยันขันแข็งมุมานะเราก็ค่อยๆพัฒนาจากลูกหาบมาเป็นนายท่า จากนายท่ามาเป็นเจ้าของเรือ จนเป็นเจ้าของท่าเรือคอยควบคุมการขนส่งสินค้า” น้ำเสียงของเขาราบเรียบไม่มีร่องรอยการโอ้อวดในความยิ่งใหญ่มากมีของตระกูลของตัวเองแต่อย่างใด

            “หลังจากนั้นเราก็ดูแลธุรกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลเรื่อยมา”

            เท่าที่ฉัตตาฟังๆดูมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ฉันท์ใด ตระกูลเหว่ยและตระกูลถังก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ฉันท์นั้น ถ้าจะให้เปรียบเทียบตระกูลเหว่ยก็เป็นเหมือนแสงสว่าง ส่วนตระกูลถังก็เปรียบเสมือนเงามืดแต่ไม่ว่าจะอย่างไร แสงสว่างและเงามืดต่างมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนกันไปคนละแบบ ความสัมพันธ์ของสองตระกูลอึมครึมมาโดยตลอด แต่ก็มาดีขึ้นเมื่อถังจวิ้นเหวินขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลและมาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับตระกูลคู่แค้นอย่างเหว่ยจื้อหมินและเปลี่ยนวิถีการดำเนินธุรกิจ เพราะจวิ้น -เหวินคิดว่าสิ่งที่ตระกูลทำมาโดยตลอดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง มีเสียงจากคนในตระกูลมากมายคัดค้านการตัดสินใจของเขา แต่คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเก็บความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน

            แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์พลิกผัน เมื่อผู้นำตระกูลถังและครอบครัวตายปริศนาเหลือไว้เพียงแค่ลูกชายคนโตถังเหวินป๋อ และผู้นำตระกูลเหว่ยถูกลากเข้าไปพัวพันกับการตายปริศนาดังกล่าว

            “ไฟไหม้งั้นหรอ...”หญิงสาวลืมตาขึ้นพลางจินตนาการถึงความเจ็บปวดที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้รับ เพราะถ้าเป็นตามที่เผิงเฟยเล่า ตอนนั้นเหวินป๋อพึ่งจะยี่สิบ และหากเป็นเธอ หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่และน้องของเธอ เธอคงไม่อาจจะอยู่บนโลกนี้ตามลำพังได้อีกต่อไป แค่คิดในใจของฉัตตาก็ไหววูบ

            ‘คนร้ายจะเป็นใครกันนะ ใครกัน...ที่ใจร้ายพอที่จะเผาให้คนๆนึงตายทั้งเป็น....’

-----------------------------------------------------------------------------------------------

            มื้อเย็นดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ฉัตตาเริ่มนั่งไม่ติดที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงกลับหอพักของตัวเองไม่ได้เสียที แล้วนี่มันก็มืดแล้วด้วยเธอไม่อยากจะค้างที่นี่แล้วนะ

            “อิงเหลียน ผมมีเรื่องจะบอกคุณ” จู่ๆเสียงทุ้มก็ดังก้องกังวานขึ้นทำลายความเงียบ

            “คะ เรื่องอะไรคะ”

            “คุณคงต้องอยู่ที่นี่กับผมไปสักระยะ”

            “อ่อ ค่ะ...ห๋า? ฉันต้องอยู่ที่นี่?” เธอถามเขาอย่างตกใจกับสิ่งที่เขาพึ่งพูดเมื่อสักครู่

            “ใช่ อยู่กับผม ผมบอกให้ป้าจางเตรียมห้องไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว”

            “แต่ฉันยังไม่ได้บอกสักคำนะคะว่าจะยอมอยู่ที่นี่กับคุณน่ะ!” เธอเริ่มขึ้นเสียงเมื่ออยู่ดีๆเขาก็มัดมือชกแบบนี้

            เผิงเฟยเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงนิ่งๆเย็นๆ

            “หืมมม บอกหรือไม่บอก อยากหรือไม่อยากคุณก็คงต้องอยู่ที่นี่กับผม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของคุณเองนะ”

            “ฉันไม่ได้ไปรู้ไปเห็นอะไรเสียหน่อย อีกอย่างฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ บ้านฉันก็ไม่ได้ร่ำรวยมีอำนาจยศศักดิ์อะไร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณทั้งสองตระกูลเลยแล้วใครจะมาทำอะไรฉันกันล่ะ” เธอเชิดหน้าขึ้นเสียงไม่ยอมแพ้

            “แต่ผมว่าพวกนั้นมันคงไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ”

            “ทำไมคะ”

            “นั่นก็เป็นเพราะ...” เผิงเฟยพูดแล้วหยุดอยู่แค่นั้น ดวงตาดำสนิทคู่นั้นไหววูบแสดงความรู้สึกอะไรบางอย่าง แล้วก็กลับมาเป็นนิ่งเฉยอย่างรวดเร็ว

บอกไม่ได้หรอกความลับที่เก็บไว้ในหลายๆเรื่องน่ะ!

            “เพราะอะไรคะ”

            เผิงเฟยรีบปรับเปลี่ยนสีหน้า ดึงให้สติกลับมาตามเดิม

            “เอาเป็นว่ามันจะปลอดภัยกว่าถ้าคุณอยู่กับผมในตอนนี้ ผมจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เชื่อผมเถอะอิงเหลียน ยิ่งคุณรู้น้อยเท่าไหร่ คุณจะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น” เขาพูดออกมาจากใจด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง

             “แต่...ฉันมีงานพิเศษที่ต้องทำนะคะ” ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ฉัตตาจึงเริ่มใช้ไม้อ่อน

            “พรุ่งนี้ผมจะให้เจินอิงไปจัดการเรื่องลาออกให้ แล้วถ้าคุณอยากทำงานมาทำงานกับผมแทนก็แล้วกัน”

            “คุณเองก็พึ่งรู้จักฉันไม่ใช่หรือคะ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ พ่อแม่คุณจะมองฉันยังไงกันละคะ”

            “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง พ่อแม่ผมเข้าใจสถานการณ์ดี”

            “แต่จะให้ฉันมาอยู่บ้านคุณนั่งกินนอนกินเฉยๆแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องนะคะ” ฉัตตาแย้งร้อนรน เมื่อเหตุผลต่างๆนานาที่ยกมาดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผล

            “อ้อ!แล้วอีกอย่างนะคะตามวัฒนธรรมอันดีงามของเราแล้วผู้หญิงไทยน่ะเขาไม่เที่ยวไปอยู่บ้านผู้ชายง่ายๆทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกนะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทีขึงขัง จริงจัง

             เผิงเฟยเห็นท่าทางของเธอแล้วไม่รู้จะดีใจ จะขำหรือจะร้องไห้ดี ผู้หญิงมากมายพยายามสรรหามารยาต่างๆเพื่อให้ได้เข้ามาเป็นนางพญาในคฤหาสน์หลังนี้ แต่เธอที่เขาอุ้มเข้ามาเองกลับพยายามหาทางเดินออกไปให้ได้ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเธออยากได้เหตุผลให้ถูกตาม “วัฒนธรรมอันดีงาม”แล้วล่ะก็ เดี๋ยวเขาหาให้!

             “คุณดื่มชาไปบ้างรึยังวันนี้”

             ‘จู่ๆหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเสียอย่างงั้น!’  

            “ขอบคุณค่ะคุณป้า” ฉัตตาหันหน้าไปขอบคุณคุณแม่บ้านกิติมาศักดิ์ที่เข้ามาเสิร์ฟชาให้ แล้วยกชาขึ้นจิบแล้วพูดต่ออย่างงงๆกับหัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปกะทันหัน “ดื่มไปแล้วค่ะหลายถ้วยแล้วด้วย”

            เผิงเฟยยิ้มอย่างพอใจในคำตอบ “อืม งั้นผมว่าคุณก็มีเหตุผลดีๆให้คุณอยู่ที่นี่อย่างถูกต้องตามประเพณีแล้วล่ะ” เขาพูดพลางยกน้ำชาขึ้นจิบอย่างสบายใจ พลางมองแววตาสงสัยใคร่รู้ของเธออย่างรู้สึกขำขัน

            “ก็ถ้าตามวัฒนธรรมประเพณีอัน‘ดีงาม’ของเราชาวจีนแล้ว เราก็มีทัศนะคติที่ว่าผู้หญิงจะไม่ดื่มน้ำชาสองบ้าน”

            ฉัตตารู้สึกแปลกใจ เธอเข้าใจที่เขาพูดทุกคำทุกประโยค แต่ทำไมเธอรู้สึกว่าเธอไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเขาจะสื่ออะไร ยังไม่ทันที่เธอจะอ้าปากถาม เสียงทุ้มๆนุ่มๆนั้นก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

            “คุณดื่มน้ำชาที่บ้านผมแล้ว เพราะฉะนั้น...” ดวงตาเรียวตวัดชายตามองหญิงสาวด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แกมสงสาร เมื่อใบหน้าของหญิงสาวเริ่มขาวซีด

            “ไม่จริง...คุณคงไม่ได้หมายความว่า...”

            “ใช่ๆ ผมหมายความว่า ‘อย่างนั้น’ นั่นแหละ ก็เหมือนที่เฟิ่งเจี่ย[2]พูดกับไต้อวี้[3]ไง ‘ดื่มน้ำชาของบ้านนี้แล้ว เมื่อไหร่จะแต่งเข้าบ้านนี้เสียที’[4] ในเมื่อคุณดื่มน้ำชาของบ้านนี้แล้วก็เท่ากับว่าคุณเป็นคู่หมั้นของผมแล้วล่ะ” เผิงเฟยวางถ้วยน้ำชาลงอย่างเบามือ แล้วลุกจากไปจากโต๊ะด้วยอารมณ์แบบผู้ได้รับชัยชนะในการโต้วาที และก่อนที่จะเดินผ่านไป เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหูตอกย้ำความพ่ายแพ้ของฉัตตา

            “ในเมื่อคุณเป็นคู่หมั้นของผมแล้วคุณก็ไม่ต้องห่วงกังวลอะไรไปแล้วล่ะ เพราะนี่ถูกต้องตามหลักประเพณีจีนทุกประการ ต่อจากนี้ไปผมก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะหลินเม่ยเมย![5] ”

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------

 

[1] ไอ้นกบ้า ชื่อของเผิงเฟยถ้าเขียนเป็นภาษาจีนก็คือ “鹏飞”  ซึ่ง “เผิง” (鹏) คือนกในตำนานของคนจีน รูปร่างคล้ายนกอินทรีตัวใหญ่โตมโหฬาร ยามพญาเผิงสยายปีกท้องทะเลจะปั่นป่วนคุ้มคลั่ง ยามพญาเผิงสะบัดปีกเหินสู่นภา ปีกของพญาเผิงจะแผ่กว้างปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ภายหลัง คนจีนใช้“เผิง”เป็นตัวแทนของสัญลักษณ์ความปรารถนาอันแรงกล้า กล้าหาญชาญชัย คนจีนมักนิยมใช้ตัวอักษรเผิงนี้ตั้งชื่อให้กับเด็กผู้ชาย

[2] เฟิ่งเจี่ย หรือ หวางซีเฟิ่ง (凤姐/王熙凤) ตัวละครในเรื่องความฝันในหอแดง

[3] ไต้อวี้ หรือ หลินไต้อวี้ (黛玉/林黛玉) นางเอกของเรื่องความฝันในหอแดง ชีวิตรันทด ร้องไห้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนตาย เป็นผู้หญิงขี้โรค นิสัยไม่ค่อยเหมือนนางเอกเท่าไหร่ ขี้อิจฉา เอาแต่ใจแต่น่าแปลกที่หลินไต้อวี้กลับเป็นต้นแบบให้ผู้หญิงในสมัยราชวงศ์ชิง

[4] “ดื่มน้ำชาของบ้านนี้แล้ว เมื่อไหร่จะแต่งเข้าบ้านนี้เสียที” ในอดีตจีนมีพิธีหมั้นน้ำชา ซึ่งก็คือ เมื่อพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยก็จะจัดพิธีหมั้นขึ้น เจ้าสาวจะยกน้ำชามาคำนับพ่อแม่สามี และดื่มน้ำชาของบ้านเจ้าบ่าว และหากเจ้าสาวดื่มน้ำชาแล้วก็จะถือว่าเป็นคนของบ้านๆนั้นหรือคนในตระกูลนั้น

ในเรื่องความฝันในหอแดงเฟิ่งเจี่ยพูดแหย่ไต้อวี้ เพราะไต้อวี้มาอยู่ที่ตระกูลเจี่ยอยู่นาน น้ำชาดื่มหมดไปกี่กากี่ถ้วยคงไม่ต้องนับ ในตอนนั้นใครๆต่างก็ดูออกว่า เจี่ยเป่าอวี้ชอบพออยู่กับหลินไต้อวี้ และท่านย่าเจี่ยเองก็ดูพอใจรักและเอ็นดูในตัวของหลินไต้อวี้อยู่มาก ทั้งสองคนจึงเป็นคู่ที่ถูกจับตามอง

 [5] หลินเม่ยเมย (林妹妹) เป็นที่เจี่ยเป่าอวี้ (贾宝玉) พระเอกของเรื่องใช้เรียกนางเอก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา