Spring Iris ยามเมื่อดอกไม้บานกับดวงวิญญาณปริศนา

8.1

เขียนโดย NanoRadience

วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.43 น.

  3 ตอน
  7 วิจารณ์
  7,667 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 เมษายน พ.ศ. 2556 12.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ชมรมข่าวสารและการหายตัวปริศนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ถ้าจะสืบเรื่องราวล่ะก็...ต้องหาแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้”

    ผมเป็นวิญญาณธรรมดาๆ แต่ดันต้องมาติดอยู่ในโลกด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมพบกับ ‘ชินัทสึ  ฮานะ’ เด็กสาวผู้ที่บอกว่าตนเองคือมิโกะแห่งศาลเจ้ายะซุกุนิ เธอสามารถช่วยผมได้แต่ทว่าเธอก็ต้องบอกว่าเพราะเหตุผลบางอย่างที่ยังคงไม่สามารถช่วยผมได้ในตอนนี้ แต่เธอก็รับปากที่จะช่วยให้ผมไปสู่สุคติตามคำปรารถนา...อีกทั้งเธอยังตั้งชื่อให้ผมว่า ‘โคโคโระ ฮารุ’ อีกด้วย..

    ในขณะที่ทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะหยุดกึกและถูกตรึงไว้ราวกลับภาพวาด ผมก็เหลือบเห็นชายหนุ่มคาดผ้าปิดตาแววตาที่ดุจปีศาจได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างปริศนา ในชุดยูกาตะสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มร่างกายอันบอบบางสีผิวขาวซีดจนดูไม่เหมือนกับมนุษย์... ผมที่ได้แต่อึ้งกับชายคนนั้นในหัวของผมก็ถูกโถมด้วยความหวาดกลัวอย่างรู้สึกได้ ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นแผ่นไปทั่วทั้งกายหยาบของผม ความรู้สึกที่ชวนให้คลื่นไส้ก็ได้แผ่ซ่านไปจนทั่วทุส่วน...

    “ผมเป็นยมทูต” คำกล่าวทักทายของหมอนั่น เป็นคำทักทายที่ดูแปลกจริงๆ แต่ด้วยการปรากฎตัวอย่างกับจะไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระกับความกดดันระดับขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเป็นแน่ ผมที่ได้แต่คิดเช่นนั้นก็ได้แต่ขบฟันของตัวเองแล้วจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายคนนั้นอย่างที่ไม่อาจปริปากส่งเสียงใดๆ ได้

    ตอนนี้เบื้องหน้าของผมไม่ห่าจากจุดที่ผมอยู่นัก ร่างของสาวน้อยผมยาวในชุดกิโมโนสแสดดั่งแสงสีของท้องฟ้าที่ถูกแสดงแดดยามเย็นทาบทับจนเป็นสีที่ดูแล้วฉูดฉาดไม่น้อยเลย... ผมที่ยาวสลวยของเธอปลิวไปกับสายลมที่พัดผ่านเข้ามาพร้อมทั้งยืนหยัดด้วยความที่มุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
    ฉันไม่ปล่อยให้ทำอะไรเขาหรอกนะคะ คุณยมทูต... ฮานะพูดขึ้นด้วยเสียงที่บ่งบอกได้ถึงอารมณ์ที่จริงจัง
    เรียกกันอย่างนั้นฉันก็เบื่อนะ เรียกฉันว่า ฮิคาริสิ... ก้แหมชื่อของฉันก็คือ…’บาเกะโมโนะ ฮิคาริ’ จำกันไว้ด้วยล่ะ ผมน่ะมีอะไรดีๆจะมาบอกนะครับ แต่การต้อนรับของสายเลือดมิโกะดูจะไม่เป็นมิตรเอาซะเลยสิ ! ผมน่ะไม่นากลัวหรอกนา !... ฮิคาริร่ายยาวออกมาด้วยน้ำเสียงชวนให้รู้สึกได้ถึงการกวนประสาทอยู่ไม่น้อย
   
    ฮิคาริก้าวเท้าตรงเข้ามาเรื่อยๆ และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของฮานะ ใบหน้าของชายคนนั้นค่อยๆยิ้มเยาะจนเก็บอาการไม่ค่อยอยู่จนเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

    ผมที่เฝ้ามองอยูอย่างนั้นก็จ้องหมอนั่นอย่างไม่วางตา แต่ทำไมมกันนะทำไมผมถึงรู้สึกเวียนหัวจนอยากจะสลบลงไปเดี๋ยวนี้เลย... ดวงตาของผมค่อยๆเลือนราง ร่างกายที่ค่อยๆคุมไม่อยู่ ความมืดมิดค่อยๆกัดกินภาพตรงหน้าของผมจนผมจมดิ่งสู่ความมืดมิดที่เต็มไปด้วยความสับสนและเงียบสนิท...

    “ฮารุคุง!”… ผมค่อยๆได้ยินเสียงเรียกของใครสักคนผ่านเข้ามาในหัว... ไม่นานนักเสียงที่เหมือนจะดังมากกว่าเดิมก็ค่อยๆ ทำให้ผมรู้สึกตัว ผมพยายามลืมตาขึ้นมา...ผมมองตรงพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆ ที่นี่เป็นห้องเล็กๆ ผมอยู่บนพื้นตรงหน้าของผมเป็นฮานะที่แสดงสีหน้าเหมือนกับเป็นห่วงตัวผมอยู่... ไม่สิ ผมคิดไปเองแน่ๆ... แต่บรรยากาศตอนนี้มันอบอุ่นอย่างน่าแปลกใจ.

    “ตื่นซักที ! วันนี้ชั้นจะพานายไปโรงเรียนนะ!” เธอพูดเป็นประโยคแรกหลังผมถูกดึงกลับขึ้นมาจากก้นบึ้งของความมืดมิด...
    ......โรงเรียนอย่างนั้นเหรอ?...
    ใช่จ้ะ โรงเรียนไงล่ะ!...
     ผมเกาหัวแล้วถามต่อว่า... เอ๋ โรงเรียนมีอะไรงั้นเหรอ!?

     เธอทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ค่อยๆเอียงคอพร้อมกับ ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทัดปลายจมูกอันเรียวบางของเธอ ก่อนจะยิ้มออกมา ... “โรงเรียนก็คือที่รวมคนในวัยอย่าฉันไงล่ะ ที่นั่นใช้เป็นที่ในการเรียนรู้นะ มีชมรมมากมายเต็มไปหมดเลยล่ะ”  ผมไม่เห็นจำได้เลยว่าผมถามว่าโรงเรียนคืออะไร แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...

    ผมและฮานะมุ่งหน้าออกจากศาลเจ้าเข้าสู่สภาพเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายอีกครั้ง ผู้คนมากมาย และท้องฟ้าที่เป็นสรครามดุจน้ำทะเลวันนี้ก็มีแสงแดดเบาๆ อีกวันหนึ่งพร้อมๆ กับเหล่าดอกไม้ที่บานเต็มท้องถนนจนดูเพลินสุดสายตา ก้าวผ่านตรอกซอกซอยแคบๆ ลัดเลาะไปตามถนนใหญ่ผ่านภาพเสมือนงานัดแปะของตึกสูงและผู้คนกลิ่นคลุ้มของสายลมอ่อนๆ ก็พัดโชยผ่านอย่างอ่อนโยน ฮานะวิ่งกางแขนออกทั้งสองข้างพร้อมส่งเสียง “ฟิ้ว!” ราวกลับเด็กๆ ไปบนถนนคนเดินในใจของผมก็ได้แต่คิดว่าเธอดูเด็กมากอย่างคาดไม่ถึงเลยจริงๆ...

    ผ่านเวลาไปไม่นานฮานะก็หยุดวิ่ง เมื่อลองเงยหน้ามองตรงไปทางด้านหน้าแล้วก็พบกับสถานีรถไฟฟ้าซึ่งดูเหมือนว่าการจะไปโรงเรียนของฮานะจำเป็นต้องใช้บริการรถไฟฟ้าสายนี้เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง .
รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฮารุ ! ฮานะพูดขึ้นมา ผมก็พยักหน้าตอรับไปอย่างว่าง่าย.

      เธอวิ่งตรงไปยังเคาท์เตอร์บริการเพื่อทำเรื่องและกำหนดจุดหมายเดินทางล่ะมั้ง ผมที่ไม่มีใครสังเกตุเห็นก็ได้ยืนพิงเสาอยู่ท่ามกลางสถานีรถไฟฟ้าที่มีผู้คนหนาแน่น ผมถอนหายใจเบาๆ... ถึงแม้จะไร้ลมหายใจไปแล้วก็เถอะนะ. สายตาของผมกวาดมองไปรอบๆ ก็พบเด็กนักเรียนในเครื่องแบบและผู้คนในวัยเด็กจนไปถึงคนชราต่างทยอยกันมาที่สถานีรถไฟฟ้าชินคันเซ็นแห่งนี้ . เสียงเตือนรถไฟเทียบสถานีเริ่มดังขึ้น.

    กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง !...

    “ขณะนี้รถไฟได้มาถึงแล้วขอให้ผู้โดยสารโปรระมัดระวังสำหรับการการขึ้นรถไฟด้วยค่ะ”
เสียงของลำโพงแจ้งผู้คนว่า ตอนนี้ควรทำเช่นไร. ในเวลาเดียวกันนั้นเองผมก็มองเห็นชายร่างสูงในชุดเครื่องแบบคนหนึ่งทีท่าและบุคลิกดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย . “ทั้งๆที่อยู่ในเครื่องแบบกลับทำตัวเด่นซะขนาดนั้นเลยแฮะ... น่าประหลาดใจจริงๆ”
    ไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็รู้สึกได้เหมือนกับมีใครดึงร่างของผมอยู่... ซึ่งพอหาที่มาแล้วก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเธอนั่นเอง.
    “ไปกันเถอะเดี๋ยวจะสายเอานะ!”
    “ครับ...” ผมตอบตกลงไปในทันที
     พวกเราขึ้นรถไฟในเที่ยวนั้นอย่างรีบร้อน รู้สึกได้ถึงบรรยากาศชวนอึดอัดอย่างน่าแปลกใจ แต่คงเป้นเพราะผมอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายก็เป็นได้ ก่อนจะตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ด้วยการที่รถไฟฟ้าได้เคลื่อนที่ออกจากสถานีแล้วนั่นเอง วิวของตึกสูงและท้องฟ้าตอนเช้าที่ทอประกายแสงสีครามได้ส่องสะท้อนผ่านม่านกระจกของรถไฟฟ้าอย่างสวยงาม.
   
    เมื่อพอลองคิดดูแล้ว....”ผมเคยเจออะไรที่สวยงามขนาดนี้หรือเปล่านะ”

    เสียงใสๆ ได้ลอยเข้ามาที่ประสาทการรับฟังอีกครั้ง.  
    “พี่จ๋าหนูกลัวจังเลย” เด็กผู้หญิงตัวเล็กได้ยืนนิ่ง พร้อมทำสีหน้าจะร้องไห้โฮออกมาด้วยความหวาดกลัวแบบเด็กๆ แต่เธอก็ทำเอาคนเกือบจะทั้งหมดต่างพากันสนใจที่มาของเสียงจนจ้องมองไปทางเดียวกัน.
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มผมยาว ในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ก็ได้เข้าไปปลอบเด็กคนนั้นเอาไว้.
    “อย่ากลัวไปเลยนะ อีกเดี๋ยวก็จะถึงสถานีแล้วล่ะ” ชายหนุ่มผมยาวพูด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ พร้อมกับเอามือแตะลงบนหัวของเด็กสาวตัวน้อยคนนั้นจนหยุดร้องไห้ได้อย่างง่ายดาย.. ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ..

    แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า ‘มองคนไม่ควรมองที่ภายนอกน่ะ’

    รถไฟเทียบกับสถานีปลายทาง ไม่นานนักพวกผมก็มาถึงโรงเรียนมัธยมปลาย ภายในโรงเรียนถูกเติมแต่งด้วยอาคารน้อยใหญ่รวมแล้วก็ไม่มากจนเกะกะพื้นที่เท่าไร เมื่อตรงเข้าไปก็เป็นสนามบอล และมีสนามบาสอยู่ภายในตัวอาคาร แต่ฮานะพาผมตรงไปตามตรอกเล็กๆ ที่ปลายทางเป็นห้องชมรมห้องหนึ่ง เมื่อเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแล้ว ก็พอจะเริ่มเห็นว่าภายในโรงเรียนช่วงนี้ไม่ค่อยมีเด็กนักเรียนอยู่กันมากเท่าไรจะมีก็เฉพาะแต่สมาชิกชมรมที่มาทำกิจกรรมชมรมช่วงปิดภาคเรียนเท่านั้น.

    ผมเลยไม่ค่อยแปลกใจเลยกับความเงียบสงัดแปลกๆแบบนี้ เมื่อมาถึงปลายทางเดินของอาคารกลาง ก็พบกับห้องที่ถูกปิดด้วยประตูไม้และป้ายแขวนเก่าๆ ที่มีข้อความไว้ว่า “ยินดีต้อนรับสู่ห้องชมรมข่าวสาร”
    
    แท้จริงแล้วที่นี่ก็เป็นห้องชมรมที่หากแค่ได้ยินชื่อคงไม่ค่อยมีใครสนใจมาเข้ากันแน่ๆ เลยได้ห้อชมรมที่ดูอ้างว้างและห่างไกลจากความวุ่นวายภายนอกพอสมควร.
    “ประตูล๊อคล่ะ ฮารุคุง!” ฮานะหันหลังมาส่งสายตากลมโตให้ผมอีกครั้งหนึ่ง.
    “เอ๋ ถ้าเป็นแบบนี้ก็เรื่องใหญ่เลยสิ !” .
     ในระหว่างที่กำลังคิดว่าควรจะถอดใจตอนนี้แล้วกลับไปที่ศาลเจ้าเลยดีไหม ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นและก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา . ฮานะเงยหน้ามองไปที่ทางเดินที่ทอดตัวยาวออกไป เธอค่อยๆ ยิ้มขึ้นช้าๆ...
    “อ้าว คุณชินัทสึ มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ? “ ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบพูดขึ้น.
    “ก็พอดีมีรื่องให้ช่วยนิดหน่อยล่ะนะ !”
    “เรื่องเรอะ ให้ตายสิชั้นไม่ว่างขนาดนั้นหรอกนะ ชินัทสึ.!” เสียงเยือกเย็นและแข็งกระด้างกับความคิดที่ไม่ได้จะมีส่วนช่วยเหลืออะไรออกมาเลยสักนิด !
    “ขอร้องล่ะนะ !” ฮานะก้มหน้าโค้งได้พอประมาณเป็นการขอร้อง.

    ชายหนุ่มที่เห็นอย่างนั้นแล้ว ก็เบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา พร้อมน้ำเสียงหน่ายๆ...
    “ก็ได้ๆ พอดีชั้นก็มีเรื่องต้องมาทำงานที่นี่เหมือนกันพอดี จะตามเข้ามาก็ไม่เป็นไร!”
    “แล้วกุญแจล่ะ?”
    “อ๋อ ห้องนี้ชั้นเป็นเจ้าของน่ะนะ ไม่ต้องห่วงหรอก” ชายหนุ่มถือพวงกุญแจที่สอดอยู่ในนิ้วชี้ก่อนที่จะไขห้องเข้าไป.

    ภายในห้องแคบๆ ที่เต็มไปด้วยเอกสารต่างๆวางกองเต็มไปหมด ราวกลับภูเขากระดาษที่อยู่ในห้องเล็กๆก็ว่าได้ ภายในห้องมีเก้าอี้และโต๊ะอยู่ 2 คู่ และเก้าอี้เก่าๆอีกจำนวนหนึ่ง ห้องนี้ค่อนข้างรกมากพอควรเลยทีเดียว มีกลิ่นสาปลอยแตะจมูกอ่อนๆด้วย.  ในห้องนี้น่ะมีเอกสารสำคัญๆ เยอะอยู่นะ ถ้าพอมีอะไรให้ช่วยล่ะก็บอกกันได้.
    “โอเคจ้า” ฮานะเอ่ยปากรับ.
    “อื้อ ชั้นเห็นเป็นเพื่อนห้องเดียวกันหรอก !”. ชายหนุ่มร่างสูงก็ได้พูดขึ้นเบาๆ
    “แหม ยูกิคุงนี่ก็..จ้า จ้า... จะพยายามไม่รบกวนบ่อยๆนะจ้ะ”
    “เออ... ถ้าได้แบบนั้นก็ดี แต่ช่วงนี้ชั้นว่ามีอะไรที่น่าสนใจอยู่นะ ชั้นเลยมาที่นี่ในเวลาแบบนี้น่ะ

    ชายหนุ่มที่พอสังเกตดูแล้วก็คือคนเดียวกันที่เจอกันห่อนหน้านี้ที่สถานีรถไฟฟ้านั่นเอง ถึงจะดูเป็นคนใจแคบและไม่ฟังใครเท่าไรก็เถอะ แต่ก็ดูเป็นพวกพึ่งพาได้แต่ไม่อยากช่วยมากกว่า เข้าขั้นเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจเลย. แต่พอฟังเจ้านั่นพูดก็อดสงสัยไม่ได้นะ เรื่องที่น่าสนใจอยู่มันคืออะไรกัน. ลองบอกให้ฮานะถามให้ดีกว่า..

    ผมกระซิบกับฮานะก่อนที่ฮานะจะสูดหายใจพร้อมกับพูดเสียงดังตึงตังขึ้นมา !

    “นายสนใจอะไรอยู่เหรอ ยูกิ?”
หลังฮานะถามขึ้น ยูกิก็ร่อนแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นบนอากาศ และร่วงหล่นลงบนมือบางๆของฮานะ.
    “ข่าวการหายตัวไปของชายหนุ่มปริศนา คาดว่าเป็นเด็กหนุ่ม ม.ปลาย”
เมื่อลองอ่านตามข่าว...
    ‘ ในวันหนึ่งของกรุงโตเกียวได้รับแจ้งว่า มีชายหนุ่มหายตัวไปอย่างปริศนาที่ป่านนี้ก็ยังไม่ทราบข่าวคราวใดๆ อาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้.”
    จากการอ่านเมื่อครู่จะพบว่าข่าวนี้ก็เป็นแค่คดีการหายตัวไปอย่างปริศนาเท่านั้น และไม่ได้มีจุดเด่นหรืออะไรชวนให้ข้องใจเลยสักนิดแต่ทำไมยูกิถึงสนใจมันกันล่ะ.

    “ชั้นคาดว่ามันเป็นการฆาตกรรม.” ยูกิพูดขึ้น.
     คำพูดนั้นทำเอาฮานะ และผมก็สะดุ้งเฮือกไปตามๆกัน . ฮานะลองมองตรงไปบนรูปที่อยู่ในข่าวก็ต้องทำหน้าตกใจขึ้นมาราวกลับว่าพบเจออะไรที่น่าตกใจอย่างคาดไม่ถึง... ร่างของเธอค่อยๆสั่นเทาอย่างเลี่ยงไม่ได้

    พร้อมเสียงที่ดังออกมาจากปากของฮานะที่เป็นน้ำเสียงสั่นๆ...

    “นะ...นี่มัน”

    ฮานะพบเจออะไรที่น่าตกใจเข้าอย่างนั้นเหรอ และคดีการหายตัวไปจะเป็นเช่นไร !

    ติดตามตอนต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา