7 - eleven "สาวกะบ่าย นายกะดึก"

-

เขียนโดย เจ้าพิณ

วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 01.30 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,563 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ขอโทษ...ก็ได้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ต่วน เดี๋ยวลงเงินน้องเสร็จก็สอนงานให้น้องด้วย อาทิตย์หน้าเดี๋ยวน้องก็ต้องไปลงร้านใหม่พร้อมกับน้องสองคนนี้ นี่รู้จักน้องเขาหรือยัง คนนี้ชื่อหลิว ส่วนอีกคนชื่อ...”

 

 “หนูขอตัวไปไปทำงานต่อนะคะพี่กานิน”กานินไม่ทันได้พูดจบ โบรุ้งก็เดินโผล่งออกมาแต่น้ำเสียงพยายามเก็บอารมณ์ที่สุด ก่อนที่จะหมุนตัวกลับไปทางหลังร้าน แต่ก็ต้องปะทะหน้ากับชายหนุ่มที่ตุ๋นเธอจนเปื่อยที่อยู่ในสีหน้าปกติ เธอจึงรีบเบนหน้าหนีแล้วสาวเท้าเข้าไปหลังร้านพร้อมลากถังน้ำติดล้อเลื่อนเข้าไปด้วย

 

ทั้งกานินและหลิวลู่ออกจะงุนงงไม่น้อยกับอาการของเธอ แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือต่วน เขาเดาว่าเธอคงทั้งเสียหน้าทั้งเคืองเขาอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ดีๆก็โดนหลอก เขาก็ได้แต่ถอนใจ คิดว่าเดี๋ยวเธอก็คงหายโกรธเขาเอง เพราะทั้งเขาและเธอคงต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานพอดู

 

เพราะต่วนคือคนที่กานินนั้นเลือกให้ไปประจำที่สาขาใหม่พร้อมกับพวกเธอนั่นเอง!!

 

ต่วนพยายามทำตัวปกติ ก่อนที่จะเดินเข้ามาพูดคุยกับมานิชเพื่อทำความรู้จักและสั่งให้เอากระเป๋าเข้าไปเก็บหลังร้าน

 

โบรุ้งเอาถังน้ำเก็บและเอาผักสดสำหรับบาร์ผักออกมาหั่นเตรียมใส่กล่องไว้ด้วยอารมณ์ที่ไม่เป็นปกติ ยังเจ็บใจไม่หายกับการที่ถูกต่วนหลอก ซ้ำยังทำให้เธอเกือบจะเสียหน้าเพราะเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กพาร์ททามเหมือนกับเธอ หญิงสาวหั่นผักไปก็เผลอจินตนาการว่าหอมหัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นหน้าของชายหนุ่มขึ้นมา เธอทั้งหั่นทั้งสับลงไปด้วยความเคียดแค้น คอยดูเถอะ เธอต้องหาทางเอาคืนที่เขาหลอกด่าเธอครั้งแล้วครั้งเล่าให้ได้

 

มานิชค่อยๆเดินเข้ามาตั้งใจว่าจะเก็บกระเป๋าตามที่ต่วนสั่ง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาเก็บกันไว้ตรงไหน จึงค่อยๆเดินมาหาโบรุ้งซึ่งนั่งหั่นผักอยู่มุมหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม...

 

“เอ่อ...พี่ครับ เขาเก็บกระเป๋ากันตรงไหนเหรอ”

 

โบรุ้งหันมามองตาขวาง คิดอย่างไรถึงมาเรียกเธอว่าพี่ๆ “นี่ หน้าหนูดูแก่มากเลยหรือคะ เพิ่งจะ 22 เอง” เธอเผลอแขวะใส่มานิช

 

“อ้าว!! 22 เหรอ ก็เท่ากันสิ เรามานิช เป็นเด็กพาร์ททามเหมือนกัน”มานิชกลับรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในที่ทำงาน ทำให้โบรุ้งระงับความโกรธเอาไว้ได้โดยอัตโนมัติ จนมานิชยื่นมามือซ้ายออกมาพร้อมกับส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร โบ้รุ้งจึงยิ้มตอบก่อนจะวางมีดแล้วส่งยิ้มให้กับเขาพลางค่อยๆยื่นมือไปจับด้วย

 

“เราโบรุ้ง เรียกโบเฉยๆก็ได้”

 

ขณะที่ทั้งสองยืนส่งยิ้มให้กันพร้อมกับมืออย่างเป็นมิตร พวกเขาคงไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาเห็นภาพนั้นพอดี พอเห็นแบบนั้นเขาก็ได้แต่หยุดยืนมองนิ่งๆ ยิ่งเห็นรอยยิ้มของโบรุ้งที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรกับมานิชแล้วก็แอบอิจฉาไม่น้อย ถ้าเขาไม่กวนประสาทเธอก่อน รอยยิ้มนั้นคงจะตกมาถึงเขาก่อนที่มานิชจะเห็นเสียอีก เขาเองก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนที่จะตัดสินใจผ่าวงรอยยิ้มนั้นเพื่อทำตามจุดประสงค์แรกที่เขาเข้ามา

 

“น้อง เก็บของเสร็จยัง เดี๋ยวจะได้เริ่มงานกัน”

 

โบรุ้งและมานิชหันไปตามเสียง มานิชปล่อยมือแล้วรีบรับคำก่อนที่จะเดินไปหาที่เก็บกระเป๋าเอง แต่โบรุ้งกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่สบอารมณ์ตามเคยพอเห็นคู่อริของตนยืนอยู่หน้าประตู เธอจึงก้มหน้าหั่นผักตรงหน้าต่อไปโดยไม่มองหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว ทำให้เขาต้องเผลอถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็ทำได้แค่หันแผ่นหลังเดินออกไปหน้าร้านโดยมีมานิชเดินตามไปติดๆภายหลัง

 

พอร่างของชายหนุ่มผู้ช่วยและเพื่อนใหม่ของเธอหายไป เธอถึงกับถอนหายใจพลางมองทางที่ต่วนและมานิชเพิ่งจะออกไปด้วยอารมณ์ที่พยายามจะปลง

 

“เอาน่าโบรุ้ง อดทนแค่เจ็ดวัน กะเดียวกันก็ไม่ใช่ แถมเราก็จะต้องย้ายไปที่อื่นแล้ว คงไม่ได้เจอหน้าเขาแล้วล่ะ ขืนทำตัวแบบนี้มีหวังฝึกงานไม่รอดแน่ๆเลย”เธอพึมพำกับตัวเองพร้อมเม้มริมฝีปากอย่างอดทน ก่อนที่จะก้มหน้าหั่นผักต่อไปจนเสร็จ

 

จนโบรุ้งและหลิวลู่เคลียงานตัวเองจนเสร็จ โบรุ้งก็ถือกระเป๋าสะพายออกมาเตรียมจะลงเงินออก ส่วนหลิวลู่ขอตัวไปห้องน้ำก่อน เธอจึงออกมารอสาวรุ่นน้องที่บริเวณพื้นที่ขาย พอดีเธอเห็นมานิชยืนจัดของอยู่หน้าตู้แช่คนเดียว จึงเดินเข้าไปชวนคุย

 

“นี่ มานิช เธอใกล้จบยัง”เธอเริ่มเปิดประเด็นทันที

 

มานิชส่งยิ้มกว้างก่อนที่จะตอบ มือก็จัดของหน้าตู้แช่ไปพลาง “จะว่าใกล้ก็ไม่ผิด นี่ฉันก็เพิ่งไปฝึกงานที่หนองคายกลับมา เหลืออีกไม่กี่หน่วยกิต แต่ยังไม่รวมโปรเจคที่ต้องส่งอีกนะ แล้วโบจังล่ะ”

 

โบรุ้งถึงกับตาโตอย่างแปลกใจที่โดนรียกด้วยชื่อใหม่ที่เธอที่ไม่มีใครเคยเรียกเธออย่างนั้น ก่อนที่จะพูดกลั้วหัวเราะ “ฮ้าย...เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ ตลกจัง”

 

“ทำไมล่ะ เรียกไม่ได้เหรอ เรียกเล่นๆเฉยๆ เรียกโบเฉยๆมันสั้นๆแปลกๆไงก็ไม่รู้ ถ้าไม่เรียกโบจังก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี” มานิชว่า

 

“เรียกว่าโบราณก็ได้นะพี่มานิช” หลิวลู่ซึ่งเพิ่งจะออกมาจากห้องน้ำออกมาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองพอดีเดินเข้ามาสมทบกับการสนทนาทันทีพลางยิ้มอย่างนึกขำ

 

“ฮ้า... โบราณ”มานิชถามอย่างประหลาดใจ ถึงกับหยุดการทำงานในมือหันมามองหน้าโบรุ้งอย่างเต็มตาอย่างพิจารณา “เออ...จะว่าไป เรียกโบราณก็เห็นจะเหมาะ ทั้งหน้าทั้งผม เหมือนคนเพิ่งหลุดมาจากสมัยรัชกาลที่ห้าอย่างนั้นแหละ”มานิชพุดพลางหัวเราะ  ทำเอาคนโดนวิจารณ์ถึงกับหน้ามุ่ยทันที

 

“ใช่พี่ ผมพี่เค้าตัดบ๊อบเทแท้ๆ แต่ดันไปใส่ที่คาดผมอันใหญ่ๆ เลยกลายเป็นลอออรในมาลัยสามชายไปเลย ที่สำคัญนะ พี่โบเค้าชอบฟังเพลงเก่า ลูกทุ่งเก่าๆ สากลเก่าๆ ที่คนอื่นเขาไม่ค่อยฟังกันแล้วด้วย”หลิวลู่เสริมอย่างออกรสจนโบรุ้งต้องหันมาค้อนคนรุ่นน้อง

 

“นี่ เพลงเก่าคลาสสิคจะตาย อีกอย่างเพลงสตริงพี่ก็ฟังนะ”เธอแก้ตัวอย่างนึกอาย

 

“สตริงก็สตริงอยู่หรอก แต่สตริงรุ่นต้อม เรนโบว์กับพิงค์แพนเตอร์นี่ก็ไม่ไหวนะพี่”หลิวลู่ดักคอ ทำเอามานิชถึงกับปล่อยก๊ากออกมาทันที

 

“อ้าว...นี่โบจังชอบเพลงแบบนี้เหมือนกันเหรอ เราก็ชอบนะ ชอบมากด้วย ยิ่งเพลงลูกทุ่งเก่าๆยิ่งใช่เลย”

 

“จริงเหรอ นี่เราคิดว่ามีเราคนเดียวซะอีกที่ชอบแบบนี้”โบรุ้งหันมาพูดอย่างตื่นเต้น

 

“จริงดิ ไม่เชื่อวันหลังไปดูในมือถือฉันสิ มีแต่เพลงเก่าๆเต็มไปหมด”มานิชยืนยันพลางหันไปจัดของต่อ

 

“งั้นถ้ามีเพลงอะไรที่เราอยากได้ เดี๋ยวเราขอแบ่งไปบ้างนะ” โบรุ้งบอก

 

ต่วนซึ่งไม่เห็นสองสาวพนักงานพาร์ททามจะมาลงเงินออกกะซักทีก็แปลกใจ ตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปดูหลังร้านว่าทำอะไรกันอยู่ แต่พอมาถึงบริเวณตู้แช่น้ำซึ่งทั้งสามกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ถ้าเป็นพนักงานคนอื่น เขาก็คงไม่ได้ว่าอะไรเพราะมานิชเองก็ทำงานของตนได้ไม่ขาดตกบกพร่องตามที่เขาสั่ง แต่ที่ทำให้เขาเริ่มจะหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุก็คือภาพที่โบรุ้งหัวเราะคิกอย่างอย่างอารมณ์กับมานิชอย่างสนิทสนมนี่เอง ทั้งที่ทั้งสองก็เพิ่งจะรู้จักกันวันนี้ด้วยซ้ำ แต่กับเขา เธอกลับมีอาการเมินเฉยแถมยังปั้นปึ่งใส่เขาเสียด้วย แต่จะผิดก็คงผิดที่เขาที่ไปกวนประสาทเธอก่อน แต่ยังไงในใจเขาก็แอบนึกโกรธมานิชเสียเฉยๆทั้งที่เด็กหนุ่มไม่ได้ทำอะไรผิด เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆว่าเพราะอะไร

 

“จะลงเงินแล้วกลับกันหรือยังครับ ถ้าไม่พี่จะได้ให้ทำโอทีต่อ”ต่วนโพล่งออกไปผ่าวงสนทนาทั้งสาม ทำให้มานิชต้องหันไปทำงานตามปกติ ส่วนโบรุ้งกับหลิวลู่ก็ถึงกับหุบยิ้มกันเกือบไม่ทัน รีบพากันเอ่ยลามานิชเบาๆก่อนที่จะเดินตรงไปหาต่วนซึ่งถือแฟ้มยืนรออยู่ห่างๆ

 

หลิวลู่รีบแจ้งยอดเงินเหลือกับต่วนก่อน ก่อนที่จะบอกลาต่วนพลางกระพุ่มมือไหว้แล้วเดินออกไปลาพนักงานรุ่นพี่คนอื่นๆ

 

โบรุ้งพยายามสนทนาอย่างประหยัดคำพูดที่สุดกับต่วน แต่กระนั้นก็ยังไม่ทิ้งสัมมาคารวะที่เธอพึงมีกับเขา เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ช่วยร้านนี้ ถ้าทำกิริยาไม่ดีกับเขาก็อาจจะมีผลกับการฝึกงานเธอก็เป็นได้ เธอคิด พอหมดธุระเธอก็กระพุ่มมือไหว้เป็นเชิงลาเงียบๆ ก่อนที่จะทำท่าจะเดินหนีไปลาคนอื่นบ้าง แต่ต่วนก็พูดดักไว้ทำให้เธอชะงัก

 

“ขอโทษ”

 

เธอถึงกับหยุดฝีเท้า สีหน้าตกตะลึงไม่น้อย นี่ตาผู้ช่วยประสาทนี่ขอโทษเธอหรือ เธอแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ แต่เธอก็ไม่เลิกวางฟอร์ม ค่อยๆหันมาโดยทำสีหน้าที่ปกติก่อนจะเอ่ยถามเหมือนไม่รู้เรื่อง

 

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะคะ”

 

“บอกว่าขอโทษไง”เขาตอบห้วนๆอย่างตัดรำคาญ ถึงเขาจะรู้ตัวว่าเขาผิด แต่เขาก็ยังเขินอายไม่ใช่น้อยที่จะต้องขอโทษเจ้าหล่อนก่อน เพราะสาเหตุหลักของเขาก็คือ เขาแค่อยากพูดๆกับเธอดีๆเหมือนกับที่เธอพูดกับคนอื่นๆก็เท่านั้นเอง แต่เขาก็ยังอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ในใจว่า นี่เราแคร์ยัยนี่ด้วยเหรอ ถึงต้องกลัวว่าเขาจะไม่พูดดีด้วย

 

โบรุ้งพอได้ยินคำว่าขอโทษชัดเจน ก็แกล้งเสมองไปทางอื่นเหมือนจะเมินเฉย ก่อนที่จะค่อยๆถามต่อ “เรื่องอะไรคะ”

 

ต่วนเริ่มหัวเสีย เธอหรือจะไม่รู้ว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร เขาไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรต่อ ได้แต่เกาหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาไม่เคยง้อใครเสียด้วยสิ  

 

“เรื่องอะไรล่ะคะ”เธอแกล้งถามย้ำ

 

“เรื่องที่หลังร้านไง”เขาพูดอย่างหงุดหงิด พลางเสมองไปทางอื่นบ้าง ปล่อยให้โบรุ้งจับพิรุจสีหน้าของเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ช่าง เขาขอโทษแล้วนี่ ขืนไปกวนเขามากเดี๋ยวจะยิ่งเรื่องยาว เธอคิด

 

“ค่ะ ไม่เป็นไร ทีหลังก็อย่าแกล้งกันแบบนี้อีกแล้วกัน กลับก่อนนะคะ”เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนที่จะกระพุ่มมือไหว้อีกครั้งแล้วหันหลังจากไป ปล่อยให้เขายืนโล่งใจอยู่ที่ขอโทษจนได้ พอเธอลับตาไป ริมฝีปากของเขาก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมาที่ขอโทษเธอจนสำเร็จ

 

“ก็เธอมันน่าแกล้งจริงๆนี่นาโบรุ้ง”

 

 

 

 

 

“พี่คุยอะไรตั้งนานกับพี่ต่วนเหรอพี่” 

 

หลิวลู่เอ่ยถามหลังจากที่ทั้งสองเพิ่งจะมาถึงบ้าน หลังจากที่โบรุ้งวางกระเป๋าสัมภาระแล้วรีบอุ้มรับสุนัขตัวน้อยของตัวเองที่วิ่งสั่นหางมาหาโบรุ้งอย่างดีใจที่เจ้านายกลับมาก่อนจะทรุดนั่งลงที่เชิงบันได ส่วนหลิวลู่มาถึงนั่งเอกเขนกที่เก้าอี้ทรงชายหาดบุนวมตัวใหญ่ซึ่งนั่งได้ถึงสองคน

 

“ตอนไหน”เธอถามพลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

 

“ก็ตอนที่พี่ลงเงินจะกลับบ้านไง หนูเห็นพี่คุยอะไรกับพี่ต่วนตั้งนาน”หลิวลู่ถามอย่างสนใจ

 

โบรุ้งเริ่มนึกออก ก่อนจะค่อยๆลอบยิ้มน้อยๆออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ก็ต้องรีบหุบ“เปล่า เขาก็แค่ขอโทษ” หลิวลู่ตอบเสียงเรียบๆ พลางหยอกเย้ากับเจ้าวิปครีม

 

“เรื่องอะไรเหรอพี่” หลิวลู่ถึงกับดีดตัวขึ้นมาถามอย่างใคร่รู้

 

“ก็...เรื่องมันยาวน่ะ แต่เขาก็ขอโทษพี่แล้ว ไม่มีอะไรหรอก”เธอตอบปัดๆ พลางก้มหน้าหงุดทำท่าเหมือนเล่นกับเจ้าตัวน้อยบนตัก

 

“แน่เหรอพี่ จะไม่เล่าให้หนูฟังหน่อยเหรอ” หลิวลู่ถามอย่างรู้เท่า เพราะปกติเธอกับสาวรุ่นพี่จะไม่ค่อยมีอะไรปิดบังกันอยู่แล้ว

 

“เออ...ก็แค่เขาแกล้งพี่นิดหน่อย พี่ก็โกรธเขาอยู่หรอก แต่พอจะกลับเขาก็เลยขอโทษ”เธอเล่าแบบรวดรัดอย่างตัดรำคาญ

 

“แกล้งอะไรพี่”หลิวลู่ถามอีก

 

โบรุ้งเพิ่งจะคิดได้ว่า มันก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังหรือเธอต้องอายอะไรนี่นา เธอจึงเริ่มเปิดปากเล่าต่อ ถึงทุกเหตุการณ์โดยหลิวลู่ก็นั่งฟังอย่างตั้งใจจนจบ

 

“โถ...ไอ้เราก็นึกว่าอะไร”หลิวลู่พูดอย่างนึกขัน เพราะไม่เคยเห็นว่ารุ่นพี่สาวที่ไม่ค่อยจะโกรธใครกลับมีเรื่องฉะกับต่วนตั้งแต่แรกเจอ เพราะเธอรู้ดีว่าโบรุ้งเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่เกิดมาจากครอบครัวที่เป็นผู้ดีเก่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ คุณยายและคุณตาเธอก็เคยเป็นถึงคุณข้าหลวงก่อนที่คุณตาจะเสียชีวิตไป เหลือแต่เพียงคุณยายที่เกษียรนานแล้วและ หล่อนจึงถูกเสี้ยมสอนให้เป็นคนใจเย็น ให้อภัย เรียบร้อย เป็นกุลสตรีทุกระเบียบนิ้ว แต่พอครอบครัวของโบรุ้งประสบปัญหาหลังจากที่ผู้เป็นพ่อของเธอหย่าขาดจากแม่ตอนที่เธอขึ้นปีสองและฐานะการเงินของครอบครัวของโบรุ้งเริ่มตกต่ำเพราะไม่มีหัวหน้าครอบครัว มารดาจึงจำเป็นต้องอพยพกลับไปอยู่กับคุณยายของเธอที่โคราชและเปิดร้านขายขนมไทยตามต้นตำหรับชาววังร้านเล็กๆพอเลี้ยงตัวและส่งโบรุ้งเรียน  และยังมีพี่ชายคือสุทโธที่เรียนจบแล้วและกลับไปทำงานบริษัทในโคราชอีกคนที่แบ่งเงินเดือนช่วยมารดาส่งน้องเรียนและอยู่ดูแลผู้เป็นแม่กับยาย ส่วนโบรุ้งก็จำเป็นต้องใช้ชีวิตในกรุงเทพต่อไปเพื่อเรียนต่อให้จบ โดยออกมาเช่าบ้านสองชั้นหลังเล็กๆใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยกับหลิวลู่ซึ่งรู้จักกันมานาน

 

แต่คนในครอบครัวของโบรุ้งยกเว้นพี่ชายของเธอไม่รู้เลยว่า โบรุ้งซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนเรียบร้อยและทำอะไรอยู่ในกรอบตลอด ก็ไม่ใช่ลูกผู้ดีที่งอมืองอเท้ารอเงินจากที่บ้านมาเลี้ยงตัวเอง เธอกลับหางานพิเศษทำเท่าที่จะทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระที่บ้าน แรกๆเธอก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากแม่ แต่เพราะพี่ชายของเธอช่วยเลกี้ยงกล่อมจึงยอม และเธอก็ยังเป็นคนที่ชอบสนุกร่าเริง ขี้เล่นเวลาอยู่กับเพื่อนฝูงหรือรุ่นน้อง และไม่ยอมใครง่ายๆถ้าโดนรังแกหรือเอาเปรียบ แถมยังเป็นคนทันโลกและรักความเป็นเทคโนโลยียิ่งกว่าอะไรถึงรสนิยมเธอจะยังโบราณอย่างที่หลิวลู่เคยพูด

 

“นี่แสดงว่าที่พี่ทำโกรธทำงอนใส่เขาเมื่อตอนพี่มาโนชเข้ามาก็เพราะงี้ล่ะสิ”หลิวลู่ว่า

 

“ก็ใช่น่ะสิ”เธอตอบ “ทั้งโดนหลอก โดนอ่านกิน แถมยังโดนว่าว่าเป็นซาลาเปาโดนนั่งทับ แถมยังบอกว่าพี่นอกจากจะแบนแล้วไม่ฉลาดอีก ใครจะไม่โกรธ”

 

หลิวลู่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แต่ก็แอบมองเห็นว่าสีหน้าของรุ่นพี่สาวที่พูดถึงเขานั้นเริ่มเป็นสีชมพูอ่อนๆ อย่างที่เธอไม่เคยเห็น

 

“พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” โบรุ้งพูดจบอย่างรวดเร็วก็รีบอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นชั้นบนไปด้วย ปล่อยให้หลิวลู่ซึ่งกลับไปนอนเอนหลังงุนงงกับอาการของรุ่นพี่สาวที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

 

 

ในช่วงเวลาฝึกงานของทั้งสองรวมทั้งมานิช ทำให้ทั้งสองสาวและหนึ่งหนุ่มสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น โดยทุกความเคลื่อนไหวนั้นอยู่ในสายตาของต่วนเสียหมด ภายใต้ใบหน้าอันเย็นชาของเขานั้นซ่อนความหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาที่เห็นภาพที่ไม่ชวนจะมองสำหรับเขาเลย ภาพที่โบรุ้งนั้นป้อนขนมที่เธอซื้อมากินก่อนกลับให้มานิชพลางหัวเราะกิ๊กกั๊ก ภาพที่โบรุ้งพูดแหย่กับมานิชขณะที่เธอกำลังช่วยกันเติมสินค้าขึ้นชั้นวางอย่างสนุกสนาน ถึงช่วงเวลาระหว่างปิดผลัดบ่ายกับเข้าผลัดดึกจะเป็นช่วงต่อของเวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ ทั้งสองกลับมีเวลาที่จะทำความรู้จักและสนิทสนมกันได้ ในขณะที่เขานั้น เธอจะพูดด้วยแค่สองสามคำในเวลาที่เธอซักถามเรื่องงาน ตอนที่จะลงเงินออกและบอกลาแค่นั้น  นอกจากนั้น บทสนทนาทั้งหลายจะไปกองอยู่กับมานิชเสียหมด ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขัดใจทุกครั้งที่เจอความเฉยชาในการกระทำของโบรุ้ง ก็มีแต่หลิวลู่และมานิชเท่านั้นที่จะพูดคุยกับเขาบ้าง

 

ความหงุดหงิดขัดใจทั้งหลาย เกิดขึ้นอยู่บนความไม่เข้าใจตัวเองของต่วน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมเขาต้องไม่พอใจที่เธอทำแบบนี้ ทำไมเขาต้องดีใจทุกครั้งที่เจอเธอ ไม่มีเหตุผลหรือคำตอบกับคำถามเหล่านี้เลย

 

“หรือจะต้องแกล้งซะให้เข็ด”เขาพึมพำกับตัวเองอย่างเจ็บใจอยู่บ่อยๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา