Spring Iris ยามเมื่อดอกไม้บานกับดวงวิญญาณปริศนา
เขียนโดย NanoRadience
วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.43 น.
แก้ไขเมื่อ 13 เมษายน พ.ศ. 2556 12.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) การมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“ที่นี่ที่ไหนกันนะ?”
ประโยคคำถามประโยคหนึ่งที่ถูกพูดขึ้นด้วยเสียงนุ่มๆ อย่างเบาบางที่สะท้อนถึงความสับสนอย่างยิ่งยวด ร่างกายของผมตอนนี้ก็ดูเหมือนมันจะประหลาดๆ แต่ว่าทำไมผมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันนะ พอพยายามจะนึกคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ก็มีแต่จะปวดหัวมากขึ้นกว่าเดิม เพราะแบบนั้นผมเลยคิดว่า ตั้งใจทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วกลบฝังความคิดเหล่านั้นด้วยความเป็นปัจจุบันคงดีกว่า...
ผมน่ะ...ตายแล้วล่ะ ถึงจะไม่รู้เหตุผลที่มันแน่ชัดนักแต่ก็รับรู้ได้กับการที่ต้องล่องลอยไปมาเหมือนดั่งมวลเมฆที่ถูกสายลมพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย ผมอยู่ภายในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนและบรรยากาศของความเจริญที่มีหลักฐานแสดงให้เข้าใจง่ายๆ ด้วยตึกสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านสุดลูกหาลูกตา ท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีฟ้าคราม แสงของดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ส่องแสงสว่างผ่านพื้นผิวเมืองอย่างเคย ผมค่อยๆล่องลอยไปบนถนนคนเดินที่ทอดตัวยาวไกลออกไป ผู้คนที่ผ่านไปมาจนนับจำนวนไม่ได้พวกเขามีใบหน้าที่ดูกี่ที... ผมก็อดอิจฉาพวกเขาไม่ได้... ‘รอยยิ้มที่มาจากความสุขที่ไม่ได้มีการแต่งเติมและเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์’
“ที่นี่ก็คือโตเกียวจริงด้วยแฮะ” ผมพูดออกมาด้วยความโล่งใจขณะที่มาหยุดอยู่หน้าป้ายบอกทางแผ่นใหญ่ที่ถูกวางเอาไว้ในสวนสาธารณะที่ดูไม่ต่างจากที่อื่น สวนนี้มีต้นไม้อยู่ไม่มากเท่าไร ถูกประดับด้วยดอกไม้สีสันสะดุดตา ผมค่อยๆ นั่งลงบนม้านั่งทั้งที่ไม่มีคนเห็น แต่ทำไมกันนะผมถึงรู้สึกถึงสายตาของใครซักคนกำลังจ้องมองมาอยู่อย่างไม่ให้คาดสายตาเลย ผมค่อยๆ นิ่วหน้าพร้อมกวาดสายตามองไปยังที่มาของความรู้สึกนั้นเองก็พบกับร่างของเด็กผู้หญิงที่ทำผมแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
“นี่นายน่ะ... ทุกข์ทรมานกับการเร่ร่อนอยู่บนโลกใช่ไหม!”
เด็กสาวตัวเล็กส่วนสูงไม่เท่าไร คงจะซักประมาณเด็กๆ มัธยมต้นเธอสวมใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน แต่ทำไมกันนะทำไมผมถึงรู้สึกว่าเธอโดดเด่นเสียเหลือเกิน คงเพราะร่างที่ดูบอบบางที่มีผมยาวสีดำที่ยาวปิดแผ่นหลังจนถึงเอว ดวงตากลมโตประกายสีน้ำตาลเข้มตัดกับผิวที่ดูขาวใสดุจเทพธิดาก็ว่าได้ แต่ในขณะที่ผมกำลังมองเธออยู่นั้น เธอก็ค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาทีละน้อย ผมของเธอทีต้านทานกับสายลมค่อยๆ สั่นไหว
“นี่...ฉันคุยอยู่กับนายนะ วิญญาณที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวนั้นน่ะ !”
เธอส่งเสียงขึ้นอีกครั้งด้วยสำเนียงที่ฟังสบายหู เสียงพูดใสๆ ที่ดูเหมือนกับเป็นเสียงที่ไม่มีใครเหมือนของเธอ ในเวลาเดียวกันนั้นเธอก็ค่อยๆเอานิ้วเรียวบางสีขาวจิ้มมาที่หน้าผากของผม... ความรู้สึกเย็นยะเยือกได้สะท้อนแล้วพุ่งตรงเข้ามาที่ร่างที่มีแค่วิญญาณของผมจนรู้สึกได้อย่างน่าประหลาดใจ มันทำให้ผมไม่อาจกลั้นความรู้สึกที่กำลังตกใจกับภาพที่ไม่น่าเป็นไปได้ในเวลานี้ ผมจ้องมองไปที่นิ้วของเธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะออกเสียงเหมือนกระซิบกระซาบออกไป
“นี่เธอทำไมถึงเห็นผมกันล่ะ”
ทันทีที่ผมเอ่ยคำถามที่เป็นคำถามง่ายๆ ออกไป แต่ดูท่าทางของเธอจะคิดมากกับคำตอบอย่างเห็นได้ชัด
เธอโน้มตัวแล้วจ้องตามาที่ใบหน้าของผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเม้นปากสีอมชมพูที่ดูเป็นธรรมชาติ ก่อนตอบกลับมาว่า
“นายรู้จักคำว่า มิโกะหรือเปล่าล่ะ จะให้เข้าใจต้องบอกว่าฉันมีหน้าที่ต้องส่งดวงวิญญาณไปสู่สุคตินะ”
เธอตอบกลับพร้อมกับใบหน้าที่ดูใสซื่ออย่างกับเด็กจริงๆเลยเชียว ผมที่ล่องลอยไปมาอย่างไร้จุดหมาย
ตอนนี้เหมือนกับว่าสวรรค์กำลังช่วยอยู่ก็ว่าได้!
“มิโกะเหรอ... เธอช่วยผมทีนะได้โปรด ขอร้องล่ะ !” ผมเผลอขอร้องออกไปจนได้ สีหน้าของผมที่
แสดงออกถึงความต้องการอย่างสุดซึ้งโดยที่ไม่ต้องปั้นหน้าแล้วย้อมมันด้วยอารมณ์ปรุงแต่งเลยแม้แต่น้อย.
มันคือความรู้สึกที่อยากไปสู่อิสระอย่างเต็มที่ของผมนั่นแหละ ความรู้สึกของผมจะส่งไปถึงเธอหรือเปล่านะในขณะที่ผมกำลังจดจ่อลุ้นอยู่นั้น เธอก็ค่อยๆ เดินหลบเลี่ยงสายตาแล้วมานั่งลงที่ม้านั่งข้างๆ เธอแหงนหน้ามองตรงไปที่ท้องฟ้าดวงตาสีน้ำตาลนั้นได้ส่องประกายสะท้อนกลับแสงแดดอ่อนจนดูราวกลับเป็นอัญมณีที่กำลังส่องแสงประกายแวววับอย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมๆกับเริ่มพูดขึ้น
“นายมีชื่อรึเปล่าล่ะ ?” เธอตั้งคำถามพร้อมโยนมันมาที่ผมอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว.
“ผม..ผมจำไม่ได้แล้วล่ะ เหมือนผมจะลืมมันไปตั้งแต่มาอยู่ในร่างวิญญาณที่โปร่งแสงนี้แล้ว”
“แล้วอย่างอื่นล่ะ พอจะนึกออกบ้างไหม... ก็อย่างเช่น อายุ ที่อยู่ เรียนที่ไหน ชอบอะไร เกลียดอะไร
รู้สึกยังไงบ้าง...ฉันว่านายต้องมีอะไรที่พอจำได้อยู่บ้างล่ะนะ ค่อยๆนึกสิ”
ผมก้มหน้าลงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ทั้งที่ในหัวของผมไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วแท้ๆ แต่เพราะใบหน้าที่ทำให้ผมอยากลองเสี่ยงดูนี่มันก็น่าตกใจจริงๆ นั่นล่ะ ผมเริ่มทบทวนภาพความทรงจำที่ขาดหายไปในช่วงก่อนหน้านี้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนมันจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่าทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกสับสนจนอยากจะยอมแพ้ตั้งแต่ก่อนที่จะลบภาพสีขาวที่ปิดกลั้นความทรงจำเอาไว้
“ผมนึกไม่ออกเลย” ผมตอบออกไปทันทีเพราะด้วยเหตุผลที่มันไม่สามารถจำได้ หรือในหัวสมองของวิญญาณโปร่งแสงอย่างตัวผมในตอนนี้มันไม่ยอมจดจำเอาไว้ก็ไม่แน่ใจเข้าไปอีก แต่เธอก็เอามือป้องปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ จนทำให้ผมเบิกตากว้างกับการกระทำของเธอ
“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ จริงสิฉันแนะนำตัวช้าไปรึเปล่านะ...ฉัน ชินัทสึ ฮานะ ยินดีที่ได้เจอล่ะนายดวงวิญญาณปริศนา” เธอลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นในมือขวาเธอหันหน้าเข้าหาชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมยิ้มให้อย่างเริงร่าก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกว่า
“นายเป็นวิญญาณที่น่าสงสารจริงๆ เพราะงั้นล่ะนายเลยไปไหนไม่ได้ ฉันก็ช่วยได้คงต้องรอให้นายไขความขุ่นเคืองใจที่เต็มไปด้วยกำแพงหนาเตอะนั่นให้กระจ่างก่อนนั่นล่ะ ถึงจะไปได้ ร่างของนายยึดติดกับเรื่องบางอย่างที่ฉันก็ไม่รู้จะว่ายังไง...”
ผมได้ยินอย่างนั้นแล้วก็จิตตกลงไปถึงพื้นดินจนตั้งหลักไม่ไหวเลย ถึงเธอจะส่งคำพูดนั้นมาด้วยรอยยิ้มที่ดูดีก็เถอะ แต่ทำไมมันแฝงไปด้วยประโยคว่าต้องหาเหตุผลนั่นมาก่อนถึงจะไปสู่สุคติได้เลยนะ ผมควรจะตัดใจแล้วยอมรับความเป็นจริงซะแล้วงั้นเหรอ...
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยอะไรนายเลยนะ” เธอจ้องมาที่ตาของผมอีกครั้งแล้ว...
ถึงจะเป็นแค่ร่างวิญญาณทำไมผมถึงรู้สึกตื่นเต้นจนรู้สึกอยากจะหน้าแดงออกมาด้วยความหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกเลยนะ
“พูดจริงเหรอ...เธอ ไม่สิคุณฮานะจะช่วยผมจริงๆ สินะครับ”
“จ้า มั่นใจฉันได้เลยก็นายน่าสงสารอย่างน่าตกใจจนฉันอดใจช่วยไม่ได้เลยล่ะ”
เธอดูเป็นคนที่ดีเหลือเกินเลย ฮานะเนี่ย นอกจากจะเต็มไปด้วยความสดใสของบุคลิกภายนอก แต่จิตใจที่ขาวสะอาดของเธอนี่มันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีเลยว่าเธอเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งที่หาได้ยากในยุคนี้เลยทีเดียว...
“อ๋อ จริงสิฉันต้องกลับแล้วล่ะ ถ้านายอยากเจอฉันล่ะก็ให้ไปที่’ศาลเจ้ายะซุกุนิ’ ฉันอยู่ที่นั่นล่ะ ลืมบอกไปว่าตอนนี้ที่นี่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่เรียกว่าฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงที่ดอกไม้มากมายกำลังเบ่งบานแหละนะ แล้วที่โตเกียวน่ะขึ้นชื่อเชียวนะเรื่องความสวยงามของฤดูกาลนี้น่ะ นายจำดอกไม้ที่ชอบได้ไหม?”
ยังไม่ทันไรเธอก็ถมผมอีกครั้งแล้ว แสงแดดนี่กับพวกดอกไม้ในสวนที่กำลังออกดอกเบ่งบานอย่างสวยงามหรือจะดอกไม้ประดับสีชมพูที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณทางเดินนี่มันก็ชวนให้น่าจดจำจริงๆนั่นล่ะ ผมลองนึกดูอีกครั้งแต่ทำไมกันนะ...พอเป็นเรื่องดอกไม้แล้วผมกับมองเห็นแสงสว่างสดใสขึ้นมาทันทีเลย
“ดอกอายาเมะ... ใช่แล้วดอกอายาเมะนี่แหละ!” ผมตอบไป
“ว้าว! สุดยอดเลยนะ ฤดูนี้เป็นช่วงเวลาของดอกอายาเมะเลยนี่นา ถึงจะเป็นรองจากดอกซากุระที่เต็มไปหมดตามถนนคนเดิน หรือถูกประดับตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่ดอกไม้สีม่วงอ่อนๆ อยู่ในทุ่งหญ้ากว้างชวนให้รู้สึกอบอุ่นอย่างอายาเมะเนี่ยก็ดีไม่แพ้กันเลยล่ะ ...นายชอบดอกไม้เหมือนฉันเลย ฮ่ะๆ”
ใช่แล้วถ้าพูดถึงฤดูใบไม้ผลิก็ต้องดอกอายาเมะ ดอกไม้ที่มีสีม่วงเข้มหรืออ่อนประดับอย่างสวยงาม
ดอกไม้ที่มักจะปรากฏตามทุ่งหญ้ากว้าง มีกลิ่นหอมชวนให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของธรรมชาตินี่ล่ะ...
ในเวลาไม่นานนักฮานะก็เดินออกไปจากสวนสาธารณะที่ไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก พร้อมกับโบกมือลา...
ใช่แล้วเพราะฮานะทำให้ผมรู้สึกอยากจะนึกอะไรต่อแล้วสิ... แต่ว่านี่มันก็ท้องฟ้าจะถูกฉาบด้วยสีดำที่ถูกเรียกว่าเวลากลางคืนเสียแล้ว
เรื่องราวของดอกไม้ หน้าร้อน และ การตามหาความทรงจำที่เหนือความคาดหมาย ได้เริ่มขึ้นแล้ว.
จากผู้แต่ง -
เรื่องนี้เป็นนิยายที่ถูกเขียนขึ้นอย่างน่าประหลาดจากผู้เขียนจริงๆ นะ เนื่องจากผู้เขียนไม่เคยเขียนแนวนี้มาก่อนเลย และก็ไม่ค่อยมั่นใจในการแสดงออกในด้านนี้เท่าไร เรื่องนี้ที่ตัวผู้แต่งจัดเป็นแนว สืบสวน แฟนตาซี และความรัก... ไม่สิ แต่ก็อาจจะเป็นงั้นล่ะ ถ้าอ่านเรื่องนี้จบจนถึงตรงนี้ได้เนี่ย ขอขอบคุณมากจริงๆ นะ เดี๋ยวสิลืมบอกไปว่าดอกอายาเมะที่กล่าวถึง มีชื่อในความเป็นสามัญว่า ไอริส(Iris) แล้วคนแต่งก็แอบใส่อะไรไปในชื่อของแต่ละคนด้วยนะ ฮา !
- Nano
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ