เล่ห์ร้าย...หัวใจพลอยโจน
1) บทที่ จุดเริ่มต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1 จุดเริ่มต้น
หนึ่งเดือนก่อน ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐนิวยอร์ก
“นิกกี้มีน้องสาวหรือคะแม่”
พิมพ์ชนกแสดงความตกใจระคนดีใจเมื่อมาลินีตัดสินใจเอ่ยถึงลูกสาวอีกคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันตลอด 20 ปี เธอรับรู้แค่ว่าพ่อแท้ๆของเธออยู่ประเทศไทยแต่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเธอมีน้องสาวอยู่อีกคน
“หลายปีที่ผ่านมาพ่อกับน้องอยู่ที่เมืองไทยตลอด ถ้านิกกี้ไม่เจอจดหมายที่แม่ซ่อนไว้ที่หัวเตียงแม่ก็คงไม่บอกความจริงกับนิกกี้ใช่ไหมคะ” เสียงตัดพ้อของลูกสาวคนโตถามขึ้น จนมาลินีทอดถอนใจย้อนนึกไปถึงวันที่เธอหอบลูกสาวคนโตวัย 4 ขวบมาอยู่ที่อเมริกาหลังจากหย่าขาดจากปรัตถ์ เธอตัดสินใจเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ ขึ้นมา การที่เธอไม่บอกความจริงส่วนหนึ่งก็เพราะนิสัยของลูกสาวที่ใจร้อนวู่วามและแสนดื้อรั้นเหมือนพ่อที่ให้กำเนิดมาไม่ผิดเพี้ยนทำให้เธอปิดบังพิมพ์ชนกด้วยกลัวว่าลูกสาวจะทิ้งแม่ไปอยู่กับพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเอง
“แม่ แม่คะ” เสียงเรียกของพิมพ์ชนกดังขึ้นทำให้มาลินีหลุดออกจากความคิด
“นิกกี้อยากรู้ ทำไมแม่ต้องปิดบังเอาไว้ด้วย” มาลินีก้มหน้าลงเพื่อเลี่ยงสายตาคาดคั้นของลูกสาวที่จ้องตาไม่กระพริบรอคอยคำตอบ
“แม่แค่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีอดีต ทุกวันนี้เราก็มีความสุขกันดีไม่ใช่หรือนิกกี้” มาลินีกล่าวโดยไม่มองหน้าลูกสาวที่รู้สึกผิดหวังกับคำตอบ แม่ไม่รู้หรือไงว่าอดีตที่ว่าคือครึ่งในชีวิตของเธอ
“แต่ตอนนี้นิกกี้รู้แล้ว น้องของนิกกี้ชื่อว่าอะไรคะนิกกี้อยากรู้” พิมพ์ชนกทวงถามเสียงสั่นเธอรู้สึกโกรธที่มารดาทำเหมือนกับเธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่สามารถปิดหูปิดตาจากความจริงทั้งหมด
“พิมพ์มาดา สุริยวงศ์ นั่นชื่อของน้องสาวลูก” พร้อมยื่นรูปถ่ายขนาด 4x6 ส่งให้ลูกสาวคนโตที่ยื่นมือมารับไว้ก่อนจะเบิกตากว้างส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ
“นี่มัน...รูปนิกกี้นี่ค่ะแม่” พิมพ์ชนกแปลกใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นผู้หญิงในรูปถ่ายหน้าตาเหมือนเธออย่างกับคนเดียวกันต่างกันก็แค่คนในรูปดูน่ารักอ่อนหวานผิดกับเธอที่มั่นใจปราดเปรียว
“พิมพ์มาดาคือน้องสาวฝาแฝดของลูก” มาลินีเฉลยออกมาเมื่อเห็นแววตาสงสัยของลูกสาว พิมพ์ชนกส่งยิ้มกว้างให้มาลินีเธอรู้สึกดีใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่รู้ว่ามีน้องสาวแถมน้องสาวคนนี้ยังเป็นฝาแฝดที่คลานตามกันออกมาอีกด้วยความรู้สึกอยากเจอเพิ่มพูนขึ้นเต็มหัวใจ
“นิกกี้ขอไปพบน้องกับพ่อที่เมืองไทยได้ไหมคะ” พิมพ์ชนกตัดสินใจเอ่ยขอมารดาที่มองกลับมาอย่างตกใจ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอขอจะไปเมืองไทย แต่ทุกครั้งที่ขอมารดาของเธอจะหาเหตุผลต่างๆนาๆ มารั้งไม่ให้เธอไปได้ทุกที
...แต่ต้องไม่ใช่ครั้งนี้ เสียงเล็กๆ ดังขึ้นในใจพิมพ์ชนกแม้จะไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากมารดาก็ตาม
“พักนี้แม่รู้สึกไม่ค่อยสบายแม่ว่านิกกี้อย่าเพิ่งคิดจะไปไหนเลยนะจ๊ะ” มารดาของเธอกล่าวจบก็รีบลุกเดินจากไปเพื่อหลีกเลี่ยงการสนทนาที่อาจทำให้เธอพลาดพลั้งด้วยสายตาอ้อนวอนของลูกสาว โดยไม่ลืมที่จะเก็บจดหมายทั้งหมดออกไปด้วย พิมพ์ชนกเฝ้ามองมารดาที่เดินพ้นประตูห้องนอนส่วนตัวของเธอจนลับตาแล้ว ก็ล้วงหยิบซองสีขาวขุ่นที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวเองออกมา มันคือจดหมายที่เธอแอบหยิบมาจากกองจดหมายทั้งหมดก่อนที่จะถูกมารดาเก็บไปซ่อนเพื่อให้พ้นสายตาเธออีกครั้ง
“ขอโทษนะค่ะแม่แต่นิกกี้จำเป็นต้องไปประเทศไทย” พิมพ์ชนกยิ้มออกมาเมื่อเห็นจุดหมายอยู่ร่ำไรบนหน้าซองจดหมายสีขาวขุ่น
ผ่านมา 3 สัปดาห์ที่รู้ความจริงจากมารดาพิมพ์ชนกก็เฝ้าวางแผนที่จะมาประเทศไทยถ้าเธอมาคนเดียวมารดาเธอคงจะสงสัยเป็นแน่ เธอจึงตัดสินใจใช้ ลูคัส แพททินสัน ลูกชายของป้าแอนนาหุ้นส่วนร้านอาหารของมารดาเธอ มาเป็นข้ออ้าง ถือว่าเป็นโชคดีก็ว่าได้เพราะ ลูคัส มีงานถ่ายภาพที่ต้องบินไปปารีสพอดีเธอจึงขอตามไปด้วยโดยให้เหตุผลว่าจะไปศึกษาแฟชั่นที่ปารีส เพื่อเป็นไอเดียออกแบบเสื้อผ้าซีชั่นฤดูหนาวที่เธอตั้งใจส่งเข้าประกวดเป็นดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ มารดาเธอถึงยอมให้ไปแต่โดยดี
ประเทศไทย ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
“รู้ทางหรือไงแม่คุณเดินอย่างกับคนเคยมา ถ้าหลงจะหัวเราะให้ดังลั่นเลยคอยดู” เสียงตะโกนดังขึ้นจากหนุ่มชาวอเมริกันคิ้วสีน้ำตาลเข้มจมูกโด่งใบหน้าคมสันตาสีเขียวทอประกายเมื่อเห็นเพื่อนสาวในชุดเสื้อโค้ทสีแดงเดินนำออกไปโดยไม่รอเขาที่มีประสบการณ์เคยมาที่นี่มาก่อน
“ไม่รู้แต่ก็ไม่ได้โง่นี่ ฉันคิดผิดจริงๆที่พานายมาด้วยขืนชักช้าจะทิ้งไว้ที่นี่แหละ” สาวโค้ทแดงหันมาเถียงหนุ่มอเมริกันที่หน้าบึ้งตึงจากคำพูดของเธอ
“ใครทิ้งใครกันแน่ อย่าลืมนะว่าเธอเป็นคนขอร้องให้ฉันมาด้วย ไอ้เราก็อุตส่าห์เสียงานเสียการมาเป็นเพื่อนไม่เห็นความดีเอาซะเลยนะยัยเนรคุณ” คนเนรคุณชะงักกึก หันมายิ้มเสียงหวานแต่สายตาอาบยาพิษ
“จ้า จ้า ขอโทษด้วยนะเพื่อนสุดที่เลิฟขอบคุณนะที่ช่วย แต่จะขอบคุณมากถ้านายจะย้ายก้นไปจากตรงนี้ได้แล้ว” ว่าแล้วก็สะบัดเดินเชิดจากไป
“อ้าว เฮ้ย! รอเดียวซิฉันไม่ได้เดินตัวปลิวเหมือนเธอนี่ ยัยนิกกี้” เขาร้อนรนลากกระเป๋าเดินทางสองใบตามหญิงสาวที่เดินลิ่วไปไกลแล้ว
หลังจากที่ขนกระเป๋าเดินทางลงในท้ายรถแท็กซี่ ลูคัสก็บอกจุดหมายที่ต้องการไปกับคนขับด้วยภาษาไทยที่ค่อนข้างชัดเจนเพราะได้อาจารย์ดีอย่างมารดาเธอที่สอนสั่ง ก่อนที่แท็กซี่จะนำเราฝ่าจราจรรถติดที่แสนน่าเบื่อในกรุงเทพฯ มาจอดหน้าโรงแรมเมอร์เรียลด้าที่ลูคัสบอกว่าดีเพราะเคยมาใช้บริการ เขาเดินนำเข้าไปข้างในที่ตกแต่งสไตล์ไทยโมเดิล อบอวลด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นและสดชื่นด้วยดอกกล้วยไม้ที่นำมาประดับประดา สั่งให้เธอยืนรออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม ส่วนเขาเดินตรงไปหาพนักงานต้อนรับในชุดฟอร์มสีชมพูเพื่อเช็คอินห้องพักที่อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ไม่นานนักร่างสูงก็เดินตรงมาหาเธอพร้อมส่งคีย์การ์ดห้องพักแบบเตียงคู่ พิมพ์ชนกสนิทกับลูคัสมากเธอจึงไม่เคอะเขินกับการอยู่ห้องเดียวกับเขาที่เล่นหัวกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเธอคงไม่ยอม อีกอย่างก็เป็นการเซพค่าใช้จ่ายไปในตัวด้วย
ลูคัสทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนข้างระเบียง ในขณะที่พิมพ์ชนกนั่งอยู่บนโซฟายาวปลายเตียงเขา สายตาเธอจ้องมองดูที่อยู่บนจดหมายสีขาวขุ่นด้วยความรู้สึกที่มากมายเธอกำลังจะได้พบหน้า “พ่อ” และ “น้อง” ลูคัสเหมือนจะรู้เขาพลิกตัวนอนตะแครงถามออกมา
“ตื่นเต้นเหรอ ที่จะได้เจอหน้าครอบครัวอ่ะ”
“อืม และก็กลัวอย่างบอกไม่ถูก กลัวพวกเขาจะไม่ยินดีที่เห็นหน้าฉันยืนอยู่หน้าบ้าน” เธอก้มหน้ามองจดหมายในมือ หนุ่มตาน้ำข้าวเหมือนจะขัดใจอาการของเพื่อนสาว ลุกขึ้นจากเตียงมาแย่งจดหมายในมือเธอออกมาอ่านดังๆ
Pimmada Suriyawong
910/8 Sukhumvit Road, Klongtoey,
Bangkok 10110 Thailand
“ที่อยู่พร้อม คนพร้อม จะกลัวอะไร อย่าทำให้ฉันต้องบินมาเสียเที่ยวเพราะความใจฝ่อของเธอเลยนะนิกกี้” เสียงเย้าแหย่ของเพื่อนชายคนสนิทปลุกใจที่กำลังห่อเหี่ยวของเธอให้กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง ใช่ เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อล้มเหลว แต่ต้องได้ความสำเร็จกลับไปด้วยต่างหาก
“ฉันไม่พานายมาเสียเที่ยวแน่ การมาประเทศไทยครั้งนี้ฉันจะต้องได้เจอพ่อกับน้อง” แววตามุ่งมั่นของเธอ ทำให้ลูคัสยิ้มออกที่เห็นพิมพ์ชนกคนเดิมกลับมา
“จะเริ่มหากันเลยไหมคุณผู้หญิง” ลูคัสยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนสาวที่ยิ้มตอบกลับมา
ในขณะที่พิมพ์ชนกกับลูคัสกำลังออกตามหาครอบครัวของอยู่นั้น อีกด้านหนึ่งพิมพ์มาดากำลังคุยโทรศัพท์สายสำคัญด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“พรุ่งนี้เที่ยงเจอกันค่ะ ดาจะทำกลีบลำดวนไปให้พี่พอร์ทลองชิมดูด้วยนะคะ คะ สวัสดีคะ” หญิงสาวอมยิ้มสุขใจ วางโทรศัพท์มือถือไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงแล้วหยิบกรอบรูปลายหัวใจสีชมพูที่วางอยู่ตรงนั้นขึ้นมาแทน มันป็นภาพชายหนุ่มหน้าตาคมสันคิ้วหนาเข้มปากเรียวเป็นกระจั๊บสีแดงระเรื่อส่งยิ้มน้อยๆ ยืนคู่กันในชุดครุยที่ถ่ายวันรับปริญญาของเธอเอง ก่อนจะบรรจงริมฝีปากเรียวสวยจุมพิตไปบนใบหน้าของชายในภาพถ่ายแผ่วเบา
“พรุ่งนี้เจอกันค่ะ พี่พอร์ท หวังว่าพี่คงมีคำตอบให้ดานะค่ะ” หญิงสาวนึกย้อนไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่เธอตัดสินเก็บความอายลงในลิ้นชักสารภาพรักกับชายหนุ่มในรูป เขารับฟังเธอนิ่งเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเพียงแค่รับฟังและส่งยิ้มเล็กน้อยกลับมา แค่นั้นก็จุดประกายความหวังในตัวเธอให้ลุกโชนขึ้นมา
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานับตั้งแต่พิมพ์มาดาสารภาพรักกับชายหนุ่ม เขาไม่ได้ติดต่อกลับมาเลยจนกระทั่งวันนี้วันที่เธอรอคอยหลังจากนั่งไม่ติดมาทั้งอาทิตย์เพราะรอโทรศัพท์จากเขา ชายหนุ่มเป็นฝ่ายโทรมาชวนเธอออกไปทานข้าวเที่ยง หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าคำตอบที่เธอรอคอยคงมาพร้อมมื้อเที่ยงในวันพรุ่งนี้
ผ่านมาสามวันกับการค้นหาที่ไร้ค่าของพิมพ์ชนกกับความจริงที่ว่าที่อยู่บนหน้าซองจดหมายที่หยิบมานั้นเป็นที่อยู่เก่าของปรัตถ์บิดาของเธอเมื่อ 2 ปีก่อน ปัจจุบันเพื่อนบ้านที่เธอไปถามก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อกับน้องเธอย้ายไปอยู่ที่ไหน หญิงสาวเองก็เริ่มถอดใจจึงคิดที่จะกลับนิวยอร์ก คนที่ดีใจที่สุดคงไม่พ้นลูคัส
“ถือว่าเป็นบทเรียนล่ะกัน จดหมายมีตั้งเยอะดันมือซวยหยิบฉบับไดโนเสาร์มาซะงั้น” เขากล่าวปลอบใจเพื่อนสาวที่หน้างออย่างอารมณ์ดีระหว่างจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางสีดำของตัวเอง
“เพราะนายนั่นแหละ ไม่ตั้งใจช่วยหาดีๆ นิกกี้เลยมาเสียเที่ยวเลย” เธอบ่นกระปอดกระแปด มองค้อนเพื่อนชายที่อารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้
“อ้าวมาโทษฉันได้ไง เธอเองต่างหากหยิบจดหมายมาไม่ยอมดูวันที่ให้ดีแล้วยังพาลไม่เข้าเรื่อง” เขายอกย้อนเสียงยียวนจนถูกพิมพ์ชนกทุบเข้าที่ต้นแขน
“โอ๊ยย เจ็บนะ เอะอะเป็นใช้กำลังนะยัยนิกกี้” พลางปัดป้องเมื่ออีกฝ่ายยังทุบไม่เลิก
วันรุ่งขึ้นหลังจากรับประทานอาหารเช้าง่ายๆ กาแฟดำกับขนมปังทาแยมตามความเคยชินเสร็จแล้ว ลูคัสก็ขนสัมภาระลงมาเพื่อเตรียมตัวไปสนามบินเพราะตั๋วเครื่องบินที่เขาจองไว้บินตอนเที่ยงตรงของวันนี้
ลูคัสทิ้งให้พิมพ์ชนกเฝ้าสัมภาระ ส่วนตัวเขาก็ไปเช็คเอาท์ห้องพัก พิมพ์ชนกยืนมองอะไรเพลินๆ พลันสายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงโป่รงใบหน้าหล่อเข้มเดินเร็วๆ ตรงมาที่เธอยืนอยู่ ร่างบางหันรีหันขวางตรงจุดที่เธออยู่เพราะคิดว่าคงมีใครที่เขารู้จักยืนอยู่ข้างหลังเธอ แต่กลับพบว่ามันว่างเปล่าปราศจากผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ในขณะที่ร่างสูงยังคงจ้องมองและตรงดิ่งมาหาเธอ ไม่ทันได้ตั้งตัวชายคนดังกล่าวก็มาถึงตัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรีบกับเธอที่ตอนนี้ยืนงงงวยมองเขางงๆ
“พี่ยังไม่มีเวลาอธิบายให้ฟัง ช่วยมากับพี่ก่อนนะครับ” ว่าแล้วมือหนาของเขาก็จับมือบางอย่างถือวิสาสะ
“นี่คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ” พิมพ์ชนกโวยกลับไปเบาๆ พร้อมบิดข้อมือตัวเองที่ถูกเขาจับไว้อยู่
“ทำอะไรนะตาพอร์ท” เสียงทรงอำนาจของหญิงวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสีแดงเพลิงแผดเสียงออกมาทั้งที่ยังหอบ เนื่องจากการไล่ตามชายหนุ่มขายาวคนนี้มา พิมพ์ชนกมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างมึนงงหญิงสูงวัยขี้โมโหไม่ได้มาคนเดียวเพราะไม่นานจากนักพิมพ์ชนกก็เห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักเดินตามมาหยุดข้างๆ กัน เธอมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักคนพวกนี้เลยสักคน ... ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย !!!
“พี่พอร์ทผู้หญิงคนนี้ใครค่ะ” สาวน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ ตาโตคู่สวยจ้องมองเป็นคำถามมาที่เธอกับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเธอสักที ทั้งๆ ที่เธอพยายามสลัดมือเขาออกแต่ยิ่งสะบัดเหมือนกับจะยิ่งกระชับฝ่ามือหนาให้เกาะกุมมือน้อยๆ แน่นขึ้นไปอีกจนเธอแอบนึกเคือง
“ฉันต่างหากที่อยากถามว่าพวกคุณเป็นใคร” พิมพ์ชนกยอกย้อนกลับไปเสียงดังก่อนมองบุคคลทั้งสามอย่างงวยงงและโมโห ชายแปลกหน้าที่กุมมือเธอไว้เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัย
“ปล่อยมือจากลูกชายฉันนะยะหล่อน” สายตาจิกขวางกับเสียงแว๊ดๆ ของสาววัยกลางคนดังขึ้นกว่าเดิม ป้าคนนี้มองไม่ออกหรือไงว่าใครจับมือใครกันแน่ เธอคิดแล้วพยายามสะบัดมือน้อยให้หลุดจากการเกาะกุมของชายแปลกหน้าที่ยืนขนาบข้างกายเธออยู่ จ้องมองเขาถลึงตาใส่แต่มือเจ้ากรรมก็ยังถูกเขาจับไว้ไม่ปล่อย
“ไหนๆ ก็มากันพร้อมหน้า ผมมีข่าวดีที่ตั้งใจจะบอกคุณแม่ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าที่ขรึมลงไป
“ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ผมจะแต่งงานด้วยครับคุณแม่” เขาประกาศเสียงหนักแน่น ทำให้สามสาวอุทานขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“แต่งงาน!!!”
พิมพ์ชนกตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินมองร่างสูงข้างๆ อย่างตกใจ แต่คงไม่ตกใจมากเท่าสองสาวต่างวัยที่แสดงออกมาต่างกัน โดยคนอายุมากกว่ายืนเต้นเร่าๆ อย่างขัดใจ ส่วนคนอายุน้อยกว่าตรงรี่มาที่ชายหนุ่มแล้วฟาดฝ่ามือเรียวสวยบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาให้หันไปตามแรงตบของคนตรงหน้า
เผียะ !!
“มิ้งผิดหวังในตัวพี่จริงๆ” สาวสวยต่อว่าเขาพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่งาม ก่อนที่ร่างบางระหงจะหมุนตัวเดินจากไป หญิงสาวสูงวัยรีบร้องเรียกด้วยความร้อนใจ
“หนูมิ้งลูกรอป้าด้วย” หันขวับมาค้อนลูกชายตัวดีที่ยังยืนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้
“ตาพอร์ทแม่จะพาหนูมิ้งขึ้นไปรอข้างบน และต้องการฟังคำอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด” ส่งเสียงสั่งลูกชายกลายๆ ก่อนจะตวัดสายตาจ้องมองเหยียดมาที่พิมพ์ชนก จนเธอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตงิดๆ
“นี่ป้ามาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนสิ ฉันไม่รู้เรื่องเลยนะ” พิมพ์ชนกตะโกนไล่หลังคุณนายชุดแดงเพลิงที่เดินลิ่วออกไปอย่างโมโห ป้าคนนี้มีสิทธิ์อะไรใช้สายตามองเธอแบบนี้ เงยหน้ามองชายแปลกหน้าอย่างเคืองๆ ชายคนดังกล่าวก็ออกจะฉงนสนเท่ห์กับท่าทางเธอไม่น้อย
“มองทำไม มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” เธอตวาดออกมา ทำให้ชายหนุ่มตกใจกับเสียงก้าวร้าวของผู้หญิงตรงหน้า
“พี่ต้องขอโทษน้องดาด้วยนะครับ กับเรื่องราวเมื่อสักครู่นี้ คงจะตกใจมากใช่ไหม” เสียงสุภาพเอ่ยถามด้วยความเข้าใจว่าเธอคงไม่พอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้จึงแสดงอาการออกมาแบบนี้
“นี่คุณ...” พิมพ์ชนกอ้าปากค้างจากที่ตั้งใจจะต่อว่าเขา นิ่งไปทันทีไม่ใช่เพราะคำขอโทษจากชายคนนี้แต่เพราะสรรพานามที่เขาเรียกแทนตัวเธอต่างหาก “น้องดา”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ