วิวาห์ลวงสีรุ้ง

8.0

เขียนโดย ทิพกฤตา

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 22.45 น.

  2 บท
  1 วิจารณ์
  6,667 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1 ชีวิตเปลี่ยน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

http://www.keedkean.com

บทที่ 1 ชีวิตเปลี่ยน

 

          มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ ผ่านพ้นไปได้ท่ามกลางความโล่งอกของพ่อค้าแม่ขายที่หวังออกมาทำมาหากินกันตามปกติ หลังจากต้องหยุดพักยาวมานานเกือบ 3 เดือน ใครที่พอมีฐานะก็ยังพอถูๆ ไถๆ ใช้เงินเก่าเก็บประทังชีวิตพออยู่รอด แต่บางคนที่เงินเก่าเก็บแทบไม่มีให้เห็นติดก้นกระปุกถึงกับแทบกระโดดน้ำเน่าตายเพราะหนี้สินที่ท่วมหัวพะรุงพะรังยาวเป็นหางว่าว พนักงานที่กินเงินเดือนบางรายถึงกับเศร้าสลดเมื่อบางบริษัทหน้าเลือดซ้ำเติมความเดือดร้อนหาเหตุไล่ออกจากงานที่ทำอยู่เพราะว่าไม่สามารถมาทำงานได้ตามเวลาที่บริษัทกำหนด หนึ่งในนั้นคือ ธัญสินี พากระโทก สาวสวยลูกครึ่งสายเลือดอีสาน อดีตพนักงานขายบริษัท ไทยโชคอุดมทรัพย์ จำกัด ที่จำหน่ายอะไหล่รถยนต์ เจ้าของใจจืดใจดำ ไม่ยอมฟังข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้หญิงสาวหน้าสวยถึงกับสลด เดินคอตกออกมาจากอาคารพาณิชย์จำนวนสี่ชั้น วันนี้เป็นวันแรกที่เธอกลับมาทำงานหลังน้ำลด ไม่นึกเลยว่าเฮียเต็กเฮง เจ้าของบริษัทจะไร้ความเมตตากับสาวน้อยวัย 27 ปีอย่างเธอได้ลงคอ คิดแล้วก็เศร้า

          “กรี๊ดดดดด แล้วฉันจะเอาอะไรกินละทีนี่ ไอ้เฮียหัวเหม่ง ขอให้บริษัทแกเจ๊ง ขอให้เมียแกมีชู้ ขอให้ครั้งหน้าน้องน้ำซัดบ้านแกให้กระจุยกระจาย ขอให้...” ธัญสินีถอยร่นออกมาจากหน้าประตูเมื่อเห็นเจ้าของบริษัทร่างท้วมเดินออกมาพร้อมการ์ดชายสองคน สายตาเล็กหยีวาววับดูน่ากลัว

          “ปากลื้อนี่มัน เฉาฉุ่ยจริงๆ สมควรแล้วที่อายุปูนนี้ยังไม่มีใครมาขอ ออกไปจากหน้าร้านอั้วนะ หรือต้องให้ไอ้ยิ่งกับไอ้ยมมันโยนลื้อออกไป เลือกเอา” ชายหนุ่มร่างกายกำยำใบหน้าโหดสองคนขยับก้าวขึ้นมาข้างหน้าข่มขวัญผู้ระรานปากเก่ง ที่ผวาถอยหลังลงมาตกขอบฟุตบาท

          “โธ่เอ๊ย ไอ้เฮียหัวงู คิดหรือว่าเมียเด็กวัยเอ๊าะของแกจะรักแกจริง ไม่รู้หรือไงว่าลับหลังแก มันเล่นชู้กับไอ้สองตัวที่ยืนอยู่ข้างแกนั่นแหละ สมน้ำหน้าไอ้หมูต้อนหน้าโง่ ฮ่าๆ” เจ้าของบริษัทวัย 42 ควันออกหูตวัดสายตาเล็กหยีมองการ์ดชายสองคนที่สะดุ้งมองหน้ากันแหย่ๆ แก้ตัวพัลวัน  

          “เฮียผมเปล่านะครับ เจ้เขาโกหก” การ์ดชายผิวเข้มพนักงานส่งของหน้าร้านถอยห่างออกมาจากรัศมีอันตรายทันใด

          “ผมก็เปล่าเฮีย ผมซื่อสัตย์กับน้องจุ๋มคนเดียว ซ้อเฮียผมไม่กล้ายุ่งหรอก” การ์ดชายร่างโย่งปฏิเสธเสียงแข็ง ธัญสินีที่ยืนฟังอยู่เห็นสายตาระแวดระวังของเฮียเต็กเฮงถึงกับหัวเราะร่า ความจริงเธอไม่ใช่สุภาพสตรีปากคอเราะร้าย แต่เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเสียอีกแล้ว จึงระบายความอัดอั้นตันใจมาตลอด 5 ปี อีก 4 เดือน กับอีก 2 วัน ออกมาจนหมด

          “ฉันลืมบอกไปว่าที่ฉันพูดมาทั้งหมด มันเป็นแค่เรื่องสมมติ แต่ก็ไม่แน่นะในอนาคตเมียแกอาจจะสวมเขาให้แกจริงๆ ก็ได้ ถ้ายังทำบาปทำกรรม เห็นคนล้มแล้วกระทืบซ้ำอย่างนี้ กรรมจะต้องตามสนองแก ไอ้เฮียหน้าเลือด” ว่าแล้วร่างงามก็หันหลังชิ่งออกไปทันที แต่จังหวะที่กำลังหมุนตัว รถปอร์เช่สีขาวเปิดประทุนก็แล่นฉิวตัดหน้าไปเส้นยาแดงผ่าแปด แม้เธอจะรอดพ้นจากการถูกชนแต่สิ่งที่รถปอร์เช่สีขาวฝากทิ้งเอาไว้นี่สิ มันน่านัก!

          “อ้ายยย จะรีบไปตายที่ไหนย่ะ ไอ้คนขับไม่มีจรรยาบรรณ” ชุดสูทกระโปรงสีครีมเปียกปอนจากน้ำที่ท่วมขัง คราบดินติดเกาะตามใบหน้าและเสื้อผ้า กองเชียร์ด้านหลังโห่ร้องดังลั่นด้วยความสะใจแกมสมน้ำหน้า

          “ฮี่ๆ ลื้อนี่มันซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ เลยน๊า ผู้หญิงอะไรปากเหม็นไม่พอยังตัวเหม็นอีกด้วย ฮี่ๆ” ร่างบางอับอายสุดจะทน ชุดสูทที่เป็นเครื่องทำมาหากินและชุดเก่งของเธอที่รอดพ้นจากน้องน้ำมาได้ มีอันต้องเปรอะเปื้อนเพราะความซวยซ้ำซากอย่างไอ้เฮียหมูตอนว่าไว้จริงๆ แต่... จริงสิ เธอยังเหลือความโชคดีอีกหนึ่งนี่น่า... สีหน้ายิ้มกริ่มแพรวพราวของสาวหน้าคมนัยน์ตากลมโตพราวพร่างเมื่อคิดถึง เอกรินทร์ สถาปนิกหนุ่มไฟแรง คนรักของเธอ หรือจะเรียกว่า ตัวโชคดี ที่ยังเหลืออยู่ น่าจะเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์อย่างนี้

          ธัญสินีเดินทางออกจากหน้าบริษัทเก่าของตัวเองแล้วตรงดิ่งกลับมายังอพาร์ทเม้นท์ที่พักอาศัยของเธอ ในซอยชุมชนแออัดย่านภาษีเจริญ รองเท้าส้นสูงสีขาวถูกถอดออกเมื่อเข้ามาถึงประตูทางเข้าโถงทางเดินส่วนกลางที่เป็นที่ตั้งของออฟฟิศขนาดย่อมของเจ้ปิ่ม เจ้าของอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้

          “ว่าไงจ๊ะ น้องไข่หวาน แหมมารยาทงามเหลือเกินนะแม่คุณ ถึงกับถอดรองเท้าเดินเลยหรือค่ะเนี่ย” ธัญสินีที่เดินค้อมตัวเลยไปนิดหน่อยหันกลับมายิ้มแห้งๆ ใส่เจ้าของอพาร์ทเม้นท์สาวใหญ่ส่วนสัดสมบูรณ์พูนสุขที่ส่งยิ้มลวงๆ มาให้เธอแต่สายตาจิกกัดเล็กๆ

          “แหมเจ้ปิ่มละก็ ไข่ก็ไม่อยากจะรบกวน ก็ช่วงนี้เจ้เครียดๆ กับการซ่อมแซมบูรณะอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ เห็นเจ้นอนสบายก็กลัวว่าเสียงส้นสูงมันจะกระเทือนฝันดีของเจ้” สาวน้อยช่างเจรจาทำตาปริบๆ น่าชัง แต่คนฟังเริ่มชังน้ำหน้า ใบหน้ายิ้มลวงๆ กลายสภาพเป็นนางมารใจยักษ์ขึ้นทันควัน

          “แล้วค่าเช่าที่ค้างเอาไว้ ตกลงน้องไข่จะจ่ายพี่เมื่อไหร่ละคะ หรือต้องให้ทบค้างไว้อีกเดือน ที่มันก็สองเดือนแล้วนะคะ ที่น้องไข่ผัดผ่อนพี่มาเนี่ย แล้วไหนวันนี้บอกจะไปทำงานเอาเงินเดือน เพิ่งจะบ่ายโมงงานเลิกแล้วหรือไงคะ อ่ะ หรือว่า โดนเถ้าแก่ไล่ออกมา ว่าไงค่ะเนี่ย” เจ้ปิ่มช่างเดาได้แม่นราวตาเห็นนัก ธัญสินียิ้มเหี่ยวลงไปเรื่อยๆ กับภาวะกดดันที่ประดังประเดเข้ามา

          “ไม่จริงหรอกค่ะเจ้ เผอิญไข่มีธุระด่วน เลยขอลากลับมาก่อน เนี่ยก็ว่าจะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปข้างนอกต่อ... ส่วนเรื่องค่าเช่า ไข่ว่าจะไปกดตังค์จากตู้ข้างนอกเข้ามาให้เจ้ ก็ดันลืมบัตรเอทีเอ็มไว้ในห้อง ไว้กลับมาจากธุระข้างนอก ไข่เอาเงินมาให้เจ้ทีเดียวเลยละกันนะคะ” อดีตพนักขายสรุปเสร็จสรรพน้ำเสียงน่าเชื่อถือ เจ้ปิ่มปรายตามองไม่ค่อยไว้ใจ ใบหน้าใสซื่อจริงใจบริสุทธิ์เกินร้อยยิ้มหวานจนแก้มปริ

          “ก็ได้ๆ แล้วอย่าลืมละ คราวนี้เจ้เอาจริงนะขอบอก ถ้าไม่อยากให้เจ้ใช้มาตราการรุนแรง น้องไข่ต้องรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเจ้รู้ไหม” ธัญสินีกลืนน้ำลายลงคอยากลำบาก เห็นทีความหวังสุดท้ายคงไม่พ้น ตัวโชคดี ที่ยังเหลืออยู่สินะ

          บรรยากาศภายในบ้านดำรงพิทักษ์ตึงเครียด เมื่อทายาทอันดับ 1 วงศกร ดำรงพิทักษ์ ย่างกรายเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงตะโกนโวกเวกร้องเรียกประมุขหญิงของบ้านเสียงดังลั่น

          “อะไรกัน นายแมน ส่งเสียงเอะอะโวยวายทำไม แกนี่นับวันจะเจ้าอารมณ์ขึ้นทุกวันแล้วรู้ตัวบ้างไหม นิสัยอย่างนี้ผู้ชายเขาไม่ทำกันหรอกนะ เพราะมันเป็นนิสัยของผู้หญิง หรือแกเป็นละ” น้ำเสียงเหน็บแหนมประชดประชัน ทอดมองหลานชายที่แต่งกายสีสันจัดจ้านเสื้อเหลืองกางเกงขาเดฟสีแดงยิ่งขัดลูกนัยน์ตายิ่งนัก คุณหญิงวริศราก้าวลงบันไดเดินไปนั่งบนโซฟาสีทองอร่ามที่ตั้งไว้กลางโถงบ้าน มองขรึมมาที่หลานชายตัวดีที่ยังยืนกอดอกมองผู้เป็นย่าสีหน้าขึ้งเครียด

          “คุณย่าสั่งให้คุณเดชา อายัติบัตรเครดิตของผมทั้งหมดใช่ไหมครับ”

          “ใช่”

          “แล้วคุณย่าบอกให้คุณสงวนศรีไม่จ่ายเงินเดือนให้ผมด้วยใชไหม”

          “ใช่”

          “คุณย่า..” วงศกรครางเสียงแผ่ว มองหน้าประมุขใหญ่ของบ้านที่วางท่าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แววตาของผู้เป็นย่าในวันนี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมจนเขารู้สึกได้

          “แกไม่ต้องมาทำเสียงต่ำจะขาดใจแบบนั้น ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เงินแกใช้สักแดงเดียว” คุณหญิงวริศราประกาศก้อง คิ้วหนาของหลานชายหน้าคมถึงกับขมวดเข้าหากัน

          “ผมไม่เข้าใจ คุณย่าทำไปทำไม แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนไว้ใช้จ่ายละครับ กิจการที่ทำอยู่ก็ต้องใช้เงินหมุนเวียนทุกวัน ไหนจะทุกเดือนต้องจ่ายเงินเดือนให้พนักงานที่ศูนย์อีก ทำไมละครับ” สายตาคำถามของวงศกรทวงถามคำตอบ คุณหญิงวริศราผุดลุกขึ้นยืนเดินมาประชันหน้าร่างสูงโปร่งของหลานชายพินิจมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าคมขาว คิ้วหนาเข้มเรียงเส้นได้รูป จมูกโด่งหักลงมาเล็กน้อย เหมือนสามีที่ล่วงลับไปแล้วไม่มีผิด  ยิ่งเห็นเค้าโครงใบหน้าของหลานชายยิ่งนึกเสียดายความเป็นชายล้นเหลือ ไม่น่าเลย!

          “ย่าต้องการให้แกแต่งงานแล้วมีหลานให้ย่าอุ้มเร็วๆ ส่วนเรื่องผู้หญิงย่าจะเป็นคนจัดการให้แกเอง” คำสั่งรวบรัดของคนเป็นย่าทำเอาหลานชายนิ่งอึ้งมองตาค้าง 

          “คุณย่า จะจับผมคลุมถุงชนกับผู้หญิง ผู้หญิงเนี่ยนะ” คุณหญิงวริศราหน้าบึ้งตึงกับการเน้นคำของหลานชาย แต่ก่อนพอคุยเรื่องนี้เขาก็จะบ่ายเบี่ยงอ้างว่ายังขยาดกับเรื่องความรักแต่เก่าก่อน ซึ่งเธอก็เข้าใจและก็เห็นมากับตาว่าวงศกรต้องผิดหวังเสียใจกับรักครั้งแรกมากแค่ไหน แต่ด้วยความจำเป็นของสถานการณ์ตอนนี้ เธอคงต้องตัดความเห็นใจทิ้งออกไป เพื่อชื่อเสียงของตระกูลเธอไม่ยอมปล่อยให้หลานรักทำลายมันเด็ดขาด

          “ก็ใช่นะสิ หรือแกคิดว่าฉันจะให้แกแต่งกับผู้ชายละ”

          “ได้ก็ดี” วงศกรเชิดหน้านิ่งน้ำเสียงไม่ยี่หระ

          “นายแมน..!!” ประมุขหญิงวัย 73 ปี ร่างกายสั่นเทิ้มกับการคำพูดทีเล่นทีจริงของหลานชายคนโปรด

          “ถ้าแกไม่แต่งงานใน 3 เดือน ฉันนี่แหละจะเป็นคนตัดแกออกจากกองมรดก แกจะไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของตระกูล ดำรงพิทักษ์ อีกต่อไป”

          “คุณย่าไม่มีเหตุผล เรื่องอะไรมาบังคับให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้ละ ยังไงผมก็ไม่แต่ง ไม่แต่งๆ ได้ยินไหม” คุณหญิงวริศรามองอาการหลานชายวัย 29 ปี กระทืบเท้าส่งเสียงกระเง้ากระงอนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ท่าทางเด่นชัดขนาดนี้เห็นทีเธอคงทนเฉยอยู่รอถึง 3 เดือนไม่ไหวซะแล้ว

          “ได้ งั้นฉันจะขอสั่งแกใหม่ ภายใน 3 วัน ถ้าฉันไม่เห็นงานแต่งงานของแก ฉันนี่แหละจะเซ็นชื่อในพินัยกรรมโดยไม่ลังเลที่จะถอดแกออกจากกองมรดกแม้แต่น้อย แกก็รู้นะว่าฉันพูดคำไหนคำนั้น 3 วัน แกมีเวลาแค่นั้น จำเอาไว้” คำประกาศิตของคุณหญิงย่า กับแววตาเด็ดเดี่ยว จริงจัง ทำเอาวงศกรขนลุกซู่ นี่เขาต้องโดยจับแต่งงานกับผู้หญิงจริงๆ หรือเนี่ย!

          ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงเย็นของวันนี้ธัญสินีมีนัดกับเอกรินทร์ สาวหน้าคมแต่งหน้าแต่งตัวประโคมใส่สุดฤทธิ์ ทางเดียวที่จะทำให้เธอพ้นจากสภาพน่าอนาถอย่างนี้ได้คือ การมัดใจและมัดตัวคนรักให้ดิ้นไม่หลุด วันนี้เธอจะต้องทำให้เขาเอ่ยปากขอเธอแต่งงานให้ได้ ไม่งั้นกลับไปโดนเจ้ปิ่มเอาตายแน่ๆ

          “ไข่ วันนี้คุณสวยจัง” ชายหนุ่มร่างสูงผิวแทนผุดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่มองหญิงสาวคนรักนัยน์ตาชวนฝัน

          “ก็เราไม่ได้เจอกันตั้ง 2 เดือนนี่ค่ะ ไข่ก็อยากทำสวยเพื่อพี่เอกบ้างอะไรบ้าง” หญิงสาวบิดตัวเอียงอายกระพือขนตาขึ้นลงช้าๆ สร้างความปั่นป่วนในใจเอกรินทร์ให้เต้นระส่ำหวั่นไหว

          “แล้วพี่เอกสั่งอะไรมาทานหรือยังค่ะ ไข่หิวมากเลยตอนนี้” ธัญสินีนั่งลงมองสภาพโต๊ะอาหารที่มีเพียงแก้วกาแฟของเอกรินทร์ตั้งอยู่แก้วเดียว ตั้งแต่เช้าเธอหิ้วท้องหวังมากินฟรีที่นี่เต็มที่ ก็จะทำไงได้ละ ในเมื่อตอนนี้เธอถังแตกจริงๆ

          “จะกินอะไรก็สั่งเลยนะน้องไข่ วันนี้พี่อยากให้ไข่มีความสุขที่สุด” สายตาชายหนุ่มผลุบต่ำลง ธัญสินีมองอาการชายหนุ่มยิ่งได้ใจ ในใจลิงโลดความหวังที่จะได้สามีเป็นสถาปนิกคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วสินะ

          ไม่นานนักอาหารมากมายก็ถูกบริกรลำเลียงออกมา อาทิเช่น ต้มยำโป๊ะแตก ปลากระพงนึ่งมะนาว กุ้งชุบแป้งทอด หอยเซลล์อบเนยกระเทียมพริกไทย ฯลฯ รวมๆ แล้วก็ 10 กว่าอย่างได้ ธัญสินีทิ้งมาดสาวหวานสวมวิญญาณนักสู้ชิงแชมป์เงินรางวัลเปรียบเสมือนร้านอาหารสุดโรแมนติกเป็นสนามท้าประลองกินเก่งขึ้นมาทันใด

          “พี่เอกไม่ทานหรือไงค่ะ ให้ไข่จัดการอยู่คนเดียวก็ไม่ไหวนะคะเนี่ย” เอกรินทร์มองสภาพอาหารบนโต๊ะ รู้สึกขัดแย้งกับคำว่าไม่ไหวของเธออย่างแรง เมื่อภาพที่เขาเห็นคือสภาพอาหารที่เหลือติดก้นจานอย่างละนิดอย่างละหน่อยในขณะที่เจ้าตัวยังไม่มีทีท่าว่าจะอิ่มเลยสักนิด สังเกตุจากบริกรที่ยังยกอาหารเข้ามาเสริฟ์อย่างต่อเนื่อง

          “ไม่ละครับ พี่เห็นน้องไข่ทานได้พี่ก็สบายใจแล้ว แล้วงานเป็นไงบ้างครับ ทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง เล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม” ธัญสินีแทบสำลัก กับคำถามแสลงใจ นึกถึงหน้าเฮียเต็กเฮงหน้าเลือดแล้วยิ่งแค้น สมควรแล้วที่อายุปูนนี้ยังไม่มีใครมาขอ หนอย! ไอ้เฮียปากปีจอ ผู้หญิงหน้าตาเพอร์เฟคอย่างฉันเนี่ยนะ จะไม่มีใครมาขอ เดียวก็รู้ๆ สีหน้าหญิงสาวยิ้มกริ่มมองชายตรงข้ามที่นั่งจิบเบียร์สบายอารมณ์แววตามาดมั่น

          “ไข่ลาออกแล้วค่ะ” หญิงสาวสลดเศร้า วางช้อนรวบเข้าหากัน ใช้ผ้าเช็ดปากบรรจงรอบริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสด จิกตามองไปที่เอกรินทร์อย่างมีจริต ดวงตากลมโตเหมือนมีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากเบ้าตางาม

          “น้องไข่เป็นอะไรหรือครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ธัญสินียิ้มชอบใจที่อาการปั้นหน้าเล่นละครของเธอยังดีเยี่ยมไม่เสียแรงที่เคยเป็นนางเอกละครเวทีมาก่อน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ก็เหอะ แต่กลเม็ดเคล็ดลับเธอก็ซึมซับมาจนทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว เรื่องบีบน้ำตาแค่นี้ จิ๊บๆ

          “เฮียเขา... ฮือๆ เฮียเขาคิดจะลวนลามไข่นะคะ ไข่ก็เลยทนไม่ได้ ตัดสินลาออกมาดีกว่า พี่เอกก็รู้นี่คะ ว่าไข่รักพี่คนเดียว ไอ้เรื่องมีผู้ชายอื่นไม่มี ไม่มีอยู่ในสมองน้อยๆ ของไข่เลย แล้วนี่เขายังบอกอีกนะคะว่าที่ไข่ยังครองตัวเป็นโสดอยู่อย่างนี้ เพราะพี่เอกรินทร์ไม่ได้รักไข่ ฮือๆ” เอกรินทร์หยิบกล่องทิชชู่ส่งให้หญิงสาว รู้สึกตื้นตันใจเหลือเกินกับสิ่งที่เธอบอกแต่... ใบหน้าคมเข้มสลดเศร้า ระหว่างหน้าที่การงานกับหัวใจเขามีสิทธิ์เลือกได้แค่หนึ่ง การที่เขานัดธัญสินีออกมาในวันนี้เพราะมีบางอย่างที่ต้องบอกกับเธอ...

          “อย่าร้องเลยนะคนดี พี่รักไข่มากนะรู้ไหม ถ้ามีวันไหนที่พี่ทำให้ไข่เสียใจ พี่ขอให้ไข่รู้เอาไว้ ว่าในหัวใจของพี่ ยังมีแค่ไข่คนเดียว” คำปลอบประโลมฟังดูทะแม่งๆ ธัญสินีที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่ถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นมามองเอกรินทร์แววตาสงสัย

          “หมายความว่าไงคะพี่เอก...” ธัญสินีใจหายวาบเมื่อเห็นแววตาละอายใจในนัยน์ตาสีดำคมกริบคู่นั้น มือหนาเอื้อมมาจับกุมมือเธอเอาไว้ ส่งสายตาเข้มจริงใจ

          “พี่จะแต่งงาน...” หญิงสาวที่ใจหายไปในทีแรกถึงกับยิ้มกว้าง หน้าแดงระเรื่อ โอ้.. อารมณ์ของคนถูกขอแต่งงานมันเป็นเช่นนี้เองหรือเนี่ย

          “พี่เอกละก็ พูดอะไรก็ไม่รู้” ธัญสินีใช้มืออีกข้างตีเผียะไปที่ที่มือหนาที่กุมมือเธออยู่ ใบหน้าคมหวานสุกปรั่งกระบิดกระบวยไปมาเขินขวยสุดๆ เอกรินทร์มองอาการของสาวคนรักถึงกับอึ้งไปพูดอะไรไม่ถูกที่เธอเข้าใจไปอีกทาง

          “แล้วเราจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ละคะ และจะจัดที่ไหน ส่วนค่าสินสอดบอกคร่าวๆ ให้ไข่รู้ได้ไหมค่ะ และ..” คำพูดเป็นจรวดหยุดชะงักเมื่อเห็นสัญญาณจากชายคนรักที่ยกมือขึ้นห้ามไว้

          “น้องไข่ ฟังที่พี่จะพูดให้ดีๆ นะครับ อาทิตย์หน้า พี่จะแต่งงาน กับ... วิมาดา” ธัญสินีตะลึงตาค้าง อะไร อะไร อะไร!! มันเกิดอะไรกับเธอนักหนา เสียทั้งงาน เสียทั้งแฟน ไหนจะที่ซุกหัวนอนก็จะไม่มีให้อยู่ มันเกิดอะไรขึ้น!!

          “ไข่ ไข่ครับ” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเอกรินทร์กับแววตาห่วงหาอาทรอย่างสุดซึ้ง เรียกสติที่จมดิ่งในหุบเหวลึกให้ฟื้นคืนมา ธัญสินีมองเขาตาขวาง กระชากมือที่ถูกเขากุมไว้อยู่กลับมา ใบหน้าบึ้งตึงปรากฏชัดไม่จำเป็นต้องแสร้งหวานให้เขาเห็นอีกแล้ว เอกรินทร์เห็นความห่างเหินของสาวคนรักถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง คว้ามือบางมาจับกุมไว้อีกครั้ง

          “ไข่ ความรู้สึกของพี่ยังเหมือนเดิมทุกอย่างนะครับ ถ้าไข่รับได้ เราคบกันต่อไปก็ได้นะ”

          “แสดงว่า พี่เอกจะแต่งกับไข่ใช่ไหมค่ะ” ธัญสินีแย้มยิ้มมีความหวังจากที่จะกระชากมือกลับมากับเปลี่ยนใจเอามืออีกข้างกุมมือเขาไว้แทน

          “พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้น้องไข่ ถ้าไข่ไม่รังเกียจ ต่อไปนี้พี่จะเลี้ยงดูไข่เอง เราก็คบกันเหมือนเดิม เขาก็อยู่ของเขา ไข่ก็อยู่ในที่ของไข่ ต่างคนต่างอยู่ พี่สัญญาว่าไข่จะไม่ลำบากอีกเลย” ร่างบางเย็นเยียบหลังรับรู้ความหมายทั้งหมดออกจากปากอดีตชายคนรัก ผุดลุกขึ้นยืนหยิบแก้วน้ำตรงหน้าสาดใส่ใบหน้าปั้นยิ้มที่ทำให้เธออยากจะอาเจียนใส่หน้าหล่อซะให้เละไปทั้งตัว ถ้าไม่ติดเสียดายอาหารที่กินลงไปเธอคงไม่ลังเลที่จะทำมัน

          “ทุเรศ! ฉันไม่ยอมเป็นเมียน้อยให้เสียศักดิ์ศรีหรอกนะ นับตั้งแต่วินาทีนี้ เราเลิกกัน แล้วขอบอกนะ ฉันเป็นคนทิ้งคุณ ไม่ใช่คุณทิ้งฉัน” กล่าวจบเธอก็สะบัดเชิดหน้าก้าวออกไปอย่างสง่างาม เอกรินทร์มองตาละห้อยนั่งหมดแรงอยู่ที่โต๊ะไม่ได้ลุกตามเธอไป เขาเลือกแล้ว เขาเลือกที่จะแต่งงานกับวิมาดา ลูกสาวเจ้าของบริษัทก่อสร้าง เพื่อหน้าที่การงานในอนาคตแม้จะเห็นแก่ตัวแต่ใครจะปฏิเสธบ่อเงินบ่อทองที่ลอยมาเกยตื้นอยู่ตรงหน้าเล่า ถึงจะเสียดายธัญสินีใจแทบขาดแต่เขาก็ต้องเลือก เงิน มากกว่าอยู่ดี

          ธัญสินีฝืนเดินหลังตรงได้ไม่นานก็ต้องทรุดตัวนั่งร้องไห้สะอื้นฮักอยู่หน้าร้านอาหาร เธอรู้จักกับเอกรินทร์ผ่านทางเฟซบุ๊กเมื่อ 2 ปี ก่อน จากที่รับแอดเป็นเพื่อนก็เริ่มคุยกันสนิทสนมจนคบหาดูใจกันมานานถึง 1 ปี กับอีก 6 เดือน ถึงความสัมพันธ์จะไม่หวือหวา และเธอจะไม่ได้รักเขาซะทีเดียว แต่ความผูกพันมันก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่นึกเลยว่าสาววัย 27 ปี อย่างเธอจะหาคนจริงใจไม่มีเลยสักคน ตอนนี้เธอตันไปหมดแล้ว มันมืดแปดด้านไปหมด เงินทองที่มีอยู่ก็ร่อยหรอลดน้อยถอยลงไปทุกที ฮือๆ ทำไมชีวิตฉันมันน่าสมเพชอย่างนี้นะ หญิงสาวปล่อยตัวไปกับความเศร้าได้ไม่นานก็ผุดลุกขึ้นยืน ปาดน้ำตาที่นองหน้าทิ้งออกไป

          “ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ฉันขอสาบาน ว่าฉันจะหาผู้ชายที่ดีกว่าแกร้อยเท่าพันเท่า แกคอยดู ฮือๆ” ธัญสินีปิดหน้าปิดตาเดินร้องไห้ผ่านลานจอดรถของทางร้านอาหารริมน้ำ ไม่ทันมองรถที่วิ่งสวนเข้ามา คนขับชะงักเบรกดัง เอี๊ยดดด!!

          “ว้ายย…!!!

          ตุ๊บ!!  ด้วยความตกใจทำให้เธอผงะหงายหลังลงไปกองอยู่กับพื้น เงยหน้ามองกระโปรงรถสีขาว รู้สึกคุ้นๆ ตา ไฟหน้าถูกดับลงไปยิ่งเห็นชัดเจน เมื่อมันคือ รถปอร์เช่สีขาวเปิดประทุน ที่เกือบจะชนเธอเมื่อตอนสายของวันนี้ หนอย!! มาได้จังหวะพอดี แม้ไม่แน่ใจว่าใช่คันเดียวกันหรือเปล่า แต่ขอให้ได้ระบายอารมณ์ที่ตกค้างอยู่ข้างในหน่อยเถอะ

          “นี่ นี่ คนทั้งคนไม่เห็นหรือไงย่ะ ชนกันแล้วไม่คิดจะลงมาดูดำดูดีกันหน่อยหรือไง เห็นไหมว่าเนื้อตัวฉันถลอกปอกเปิกไปหมดแล้ว รีบๆ ลงมารับผิดชอบกันเลยนะ ได้ยินหรือเปล่า” เสียงดังโวกเวกตะโกนด่า ชายหนุ่มสวมแว่นตาดำมองหญิงสาวผ่านกระจกหน้ารถนึกฉุนที่เธอยืนขวางทางรถเขาอยู่ไม่ไปไหน ทั้งๆ ที่เขาไม่มีอารมณ์จะมาทะเลาะถกเถียงอะไรกับใครในเวลาอย่างนี้

          ปัง!! เสียงกระแทกประตูรถปิดดังก้อง ธัญสินีที่อยู่ในห้วงอารมณ์โมโหถึงกับอ้าปากค้าง ไล่ระดับสายตามองสำรวจขึ้นไปตามร่างกายสูงโปร่งของบุรุษตรงหน้า ยิ่งเขาถอดแว่นตาดำออกมา แววตาคมเข้มทะลุหัวใจเธอเข้าเต็มๆ นี่มันไม่ใช่คนแล้วเทวดาชัดๆ อ่า... นี่แหละ คนที่ใช่ สำหรับฉัน

 

 


เทพบุตรในฝันหรือซาตานร้ายมาดแต๋วกันแน่ โปรดติดตามในบทต่อไปนะคะ 

แสดงความเห็นกันคนละนิด เพื่อผลงานที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา