ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  37.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) คาบเรียนที่ 12.5 : การเดิมพัน และชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาบเรียนที่ 12.5 : การเดิมพัน และชมรม (บทอำลา 7)

            ธันในร่างพีชและไคลงมาจนถึงชั้น 1 เตรียมจะเดินต่อไปยังบูทของชมรมทำงานบ้าน ทั้งสองไล่คิดหาคำพูดที่จะใช้อธิบายให้ทุกคนได้ฟัง พวกเขาเดินไปจนถึงหน้าบูท

            “โย่ว กลับมาแล้วหรอ” โจ ที่เห็นไคเดินกลับมายังบูททักขึ้นด้วยน้ำเสียงประชด ซึ่งสาเหตุมาจากที่ไคหายไปนานเป็นชั่วโมงกว่า จนกระทั่งจบการแนะนำบูทให้ครูก้านเขาก็เพิ่งจะมา “มาสายจังนะ ฉันแนะนำบูทให้ครูก้านเสร็จไปแล้วล่ะ”

            “จะว่าไปเมื่อกี้ผมก็รู้สึกว่าจะเดินสวนทางกับใครที่น่าจะเป็นครูก้านนะครับ” ไคเล่าไประหว่างหาโอกาสที่จะบอกเรื่องของธัน “เอ่อ..แล้วพี่อีฟล่ะครับ”

          “ยัยนั่นน่ะกลับไปเดินเล่นต่อกับพวกแทงค์แล้วล่ะ ตอนนี้มีพี่โตดูแลอยู่” โจอธิบายถึงเหตุการณ์ขณะที่ไคไม่อยู่เฝ้าบูท

            “พี่โต” ไค ตกใจเป็นอย่างมากเนื่องจากเขายังคงคิดว่าโตกำลังตามหายันต์อยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าในขณะนี้ไม่มีใครที่กำลังตามหายันต์อยู่เลยแม้แต่ เพียงคนเดียว

            “ใช่ ตอนนี้พี่เขาไปซื้อน้ำอยู่น่ะ เดี๋ยวก็คงมาแหละ” โจเหลือบสายตามองไปยังเด็กหนุ่มที่ไคพามาด้วย “แล้วหมอนั่นเพื่อนนายเหรอ”

          “เอ่อพอดีเลยครับ ผมมีเรื่องที่จะต้องคุยกับทุกคนอยู่พอดี แต่ก่อนอื่นคงต้องรอให้พี่โตกลับมาก่อนล่ะนะครับ” ใบหน้าที่จริงจังของไคทำให้โจพอจะรู้สึกได้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นแน่แท้

            “ถ้าเรื่องนั้นละก็ ฉันก็มาแล้วนะ” โตก้มตัวลงมากระซิบข้างหูไค มือถือถุงใส่ขวดน้ำเปล่าห้าขวด  “ฮิฮิฮิ”

          “เหวอ” ไคสะดุ้งแทบล้มลงกับพื้น “พ..พี่โต อย่าจู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้สิครับ ช่วงนี้ผมยิ่งขวัญอ่อนอยู่ด้วย”

          “ฮ่าฮ่าฮ่า โทษทีๆ” โตหลุดหัวเราะให้กับท่าทีออกอาการหน้าซีดถึงขั้นโอเวอร์ของไค

            “นายนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ” ธันยิ้มขณะคิดถึงเรื่องวันเก่า “ชอบโผล่มาให้ตกใจอยู่เรื่อย” ซึ่งนั่นก็ทำให้โตถึงกับเงียบมองดูอยู่พักใหญ่

            “เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ” โตเอนคอไปมาซ้ายทีขวาที แต่ก็นึกถึงเรื่องราวของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าไม่ออกเลยแม้แต่เพียงน้อย

            “เอ่อคือเรื่องนั้นน่ะครับพี่โต ผมว่าเราต้องคุยกันอย่างจริงจังซักหน่อยแล้วล่ะครับ” ไคพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบ

            และแล้วบทสนทนาของชายหนุ่มทั้ง 4 คนก็เริ่มต้นขึ้น

**************************************************************************************************************

            เวลาผ่านไปทั้งโต ไค ธันและโจก็เข้าใจถึงสถานการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งโจออกท่าทีตกอกตกใจมากที่สุดเนื่องจากไม่เคยรู้เรื่องไหนมาก่อนเลย ทั้งเรื่องของธัน และเรื่องที่ไครู้เรื่องเกี่ยวกับยันต์ผีผ่าน

            “อย่างนี้นี่เอง พี่โตถึงได้กลับมาอยู่ที่บูทแทนที่จะหายันต์ต่อ” ไคค่อยๆ รินน้ำจากขวดใส่แก้วก่อนจะดื่ม

            “มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับชมรมของเราด้วยงั้นเหรอ” ธันที่รู้เรื่องยันต์ถึงกับวิตกไปพร้อมๆ กับโจ

            โตนั่งลงบนโต๊ะกลม “แต่จะว่าไป ฮิฮิฮิ เรื่องที่นายเป็นธันเนี่ยฉันตกใจจริงๆ เลยนะ”

            “คือเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกครับพี่โต” ไคยังไม่ทันได้เอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองจะถาม โตกลับรู้แล้วว่าเขาจะถามอะไร

            “ทำไมวิญญาณถึงได้ไม่ตีกันจนเกิดสภาพช็อคสินะ” โตเดาคำถามของไคได้อย่างถูกต้อง เขาเตรียมพร้อมที่จะอธิบายถึงทฤษฎีนี้    

“ใช่ครับ” ไคและธันตั้งใจฟังอย่างจดจ่อกว่าทุกครั้ง

            “คือ ว่านะ ในกรณีที่นายเจอคือสภาวะที่วิญญาณสองดวงขัดแย้งแย่งร่างครองกัน แต่กรณีนี้นั้นต่างกันออกไป เจ้าของร่างนั้นน่ะอายุขัยเป็น 0 ไปแล้วไงล่ะ”

          “เป็น 0” ธันยังคงฟังไม่ละหู

          “ใช่ เป็น 0” โตชูกำปั้นขึ้นในระดับสายตาเป็นการแสดงถึงตัวเลข 0 “ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้าของดวงวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเสียแล้วไงล่ะ ถ้าไม่ติดบ่วงอยู่ที่ไหนซักแห่งก็คงไปโลกหน้าแล้วมั้ง”

          “บ..แบบนี้ก็แย่สิครับ” โจพูดด้วยอาการตกตะลึง “ถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อพี่ธันออกจากร่างนี้ไป ร่างนี้ก็จะตายหรือครับ”

          “มัน ก็ไม่แน่หรอก ฟังนะเรื่องนี้น่ะมีผลกระทบอยู่ทั้งหมด 2 กรณี และวิธีการที่พวกนายจะใช้แก้ไข คือการเดิมพันว่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกหรือไม่” โตชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางบอกถึงทั้งสองกรณี “กรณี แรกคือ วิญญาณของธันเข้าสิงอยู่ในร่างนี้ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่วิญญาณของเจ้าของ ร่างออกจากร่างพอดี ซึ่งถ้าเป็นกรณีนี้ ถ้าหากวิญญาณของนายกับร่างๆ นี้ปฏิเสธกัน อย่างไรเสียตัวตนของนายก็จะถูกขับไล่ให้ออกจากร่างนั้นไปเอง หรือไม่อีกอย่างก็คือถ้าวิญญาณของนายเข้ากับร่างๆ นี้ ร่างกายและวิญญาณก็จะหลอมรวมกัน สัญญาณที่นายจะสังเกตเห็นได้อย่างง่ายๆ ก็ดูจากคนที่นายชอบ เช่นนายรู้สึกชอบคนสองคนในเวลาเดียวกัน โดยที่คนหนึ่งเป็นคนที่วิญญาณหรือตัวตนที่แท้จริงของนายชอบ กับอีกคนเป็นตัวตนที่เจ้าของร่างชอบ และความทรงจำนั้นยังคงฝังอยู่ในร่าง หรือก็คือความทรงจำของนายจะเกิดอาการซ้อนทับกัน เป็นการเตือนถึงกรณีที่สองนี้” โตเก็บนิ้วกลางลงชูไว้เพียงนิ้วชี้ “และ อีกกรณีซึ่งฉันคิดว่านายคงไม่ทำ คือ วิญญาณของเจ้าของร่างนั้นยังคงอยู่ไม่ไปไหน แต่ถูกพลังวิญญาณของนายที่มากกว่ากดขี่ไว้ และตกอยู่ในสภาพโดนครอบงำหรือยึดครองโดยสมบูรณ์”

          โจกัดเล็บหัวแม่มือขณะใช้ความคิด “หรือ ก็คือ ถ้าหากเป็นกรณีแรกหรือกรณีสองการนำเอาวิญญาณของพี่ธันออกไป ก็เท่ากับร่างที่ใช้อยู่นี่จะยู่ในสภาพไร้ซึ่งจิตวิญญาณและตายไปในที่สุด กับอีกกรณีคือถ้าเอาออกไปแล้ววิญญาณของเจ้าของร่างก็จะหลุดออกจากการยึดครอง ครอบงำ กลับมาใช้ชีวิตปรกติได้สินะ”

          “มัน ก็เกือบใช่ล่ะนะเพียงแต่ ต่อให้วิญญาณเจ้าของร่างกลับมาก็จำต้องตายอยู่ดี เพราะอายุขัยของหมอนี่เป็น 0 ไปแล้ว ที่ร่างกายเดินไปเดินมามีชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้นั้น ล้วนเกิดจากปรากฏการณ์วิญญาณของธันที่กำลังควบคุมร่างกายนี้อยู่ไงล่ะ”

          “หมายความว่าจะยังไงเจ้าของร่างนี้ก็จะต้องตายสินะครับ” ไคส่งสายตาไปยังธัน และเฝ้าดูว่าเขาจะทำอย่างไร

            ธันหลับตาก้มหน้าลง แอบยิ้มร่าที่ตรงมุมปาก “ฮ่าๆ ถึงจะยังไงฉันก็ตายไปแล้ว จะให้มาใช้ชีวิตในร่างของคนอื่น มันดูไม่ยุติธรรมกับผีตนอื่นๆ เขาล่ะนะ” เขาเงยหน้าขึ้นปาดน้ำตาไหลซึม “ตัดสินใจแล้วว่าจะคืนร่างนี้หลังจากได้บอกลากับแทงค์น่ะ” เขาหันซ้ายขวามองเด็กหนุ่มทั้งสาม “ที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องยันต์ที่ว่านั่น ปล่อยไว้จะดีเหรอ”

          โตหันไปยังไค “เรื่องนั้นฉันพอจะเดาได้อยู่นะว่ายันต์ของจริงถูกเก็บไว้ที่ไหน” ประธานหนุ่มใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อที่ไหลเป็นทางบริเวณหน้าผาก “ถึงมันจะเป็นที่ๆ มีปัญหาก็เถอะ”

          ไคมีสีหน้าตกใจจนตาถลน “จริงหรือครับ แล้วมันที่ไหนกันล่ะ ไปหากันเถอะครับ”

          “ฮิฮิฮิ ยันต์ของจริงน่ะ ถ้าถูกเจอเข้าก็คงจะแย่ใช่มั้ยล่า ดังนั้นถ้าเป็นนายของที่สำคัญที่สุดจะเก็บไว้ที่ไหน” โตฉีกยิ้มหัวเราะร่าอย่างน่าขนลุก

            “ร..หรือว่า” ทั้งโจ ไคและธัน ต่างก็คาดเดาเป็นเสียงเดียวกัน “ที่ตัวเอง”

          “ถูกต้อง ฮิฮิฮิ” โตลุกจากโต๊ะ “แต่ ถึงจะรู้เรื่องนี้ไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่าใครเก็บไว้ เพราะงั้นฉันถึงหยุดหาและเฝ้าดูว่าใครร้อนรนหรือเดือดร้อนกับเรื่องนี้มาก ที่สุดไงล่ะ”

          เมื่อสรุปเรื่องราวได้ ประธานหนุ่มก็สั่งให้ธันกับไคออกไปตามหาแทงค์ และอยู่เฝ้าบูทกับโจดังเดิม

 **************************************************************************************************************

          ทางด้านสองหนุ่มสาว เอิร์ธกับเดียร์ ที่เดินเล่นจนเพลินอยู่นั้น ถึงแม้ที่ดูเพลินจะมีแค่เอิร์ธก็ตามที พวกเขาเลือกเป้าหมายที่จะไปดูการแสดงโชว์ ณ ห้องโถงการแสดงซึ่งจีนก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน

          ขณะนี้คอนเสิร์ตเริ่มขึ้นแล้ว เสียงดนตรีอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวทั่วห้องโถง “เสียงดังกันจังแฮะ คนเยอะด้วย” เอิร์ธใช้นิ้วสองข้างอุดหู หันมาพูดกับเดียร์

          เด็กสาวพยักหน้าให้เอิร์ธ “ก็มันเป็นคอนเสิร์ตนี่”

          “เราไปที่อื่นกันดีกว่ามั้ย ดูเหมือนที่นั่งจะเต็มหมดแล้วด้วย” เอิร์ธเสนอความคิดเห็น

          เดียร์ชี้นิ้วไปยังโปสเตอร์ที่มีรูปหญิงสาวผมดำยาวหน้าตาน่ารักดูอ่อนนุ่มใสซื่อ บริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับปุยฝ้าย เธออยู่ในเครื่องแบบนักเรียนสะพายกีตาร์ มีไมโครโฟนบนขาตั้งจ่ออยู่ที่ปาก คาดว่าจะเป็นนักร้อง  “ฉันจะดูพี่ไอซ์ก่อน” เด็กสาวทำปากอมลูกมะนาวขมวดคิ้วใส่เอิร์ธ

              “พี่ไอซ์”

              “นี่นายไม่รู้จักเหรอ” เดียร์มีสีหน้าออกการตกใจอย่างหนัก “เธอ เป็นนักร้องระดับท็อปของโรงเรียนเราเลยนะ เคยไปแข่งขันได้รางวัลชนะเลิศมาด้วย อีกอย่างเธอเคยช่วยเหลือฉันตอนย้ายเข้ามาใหม่ๆ เมื่อปีก่อนด้วย”

              “หืม ฉันไม่ค่อยสนเรื่องดาราหรอกนะ แต่ถ้าเดียร์อยากดูเราก็จะอยู่เป็นเพื่อน ฮ่าฮ่าฮ่า” เอิร์ ธยิ้มอย่างใสซื่อ แม้ใบหน้าของเขาจะไม่หล่อเหลาเท่าไคหรือคนใดคนหนึ่ง แต่รอยยิ้มของเขากลับดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดสำหรับเด็กสาวที่มีชื่อว่า เดียร์

          ประโยคสั้นๆ แต่ก็ทำให้หัวใจของเด็กสาวสั่นไหว “อ..อื้ม ขอบใจจ้ะ” เธอก้มหน้าลงเก็บอาการประหม่าและรอยยิ้มที่มิอาจหุบให้เข้าได้

            เมื่อวงดนตรีบนเวทีบรรเลงจบเพลง แสงสีเสียงก็ถูกตัดและมืดลงชั่วขณะ ในเวลานั้นเวทีก็เริ่มปิดม่านลงเตรียมพร้อมสำหรับวงต่อไป

            เสียงพิธีกรดังขึ้นท่ามกลางความมืด “และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย” เสียง ผู้คนที่ต่างพูดคุยกันให้ว่อนเงียบลง ทั้งจีนที่นั่งอยู่หน้าเวที และเหล่าผู้คนมากมายไม่เว้นแม้แต่เอิร์ธกับเดียร์ต่างจดจ้องไปยังเวทีเป็น สายตาเดียวกัน “น้องไอซ์และวง นางโศก  พร้อมขึ้นโชว์แล้วขอเสียงกรี๊ดหน่อยเร็ว”

          เอิร์ธมองบนเวทีอย่างมึนงง (‘ช..ชื่อวงไม่เป็นมงคลเลยเว้ย’)

          แสงสีเสียงส่องไปยังม่านแดงก่อนจะรูดเปิดออกเผยให้เห็นสาวสวยทั้ง 5 คนประจำเครื่องดนตรีของตนอยู่ ผู้หญิงสวมวิกผมหยักศกสีส้มใบหน้าเเละบุคลิกชวนให้ดูเป็นสาวห้าวคล้ายแยงกี้ ของญี่ปุ่นนั่งคุมกลองชุดอยู่หลังสุดของวง ไล่มาเป็นมือเบสสาวขาวผอมสวยผมสั้นยืนอยู่ซ้ายมือนักร้องนำ อีกคนทางด้านขวามือเป็นมือกีตาร์ผมทรงหน้าม้าสีดำรูปร่างค่อนข้างอวบ และนักร้องนำซึ่งเป็นคนเดียวกับในรูปโปสเตอร์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เป็น ‘พี่ไอซ์’ คน เดียวกับที่เดียร์พูดถึงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ แม้ดนตรีจะยังไม่เริ่มบรรเลงก็เสมือนมีออร่าสะกดคนทั้งห้องโถงให้ไม่อาจ เบี่ยงเบนความสนใจไปจากพวกเธอได้เลย

              เอิร์ธยืนขาสั่น “น..นี่เหรอนักร้องระดับท็อปของโรงเรียนนี้”

              เดียร์หลุดขำให้กับท่าทีอึ้งทึ่งเสียวอย่างออกหน้าออกตาของเด็กหนุ่ม “ยังไม่ได้ร้องเลยนะ”

              ทันทีทันใดมือกลองก็เริ่มเคาะไม้ให้จังหวะ 1 2 1 2 1 2 3 4 เสียงกลองกระหน่ำกระแทกจังหวะหัวใจคนทั้งห้องโถงอย่างไร้ความปราณี เปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจผู้ฟังให้เต้นระรัวสั่นไปตามเสียงกลอง ก่อนที่เบสและกีตาร์จะเริ่มไล่ตามกันมาอย่างประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน นักร้องนำเริ่มกวาดสายตามองผู้คน ก่อนจะเอ่ยประโยคทักทาย “เฮ่ยไอ้พวกเปรต มามันกันยันตายเลย” เสียงผู้คนกรีดร้องต้อนรับอย่างยินดี

 

 

          “เฮ่ยใบหน้าใสซื่อน่ารักแบบนั้นเนี่ยนะ ยัยนี่เป็นร็อคเกอร์เรอะ” ภาพ ที่วาดฝันไว้ถูกทลายลงในทันตาหลังจากได้ฟังประโยคอันแสนกระโชกโฮกฮากออกมา จากหญิงสาวแสนสวยผู้น่าหลงใหล เขาก้มลงมองไปยังเดียร์ผู้จ้องมองไปยังเวทีด้วยตาเป็นประกาย (‘ด..เดียร์เป็นพวกชอบฟังดนตรีแนวร็อคงั้นเหรอ เกินคาดเลยแฮะ’)

(*ความจริงเเล้วดนตรีสไตล์นี้ไม่ใช่ร็อคแต่เป็นวิชวลเคครับ เพราะเอิร์ธไม่รู้จักดนตรีสไตล์นี้จึงเข้าใจผิดว่าเป็นร็อค*)

           “ฆ่าแม่งให้ตายเลยไอ้พวกกร๊วกทั้งหลาย” คำ พูดที่แสนหลุดคาแรคเตอร์นั้น เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงว่าจะออกมาจากปากของเดียร์หัวหน้าห้องผู้น่านับถือ นั่นทำให้เอิร์ธถึงกับกลัวจนขาชา

              ผู้คนบริเวณโดยรอบเต้นไปพร้อมกับโหวกเหวกโวยวายกันให้ทั่ว ราวกับเป็นโลกที่มีแต่สาวกร็อคเกอร์แบบสายมืดเท่านั้นจึงจะเข้าใจ

              เอิร์ธเริ่มหวาดกลัวผู้คนรอบข้างซึ่งออกนิสัยป่าเถื่อนประหนึ่งกับฟังเพลงบัวลอยของวงคาราบาวก็ไม่ปาน (‘คนพวกนี้โดนสะกดจิตงั้นเหรอ’) เด็กหนุ่มนั่งลงยองๆ กับพื้นพลางเอามือกุมศีรษะอย่างกับคนอมทุกข์ (‘จ..จะบ้าตายอยู่แล้ว’)

              ผ่านไปไม่ถึงนาทีที่เอิร์ธก้มลงกับพื้น ไอซ์ก็สังเกตเห็นจากมุมไกล “เฮ่ย ไอ้เจ้าอ้วนนั่นน่ะ ก้มหลบบาทาใครวะ ขึ้นมาบนเวทีโว้ย”

              (‘อ..เอ๋’) เอิร์ธ เหงื่อตกมองไปทั่วสารทิศพบว่าตัวเองเป็นคนที่ตัวอ้วนและเป็นเพียงคนเดียวที่ ก้มลงนั่งอยู่กับพื้น เขายืนขึ้นเอานิ้วมือชี้ที่ตัวเองอย่างงุนงง “ค..เค้าหยอ”

              “พามันขึ้นมา” น้อง ไอซ์ชูนิ้วกลางพร้อมตะโกนเสียงว๊าก ผู้คนที่รับฟังอยู่ไม่เว้นแม้แต่เดียร์ต่างพากันจับตัวเอิร์ธผลัดกันผลักส่ง ตัวไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าเวที โดยที่เขาไม่อาจขัดขืนต่อจำนวนคนที่มากกว่าหลายเท่าตัว

              เขาหันกลับไปยังเดียร์ที่ยืนอยู่ห่างกันประมาณ 6 เมตร ด้วยสายตาโกรธเคือง (‘ย..ยัยทรยศ’) เอิร์ ธหันกลับไปยังเวทีก้าวขาขึ้นไปอย่างจำใจ สายตาจากผู้คนทั้งห้องโถงมองพุ่งตรงมายังเขาและนักดนตรีบนเวที มือกีตาร์เดินมากระซิบที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม "นายน่ะ..หุ่นใช้ได้เลยหนิ"

              “อะไรนะ” เอิร์ธไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน

              “ระวังอย่ากัดลิ้นล่ะ” มือเบสซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันพูดชวนสงสัยอย่างมีเลศนัย

              “ม..หมายความว่าไง” ยังไม่ทันที่เอิร์ธจะได้คำตอบเขาก็ถูกมือเบสและมือกีตาร์ผลักไปยืนอยู่ข้างไอซ์ ตอนนี้ลางสังหรณ์ของเขาบอกถึงภัยบางอย่าง   

              ไอซ์ที่ร้องเพลงมาจนถึงท่อนโซโล่หันหน้าหลบไมโครโฟนบนขาตั้ง แล้วยื่นปากเข้ากระซิบที่ข้างหูของเอิร์ธเช่นเดียวกับที่มือกีตาร์ทำ “กัดฟันเอาไว้”

              “ฮะ”

              “กัดฟันเอาไว้” ไม่ทันขาดคำบาทาอันขาวยาวผอมเพรียวภายใต้กระโปรงนักเรียนก็ฟาดแรงแตะขนาดเท้าช้างถีบเด็กหนุ่มปลิวตกเวที

              “อ้าก” ใจ ของเด็กหนุ่มลอยหายไปจากร่างในพริบตา เขาหลับตาปี๋เตรียมรับกับความเจ็บปวดเมื่ออัดกระแทกพื้น ทว่าเขากลับรู้สึกบางอย่างที่นุ่มละมุนกว่านั้นกำลังแบกรับเขาอยู่มิให้หล่น เมื่อเขาลืมตาขึ้นสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงก็ปรากฎ เขาลอยอยู่บนฝ่ามือของผู้คนนับสิบผลัดกันส่งต่อไปเรื่อยๆ ตลอดแนว จนเขาสามารถกลับไปยืนยังที่เดิมได้สำเร็จ เขารู้สึกใจโหวงๆ ก้มลงมองฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเอง “ม..ไม่เคยถูกคนอุ้มมาได้สิบกว่าปีแล้วนะเนี่ย”

              “เป็นไงบ้าง” เดียร์หันมายิ้มให้กับความสำเร็จเล็กๆ ของเด็กหนุ่ม

              “อ..อืม ก็สนุกดี..กะผีน่ะสิ ฉันกลัวจนจะเยี่ยวแตกแล้วเนี่ย”

              “อ่าว เหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่เราว่าก็ดูน่ารักดีนะ” เดียร์ยิ้มกว้างมองดูเอิร์ธที่แม้จะดูไม่เต็มใจแต่ก็ยังคงยิ้มไม่ยอมหุบ เด็กสาวมองเห็นดังนั้นแล้วคิดภายในใจ ('นี่เขาจะรู้ตัวรึเปล่านะว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่')

              ไอซ์กลับเขามาสู่การร้องเพลงท่อนสุดท้ายหลังจากจบโซโล่อันแสนกระหน่ำเร้าใจวัยรุ่น เสียงร้องที่แหวกแนวจากใบหน้าของเธออย่างสิ้นเชิง บุคลิกที่เกินคาด ทั้งหมดนั้นได้ทำให้หัวใจของเอิร์ธหวั่นไหวเสียแล้ว

************************************************************************************************************

          ขณะเดียวกันทางด้านไคกับธันที่ตามหาพวกอีฟอยู่นั้นก็ได้มาสะดุดเข้ากับโซเฟีย ที่บูทหน้าโรงเรียน เธอกำลังยืนต่อแถวอยู่หน้าร้านขายขนมสายไหม พวกเขาจึงเดินเข้าไปถามหาตัวอีฟและแทงค์

            “หนู เพิ่งแยกกับพวกเขาเมื่อตะกี้นี้เองค่ะ พอดีมีนัดกับเพื่อนอีกกลุ่มเลยต้องขอแยกตัวออกมาก่อน พี่อีฟกับแทงค์น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละค่ะ” โซเฟียอธิบายให้ไคด้วยรอยยิ้ม

          “อ่า งั้นเหรอขอบใจพี่ไปล่ะพอดีกำลังรีบ แล้วไว้เจอกันนะ” ไครีบออกตัววิ่งนำหน้าธัน

          “รอด้วยสิ” ธันตะโกนไล่หลังขณะวิ่งตามเด็กหนุ่มอย่างรีบร้อน

          ไคหันหลังกลับมาตอบขณะวิ่ง “ถ้า เกิดไม่รีบเข้า...แล้วจะทำยังไงกับร่างนั้นล่ะครับ ถึงแม้ร่างนั้นจะต้องตายอยู่ดีก็ตาม แต่ก็ไม่ควรอยู่ในสภาพนั้นนานมากนักเพราะอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็เป็นได้”

          “เรื่องนั้นฉันก็รู้อยู่หรอกน่า แต่ยิ่งรีบก็จะยิ่งหาไม่เจอนะ วิ่งสวนกันไปบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีเบอร์โทรเหรอ” ธันเสนอความคิดที่เข้าท่า

            “มีแต่เบอร์ของพี่โตครับ” ไคก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง

ธันหยุดวิ่งลงย่อเข่า หายใจหอบ “เฮ้อ ให้ตายสิของฉันถึงจะมีเบอร์แต่ก็อยู่ในมือถือหมดเลย คงเละไปตั้งแต่ตอนโดนรถชนแล้วมั้ง” 

          ไคหยุดวิ่งแล้วหลับตาตั้งสมาธิ พยายามนึกวิธีค้นหาตัวของอีฟ (‘ที่ๆ ผู้หญิงกับเด็กจะไปงั้นเหรอ.... ถ้าไปกับเด็กยังไงก็ต้องตามใจเด็กก่อนล่ะมั้ง....พี่อีฟเป็นคนประเภทใจอ่อน กับคนอายุน้อยกว่าซะด้วย ถ้าแบบนั้นที่ไหนกันล่ะที่ๆ แทงค์อยากไปมากที่สุดในงานเทศกาล หมอนั่นออกจะเป็นคนเงียบๆ แต่ก็อยู่ห้องเกรด A นี่นะ หรือว่า’)

 ธันเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม “เป็นอะไรไปเหรอ”

          “พี่ธันครับบางทีที่ๆ แทงค์อยากไปคงมีไม่กี่ที่หรอกใช่มั้ยครับ” ไคมองหน้าของธันซึ่งอยู่ในร่างพีช

            “อ..อื้ม น่าจะเป็นพวกงานประดิษฐ์ ไม่ก็หุ่นยนต์นั่นแหละ” ธันเกาศีรษะและพยายามคาดเดาตามความคิดของไค “หรือว่า..นายคิดว่าอีฟจะพาแทงค์ไปตามที่ๆ หมอนั่นอยากไปงั้นเหรอ”

            “ถูกต้องแล้วครับ” ไคขยิบตาให้ธันหนึ่งข้าง “พี่อีฟเป็นประเภทที่ตามใจและเข้าใจคนรอบข้างอยู่เสมอ ถึงแทงค์จะไม่ยอมบอกเพราะเกรงใจแต่พี่อีฟก็รู้อยู่ดีว่าหมอนั่นคิดอะไร”

          ธันอึ้งกับแนวคิดที่มีโอกาสเป็นจริงอยู่สูงของเขา “นายนี่มัน ไม่เสียทีที่โตมันเอาเข้าชมรมแฮะ”

          ไคทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก “เอ่อ..คือเรื่องนั้นน่ะครับ ผมเป็นอาสาเข้าเองนะครับ”

          “เอ่อ..จริงด้วยเนอะ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่อย่างน้อยนายก็คิดถูกแล้วล่ะ” ธันพูดอย่างมั่นใจก่อนจะหลบตาไคเหล่ไปทางด้านซ้าย “มั้งนะ”

          “อย่ามั้งสิเว้ย”

          เด็กหนุ่มก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้แน่นก่อนจะเริ่มตัดสินใจออกวิ่งอีกครั้ง คราวนี้เขาได้เป้าหมายหรือสถานที่ซึ่งจะไปแล้ว บูทของชมรมวิจัยหุ่นยนต์บริเวณทางขวาของตลาดบูทหน้าโรงเรียน กับ บูทของชมรมงานประดิษฐ์ ณ สนามกีฬาทางด้านซ้ายของอาคารเรียน ซึ่งทางด้านขวาของอาคารจะเป็นโรงอาหารและศาลเจ้ากลางแจ้งที่เต็มไปด้วยพระ พุธรูปไร้เศียรเรียงรายกันอยู่หน้าศาล

          “จะไปที่บูทไหนก่อนดีล่ะ” ธันถามไคที่วิ่งนำหน้า

            “ก็ถ้าโซเฟียบอกว่าอยู่แถวๆ นี้ ที่ใกล้ที่สุดก็คงจะเป็นบูทวิจัยหุ่นยนต์ล่ะมั้งครับ”

            ธันเริ่มรู้สึกเจ็บที่อกบางทีอาการบาดเจ็บจากการโดนรถชนคงเริ่มจะออกฤทธิ์ นั่นเป็นหลักฐานที่แสดงได้อย่างเด่นชัดว่าวิญญาณของเขากำลังจะหลอมรวมเข้า กับร่างมากขึ้นเรื่อยๆ “อั่ก” เขารีบใช้มือป้องปากก่อนจะคลายมือออกเมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวบนฝ่ามือ (‘เลือด’)

            เด็กหนุ่มทั้งสองวิ่งจนมาถึงบูทชมรมวิจัยหุ่นยนต์ซึ่งอยู่ติดกับรั้ว โรงเรียนทางขวามือ ผู้คนมุงดูการสาธิตอย่างล้นหลามมากกว่าของชมรมทำงานบ้านเสียอีก

            “แพ้บูทนี้อย่างเห็นได้ชัดเลยแฮะ” ไคหลุดพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจ

            “น..นั่น” ธันชี้นิ้วไปยังพี่สาวแสนสวยใจกลางผู้คนมากมาย เธอคืออีฟนั่นเอง “นั่นอีฟ แทงค์ล่ะ แทงค์อยู่ไหน” เขาหันซ้ายหันขวาสลับไปมากวาดสายตามองจนทั่ว

            “ตรงนั้นครับพี่ธัน กำลังถือรีโมทควบคุมหุ่นยนต์อยู่” สายตาอันเฉียบแหลมของเด็กหนุ่มสังเกตเห็นแทงค์ภายในบูท “แต่จะให้เบียดผ่านผู้คนเข้าไปคงเสียมารยาทเรารอกันอยู่ตรงนี้ก่อนเถอะครับ”

“นั่นสินะ” ธันน้ำตาคลอเนื้อตัวสั่นเทาไปด้วยความดีใจ “นั่นสินะ จะได้เจอแล้ว จะได้คุยกันแล้วนะแทงค์”

 

          ไครู้สึกยินดีอย่างมากจนแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะให้พี่น้องคู่นี้ได้คุยกัน แค่ซักครั้งก็ยังดี เขาหวังเพียงแค่จะได้เห็นรอยยิ้มจากปากของแทงค์ และคงขอแค่เพียงให้วิญญาณของธันได้มีเวลาไม่มากก็น้อยได้สัมผัสกับความ รู้สึกดีๆ ในโลกใบนี้อีกครั้ง แม้การเดิมพันในครั้งนี้จะต้องแลกด้วยความผิดต่อพีชซึ่งเป็นเจ้าของร่างก็ ตาม

            “อัก แค่กๆ” ธัน ที่ยืนอยู่นิ่งๆ ดูเป็นปรกติมาได้ซักระยะเริ่มดูมีอาการหน้าซีดและทรุดลงกับพื้นอย่าง กะทันหัน เลือดไหลออกมาจากปากของเขาราวกับสายน้ำ (‘กระอักเลือด’)

            เด็กหนุ่มหันขวับมองธันอย่างใจหาย  “พี่ธัน” เสียงของไคหลุดดังออกมาทั่วสารทิศก่อนจะรีบไปพยุงตัวธันในร่างของพีชเอาไว้

            “ไม่ได้การขืนปล่อยไว้ร่างนี้คงรับไม่ไหวแน่” ธันจับคอเสื้อของไคไว้อย่างแน่นหนาด้วยสายตาที่เหม่อลอยราวกับไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว “ยังไงฉันก็อยากจะพบแทงค์อีกครั้ง แต่จะให้ร่างๆ นี้ตายไม่ได้ ขอร้องล่ะเด็กใหม่ ตามหมอให้ที”

ไคพยักหน้ารับคำอย่างรวดเร็วก่อนจะตะโกนขอร้องให้คนที่หันมามองกองเลือดอย่างตกใจช่วยกันโทรเรียกรถพยาบาล “ช่วยด้วยครับตรงนี้มีคนอาการหนัก ช่วยติดต่อโรงพยาบาลให้ที ถ้าเป็นไปได้ขอให้พาขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยยิ่งดีครับ” ทุกคนต่างพากันพูดคุยยกใหญ่ไม่มีใครสนใจเลยเว้นเสียแต่

            “ไคช่วยกันยกตัวเด็กคนนี้หน่อย พี่มีรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อจอดอยู่หน้าโรงเรียน” เสียงที่ฟังดูจริงจังคุ้นหูดังขึ้นชวนให้เขาอดน้ำตาไหลไม่ได้

            “พี่อีฟ” ไคมองรุ่นพี่อย่างมีความหวัง “ถึงจะเพิ่งรู้ว่าพี่ขับมอเตอร์ไซค์เป็นแต่ก็ขอฝากความหวังด้วยครับ” ไคและอีฟพยายามพยุงธันในร่างพีช เดินตรงออกนอกรั้วโรงเรียนซึ่งนับเป็นโชคดีที่บูทวิจัยหุ่นยนต์อยู่บริเวณรั้วพอดี

            “พี่อีฟครับให้ผมช่วยด้วยมั้ยครับ” แทงค์วางรีโมทลงแล้ววิ่งออกมานอกบูท

            เด็กสาวหันมายิ้มให้แทงค์ “ไม่เป็นไรจ้ะทางนี้ให้พวกพี่จัดการเถอะ” ว่าแล้วอีฟก็ลากพาธันขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์โดยให้ธันอยู่ตรงกลางมีไคประกบไว้ไม่ให้ตกรถ

          “ไม่มีใบขับขี่ยังไม่พอ ซ้อนสามอีกต่างหากอย่าให้ตำรวจจับได้นะครับ” ไคพูดอย่างเป็นห่วงเพราะหากถูกเรียกคงทำให้เสียเวลาซะเปล่า

            “เวลาแบบนี้เขาไม่สนกันหรอกนะ ถ้าทำตามกฎแล้วต้องมีคนตายขอยอมแหกกฎเพื่อรักษาชีวิตนั้นไว้เสียดีกว่า” เมื่อ พูดจบการออกสตาร์ทเครื่องยนต์แข่งกับเวลาก็เริ่มขึ้น อีฟบิดสุดแรงขับมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลใกล้โรงเรียนหวังให้ถึงโดยไวที่สุด แต่ก็ยังคงขับอย่างระมัดระวังอยู่เช่นกัน

            ไคที่นั่งซ้อนอยู่หลังสุดได้แต่เพียงภาวนาด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความหวังอันริบหรี่ (‘ขอให้ทันทีเถอะ อย่าเพิ่งไปไหนนะพี่ธัน อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะคุณเจ้าของร่าง’)

**************************************************************************************************************

             

             เสียงหัวใจเต้นตุ้บๆ  ภายใต้เบื้องลึกของจิตใจขณะธันผล็อยหมดสติไประหว่างทาง มีเสียงหัวใจสองดวงกำลังเต้นซ้อนทับกันอยู่

            “ที่นี่มัน” ธัน รู้สึกตัวในความมืด ก่อนจะหันมองไปรอบตัว เป็นโลกที่บิดเบี้ยวผิดแปลกชวนเวียนหัวจนตาลายลักษณะของเมืองรอบตัวหมุนขด กันไปมา แม้แต่เมฆบนท้องฟ้าก็เลื้อยไปมาราวกับงู

            เบื้องหน้าของเขาเผยร่างเงาดำๆ ของชายคนหนึ่ง “ที่นี่คือโลกของฉัน นายเองสินะคนที่กำลังบีบบังคับควบคุมมันอยู่” เงาเริ่มเรือนลางหายไปเผยใบหน้าของพีช

            ธันกลับเข้าสู่รูปลักษณ์เดิม “นายคือเจ้าของร่าง ต..แต่นายอายุขัยเป็นศูนย์ตายไปแล้วนี่นา”

          “คงงั้น ฉันฝันเห็นยมบาลมาหลายคืนแล้วแต่ไม่คิดว่าจะเจอจริงๆ ล่ะนะ” พีชเอามือทั้งสองข้างกุมศีรษะอย่างหวาดกลัว “บาง ทีตอนที่ฉันโดนรถชน วิญญาณที่หลุดออกมาอาจไปกระแทกเข้ากับวิญญาณของนายและถูกดันกลับเข้ามาทั้ง สองดวง แต่พลังวิญญาณของนายแกร่งมากฉันเลยสู้ไม่ไหวและต้องหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของ จิตใจนี้”

          “ถ้างั้น สาเหตุที่โดนรถชนแต่กลับไม่เป็นอะไรสาหัสมากนัก ก็เพราะแรงผลักของวิญญาณทำให้ลดแรงกระแทกสินะ” ธันใช้มือจับที่บริเวณใต้คางขณะคิดแล้วจึงก้มลงคุกเข่าขอร้องวิญญาณเด็กหนุ่ม “แต่ ว่าอายุขัยของนายเป็นศูนย์ไปแล้วเมื่อไหร่ที่ฉันออกจากร่างนี้ไปนายก็จะตาย ทันที แบบนั้นดีแน่แล้วเหรอ ไม่สิแต่ถึงนายจะว่ายังไงฉันก็ไม่คิดอยากจะใช้ชีวิตในฐานะคนอื่นนานนักหรอก ดังนั้นขอร้องล่ะ ให้ฉันยืมร่างของนายทีเถอะ ฉันขอแค่ให้ได้กล่าวอำลากับน้องชายของฉันซักวินาทีก็ยังดี”

            “เรื่องนั้น ถ้านายออกไปฉันก็จะตายในทันทีใช่มั้ยล่ะ” พีชเดินเข้ามาใกล้ธัน เขาก้มลงทำแบบเดียวกัน “ถ้า มันเป็นแบบนั้นจริงฉันก็มีเรื่องที่อยากจะขอนายอยู่เหมือนกัน ขอให้ฉันได้อำลากับคนๆ หนึ่งก่อนได้มั้ย ระหว่างนั้นนายยังคงควบคุมร่างกายฉันได้อยู่ดังนั้นฉันจะยังไม่ตายตราบใดที่ นายยังอยู่ และหลังจากนั้นเราก็จะสลับตัวกันให้นายได้อำลากับน้องชาย แล้วฉันกับนายก็จะตายไปพร้อมกัน”

            ธันเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะพยุงพีชลุกขึ้นพร้อมกัน “นั่นน่ะถือว่าเป็นสัญญาของลูกผู้ชายแล้วนะ” เขาพูดพร้อมกับผลักหลังเด็กหนุ่มไปสู่หน้าฉาก

            “อา..แค่วันนี้เท่านั้น จะยังตายไปโดยที่มีเรื่องค้างคาไม่ได้เด็ดขาด” ว่าแล้วพีชกับธันก็สลับที่กัน

**************************************************************************************************************

           ที่ห้องพักผู้ป่วย ขณะนี้เวลา 15.00 น. อาการของพีชไม่ได้รุนแรงถึงขั้นผ่าตัดเพียงทว่าเกิดจากการฟกช้ำของอวัยวะภาย ใน แต่อย่างไรก็ร้ายแรงถึงชีวิตได้ ซึ่งระหว่างที่ธันหลับอยู่นั้น อีฟก็ได้รู้เรื่องทั้งหมดจากไคเรียบร้อยแล้ว

            “แบบนี้ก็น่าสงสารแย่สิอุตส่าห์จะได้เจอกันอยู่แล้ว” อีฟพูดด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้ “ฉันจะตามทุกคนมา” เธอลุกขึ้นหยิบมือถือในกระเป๋ากระโปรง กดไล่หาเบอร์ของทุกคน

          “พี่อีฟมีเบอร์ของทุกคนเหรอครับ” ไคมองดูอีฟซึ่งกำลังไล่หาเบอร์ของพวกโต

            “ใช่ ถึงจะไม่ได้เป็นแล้วแต่เมื่อปีก่อนพี่ยังเป็นนักหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน อยู่นะ จะมีเบอร์โทรของกลุ่มคนที่นัดสัมภาษณ์ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย อ๊ะตาย จริงสิพี่ยังไม่มีเบอร์ของไคกับโซเฟียเลยนี่นา” อีฟเลื่อนลงมาจนเจอเบอร์ของโจก่อน ตามด้วยโต และ แทงค์

            “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ” ไคเริ่มเป็นห่วงธันที่ยังไม่ได้สติ

อีฟทำการไล่โทรหาทุกคนที่ติดต่อได้ ในขณะเดียวกันคนที่รับสายมีเพียงโตเท่านั้น คนอื่นๆ กลับไม่สามารถติดต่อได้เลย           

เสียงของโตดังขึ้นจากอีกหูโทรศัพท์ “ฮัลโหล มูชิมูฉี”

           “ไม่เวลามาเล่นมุกตลกนะยะ เรื่องยิ่งคอขาดบาดตายอยู่” อีฟตะคอกใส่อย่างโมโหลมออกหู

            ไคใช้นิ้วชี้จุ๊ไว้ที่ปาก “พี่อีฟที่นี่โรงพยาบาลห้ามส่งเสียงดังนะครับ”

อีฟพยักหน้าเข้าใจ “เอาเป็นว่าหนูรู้เรื่องหมดแล้วนะ พี่โตตอนนี้พวกเราพาร่างที่รุ่นพี่ธันสิงอยู่มาส่งโรงพยาบาล ถึงตอนนี้จะไม่เป็นไรแต่ก็ยังไม่แน่นอนนัก ช่วยพาแทงค์มาที่นี่ทีถึงโรงพยาบาลแล้วเดี๋ยวหนูลงไปรับ”

            “ฮิ ฮิฮิ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ก็ที่เดียวกับที่ไคไปมาเมื่อไม่นานมานี้สินะ ถ้าที่นั่นล่ะก็ฉันรู้จักเดี๋ยวจะพาแทงค์ไปส่งให้ถึงมือเลยไว้ใจได้” น้ำเสียงของโตยังฟังดูสบายใจไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเคยและแล้วก็ตัดสายไป

            เมื่อคุยธุระเสร็จอีฟและไคต่างก็แลกเบอร์โทรศัพท์และอีเมล์กัน ในระหว่างรอธันในร่างพีชฟื้น ไคยังคงเป็นห่วงอาการของเขาไม่หาย ถึงแม้จะไม่ถึงขีดอันตรายแต่ทั้งสถานะอายุขัยเป็นศูนย์และสภาพร่างกายแล้วคง จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าจะหายห่วง

            “อุตส่าห์จะได้พบกันแล้วแท้ๆ” ไคมองดูร่างของพีชที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงไม่ไหวติง

            “อาจเป็นเพราะสถานการณ์ตอนนั้น พระเจ้ายังไม่อยากให้ทั้งสองคนพบกันล่ะมั้งคะ” เสียงใสๆ ของเด็กผู้หญิงคุ้นหูดังขึ้นเบื้องหลังของไค

            เมื่อเขาหันขวับกลับไปดูนั้นเองก็ได้พบกับบุคคลที่ห่างหายไปนาน “ฟ้า”

“สวัสดีค่ะพี่ชายดีจังที่ยังจำหนูได้ ฟ้าเองค่ะ” รอยยิ้มของเด็กสาวที่ดูแล้วชวนผ่อนคลายจิตใจเช่นนั้นทำให้ไคใจเย็นลงแต่ทว่าก็เจือความสงสัยให้กับเขาเป็นอย่างมาก

            ไคหันไปพยักหน้าให้อีฟที่เห็นตัวเองคุยอยู่คนเดียวอย่างงุนงง เป็นนัยว่ากำลังคุยอยู่กับสิ่งลี้ลับ แล้วหันกลับมามองหน้าเด็กสาวอย่างจริงจัง “เธอหายไปไหนมา”

           

            จบตอน

            โปรดติดตามตอนต่อไป

           

ปล.รักนะคนอ่าน

           

         

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา