The Esper : Evolution of collapse

8.3

เขียนโดย ขนนกแดง

วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 02.32 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,698 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ. 2556 00.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) อนาคตที่ตื่นขึ้น part 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          "โอ้ยยยย... เจ็บๆๆ ทำไมชั้นจะต้องมาโดนเข็มทิ่มแบบนี้ทุกวันด้วยเนี่ย แล้วพวกแกจะเอาเลือดฉันไปทำอะไรกันนักหนาทุกวี่ทุกวันเนี่ย ถ้าเลือดชั้นหมดตัวขึ้นมาจะทำยังไง" เด็กชายโวยวาย ดวงตาสีดำของเขาจ่องไปที่ชายในชุดคลุมสีขาวที่กำลังดึงเข็มออกจากแขนของเขาอย่างขุ่นเคือง แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับชายคนนั้นเลย เขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ

          "เรียบร้อยแล้ว" ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงราบเรียบเหมือนกำลังละเมอ

          เด็กชายถูกดึงให้ลุกขึ้นโดยชายอีกสองคนซึ่งใส่เครื่องแบบต่างไปจากคนแรก พวกเขาพกปืนไว้ที่เอวแถมยังทำหน้าเหมือนท้องผูกอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ชีวิตนี้เคยยิ้มไหมเนี่ย เด็กชายคิดในใจ เขาเดินคุมตัวเด็กชายไปโดยไม่พูดไม่จา จนมาถึงหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ที่ล็อกอย่างแน่นหนาด้วยระบบไฮโดรลิก ชายคนหนึ่งเดินไปที่แป้นกดรหัส เขาถอดถุงมือออกและกดรหัสที่ดูเหมือนจะยาวไปถึงดาวอังคาร จากนั้นเขาใช้นิ้วกดไปที่เข็มที่ยื่นออกมาเพื่อตรวจรหัส DNA ซึ่งเด็กชายคิดว่าใครก็ตามที่เป็นคนคิดระบบนี้มันต้องเป็นโรคจิตตัวจริงเลยแน่ๆ สักพักประตูก็เปิดออก เด็กชายถูกผลักให้เข้าไป แล้วประตูก็ปิดตามหลัง ระบบล็อกทำงานทันที

          "อ้าวมาแล้วเหรอ เจรัส.. ผมกำลังรออยู่เลย ก็อยากจะถามนะว่าเป็นไงบ้าง แต่เท่าที่เห็นก็ยังสบายดีเหมือนทุกทีสินะ" เด็กผู้ชายผมสีทองตาสีฟ้าซึ่งนั่งรออยู่ที่ริมทางเดิน ปิดหนังสือแล้วเดินเข้ามาทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาคืออิริกเพื่อนสนิทของเจรัส

          "สบายดีกับผีน่ะสิ นี่นายไม่ต้องมายิ้มเลยนะ ที่ฉันต้องโดนไอ้เข็มบ้านั่นทิ่มทุกวันมันน่าสนุกตรงไหนห่ะ" เจรัสบ่นขณะที่เดินไปตามทางกับเพื่อนของตน

          "ก็เขาต้องเก็บตัวอย่างเลือดไปวิเคราะห์นี่ ไม่งั้นเค้าก็รักษาเราไม่ได้นะ" อิริกอ่านหนังสือไปด้วยขณะพูด "แต่เจรัสนี่สุดยอดไปเลยนะ ไอ้เรื่องกลัวเข็มเนี่ย นี่ขนาดโดนอยู่ทุกวันยังไม่ยอมชินซะที" 

          "ไม่ต้องมาประชดเลยนะ ใครจะไปอยากชินกับของแบบนั้นกัน" แค่นึกถึงตัวเองโดนเข็มทิ่มเจรัสก็รู้สึกขนลุกแล้ว "แล้วฉันก็ไม่เห็นรู้สึกว่าไอ้โรคที่เป็นอยู่มันจะดีขึ้นตรงไหนเลย"

          เจรัสกับอิริกและคนอื่นๆที่นี่ล้วนเป็นพวก radiation sickness หรือพวกที่มีอาการป่วยจากการได้รับสารกัมมันตรังสี ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นรุนแรงรวมถึงเจรัสกับอิริกด้วย ทั้งสองคนตัวผอมซีดและแขนขาไม่แข็งแรง ที่สำคัญพวกเขายังมีอาการ Severe cellular degeneration(การเสื่อมสภาพของเซลล์อย่างรุนแรง) ซึ่งเซลล์ต่างๆในร่างกายจะมีการเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นอาการที่ไม่เคยพบมาก่อนในหมู่ผู้ป่วย จึงต้องมีการฉีด Stem Cell (เซลล์ต้นกำเนิด) ทุกชนิดเข้าไปในร่างกายเพื่อให้มีการสร้างเซล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน โชคดีสำหรับเจรัสที่วิธีดังกล่าวไม่ต้องใช้เข็มฉีดยา แต่จะเป็นการพ่นละอองนาโนเข้าไปทางผิวหนัง แต่การต้องเข้าไปอยู่ในแคปซูลที่เหมือนเตาอบมันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย อย่างไรก็ตามเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่ก็ยังคงมีอัตราการเสื่อมสภาพที่ไม่ต่างกัน จึงต้องมีการปลูกถ่าย Stem Cell อยู่เป็นระยะๆ เพราะยังไม่ค้นพบวิธีรักษาให้หายขาด

เจรัสถูกพาตัวมาที่นี่เมื่อสองปีก่อนเพื่อทำการรักษา เช่นเดียวกับเด็กวัยเดียวกันเขาเกิดและโตอยู่ใต้ดิน ไม่เคยเห็นท้องฟ้าดวงดาวหรือดวงอาทิตย์ เจรัสถือว่าเป็นรุ่นที่สามของผู้รอดชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีภูมิต้านทานกัมมันตรังสีอยู่ระดับนึงและที่ดีกว่านั้นคือพวกเขาจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถด้านพลังจิตซึ่งได้รับมาจากพ่อแม่ แต่โชคร้ายพ่อแม่ของเจรัสไม่ใช่ผู้มีพลังจิตและที่แย่กว่านั้นคือพวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกัน พ่อแม่ของเจรัสตายด้วยอาการป่วยจากกัมมันตรังสีตั้งแต่เจรัสอายุ 8 ขวบ เขาจึงต้องอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่นานอาการของเจรัสก็แย่ลงเรื่อยๆ เขาจึงถูกพาตัวมาที่นี่ด้วยอาการโคม่า โชถดีที่เขายังรอดมาได้

          ที่นี่ถูกเรียกว่า "ศูนย์วิจัยกัมมันตรังสีหมายเลขเก้า" หรือ R2-09 (Radiation Research 9) เป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยทั้งหมด 12 แห่งทั่วโลก ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวแรกในการร่วมมือกันของทุกประเทศหลังภาวะสงคราม โดยจะมีหน้าที่สำรวจและวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของอาวุธเคมีและวิธีรับมือกับ ผลกระทบดังกล่าว การฟื้นฟูแก้ไข รวมถึงการรักษาผู้ป่วยจากสารกัมมันตรังสี ซึ่งการแสดงออกของอาการนั้นจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และเนื่องจากอาวุธเคมีที่ใช้นั้นมีความรุนแรงมาก ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมีอาการที่ไม่เคยพบมาก่อนในทางการแพทย์ จึงทำให้ยากต่อการรักษา

          "ที่เรายังไม่ตายนี่ ผมว่าเราก็โชคดีมากแล้วนะเจรัส แล้วที่เรายังไม่หายป่วยก็เพราะอาการแบบของเราน่ะไม่เคยมีมาก่อน เขาก็เลยยังไม่พบวิธีรักษาไง" อิริกเริ่มเทศน์อีกแล้ว "อีกอย่างนะ......"

          "พอๆๆๆ นายหยุดเลยนะอิริก ฉันเบือจะฟังเรื่องยากๆพวกนั้นเต็มทีแล้ว ฉันว่านายอ่านหนังสือมากไปแล้วนะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นบ้างก็ดีนะเพื่อนรัก" เจรัสพูดตัดบททันทีก่อนที่อิริกจะเริ่มร่ายยาวถึงทฤษฏีต่างๆนาๆ ซึ่งฟังแล้วน่าปวดหัวสุดๆ

          "ก็แล้วมันมีอย่างอื่นให้ทำรึไงล่ะ จะให้ผมนอนทั้งวันแบบเจรัสน่ะไม่ไหว่หรอกนะ" 

          "เออออ...ก็.... เออออ.... ช่างมันเถอะ..." เจรัสพยายามจะแย้ง แต่ดูเหมือนอิริคจะพูดถูก

          ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินสีขาวสะอาดตาซึ่งก็มีผนังและเพดานสีเดียวกัน แม้ว่าแสงสว่างจะมีมากจนเกินพอแต่มันกลับดูวังเวงอย่างน่าประหลาดใจ เจรัสมักจะคิดเสมอว่าที่นี่มันไร้สีสันจนเกินไป ซึ่งนั่นก็อาจรวมถึงเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาด้วย

          ทางที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่นี้คือส่วนของทางเดินหลัก สองข้างทางเต็มไปด้วยประตูไฮโดรลิกบานใหญ่ที่มีป้ายชื่อส่วนงานต่างๆกำกับ อยู่ และประตูทุกบานก็จะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตาไม่รับแขกสุดๆยืนประจำ อยู่สองคน เบื้องหลังประตูเป็นทางที่เชื่อมไปยังส่วนงานต่างๆ และในแต่ละส่วนงานก็จะถูกแบ่งย่อยลงไปอีกหลายชั้น จึงทำให้ที่นี่ดูซับซ้อนราวกับเขาวงกต

          ในบรรดาส่วนงานต่างๆ มีอยู่ส่วนงานหนึ่งที่ดูจะถูกคุ้มกันแน่นหนามากกว่าส่วนอื่น คือส่วนงานวิจัยพิเศษซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากทางเดินหลัก และตรงทางเข้าก็มีพนักงานรักษาความปลอดภัยกว่าสิบคนคอยเฝ้าไว้ตลอด อะไรก็ตามที่อยู่ข้างในนั้นเจรัสคิดว่ามันต้องสำคัญสุดๆ และแม้ว่าเขาจะอยากรู้แค่ไหน เขาก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ้งด้วยเด็ดขาด

          เจรัสกับอิริกเดินมาถึงหน้าประตูบานที่เขียนว่า "เขตที่พักสำหรับผู้ป่วย" พนักงาน รักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาหาเด็กทั้งสองพร้อมกับเครื่องที่ใช้ตรวจม่านตา เขตที่พักเป็นส่วนที่มีการเข้าออกอยู่เสมอจึงมีการรักษาความปลอดภัยที่ไม่ค่อยจะเข้มงวดสักเท่าไหร่ ผู้คนที่เข้าออกที่นี่จะตรวจเพียงม่านตาเท่านั้น ต่างจากส่วนวิจัยที่ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด ผู้ที่เข้าออกจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น

          "ไปได้" พนักงานรักษาความปลอดภัยพูดเพียงสั้นๆ เขากดรหัสที่แป้นกด จากนั้นประตูก็เปิดออก

          เจรัสกับอิริกรีบเดินเข้ามาก่อนที่ประตูจะปิด จากนั้นก็เดินเลี้ยวผ่านทางแยกอีกหลายจุด "ก็เห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน ไม่รู้จะตรวจอะไรกันนักหนา" เจรัสบ่นขึ้น แล้วก็รีบหันไปมองหน้าอิริก "หยุดเลย ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร" เจรัสดักทางก่อนที่อิริกจะเริ่มอธิบายเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ซึ่งเขามั่นใจว่าเขาฟังมันมาหลายรอบแล้ว

          "ที่ผมจะบอกคือเราพึ่งเดินเลยห้องของเรามานะ" อิริกพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

          เจรัสหยุดทันทีแล้วหันหลังกลับไปมอง ให้ตายเถอะ นี่คงเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้งที่เขาลืมห้องตัวเอง "กะ.. ก็ที่นี่มันดูเหมือนๆกันไปหมดนี่ ฉันก็จำผิดบ้างไม่เห็นเป็นไรเลย" เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

          "จำผิดทั้งที่มาอยู่ที่นี่ตั้งสองปีแล้วเนี่ยนะ ก่อนผมซะอีก" อิริกถามอย่างอดสงสัยไม่ได้

          "เออๆ ชั่งฉันเถอะน่า" เจรัสพูดอย่างยอมจำนน เขาไม่เคยจำได้เลยจริงๆ ก่อนหน้าที่อิริกจะมาเขาก็เคยเดินหลงทางอยู่บ่อยๆ

          เจรัสเดินกลับไปที่ห้องของตน อิริกเดินตามหลังมา หน้าห้องมีป้ายเล็กๆเขียนว่า "อายุไม่เกิน 10 ปี"  เขา เปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ด้านในเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆอย่างเป็นระเบียบ หุ่นยนต์ทำความสะอาดกำลังทำงานอยู่ที่มุมห้อง ตัวหนึ่งเหมือนจะกำลังพยายามทำความสะอาดตัวเองที่เต็มไปด้วยลวดลายแปลกๆอยู่ อย่างยากลำบาก ตรงกลางห้องคือส่วนของห้องนั่งเล่ล ซึ่งมีเด็กกำลังจับกลุ่มนั่งเล่นกันอยู่ประมาณ 10 กว่าคน ส่วนใหญ่แล้วอายุประมาณ 4 ถึง 6 ขวบเท่านั้น เจรัสกับอิริกที่อายุ 9 กับ 8 ขวบจึงถือว่าโตสุดในห้องนี้

          "พี่อิริกกับพี่เอรัดกับมาแล้ว" เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น และเมื่อเด็กทุกคนเห็นเจรัสกับอิริกต่างก็ดีใจ แล้ววิ่งเข้ามาต้อนรับ

          "พี่เอรัดคับ ช่วยทำของเล่นอันไหม่ให้ผมหน่อยจิ"

          "ผมด้วย/หนูด้วย.." เด็กๆวิ่งมาหาเจรัสพร้อมกับของเล่นในมือที่พังแล้ว

          "เจ้าพวกบ้า บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันชื่อเจรัส ไม่ใช้เอรัดสักหน่อย แล้วของเล่นน่ะช่วยเล่นแบบถนุถนอมหน่อยไม่ได้รึไง" เจรัสบ่น

          "แฮะๆๆ" เด็กๆพากันหัวเราะ

          "เฮ่อ..." เจรัสถอนหายใจ "ไว้เดี๋ยวทำอันไหม่ให้แล้วกันนะ ตอนนี้ชั้นง่วงแล้วขอไปนอนก่อนละกัน" 

          "พี่เอรัดอะ เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย" เด็กๆทำหน้าผิดหวัง

          "เอาน่าๆ ครั้งนี้ฉันสัญญา จะทำให้ทุกคนเลย จะเอาแบบทนๆเลยดีไหม จะได้ไม่พังอีก แต่ตอนนี้ฉันขอไปนอนก่อน พวกนายก็ไปเล่นกับอิริกก่อนละกัน"

          "จริงๆนะ สัญญาแล้วนะ"เด็ดคนนึงยกนิ้วก้อยขึ้นมา "ใครโกหกตกนรกด้วย"

          "คราบๆๆ" เจรัสเกี่ยวก้อยสัญญา

          "ทุกคนอย่าไปกวนพี่เจรัสเขาเลย เดี๋ยวพี่จะเล่านิทานสนุกๆให็ฟังนะ ให้พี่เจรัสเขาไปพักผ่อนเถอะ พี่เขาพึ่งโดนเข็มจิ้มมาน่ะ" อิริกไม่วายแอบแขวะเจรัส เด็กๆก็พากันหัวเราะ

          "ไอ้นั่นนายก็โดนเหมือนกับฉันเลยไม่ใช่รึไง" เจรัสพยายามเถียง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจฟังเขาเสียแล้ว เขาจึงถอนหายใจแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองเพื่อไปยังห้องนอน โดยที่มีเสียงเด็กๆตะโกนล้อตามหลังว่า "พี่เออัดโดนเข็มจิ้ม พี่เออัดโดนเข็มจิ้ม...." ไอ้เจ้าบ้าอิริก อย่าให้ถึงทีฉันละกัน

          เจรัสมาถึงห้องก็ทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองทันที เขาเอื้อมมือไปหยิบลูกกลมๆขนาดเท่าลูกปิงปองที่เขาวางไว้ข้างเตียงขึ้นมา มันคือเครื่องฉายภาพสามมิติรุ่นเก่า และสมบัติเพียงชิ้นเดียวของเขาที่เขามีซึ่งเขาได้รับมาจากพ่อแม่ เป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุสามขวบ มันจึงถือเป็นของดูต่างหน้าพ่อกับแม่ของเขา เจรัสกดปุ่มให้มันทำงาน มันฉายภาพไปที่เพดานห้องเป็นรูปท้องฟ้าสีครามสดใส เจรัสนอนนิ่ง ในใจนึกหวังเพียงว่าสักวันตนจะได้เห็นท้องฟ้าจริงๆด้วยตาตัวเอง เขาจ้องมองภาพก้อนเมฆที่ลอยอย่างช้าๆเปลี่ยนเป็นรูปต่างๆ ไม่นานเขาก็เคลิ้มหลับไป....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา