ราชินีนอกรีต (นิยายเเปล)

10.0

วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 11.27 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  6,160 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

บทนำ 

 

          ข้าแน่ใจแล้วว่าถ้าข้าได้พำนักในสถานที่อันเงียบสงบ ห่างไกลจากพระราชวังและราชสำนักที่อึกทึกเสียงดังได้ตลอดทุกเพลา มันคงจะเป็นการดีมากเลย เมื่อข้าได้ลองคิดทบทวนหลายๆ เรื่อง เริ่มตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเด็กจนกระทั่งถึงวันที่ข้ามีอายุถึง 6 ขวบ ข้านึกถึงสิงโตที่กำลังหมอบอยู่บนกระเบื้องลางๆ พลันยังได้กลิ่นของซีดาร์และอาเคเซียจากกล่องหีบใบหนึ่งที่แม่นมของข้าเก็บของเล่นเอาไว้ และข้ายังจำได้อีกว่า ข้านั่งอยู่ใต้ต้นมะเดื่อตลอดทั้งวันด้วยท่าทีอันสงบ แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงของลมพัดเข้ามาอยู่บ้าง ข้ายังจินตนาการภาพของการเขย่าซิทตรัม ซึ่งตอนที่เขย่ามัน ก็จะเห็นว่ามีแสงไฟจากกำยานส่องออกมาจากบริเวณลานใหญ่ แต่นั่นแหละ ภาพที่ข้าเห็นทั้งหมดมันไม่มีความชัดเจนเอาเสียเลย เราจะต้องจำทุกเรื่องทุกอย่างซึ่งเปรียบเสมือนผ้าลินินที่หนัก คอยหุ้มเรื่องราวของเราไว้ และภาพความทรงจำแรกของข้าก็ปรากฏเข้ามา นั่นก็คือ ภาพแห่งรามเซสกำลังหลั่งพระอัสสุชลในความมืดภายในวิหารแห่งเทพอามุน

          ยามที่ข้ายังมีอายุ 6 ขวบเอง มันเป็นเวลาที่ข้ายังพูดอะไรเจื้อยแจ้ว ซึ่งข้าก็คิดถึงภาพต่างๆ นานา ในภาพแห่งนั้น เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า ข้าจะทำอย่างไรบ้างเพื่อที่ข้าจะได้ประสบพบพักต์รามเซส บางทีข้าก็อาจจะออกไปข้างนอกที่พำนักในขณะที่แม่นมของข้ากำลังยุ่งอยู่กับการจัดพระแท่นบรรทมของเจ้าหญิงพีลี แต่แม้จะออกไปตอนกลางคืน ข้าก็ยังสามารถจดจำทางเดินสู่ห้องโถงใหญ่แห่งวิหารเทพอามุนอันเงียบสงบได้ และภาพที่ข้ายังได้เห็นอีก มันเป็นภาพที่ข้าเคยเห็นมาก่อนหน้านั้น เป็นภาพของหญิงนางนึงกำลังอ้อนวอนเทพีที่นางโปรดปรานเหลือเกินอย่าง เทพีไอซิส แต่แล้วเมื่อลองคิดย้อนกลับมาเรื่องแรก ข้าคิดเลยว่ามันสำคัญมากเหลือเกิน หากข้าไม่ได้พบ อาจจะทำให้แย่ไปกว่านี้ได้ ข้าจึงจะต้องไปพบ ไปอ้อนวอนองค์รามเซสในคืนนี้  นอกจากนั้น ภาพรามเซสที่ข้าได้พบ พระพักต์ของพระองค์ที่ข้าเห็นนั้น ดูแล้วราวกับภาพวาด แต่ข้าก็รู้ว่าในตอนที่ข้าเดินออกไปสู่ความมืดและก้าวเข้าสู่ภายในวิหารด้วยท่าทีที่สงบ ข้าได้แหงนหน้าขึ้นไปมองบนภาพอันมีแสงรัศมีของเทพเจ้าผ่านลงมา ยามที่ข้าเข้าสู่ห้องบูชาภายในวิหาร ข้าก็ได้ยินเสียงของรามเซส พูดกับข้าเป็นคำแรกว่า "หยุดอยู่ตรงนี้ก่อน" เมื่อข้าได้ยินดังนั้น ข้าแทบรู้สึกได้เลยว่าเชื่อฟังพระสุร เสียงที่รับสั่งของพระองค์ขนาดไหน ข้าจึงเดินตรงเข้าไปในเงามืดเพื่อหาต้นเสียงของพระองค์ ซึ่งที่ตรงนั้นมีรูปปั้นแห่งเทพอามุนยืนอยู่ รูปปั้นของเทพเจ้าองค์นี้ประทับอยู่กลางแสงสว่างจากตะเกียงอันอร่ามส่องเข้ามาแพรวพราย จึงทำให้ได้เห็นร่างขององค์รามเซดชัดขึ้น พระองค์กำลังนั่งคุกเข่าทำความเคารพต่อหน้าเทพเจ้าอามุนผู้สร้างชีวิตพระองค์ขึ้นมา หัวใจของข้านั้นเต้นรัวเร็วดังจนหูของข้าแทบไม่ได้ยินคำกระซิบขององค์รามเซสเลย แต่สุรเสียงสุดท้ายของพระองค์ที่ข้าได้ยินนั้นก็คือ "จงช่วยนางด้วย เทพอามุนแห่งข้า นางยังเด็กยิ่งนัก ได้โปรดเถอะ ช่วยนาง อย่าให้เทพอนูบิสนำนางไปเลย โปรดเถอะ ตอนนี้ยังไม่ได้" 

          ในขณะที่ข้ายืนอยู่ตรงข้ามห้องบูชานั้น ข้าได้ขยับทีละนิดเพื่อให้เห็นรามเซสชัดขึ้นยิ่งกว่านี้ แต่แล้วการเคลื่อนไหวของข้ามันช่างแย่มากจริงๆ เพราะว่าเสียงจากรองเท้าแตะที่ข้าสวมใส่ได้เตือนองค์รามเซสเข้าให้แล้วว่าทรงไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในห้องนั้น พระองค์จึงรีบเช็ดพระสุชลทันทีเพื่อไม่ให้ใครเห็นมัน  และตอนนั้นข้าเห็นว่ามีชายคนนึงโผล่ออกมาจากความมืดเร็วอย่างกับเสือดาว เขาสวมชุดที่ดูสะอาดไร้มลทิล สีขาวสดใส สายตาข้างซ้ายของเขาเป็นสีแดง ดูแล้วเหมือนกับบ่อที่ประกายแวววับเต็มไปด้วยเลือด ....ใช่แล้ว นักบวชนี่เอง

          นักบวชผู้นั้นก้าวมาอยู่ตรงหน้าเจ้าชาย แล้วจึงเอ่ยถามพระองค์ทันที "ฝ่าบาทอยู่ที่ใด" เห็นดังนั้นแล้ว ด้วยการที่ทรงเป็นผู้มีความกล้าหาญอยู่ในตัวด้วยวัยเพียงแค่ 9 ชันษาเท่านั้น พระองค์จึงเสด็จมายืนท่ามกลางแสงอร่ามของตะเกียงและตอบนักบวชผู้นั้นกลับไปว่า "เสด็จพ่อทรงประทับอยู่ในพระราชวัง พระองค์ไม่ต้องการออกห่างจากพระขนิษฐาแห่งเรา" นักบวชผู้นั้นจึงถามต่อ "แล้วพระมารดาของท่านละ" องค์รามเซสจึงบอกต่อ "พระนางก็อยู่ที่นั่นด้วยละ เพราะว่าบรรดาหมอหลวงต่างก็บอกกันว่า พระขนิษฐาของเรากำลังจะสิ้นพระชนม์ !" นักบวชก็ยังไม่หยุดที่จะกล่าวคำต่อไปอีกว่า "ดังนั้น องค์ฟาโรห์จึงต้องส่งท่านมาอ้อนวอนขอร้องต่อเทพเจ้าใช่หรือไม่?"

          "ข้าเข้าใจในตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าทำไมข้าต้องมาที่นี่ แต่ข้าก็สัญญาต่อเทพเจ้าอามุนแล้ว สัญญาว่าจะทำในทุกๆ สิ่งที่ทรงต้องการ" เจ้าชายรามเซสตรัสทั้งกรรแสง "เราจะทำยังไงละ จะทำยังไงดีกับอนาคตนี้" นักบวชเห็นดังนั้นจึงบอกกับรามเซสทันที "แล้วพระบิดาท่านก็ไม่เคยบอกอะไรข้าเลย ทรงไม่เคยแม้แต่จะเล่าให้ข้าฟังเลยว่าเจ้าชายมาที่นี่ ณ วิหารแห่งนี้" เจ้าชายจึงโต้เถียงกลับทันที "เสด็จพ่อทำแล้ว! ทรงเรียกท่านแล้วตอนที่ท่านอยู่ในวัง" เสียงของนักบวชก็เริ่มแผ่วลง "แล้วท่านคิดหรือว่าเทพอามุนจะรักษาพระขนิษฐาได้?” นักบวชชั้นสูงผู้นี้เริ่มเดินข้ามไปสู่พื้นที่ตรงหน้าอันมีแผ่นกระเบื้องเรียงรายอยู่ แล้วจึงตะโกนถาม "ใครสามารถบอกได้ล่ะ?"

          “ข้านะก็มาด้วยตัวข้านะและข้าก็ยังยื่นข้อเสนออะไรก็ตามต่อองค์เทพ ข้ารู้ตัวว่าข้ากล่าวอะไรไปบ้าง” เจ้าชายกล่าวตอบนักบวชผู้นี้ไป นักบวชเลยกล่าวตอบมาว่า “ท่านอาจจะทำได้นะ เจ้าชาย แต่องค์ฟาโรห์นะไม่ยอมเสด็จมาเยี่ยมเยียนข้าที่วิหารบ้างเลย” เห็นดังนั้นแล้ว เจ้าชายรามเซสจึงจับมือของนักบวชและและพวกเราต่างพากันไปสู่ลานกว้างภายในตัววิหาร ที่นี่เป็นอะไรที่เงียบสงบ แม้จะมีแตรวางอยู่ แต่มันก็แตกหักเป็นเสี่ยงไปจนไม่สามารถใช้เล่นได้อีกแล้ว จึงทำให้เราไม่ได้แม้แต่จะได้ยินเสียงของมัน  และยามนั้นเมื่อมีนักบวชปรากฏตัวขึ้นมาอีกด้วยชุดคลุมสีขาว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบ่งบอกตัวตนของนักบวชคนนั้นได้  จนกระทั่งนักบวชได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ไปพระราชวังมาลคาตตากัน!”

          เราจึงพากันขึ้นรถม้า เหล่ารถม้าของเราห้อตะบึงอย่างรวดเร็วผ่านค่ำคืนแห่งความหนาวเหน็บของเดือน Mechyr ไปยังแม่น้ำไนล์ แล้วก็ข้ามผ่านแม่น้ำสู่ตัวพระราชวังทันทีในหลังจากนั้น พวกเหล่าทหารต่างก็มาต้อนรับเราและนำเราพร้อมกับกลุ่มผู้ติดตามเข้าสู่ห้องโถงในไม่กี่วินาทีต่อมานับตั้งแต่ย่างก้าวสู่พื้นดิน

          “เหล่าเชื้อพระวงศ์ไปไหนกันหมด?” นักบวชถามพวกทหารทันที

          ทหารคนนึงก็ตอบนักบวชว่า “พวกพระองค์ทรงประทับอยู่ในห้องลับแห่งเจ้าหญิงพีลีขอรับ ท่านนักบวช” นักบวชผู้นั้นย่างก้าวสู่บันไดแต่ก็ยังเอ่ยถามต่ออีก “แล้วนางยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่หรือไม่?”

          พวกเหล่าทหารไม่ยอมตอบคำถามท่านนักบวช เจ้าชายรามเซสจึงก้าวไปข้างหน้าด้วยความร็วพลางตะโกนออกมาทันทีแล้วยังกรรแสงอีกด้วยว่า “ไม่ พีลี ไม่นะ เจ้ารอพี่ก่อน พีลี!” ซึ่งข้าก็เดินตามไปอย่างเร็วเช่นกัน หลังจากที่ทั้งข้าและพระองค์ย่างก้าวสู่หน้าห้องลับของเจ้าหญิงแล้ว ซึ่งที่ตรงนั้นมีทหารเฝ้าอยู่สองคน เจ้าชายได้ผลักประตูไม้เข้าไปอย่างแรงและชะงักพระองค์ทันทีเมื่อเห็นว่าในนั้นมีอะไรคอยอยู่ อากาศในห้องลับอบอวลไปด้วยกลิ่นควันของธูป มีแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันที่ส่องในห้องเพียงน้อยนิด และองค์ราชินีกำลังทรงไว้ทุกข์ต่อหน้าพระธิดาผู้วายชนม์อยู่ ฟาโรห์เองก็เช่นกัน แต่พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางเงาเมืดที่มีแสงสลัวเพียงนิดเดียว

          เจ้าชายเทรงกรรแสงและเดินเข้าไปใกล้พระขนิษฐา กล่าวเสียงเบาว่า “พีลี พีลี !”ในตอนนี้ทรงไม่เอาใจใส่ต่อสิ่งรอบข้างเลยว่าจะมองพระองค์ยังไง เมื่อทรงจับมือพีลีแล้วรู้สึกได้ถึงดวงตาและหน้าอกของนางที่ไม่ไหวติง อีกทั้งพระราชินีผู้นั่งอยู่เคียงข้างพระแท่นบรรทมก็ยังทรงกรรแสงอย่างหนักเช่นกัน จึงทำให้รับรู้ว่า นางจากไปแล้ว

          "รามเซส เจ้าไปสั่งให้พวกทหารลั่นระฆังซะสิ" ฟาโรห์ทรงพยักหน้ารับสั่งกับพระโอรสของพระองค์เอง แต่เจ้าชายรามเซสกลับทรงหันไปทอดพระเนตรมององค์ฟาโรห์ผู้เป็นพระบิดา ฟาโรห์ผู้อาจจะหันหลังให้กับความตาย “ไปสิ! รามเซส”

          “ข้าเหนื่อยแล้ว เสด็จพ่อ ข้าพึ่งไปอ้อนวอนขอเทพอามุนมาพะยะคะ” เจ้าชายรามเซสตรัสพลางเอ่อพระอัสสุชล เมื่อฟาโรห์ ผู้เป็นพระบิดาเห็นดังนั้นจึงเดินข้ามผ่านจากที่ที่ทรงยืนประทับอยู่เข้าไปหาพระราชโอรสและโอบไหล่เขาไว้ “พ่อรู้ รามเซส แต่ตอนนี้เจ้าต้องไปบอกพวกทหารให้ลั่นระฆังเพื่อที่อนูบิสจะได้มารับน้องสาวของเจ้าไปได้”

          และข้ายังรู้อีกว่า เจ้าชายรามเซสไม่สามารถปล่อยให้เจ้าหญิงพิลีอยู่ตัวคนเดียวได้หรอก เพราะนางกลัวความมืดมาก และยิ่งกลัวมาก ก็ยิ่งทำให้นางกรรแสง เจ้าชายจึงทำท่าลังเลไม่รู้ว่าจะออกไปตามที่พระบิดารับสั่งดีหรือไม่ แต่แล้วก็มีสิ่งเตือนพระองค์จากองค์ฟาโรห์ พระองค์ผู้เอ่ยเสียงเข้มว่า “ไป!”

          เจ้าชายรามเซสทรงหันมามองที่ข้า ซึ่งทำให้ข้าแน่ใจว่า ข้าต้องไปกับพระองค์ด้วย และเมื่อทั้งข้ากับพระองค์เข้าไปยังลานกว้าง พวกเราก็เห็นว่ามีนักบวชหญิงชรานางนึงกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นอเคเชียที่ดูไร้ชีวิตชีวา อีกทั้งในมือที่เหี่ยวของนางยังกุมระฆังสัมฤทธิ์ไว้ “เทพอนูบิสทรงมารับพวกเราได้ในวันนึง” นางกล่าวในขณะที่ลมหายใจของนางพ่นออกมาเหมือนปลงชะตาชีวิต

          เจ้าชายรามเซสได้ยินดังนั้นจึงตะคอกนักบวชหญิงไปทันทีว่า “จะต้องไม่ใช่ตอนที่นางอายุแค่ 6 ขวบ และไม่ใช่ตอนที่ข้าเข้าไปขอชีวิตของนางจากเทพอามุนที่วิหาร!”

          นักบวชหญิงชราได้ยินดังนั้นก็พลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วกล่าวอย่างไม่เกรงเลยว่า “เทพเจ้าหาทรงฟังเด็กไม่! มีอะไรที่ท่านทำแล้วบรรลุผลจนเทพอามุนต้องฟังท่านละ? ท่านเคยชนะสงครามด้วยหรอ? แล้วอนุสาวรีย์ของท่านถูกสร้างขึ้นแล้วหรือยัง?”

          เห็นดังนั้น ข้าเลยยืนหลบอยู่ข้างหลังเสื้อคลุมของเจ้าชาย แต่นางก็ยังพูดต่อไม่เลิกว่า “แล้วเทพอามุนเคยได้ยินนามท่านที่ไหนเล่า มีหลายพันคนมาขอความช่วยเหลือวิงวอนต่อพระองค์ จะทรงจดจำได้สักเท่าไหร่เชียว”

          “ไม่มีเลย” ข้าได้ยินเจ้าชายทรงกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา และนักบวชหญิงก็พยักหน้ารับรู้อย่างหนักแน่น “ถ้าองค์เทพไม่รู้พระนามของท่าน พระองค์ก็จะไม่ได้ยินคำขอของท่าน เจ้าชาย”

 

 

คำศัพท์ท้ายบท

 

ซิทตรัม (Sistrum) = เครื่องดนตรีที่ใช้เขย่าของชาวอียิปต์โบราณ

 ต้นอาเคเชีย = ต้นไม้พุ่มอยู่ในตระกูลถั่ว

เมเชร (Mechyr) = ตรงกับฤดูเปเรท (Peret) ซึ่งเป็นฤดูเพาะปลูกของชาวอียิปต์โบราณ โดยฤดูจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมกราคม (อ่านได้เป็นภาษาอียิปต์โบราณว่า เมเชร หรืออีกแบบคือ mxyr อ่านว่า mekheer หรือ "เมคีร")

อนูบิส = เทพพิทักษ์ศพผู้มีเศียรเป็นหมาไน

อามุน = เทพผู้ถูกขนานรวมกับเทพราห์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา