The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน
เขียนโดย Pie_l2
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ประตูหน้าห้องปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา ผู้คนที่เรียกตัวเองว่า ‘องครักษ์’ ยืนเรียงแถวในห้องเต็มไปหมด กลางห้องคือเก้าอี้ทองคำตัวใหญ่ที่มีผ้าไหมแขวนตกแต่งเอาไว้สวยงามที่ถูกเรียกว่า ‘บัลลังก์’ ข้างบัลลังก์คือหนุ่มอายุน้อยที่ยืนถือดาบเอาไว้ หรือก็คือ ‘องครักษ์ส่วนพระองค์’ นั่นเอง และห้องอันหรูหรานี้จะเป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากพระราชาองค์ปัจจุบันที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทางสง่างาม
พระราชาโมนาร์ด ผู้มีพระพักตร์อันเยาว์วัย ถึงแม้พระชนมายุจะย่างเข้าเลขห้าแล้วก็ตาม พระโอษฐ์ที่ปกติเป็นสีแดงระเรื่ออย่างคนมีสุขภาพดี บัดนี้สีซีดจากการขาดน้ำและอาหารเป็นเวลานาน พระขนงหนาขมวดเข้าหากัน
สถานการณ์ตอนนี้ดูจะไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับประชาชนลอยเข้ามาถึงพระกรรณครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งเป็นเรื่องเดียวกันหมด ตั้งแต่เมื่อเช้าจนถึงตอนนี้อันเป็นเวลาบ่ายสาม และสาเหตุที่ทำให้เขานั่งเครียดมาทั้งวัน ก็เพราะเขารู้ดีว่าใครกันที่เป็นคนทำเรื่องแบบนี้
“ประชาชนกำลังปั่นป่วนกันใหญ่ มีแต่คนพูดถึงเรื่องความรักสกปรกของทั้งคู่ ชายผู้นั้นอาจจะทำให้เราเสื่อมเสีย” องครักษ์ส่วนตัวของพระราชากระซิบคุยกับผู้เป็นนาย
“เราต้องปกป้องคนของเรา” พระราชายังคงยืนยันคำเดิมกับที่ได้ตรัสไปแล้วเมื่อเช้านี้ “ตอนนี้มีใครรู้หรือยังว่าเป็นเขา”
“ไม่มีใครรู้ขอรับ แต่ทุกคนรู้แล้วว่าใครคือสตรีนางนั้น”
“สตรีนางนั้นอยู่ที่ไหน”
“เราได้จับนางเข้าคุกแล้วขอรับ เมื่อเช้านี้หลังจากที่จับตัวนางได้ ตามกฎหมายแล้วนางต้องจำคุกตลอดชีวิตขอรับ”
“ไม่มีทางช่วยเหลือนางได้เลยหรือ” พระราชาถามอย่างมีความหวัง
“ยิ่งเราทำแบบนั้นผู้คนก็จะยิ่งสงสัยนะขอรับ” องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ตอบตามความเป็นจริง “หรือบางทีอาจจะมี...”
“ไม่! ฉันไม่ยอมให้ใครมาเป็นแพะรับบาปแทนผู้ที่กระทำผิดโดยแท้จริงแน่นอน”
“กระหม่อมเกรงว่าถ้าอย่างนั้นก็คงทรงช่วยเหลืออะไรนางไม่ได้ขอรับ”
“ในฐานะองครักษ์ส่วนตัวที่ฉันไว้ใจที่สุด เธอคิดยังไงกับเรื่องนี้” พระราชาหันไปหาองครักษ์ของเขาที่รับใช้มาได้เกือบห้าปี เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาสมองอันปราชเปรื่องและที่สำคัญเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง กลยุทธ์เรื่องการต่อสู้เป็นที่หนึ่ง คนผู้นี้ทำให้เขานึกถึงบุตรชายที่ได้หายหน้าหายตาไปกว่าหนึ่งปี บุตรชายที่วิ่งแจ้นออกจากวังไปเพียงเพราะเขารักหญิงคนหนึ่งมาก ผู้หญิงที่เขาไม่มีสิทธิ์รัก...
“กระหม่อมรู้ดีว่าเรื่องของความรักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถห้ามกันได้ และกระหม่อมก็รู้ดีว่าทั้งคู่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ถึงอย่างไรความถูกต้องก็ต้องมาก่อนขอรับ”
“เข้าใจตอบนี่ แล้วเรื่องของเธอล่ะ” พระราชาทอดพระเนตรเขาด้วยสายตารักใคร่เสมือนเป็นคนในครอบครัว
“ขอรับ?”
“เธอก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่คิดเรื่องแต่งงานบ้างหรือ” โมนาร์ดยิ้มอย่างใจดี หวังเล็กๆ ว่าการพูดคุยเรื่องนี้จะทำให้ความเครียดจางหายไปได้บ้าง
“กระผม...กระผมไม่มีหญิงที่หมายปองหรอกขอรับ”
“ฉันหาให้สักคนเอาไหม”
“เอ่อ...” องครักษ์หนุ่มอึกอัก
“แม่สาวหัวหน้าแม่ครัวคนนั้นมีนามว่าอะไรนะ” พระราชากลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด “อ้อ อแมนดาใช่ไหม เธอคนนั้นล่ะเป็นยังไง”
“กระผมไม่ทราบว่าฝ่าบาทไปเอาข่าวคราวมาจากไหน แต่ว่ากระหม่อมมิได้มีใจให้นางขอรับ”
“ไม่เอาน่า แม้แต่คนโง่ยังดูออกเลย ว่าพวกเธอน่ะชอบพลอกัน” พระราชาว่าก่อนจะกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจ
“นางก็ไม่เลวนัก” องครักษ์หน้าแดงขึ้นด้วยความเขินอาย “แต่กระหม่อมจะละทิ้งหน้าที่ได้อย่างไรกัน”
“ฉันไม่ได้บอกให้เธอละทิ้งหน้าที่ แต่เธอคงจะต้องมีหน้าที่เพิ่มขึ้นบ้างล่ะนะ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกฉัน ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เธอ ฉันเองก็ไม่เคยให้อะไรเธอเลยตลอดห้าปีที่ผ่านมา”
องครักษ์ไม่ได้พูดอะไร เขาก้มตัวลงอย่างซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ ความเงียบบังเกิดขึ้นพักใหญ่ ก่อนที่พระราชาจะตั้งคำถามอีกครั้ง
“แล้วชายผู้นั้นล่ะอยู่ไหน”
“ทางเรากำลังหาตัวอย่างลับๆ ตามพระประสงค์...”
แต่อยู่ๆ ประตูก็เปิดออกพร้อมกับองครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาบอกข่าว
“ฝ่าบาท ชายท่านหนึ่งขอเข้าเฝ้าพะยะ...”
“ฉันไม่ได้บอกหรอกหรือ ว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าเฝ้าในยามนี้” ฝ่าบาทตรัสกลับไปด้วยความกริ้ว “ไปบอกเขาว่าฉันไม่ว่าง”
องครักษ์ผู้นั้นรีบก้มหัวลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินออกจากประตูเพื่อกลับไปบอกข่าวร้ายให้กับผู้ที่ต้องการเข้าเฝ้าผู้นั้น
ผลัวะ
จู่ๆ ประตูก็เปิดออกอีกครั้งด้วยแรงผลักของเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะอยู่ในอารมณ์เดียวกันกับพระราชา องครักษ์ทั้งหลายรีบเข้ามาขวางทางเอาไว้ แต่ด้วยแรงของคนอารมณ์ร้อน องครักษ์ทั้งหลายจึงถูกดันออกไปจนพ้นทาง เด็กหนุ่มจ้ำเข้าไปหาพระราชาที่ดูไม่ตกใจกับการปรากฏตัวของเขาเลยสักนิด
“เธอเองน่ะหรือ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“ท่านคิดว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ” เด็กหนุ่มผู้อยู่ในชุดซอมซ่อพูดเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเกลียดชังในน้ำเสียง
“ฉันกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง” พระราชาทอดพระเนตรไปยังผู้มาเยือนด้วยสายตาแน่นิ่ง “และเธอกำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
“ปล่อยนางออกมา!”
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้น!”
บรรยากาศตรึงเครียดภายในห้องถูกแปรเปลี่ยนเป็นความมาคุ ทุกสรรพสิ่งที่หายใจอยู่พากันก้มหน้าต่ำ มีเพียงผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์และผู้มาเยือนที่สบตากันเหมือนกำลังเล่นสงครามสายตา ไม่มีใครยอมละสายตาจากใคร
“กระผมไม่ได้ขอร้องท่านในฐานะประชาชนคนหนึ่ง” และแล้วคำตอบก็ออกมาจากปากเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา “กระผมขอร้องท่านในฐานะพระโอรส”
“พระโอรสอย่างนั้นหรือ” พระราชาทรงพระสรวลอย่างเห็นเป็นเรื่องน่าขำขัน “ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าสตรีนางนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอว่าอย่าไปหยิบใครมั่วๆ มาถ้าไม่ใช่คนในเมืองบาร์ราด ฉันเฝ้าสอนเธอตั้งแต่เล็กๆ ว่าอะไร แล้วตอนนี้เป็นยังไง สมใจเธอแล้วหรือยัง!”
“กระผม...”
“ใครกันที่เดินออกไปจากวังเมื่อปีก่อน ใครกันที่หันหลังให้ฉัน ใครกันที่บอกกับฉันว่าความรักงี่เง่าสำคัญกว่าบิดาของเขา!”
“กระผมขอ...ขอประทานอภัย” เด็กหนุ่มผู้มาเยือนขยับเปลือกตาลงอย่างยากเย็น และถึงแม้เขาจะพยายามมากแค่ไหนที่จะไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งาม มันก็ดูจะเป็นเรื่องยากมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มทิ้งเข่าลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับกุมมือไว้แน่น “ได้โปรดทรงปล่อยตัวนางออกมาด้วย”
การกระทำดังกล่าวดูจะทำให้คนเป็นบิดาตกใจอยู่ไม่ใช่น้อย โอรสผู้ถือดี จองหองเพียงคนเดียวของเขา ตอนนี้กำลังคุกเข่าขอร้องให้เขาทำตามความปรารถนาของตนอย่างไม่รู้สึกอาย
“ฉันไม่สามารถทำสิ่งที่เธอขอร้องได้” พระราชาตรัสด้วยเสียงที่อ่อนลง
“กระหม่อม...” เด็กหนุ่มสะอึก เขาร่ำไห้อย่างไร้การควบคุมอย่างที่ไม่เคยเป็น “กระหม่อมรักนาง ถ้ากระหม่อมต้องอยู่โดยไม่มีนาง ท่านควรจะทรงลงโทษกระหม่อมดังที่ทรงลงโทษนาง”
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้!” ฝ่าบาทตะโกนกลับด้วยอารมณ์อันฉุนเฉียว “ฉันจะไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่นอน องครักษ์ แขกจะกลับแล้ว”
องครักษ์สองนายที่ได้รับคำสั่งรีบตรงเข้ามาจับกุมตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ เขาดิ้นรนสุดแรงเพื่อให้พ้นจากพันธนาการ ยังคงร้องไห้ไม่หยุด เนื้อตัวสั่นเทาด้วยอารมณ์โกรธปนเศร้าโศก
“สักวันท่านจะเสียใจที่ทำกับกระหม่อมเยี่ยงนี้” คำพูดสุดท้ายของเด็กหนุ่มเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปาก ก่อนที่เจ้าตัวจะหมดสติไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชาที่ทรงยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว
“จะให้พวกเราเอาเขาไปในป่าหรือบนเขาดีขอรับ” หนึ่งในองครักษ์ที่หามตัวพระโอรสถามขึ้น แต่พระราชาของพวกเขาไม่ทรงตรัสใดๆ ทั้งสิ้น “ฝ่าบาท โปรดทรงถวายพระราชโองการ”
“เอาเขาไปไว้บนห้องที่เขาเคยอยู่” ในที่สุดพระราชาโมนาร์ดก็ทรงตรัส หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน “เมื่อเขาตื่นแล้ว บอกให้แม่ครัวนำอาหารไปให้เขาด้วย ตั้งแต่นี้ไปเขาจะกลับมาอยู่ในวังอีกครั้ง”
พระราชโองการที่ทำให้ทุกชีวิตในห้องหยุดหายใจอีกครั้ง องครักษ์ทั้งสองที่กำลังหิ้วตัวของพระโอรสอยู่ก็เช่นกัน หากแต่พวกเขาทำแค่เพียงก้มหัวทำความเคารพ ก่อนจะจัดการทุกอย่างตามที่ได้รับคำสั่งจากพระราชา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ