Lady in the Night
บทนำ
Love-les Project: Lady in the Night
The Phoenix
เมื่อคำพิพากษาโลกไม่ได้เกิดขึ้นในปี 2012 ดังคำทำนายของปฏิทินแห่งชาวมายา
มนุษย์ทั้งหลายต่างร่วมเฉลิมฉลองด้วยความลุ่มหลงและประมาท หารู้ไม่ว่า...มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังต้องการครอบครองโลกทั้งใบ และพวกเขาก็ทำสำเร็จในอีก 3 ปีต่อมา...
โลกที่มีแต่ความทุกข์ระทม เสียงร้องระงมของคนที่เจ็บเจียนตาย บ้านเรือนวินาศย่อยยับจากการทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียร์และสงครามที่เกิดไปทั่วทุกหนแห่ง สารเคมี อาวุธชีวภาพ พรากชีวิตคนไปกว่าครึ่งโลก พื้นที่อาศัยหลงเหลือเพียงทวีปเดียว เถ้าเขม่าควันลอยฟ่องกลางอากาศ ผู้คนต่างถูกรวบรวม ไม่มีประเทศ ไม่มีทวีปอีกต่อไป...
เวลาผ่านไปไม่นาน โลก...เป็นหนึ่งเดียวด้วยกลุ่มผู้นำเดียวที่จัดระเบียบใหม่ให้แก่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ ระบบที่สร้างขึ้นนั้นก็เพื่อให้คนทั้งโลกได้อยู่ร่วมกันบนพื้นที่จำกัด และวิวัฒนาการซึ่งนำพาความทันสมัยหยุดลงจนมีผู้กล่าวว่ามันคือ ยุคมืดที่แท้จริง...
ทว่า ในอีก 30 ปีต่อมา โลกยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกและความทันสมัยที่กลายเป็นของคนเพียงกลุ่มหนึ่ง นามว่า กลุ่มผู้นำโลก เหล่าผู้หิวโหยด้อยโอกาสมีมากขึ้น ต้องมีใครสักคน ยุติสิ่งเหล่านี้ ใครที่จะเปิดโปงและช่วยเหลือ ใครสักคนที่ยอมเสียสละเพื่อคนอื่นๆ
ใครสักคน...
บทนำ
โซน SE… ตอนเหนือ
แสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นจากหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือของหญิงสาวในชุดสีดำสนิทที่กำลังใช้ไขควงอัตโนมัติขนาดเล็กเท่าด้ามปากกาไขแผงปุ่มกดของตู้เซฟออก แล้วค่อยๆ ต่อเครื่องมือถอดรหัสรูปทรงสี่เหลี่ยมเข้ากับแผงวงจรของตู้เซฟ ก่อนจะเหลือบมองมาที่ตัวเลขที่โชว์อยู่บนหน้าปัดนาฬิกา พลางทำเสียงจิจ๊ะในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนสองนาทีแล้วนั่นหมายความว่าเธอทำงานช้ากว่าที่กำหนดไว้ไปสองนาที ที่จริงเลขสองอาจเป็นค่าความคลาดเคลื่อนที่คนปกติทั่วไปรับได้ แต่สำหรับคนที่กำลังปล้นบ้านเศรษฐีระดับนายพลอยู่นั้นอาจจะต้องคิดหนัก
ทันทีที่ตัวเลขสี่หลักบนหน้าจอเครื่องถอดรหัสหยุดลงประตูตู้เซฟก็เด้งออกมาเองแบบอัตโนมัติ โจรสาวเผยยิ้มตรงมุมปากด้วยความพอใจ ทองคำแท่งและธนบัตรถูกกวาดออกมายัดลงกระเป๋าจนเกลี้ยงตู้เซฟ
น่าจะล้านกว่าคอล์ยได้... (เชิงอรรถ : คอล์ยเป็นสกุลเงินใหม่ที่ใช้กันทั่วโลกในเวลานั้นตามเนื้อเรื่อง)
เธอรีบหันไปปีนกลับออกทางหน้าต่างแล้วกระโดดลงพื้นด้านล่างอย่างชำนาญ ไม่มีอาการทรุดหรือเซจากแรงโน้มถ่วงเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ลงจากความสูงเกือบเจ็ดเมตร
ทันใดนั้น หญิงสาวได้ยินเสียงประตูห้องเซฟก็ถูกเปิดออก พร้อมๆ กับมีร่างชายวัยประมาณห้าสิบกว่า ผมหงอกเกือบทั้งหัวยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าตกอกตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเสียท่าถูกโจรปล้นซะแล้ว
“เฮ้ย! ขโมย! ขโมย! การ์ด...การ์ด...”
ชายร่างท้วมคนนั้นร้องเสียงลั่นซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบก่อนจะวิ่งไปกดกริ่งเพื่อให้สัญญาณกันขโมยดังทั่วบ้าน ท่าทางตื่นตะลึงที่กล้องวงจรปิดและคนที่เขาจ้างมาดูแลบ้านไม่มีใครเห็นโจรรายนี้เลยสักนิด
บรรดาบอดี้การ์ดทั้งหลายรู้แล้วว่ามีคนบุกเข้ามา ร่างสูงโปร่งก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งก่อนจะพรางตัวในจุดที่เงาต้นไม้ตกกระทบเพื่อให้มองเห็นยากขึ้น
ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก...
เมื่อเห็นว่าความวุ่นวายยังอยู่ในบ้าน โจรสาวก็รีบวิ่งไปด้านหลังบ้านพลางหาทางหนี แต่พอจะปีนข้ามกำแพงพ้น พวกบอดี้การ์ดก็ดันได้ยินเสียงเข้าแล้วกรูกันมายืนอยู่ที่กำแพง มองเห็นหลังโจรกระโดดออกไปอย่างว่องไว ทั้งที่บนกำแพงมีเหล็กดัดรูปทรงปลายแหลมเรียงรายไปทั่ว เธอกลับหลบมันได้อย่างชำนาญ
“จัดได้” หญิงสาวพูดลอย ทว่าคำพูดของเธอทำให้เสียงสัญญาณกันขโมยหวีดร้องแหลมสูงทั้งบ้าน ระบบรักษาความปลอดภัยกลับมาอีกครั้ง ยิ่งทำให้เจ้าของบ้านอย่างนายพลอีวานอฟ ทั้งคลั่งทั้งเสียหน้า
“ไปจับมันมาสิ ยืนบื้ออยู่ได้” เจ้าของบ้านแหกปากคอแทบแตกพลางกดปิดสวิตซ์เสียงแต่เหมือนมันไม่ได้ผล เขาประสาทจะแตก โบกมือไล่คนที่เข้ามาช่วย ทำเอาพวกที่รอคอยคำสั่งกระโดดข้ามกำแพงกันให้จ้าละหวั่น เห็นดังนั้นคนออกคำสั่งถึงกับยืนกุมขมับแน่นเหมือนคนจะเป็นบ้าก่อนจะสบถออกอย่างเหลือ
“โธ่โว้ย! ไอ้พวกโง่ ข้างๆ ก็มีประตูก็ไม่เปิดออกไป ฮึ้ย!” ร่างท้วมแทบอยากจะเอาหัวโขกพื้นแรงๆ แก้เครียดที่เสียเงินตั้งแพงเพื่อจ้างคนแบบนี้มาเป็นบอดี้การ์ด
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงตะโกนไล่หลังโจรสาวมาติดๆ
ตลกดีพวกนี้
เธอนึก... บอดี้การ์ดพวกนี้ช่างไร้หัวคิด คิดว่าการตะโกนสั่งมาแบบนั้นแล้วฉันจะหยุดรึยังไง ตลกสิ้นดี...
ตามมาเลยพวกป็อปปี้ด็อก ถ้าจับฉันได้ปุ๊บ ได้กระดูกไปแทะเป็นรางวัลปั๊บไงล่ะ
นักโจรกรรมสาวยิ้มกริ่มพลางกวดเท้าจ้ำอ้าวอย่างรวดเร็ว เธอรู้ดีว่าบ้านระดับนี้ย่อมจะต้องมีการ์ดและระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม แต่เอาเข้าจริงท่าทางนายพลเจ้าของบ้านจะงกไปหน่อยระบบป้องกันทุกอย่างจึงดูอ่อนแอไปหมด หนึ่งในนั้นทำเป็นหัวหมอวิ่งอ้อมไปดักที่ถนนด้านหน้า พอเธอเลี้ยวมากำลังจะออกจากโซนหมู่บ้านได้ เจ้าบอดี้การ์ดคนนั้นก็กระโจนออกมาจากความมืดตั้งใจจะจับเธอไว้ให้อยู่หมัด
ควับ…
หญิงสาวในชุดสีดำสนิทก้มตัวหลบมือของเขาได้อย่างหวุดหวิดแล้วกลิ้งตัวออกไปอีกทาง ก่อนที่เธอจะดึงมีดพกอันเล็กออกมา แล้วปาใส่ที่น่องของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำจนชายคนนั้นล้มลงไปนอนร้องโอดโอย พอได้จังหวะเธอก็รีบวิ่งต่อไปยังจุดหมาย ความที่หญิงสาวมีรูปร่างปราดเปรียวบวกกับชุดดำสนิทแฝงตัวในความมืดทำให้พวกบอดี้การ์ดคลาดสายตาไปในที่สุด ยิ่งในสภาวะที่พลังงานไม่ได้มีเหลือใช้ สองข้างทางจึงมีแสงสลัวๆ รถรายามกลางคืนมีน้อย ความเงียบทำให้เธอได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองชัดเจน จนในที่สุดเสียงคนที่ตามมาก็ค่อยๆ ลดความดังลงและไกลออกไป
เฮ้อ...
แม้เธอจะถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่นักโจรกรรมสาวยังคงวิ่งอย่างรวดเร็วผ่านอาคารพาณิชย์ที่เรียงกันเป็นทิวแถวก่อนจะถึงถนนใหญ่ ร้านค้าแต่ละร้านปิดเรียบร้อยเหลือเพียงแสงไฟด้านหน้าที่เปิดอยู่เฉพาะพวกร้านหรูๆ เธอวิ่งจนจวนถึงที่หมาย นึกไปว่ากำลังจะพ้นจากพวกคนที่ตามมาได้แล้ว
แต่ทว่าพอหันไปบอดี้การ์ดคนหนึ่งยังวิ่งตามเธอจนเจอตัว ร่างบางเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ตามมาอย่างไม่ลดละ
จะอะไรกับฉันนักหนาเนี่ย... สมเป็นสุนัขรับใช้จริงๆ
เมื่อถึงทางแยกโจรสาวก็วิ่งเลี้ยวซ้าย เจ้าบอดี้การ์ดหนุ่มเห็นด้านหลังของขโมยไหวๆ เขาจึงวิ่งตามอย่างไม่ลังเล มั่นใจว่าตัวเองต้องได้ผลงานแน่ๆ จึงไม่ทันระวังตัวรีบเลี้ยวตาม
ฉึก...!
บางอย่างแทงเข้ามาที่อกบอดี้การ์ดคนนั้นในทันทีที่เขาพ้นทางเลี้ยว เขาไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนอะไร จู่ๆ สติก็ดับวูบ ล้มลงกับพื้นถนนอย่างไร้เรี่ยวแรง..
เมื่อเห็นว่าปืนยาสลบที่ยิงระยะประชิดทำงานอย่างได้ผล นักโจรกรรมสาวก็ยิ้มน้อยๆ ด้วยความสะใจก่อนจะรีบไต่กำแพงเหล็กด้านสุดสูงกว่าสี่เมตรออกไปเพื่อเจอกับรถที่จอดรอรับเธออยู่ตรงถนนเส้นหลัก
ร่างของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะคนขับ
“ช้ากว่าที่คิดนะ” เสียงนั้นพูดขึ้น ร่างบางมองหน้าแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“แค่สามนาทีทำเป็นบ่นไปได้ เอาล่ะ ทีนี้ก็เรียบร้อย...”
หญิงสาวบอกสั้นๆ แล้วโยนของที่ได้ไว้เบาะหลังรถสปอร์ตสีดำสนิท ก่อนจะนั่งรถคันนั้นออกสู่ไฮเวย์ มุ่งตรงไปยังจุดหมายที่ไม่มีใครรู้
...............................
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ร่างท้วมของพลเอกอีวานอฟก็สั่นเทาด้วยความโมโหอีกครั้ง
“พวกแกมันไม่ได้เรื่อง!!!”
เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นบอดี้การ์ดเจ็ดชีวิตวิ่งกลับมามือเปล่าแถมยังมีทั้งคนบาดเจ็บและสลบไสลไม่ได้สติ ทั้งที่คนบุกรุกนั้นเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว
“โจรกระจอกตัวเดียวยังจับมันไม่ได้ หรืออยากไปเป็นขอทานในสลัมกันเหมือนเดิมเฮอะ”
บรรดาชายฉกรรจ์หน้าซีด ความอัปยศที่รู้ว่าตัวเองยกโขยงกันไปจับโจรสาวคนเดียวไม่ได้ ทำให้ไม่มีคำโต้แย้งใดๆ
“ท่านคะ” เสียงแม่บ้านประจำคฤหาสน์ดังขึ้น นายพลวัยเกษียณหันกลับไปมองด้วยความหงุดหงิด เวลาแบบนี้เขาต้องการระบายความแค้นมากกว่าให้ใครมาขัดจังหวะ
“นี่ตกอยู่ในห้องทำงานค่ะท่าน” หญิงวัยกลางคนหยิบบางสิ่งออกมาจากข้างตู้เซฟ เธอไม่เคยเห็นมันมาเลยก่อนหน้านี้ จึงแน่ใจว่าเจ้าของบ้านต้องอยากเห็นเป็นแน่
และเป็นจริงดังที่เธอคิด... เจ้าสิ่งที่อยู่ในมือทำเอานายพลถึงกับตาค้างๆ สีหน้าตื่นตะลึง!!!
ขนนกสีเพลิง...
“ตามตัวผู้พันเจมส์มาหาฉันเดี๋ยวนี้!!!” นายพลสั่งเสียงกราดเกรี้ยว นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้เห็นเจ้าสิ่งนี้ด้วยตาตัวเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ