The Silver Mask
9.8
บทนำ
เสียงไวโอลินดังขับขานอยู่ในใจฟิลลิปป์ ทั้งแสนซึ้งและแว่วหวาน จังหวะของมันเชื่องช้าพลิ้วไหวดั่งสายลม โดยมีผู้ก้าวตามจังหวะนั้น...สองคน ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นใคร เขาไม่เคยล่วงรู้ในเรื่องนั้น หากจะทราบ...ก็คงเป็นน้ำเสียงอันอบอุ่นคอยกระซิบ กับเส้นผมสีน้ำตาลเงางาม รวมทั้ง ดวงตาสีเขียวเข้มอันน่าหลงใหล อันทำให้รู้สึกหวั่นไหวคล้อยตามราวกับเวทมนตร์ หลายปีแล้วที่เขาเสมือนต้องมนตร์สะกดลึกลับ ชักชวนให้หัวใจเต้นแรงทุกคราที่พบชายในหน้ากากสีเงินคนนี้ ซิลเวอร์...คือชื่อที่พวกเขาสองคนใช้เรียกขานแทนบุคคลในชุดสำหรับงานเต้นรำชั้นสูง แม้เสื้อผ้าของฟิลลิปป์จะดูธรรมดายิ่งกว่าอะไร คู่เต้นก็ไม่เคยติเตียนหรือเสนอชุดใหม่ให้ เพราะหากว่าชายหนุ่มปริศนาทำเช่นนั้น รู้ดีว่าเขาไม่มีวันมาพบอีก เนื่องจากมันไม่ต่างจากการดูถูกเขาเลย ต่อให้ฐานะของเขาจะไม่อาจมั่งมีเทียบเท่าได้จริงๆก็ตาม หลายครั้งที่ซิลเวอร์เรียกเขาว่าซินเดอเรลล่า เพราะนาฬิกาตีดังถึงเที่ยงคืนเป็นสัญญาณกลับบ้าน แม้จะไม่ได้สวมชุดแสนสวยหรือรองเท้าแก้ว ฟิลลิปป์ก็ใช่ว่าจะมีเวลาทั้งคืน เขาไม่ได้ร่ำรวยสูงส่ง เป็นเพียงจิตรกรที่มีร้านภาพเขียนเล็กๆในเมืองเท่านั้น ทั้งคู่นัดพบกันที่สวนในปราสาทแห่งนี้มานานมากแล้ว อายุของพวกเขาเพิ่งสิบแปดปีเท่านั้น แต่การพบครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เขาเข้ามาในนี้ด้วยความสนใจ ตามคำชวนของชายลึกลับในหน้ากากที่บังเอิญได้พบ ลากยาวเรื่อยมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงปัจจุบัน เสียงระฆังกังวานดังขึ้นมากระทันดั่งสัญญาณเตือน อัศวินสีเงินโอบเอวฟิลลิปป์เข้ามาชิดใกล้ ก่อนจะมอบจุมพิตแสนหวานจนแทบลืมหายใจแก่เขา เปลือกตานั้นปิดลงครอบคลุมนัยเนตรสีม่วงงดงามอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเผยขึ้นมาอีกครั้งเพื่อสบตาสีเขียวคู่นั้นอย่างรักใคร่ เส้นผมสีดำสนิทลู่ไปตามกระแสลมพัดอันหนาวเหน็บของเวลาอันดึกดื่นค่อนคืน หากแต่อาการห่อตัวลงซบกับแผ่นอกอันอบอุ่นของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ถูกเมิน ซิลเวอร์ปลดผ้าคลุมห่อกายเขาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพาไปส่งถึงที่พักของฟิลลิปป์ด้วยอาชาสีขาวสะอาด “พระจันทร์ในคืนนี้ยังคงส่องสว่างแก่เรา ทำไมจึงไม่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกสักนิด” อัศวินสีเงินกล่าวรั้ง ทั้งยังโอบกายอีกฝ่ายไว้อย่างหวงแหน “ข้าสามารถนำพาเจ้าท่องไปทั่วทั้งดินแดน มีเพียงเราภายใต้การอวยพรของแสงจันทรา แค่เอ่ยว่าตกลงเท่านั้น กุหลาบแสนงามของข้า” ฟิลลิปป์อยากจะโอนอ่อนไปกับคำพูดนั้น หากแต่เขาไม่อาจตอบรับ การได้ออกไปเต้นรำในสวนแห่งนั้นก็มากเกินไปสำหรับคนฐานะอย่างเขา การได้พบกับอัศวินสีเงินก็มากเกินกว่าคนต่ำต้อยอย่างเขาควรได้รับ และสุดท้าย การได้รับจุมพิตในค่ำคืนนี้...มันก็มากเกินกว่าจะเดินล้ำเนิ่นนานไปกว่าที่ควรจะเป็น ให้ราตรีหยุดลงในราตรี เพื่อเฝ้ารอจุมพิตสีเงินนั้นในค่ำคืนที่สองและสาม.. ซิลเวอร์เคารพในการตัดสินใจของคนรัก หากแต่ยังจูบที่มือซ้ายของอีกฝ่ายอีกเล็กน้อย เมื่อมือนั้นสัมผัสกับหัวใจอันเต้นรัวของตน ชายหนุ่มในหน้ากากก้มลงไปกระซิบคำรักแว่วหวานอีกครั้งครา “กุหลาบแสนงามของข้า ข้าไม่เคยลืมค่ำคืนก่อน จะจดจำในค่ำคืนนี้ และเฝ้ารอให้ค่ำคืนต่อไปของเรามาถึง” ใบหน้าของฟิลลิปป์แดงซ่าน แต่ยังคงสบตากับเขาอย่างลึกซึ้งมั่นคง “หากว่าเมื่อตื่นมาท่านจะไม่เบื่อและทอดทิ้งราตรีครั้งหน้า ข้าเองก็จะจดจำในทุกเวลาของเราเช่นกัน” “แล้วเจ้าจะไม่ลืมเลือนเป็นแน่ เพราะข้าจะไม่มีวันคลายหัวใจจากเจ้า” อัศวินสีเงินกล่าวแน่วแน่
เสียงไวโอลินดังขับขานอยู่ในใจฟิลลิปป์ ทั้งแสนซึ้งและแว่วหวาน จังหวะของมันเชื่องช้าพลิ้วไหวดั่งสายลม โดยมีผู้ก้าวตามจังหวะนั้น...สองคน
ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นใคร เขาไม่เคยล่วงรู้ในเรื่องนั้น หากจะทราบ...ก็คงเป็นน้ำเสียงอันอบอุ่นคอยกระซิบ กับเส้นผมสีน้ำตาลเงางาม รวมทั้ง ดวงตาสีเขียวเข้มอันน่าหลงใหล อันทำให้รู้สึกหวั่นไหวคล้อยตามราวกับเวทมนตร์ หลายปีแล้วที่เขาเสมือนต้องมนตร์สะกดลึกลับ ชักชวนให้หัวใจเต้นแรงทุกคราที่พบชายในหน้ากากสีเงินคนนี้
ซิลเวอร์...คือชื่อที่พวกเขาสองคนใช้เรียกขานแทนบุคคลในชุดสำหรับงานเต้นรำชั้นสูง แม้เสื้อผ้าของฟิลลิปป์จะดูธรรมดายิ่งกว่าอะไร คู่เต้นก็ไม่เคยติเตียนหรือเสนอชุดใหม่ให้ เพราะหากว่าชายหนุ่มปริศนาทำเช่นนั้น รู้ดีว่าเขาไม่มีวันมาพบอีก เนื่องจากมันไม่ต่างจากการดูถูกเขาเลย ต่อให้ฐานะของเขาจะไม่อาจมั่งมีเทียบเท่าได้จริงๆก็ตาม
หลายครั้งที่ซิลเวอร์เรียกเขาว่าซินเดอเรลล่า เพราะนาฬิกาตีดังถึงเที่ยงคืนเป็นสัญญาณกลับบ้าน แม้จะไม่ได้สวมชุดแสนสวยหรือรองเท้าแก้ว ฟิลลิปป์ก็ใช่ว่าจะมีเวลาทั้งคืน เขาไม่ได้ร่ำรวยสูงส่ง เป็นเพียงจิตรกรที่มีร้านภาพเขียนเล็กๆในเมืองเท่านั้น
ทั้งคู่นัดพบกันที่สวนในปราสาทแห่งนี้มานานมากแล้ว อายุของพวกเขาเพิ่งสิบแปดปีเท่านั้น แต่การพบครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เขาเข้ามาในนี้ด้วยความสนใจ ตามคำชวนของชายลึกลับในหน้ากากที่บังเอิญได้พบ ลากยาวเรื่อยมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงปัจจุบัน
เสียงระฆังกังวานดังขึ้นมากระทันดั่งสัญญาณเตือน อัศวินสีเงินโอบเอวฟิลลิปป์เข้ามาชิดใกล้ ก่อนจะมอบจุมพิตแสนหวานจนแทบลืมหายใจแก่เขา เปลือกตานั้นปิดลงครอบคลุมนัยเนตรสีม่วงงดงามอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเผยขึ้นมาอีกครั้งเพื่อสบตาสีเขียวคู่นั้นอย่างรักใคร่
เส้นผมสีดำสนิทลู่ไปตามกระแสลมพัดอันหนาวเหน็บของเวลาอันดึกดื่นค่อนคืน หากแต่อาการห่อตัวลงซบกับแผ่นอกอันอบอุ่นของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ถูกเมิน ซิลเวอร์ปลดผ้าคลุมห่อกายเขาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพาไปส่งถึงที่พักของฟิลลิปป์ด้วยอาชาสีขาวสะอาด
“พระจันทร์ในคืนนี้ยังคงส่องสว่างแก่เรา ทำไมจึงไม่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกสักนิด” อัศวินสีเงินกล่าวรั้ง ทั้งยังโอบกายอีกฝ่ายไว้อย่างหวงแหน “ข้าสามารถนำพาเจ้าท่องไปทั่วทั้งดินแดน มีเพียงเราภายใต้การอวยพรของแสงจันทรา แค่เอ่ยว่าตกลงเท่านั้น กุหลาบแสนงามของข้า”
ฟิลลิปป์อยากจะโอนอ่อนไปกับคำพูดนั้น หากแต่เขาไม่อาจตอบรับ การได้ออกไปเต้นรำในสวนแห่งนั้นก็มากเกินไปสำหรับคนฐานะอย่างเขา การได้พบกับอัศวินสีเงินก็มากเกินกว่าคนต่ำต้อยอย่างเขาควรได้รับ และสุดท้าย การได้รับจุมพิตในค่ำคืนนี้...มันก็มากเกินกว่าจะเดินล้ำเนิ่นนานไปกว่าที่ควรจะเป็น
ให้ราตรีหยุดลงในราตรี เพื่อเฝ้ารอจุมพิตสีเงินนั้นในค่ำคืนที่สองและสาม..
ซิลเวอร์เคารพในการตัดสินใจของคนรัก หากแต่ยังจูบที่มือซ้ายของอีกฝ่ายอีกเล็กน้อย เมื่อมือนั้นสัมผัสกับหัวใจอันเต้นรัวของตน ชายหนุ่มในหน้ากากก้มลงไปกระซิบคำรักแว่วหวานอีกครั้งครา “กุหลาบแสนงามของข้า ข้าไม่เคยลืมค่ำคืนก่อน จะจดจำในค่ำคืนนี้ และเฝ้ารอให้ค่ำคืนต่อไปของเรามาถึง”
ใบหน้าของฟิลลิปป์แดงซ่าน แต่ยังคงสบตากับเขาอย่างลึกซึ้งมั่นคง “หากว่าเมื่อตื่นมาท่านจะไม่เบื่อและทอดทิ้งราตรีครั้งหน้า ข้าเองก็จะจดจำในทุกเวลาของเราเช่นกัน”
“แล้วเจ้าจะไม่ลืมเลือนเป็นแน่ เพราะข้าจะไม่มีวันคลายหัวใจจากเจ้า” อัศวินสีเงินกล่าวแน่วแน่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ