Spirit of Jewel ตำนานภูตแห่งอัญมณี ตอน ภูตแห่งเพทา

8.7

เขียนโดย SeleneS

วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20.10 น.

  1 ตอน
  2 วิจารณ์
  5,243 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตำนานบทที่ 1 - ภูตแห่งอัญมณี นกอัคคีสีฟ้า และสัตว์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตำนานบทที่ 1

ภูตแห่งอัญมณี นกอัคคีสีฟ้า และสัตว์ภูตสีเพลิง

 

                ท้องฟ้าสีฟ้ากว้างไกล มองดูแล้วราวกับว่า จะสามารถทำอะไรไปที่ไหนก็ได้ดังใจหวัง เป็นอิสระที่ไร้ขอบเขต ไร้ขีดจำกัด...

                จะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ?

                เราจะสามารถมีอิสระทำตามทุกอย่างที่ใจคิดได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ หรือไร้ขีดจำกัดทุกอย่างได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?

                ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วห่วงที่เราทุกคนสร้างมันขึ้นมาล่ะ ทั้งหน้าที่ บทบาท สถานภาพ หรือแม้แต่กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าจิตใต้สำนึกที่ถูกปลูกฝังมา?

                หรือว่าจริงๆ แล้ว เราสามารถเลือกที่จะทำอะไรสักอย่างหรือทำทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างอิสระกันล่ะ?

                แต่เรามีอิสระที่จะเลือกทำจริงๆ หรือ?

                ถ้าเป็นอย่างนั้น...

                ตกลงว่าอิสระคืออะไรกันแน่?

                คำถามที่ตั้งขึ้นภายในใจของฉันโดยไม่ได้รับคำตอบค่อยๆ ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะที่ฉันกำลังนั่งใจลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง และท่าทางว่ามันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปถ้าไม่มีใครขัดจังหวะมันขึ้นมาเสียก่อน...

                “คุณฟอเทียร่า!”

                ปัง!

                เสียงเรียกที่สุดแสนจะดังอย่างขัดจังหวะความคิดที่มาพร้อมกับเสียงตบโต๊ะเสียงดังทำให้ฉันที่เป็นเจ้าของชื่อต้องสะดุ้ง พร้อมกับรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ

                “เอ่อ อ่า คะ *ลีแรร์นิชา”

                [*ลีแรร์ หมายถึง ครู, อาจารย์]

                หญิงสาววัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องและเป็นต้นกำเนิดเสียงตบโต๊ะเมื่อครู่ขยับแว่นสายตามองมาทางฉันอย่างไม่ชอบใจ ก่อนที่ลีแรร์นิชาจะถามฉันขึ้นว่า

                “ข้างนอกนั่นมีอะไรน่าสนใจมากเลยหรือคะ แล้วคุณรู้รึเปล่าคะว่าตอนนี้เรากำลังเรียนเรื่องอะไรและเปิดหนังสืออยู่ที่หน้าที่เท่าไหร่คะ”

                ฉันมองไปที่กระดานหน้าห้องและเพื่อนรอบๆ อย่างลำบากใจ เพราะว่าฉันเผลอใจลอยไปครู่หนึ่งจึงไม่รู้ว่าถึงหน้าไหนแล้ว ลูน่า เพื่อนสนิทเจ้าของเรือนผมสีเงินที่นั่งข้างๆ ฉันชูนิ้วขึ้นมาเป็นเลขแปดกับเจ็ดอย่างบอกใบ้

                “เอ่อ... เรื่องภูตแห่งอัญมณีค่ะ อยู่ที่หน้า... แปดสิบเจ็ดค่ะ”

                ลีแรร์นิชาหรี่ตามองน้อยๆ พลางพยักหน้า ก่อนที่เสียงกริ่งสววรค์ (สำหรับฉัน) จะดังขึ้น แสดงถึงเวลาเรียนที่หมดลงแล้ว ลีแรร์ที่ยืนอยู่หน้าห้องจึงเอ่ยปากสั่งงาน (นรก) และเดินออกไปจากห้อง

                “ท่าทางพวกคุณจะรักกันมากนะคะ ดังนั้นไปทำรายงานเรื่องภูตแห่งอัญมณีมา จับกลุ่มกลุ่มละห้าคน รายงานต้องไม่ต่ำกว่าร้อยหน้า ส่งคาบหน้านะคะ เท่านี้ล่ะค่ะ”

                ทุกคนนั่งเงียบกันอย่างสงบ จนกระทั่งลีแรร์สาวก้าวเท้าออกจากห้องไปเท่านั้นล่ะ เสียงพูดคุยเรื่องรายงานที่ถูกสั่งก็ดังลั่นห้องด้วยความวุ่นวายทันที ฉันนั่งลงพร้อมกับถอนหายใจอย่างหมดแรง ทำไมลีแรร์คนนี้ถึงได้จ้องเล่นงานฉันนักนะ เพราะฉันเป็นนกอัคคีที่แตกต่างจากคนอื่นแค่นั้นน่ะเหรอ ฉันเพิ่งมองออกนอกหน้าต่างได้ครู่เดียวเอง ทำไมถึงสังเกตไวจัง ทีคนอื่นที่นั่งหลับอยู่หลังห้องยังไม่ใส่ใจเลย

                ก๊อกๆ

                เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้น ฉันหันไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนสาวคนสนิทเจ้าเรือนผมสีเงินยาวเลยบ่าเล็กน้อยและนัยน์ตาสีแดงราวกับเลือด กับหญิงสาวอีกคนที่มีเรือนผมสีน้ำตาลยาวสยายกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั่นเอง ทั้งคู่คือลูน่ากับเรน เพื่อนรักเพียงสองคนที่ฉันมีอยู่ ทั้งสองส่งยิ้มให้ฉันก่อนจะเอ่ยปากว่า

                “ฟรอนเทีย เรามาจับกลุ่มด้วยกันเถอะ ฉันกับเรนยังไม่มีกลุ่ม เธอมาอยู่ด้วยกันนะ”

                ลูน่าพูดอย่างร่าเริง ส่วนเรนก็พยักหน้ารับพลางทำสายตาประมาณว่า ‘ใช่ๆ’ ฉันยิ้มอย่างดีใจที่มีคนเข้ากลุ่มด้วยก่อนจะพยักหน้าตอบรับลูน่ากลับไป

                “เอาสิลูน่า แต่ว่าอีกสองคนล่ะ เฮ้อ ฉันว่านะ นอกจากเธอสองคนแล้วคงไม่มีใครอยากเข้ากลุ่มกับคนที่เป็นต้นเหตุให้ทำรายงานหนาเตอะนั่นตั้งแต่วันเปิดเรียนอย่างฉันหรอก”

                ลูน่าส่ายหน้ากับคำพูดของฉัน ก่อนจะชี้ไปทางคนสองคนเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองและเจ้าของเส้นผมสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำที่นั่งอยู่หลังห้องด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มแสยะก่อนจะบอกว่า

                “เด็กใหม่สองคนนั่นไง ดูสิ ยังไม่มีใครไปชวนเข้ากลุ่มเลยไปชวนกันเถอะ หึหึ”

                ฉันที่เห็นลูน่ายักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์ จึงหันไปมองนิ้วของลูน่าแล้วผงะอ้าปากค้างไป ก็จะไม่ให้ฉันอ้าปากค้างได้ยังไง ก็นั่นมันผู้ชายทั้งคู่เลย เป็นผู้หญิงไปชวนผู้ชายเข้ากลุ่มเนี่ยนะ อีกอย่างเราก็ไม่รู้จักพวกเขา จะไปชวนเข้ากลุ่มกันดื้อๆ เลยได้ยังไง เด็กใหม่เชียวนะ!

                แต่ท่าทางลูน่ากับเรนจะไม่คิดอย่างนั้น เพราะทั้งคู่มาช่วยกันฉุดให้ฉันลุกขึ้นยืน แล้วลากเข้าไปหาสองคนนั้นทันที ถึงฉันจะร้องค้านเสียงหลงแทบเป็นแทบตายยังไงทั้งสองก็ไม่สนใจฉันเลยแม้แต่น้อย...

                “อ๊า~ เดี๋ยวสิ นี่ๆๆ ฉันยังไม่ตกลงเรื่องนี้เลยน้า~”

                ...ใจร้ายยิ่งนัก ฮือ~...

                แล้วตอนนี้ พวกเราทั้งสามก็มายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองผู้เป็นเด็กนักเรียนใหม่แล้ว จากที่ฉันสังเกตทั้งสองคนน่าจะรู้จักกันแล้ว เพราะตอนนี้ทั้งคู่หันไปคุยกันโดยไม่สนใจพวกเราเลยสักนิดเดียว

                “เอ่อ นี่ ทั้งสองคน ฉันชื่อ ไดอาน่า อาเทเรียส หรือเรียกว่า ลูน่าก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ แล้วพวกนายล่ะชื่ออะไร เรามาจับกลุ่มกันทำรายงานดีไหม”

                ลูน่าสะกิดเรียกทั้งสองคนแล้วพูดแนะนำตัวเองแล้วก็พูดถึงธุระที่ตัวเองมาชักชวนทั้งคู่ทันที ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองลูน่าก่อนที่จะกวาดสายตามาทางฉันกับเรน โดยที่คนหนึ่งมองมาอย่างนิ่งๆ แต่อีกคนกลับทำตาลุกวาวพร้อมแสดงสีหน้าดีใจสุดขีด

                แต่ว่าผู้ชายเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวแก่ ผมสีน้ำตาลอ่อนเกือบทองคนที่มองพวกเราอย่างนิ่งๆ กลับหยุดสายตาที่ฉัน ก่อนจะขมวดคิ้วลงเล็กน้อยโดยไม่สนใจท่าทางของคนโดนจ้องเลยแม้แต่น้อย

                ...เอ่อ จะจ้องให้ทะลุเลยหรือไงกันคะ ท่าสายตานั่นเป็นมีด กะโหลกฉันอาจจะมีแต่รูระบายน้ำเต็มไปหมดก็ได้...

                ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรให้ทุกคนมองหน้ากันไม่ติดด้วยการหลุดปากด่าหมอนี่ไป ชายหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำเงินเข้ม นัยน์ตาสีม่วงอีกคน ก็ยิ้มเผล่ก่อนเอ่ยแนะนำตนเองทันที

                “ฉันชื่อ ไอเธีย เมกอส ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะคนสวยทั้งสาม”

                ลูน่าถึงกับชะงักไปทันทีที่ไอเธียแนะนำตัวก่อนที่ยิ้มจะกระตุกน้อยๆ แล้วหันมากระซิบกับฉันเบาๆ ว่า ‘คิดถูกหรือคิดผิดที่ชวนมันเข้ากลุ่มเนี่ย’ ฉันได้แต่หัวเราะหึๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาของผู้ชายอีกคนทันที

                “ฉันชื่อ ชาลาเซีย เนโร เรียกว่าชาร์ลก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก”

                ชาร์ลยิ้มบางๆ พลางเอ่ยแนะนำตัว ลูน่ายิ้มรับคำแนะนำตัวของเขา ก่อนจะกระซิบกับฉันอีกรอบว่า ‘คนนี้ค่อยดูปกติหน่อย’

                “ฉันชื่อ เรจิน่า ทาเนีย นะ เรียกว่าเรนก็ได้ ส่วนนี่ ฟอเทียร่า ซีอาร์ เรียกว่าฟรอนเทียนะ ตกลงพวกนายจะเข้ากลุ่มรายงานกับพวกเราไหม”

                เรนยิ้มน้อยๆ พร้อมกับแนะนำตัวเองและแนะนำฉันไปด้วยเลย ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่องเดิม ไอเธียยิ้มกว้างก่อนจะรีบพยักหน้าตกลง ส่วนชาร์ลเองก็มองหน้าเราทั้งสามคนเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตกลง แต่จู่ๆ ไอเธียก็โพล่งขึ้นมาดื้อๆ ว่า

                “เดี๋ยวเรน ฉันเคยเห็นเธอที่ไหนรึเปล่านะ เธอเคยอยู่อาณาจักรมนุษย์ใช่ไหม?”

                เรนถึงกับผงะไปทันที ดวงตาสีน้ำทะเลเบิกกว้างอย่างตกใจปนตื่นตระหนกน้อยๆ ทำให้ชาร์ลที่สังเกตอาการอยู่ต้องหรี่ตาลงอย่างสงสัยทันที ส่วนฉันก็มองอย่างงงๆ ว่า ทำไมต้องเรนตกใจ และทำไมชาร์ลต้องมองอย่างสงสัยด้วย

                “เรนก็ต้องเคยอยู่แล้วล่ะ ก็เธอเป็นมนุษย์นี่นา นายอาจจะเคยไปอาณาจักรมนุษย์แล้วเจอเธอโดยบังเอิญก็ได้ ช่างเหอะน่า”

                เป็นลูน่าที่พูดแทนเรน ก่อนที่เรนจะพยักหน้าตามโดยที่สีหน้ากลับมาเรียบเฉยและยิ้มน้อยๆ ตามเดิมแล้ว ไอเธียจึงทำแค่เพียงยักไหล่แล้วก็ยิ้มกว้างรับทันที และเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา...

                “ก็คงอย่างนั้น คนสวยๆ ฉันต้องจำได้แน่นอน”

                ...ซึ่งก็เป็นประโยคที่ทำให้ลูน่าคิ้วกระตุก อยากซัดเจ้าหมอนี่สักรอบสองรอบขึ้นมาทันที...

                “งั้นเก็บของเสร็จแล้วเจอกันหน้าห้องนะ จะได้ไปที่หอหนังสือของเมืองน่ะ”

                ฉันเอ่ยสรุปก่อนจะรีบพาเพื่อนทั้งสองออกมาจากตรงนั้นทันที เพราะฉันเริ่มรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงจากเพื่อนผู้หญิงหลายๆ คนที่ได้เห็นหน้าตาของเพื่อนใหม่ทั้งคู่อย่างเต็มๆ ตา ก่อนที่เสียงซุบซิบจะดังขึ้นไล่หลังพวกเราอย่างไม่ค่อยจะเบาสักเท่าไหร่

                “ไม่น่าไปเข้ากลุ่มกับยัยฟรอนเทียเลย เสียดายหน้าหล่อๆ พวกนั้นจัง”

                “ใช่ๆ จมูกโด่ง ตาคม หน้าเนียนทั้งคู่เลย เสียดายจังเลย”

                ฉันกำลังเก็บของอยู่ได้ยินก็แอบหัวเราะแห้งๆ เบาๆ อยู่คนเดียว ก็จริงล่ะนะที่ทั้งสองคนนั้นหล่อทั้งคู่ จนไม่มีใครคิดว่าทั้งสองจะมาอยู่ในโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้เลย โดยเฉพาะชาร์ล ผู้ชายคนนั้นมีผมสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทอง คล้ายกับพวกเจ้าชายในนิทานที่ไม่น่ามีอยู่จริง

                แต่แล้วฉันก็ชะงักทันทีที่นึกไปถึงชาร์ล ฉันรู้สึกคุ้นๆ จริงๆ ว่าเคยได้ยินหรือเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนสักแห่ง แต่ก็นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเคยเห็นที่ไหน ก่อนจะเผลอพึมพำออกมาเบาๆ

                “เคยเห็นที่ไหนกันน้า...”

                “ฟรอนเทีย! เสร็จรึยัง พวกเรากำลังจะไปแล้วนะ!”

                เสียงลูน่าที่ออกไปรอนอกห้องดังขึ้น ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะรีบตามออกไปทันทีโดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่กำลังนึกเมื่อครู่แม้แต่น้อย เพราะหน้าตาอย่างชาร์ลฉันคงไม่มีทางเคยเจอแน่ๆ เพราะฉันไม่เคยออกไปนอกอาณาจักรอื่นที่ไม่ใช่อาณาจักรวาเนียบ้านเกิดของตัวเองเลยสักครั้ง ไม่สิ อย่าว่าแต่อาณาจักรเลย แม้แต่กรุงเธเลน่าที่เป็นเมืองหลวงและไม่ค่อยมีคนต่างเผ่าชุกชุมเลย (แต่ยกเว้นในโรงเรียนของฉันเป็นกรณีพิเศษ เป็น*โรงเรียนนานาพันธุ์น่ะ) ฉันก็ยังไม่เคยออกจากที่นี่เช่นกัน อาณาจักรอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปเลย คนเผ่าอื่นที่หน้าตาแบบนี้คงไม่มีวันเคยเจอแน่ๆ

                [*โรงเรียนนานาพันธุ์ เหมือนกับโรงเรียนนานาชาติของเรา]

 

                ณ หอหนังสือประจำกรุงเธเลน่า เมืองหลวงของอาณาจักรวาเนีย

                “หรอ นายอยู่เผ่ากริฟฟินหรอเนี่ย มิน่าล่ะถึงได้ผมสีเกือบทองแบบนี้”

                เสียงของลูน่าที่กำลังคุยกับชาร์ลดังขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่ทั้งหมดกำลังช่วยกันหาข้อมูลอยู่ในหอหนังสือ ไอเธียมุ่ยหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

                “ไม่เห็นมีใครถามฉันมั่งเลยว่ามาจากเผ่าไหน ใช่สิ ฉันมันไม่ได้ดูเหมือนเจ้าชายที่หลุดมาจากโลกนิทานเหมือนชาร์ลนี่”

                ฉันที่ได้ยินเสียงบ่นเบาๆของไอเธีย ก็ขำขึ้นมาน้อยๆ ก่อนพูดตอบไอเธียบ้างว่า

                “อย่างนายน่ะ ดูสีผมก็รู้ว่ามาจากเผ่าพ่อมดหรือไม่ก็มนุษย์แน่นอน ยิ่งสีตานายยิ่งบอกได้เลยว่ามาจากเผ่าพ่อมดแน่ๆ แบบนี้ ใครเขาจะถามนายกันล่ะ”

                ไอเธียได้ยินคำพูดของฉันก็ทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะพูดตอบฟรอนเทียบ้างว่า

                “เธอนี่นะ ตอนแรกดูเงียบๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอะไร ตอนนี้กัดฉันเป็นว่าเล่นเลยนะ อ๊ะ เล่มนี้ใช้ได้ไหม ลูน่ามาดูหน่อยสิ”

                ฉันที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มที่ไอเธียหามาให้สรุป เงยหน้าขึ้นมองไปที่ไอเธียกับลูน่าแล้วก็ขำนิดๆ ก็ตอนแรกน่ะ พวกเราคิดว่าไอเธียนั้นขี้เล่น ไม่คิดว่าจะทำงานได้ แต่ไปๆ มาๆ ไอเธียกลับหาหนังสือที่น่าจะใช้ได้มาตั้งสิบกว่าเล่มแล้ว ในขณะที่ลูน่าเองยังหาได้ไม่ถึงห้าเล่มเลย ทั้งฉัน เรน และก็ชาร์ล จึงต้องมานั่งอ่านสรุปแทนที่จะไปช่วยกันหา ปล่อยให้ทั้งสองคนหากันเอง

                “นี่ฟรอนเทีย”

                เสียงของชาร์ลดังขึ้น ฉันที่กำลังมองไอเธียกับลูน่าคุยกันว่าหนังสือที่หามาจะใช้ได้ไหมอย่างขำๆ ตามที่นึกนินทาในใจน้อยๆ ต้องหันกลับมามองคนข้างๆ ตัว ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า...

                “อะไร”

                ...ด้วยน้ำเสียงห้วนๆ และนิ่งสุดขีด...

                ชาร์ลที่ได้ยินเสียงของฉันก็ถอนหายใจน้อยๆ พลางมุ่ยหน้าลงนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

                “เธอเนี่ย พอสนิทกันแล้วชอบพูดเสียงห้วนๆ จังเลยนะ ไม่น่ารักเลยนะฟรอนเทีย”

                “เออ!”

                ...แล้วดิฉันบอกว่าดิฉันน่ารักตอนไหนกันล่ะคะ...

                ฉันกระแทกเสียงใส่เขาแล้วตีหน้านิ่งสนิท ก่อนที่จะถลึงตาและแยกเขี้ยวใส่เขาแล้วสะบัดหน้าหนีเขาทันใด พลางทำท่าว่าจะอ่านหนังสือต่อโดยไม่สนใจเขาอีก ชาร์ลจึงต้องรีบพูดเรื่องที่ต้องการจะพูดทันที

                “เธอน่ะ เผ่าฟินิกซ์ใช่ไหม แต่ทำไมตาถึงเป็นสีฟ้าล่ะ”

                ฉันถึงกับชะงักด้วยความจุกทันที ใช่ เขาถามตรงประเด็นมาก และก็ใช่อีกว่ามันเป็นปมในใจที่ใหญ่มากๆ จนคนอื่นสังเกตเห็น (แต่หมอนี่ไม่) เพียงเรื่องเดียวของฉัน...

                ...ใช่ ฉันเป็นฟินิกซ์หรือนกอัคคีที่มีตาสีฟ้า... ฉันเม้มปากแน่นและดวงตาก็หม่นแสงลงทันใด แผ่รังสีมืดมนไม่ชวนให้เข้าใกล้อย่างแรงกล้าออกมาจากร่างกายหนักกว่าเวลวเหม่อหรือเวลปกติเสียอีก

                ชาร์ลชะงักถอยหลังไปเล็กน้อย เขาคงจะรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะถามขึ้นมาดื้อๆ แบบนี้ ยิ่งเราเพิ่งจะรู้จักกันวันแรกก็ไม่ควรอย่างสุดขีด แต่เขากลับ (กล้า) เอ่ยปาก แล้วเขาก็ต้องเลิกคิ้วแล้วพยายามขยับเข้ามาใกล้ๆ ฉัน เมื่อเห็นฉันฟุบหน้าลงกับหนังสือพลางพึมพำอะไรสักอย่าง จนในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงของฉัน...

                “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม ตอนนี้พวกหัวอนุรักษ์ หัวโบราณๆ น่ะ ชอบมาจ้องเล่นงานฉันตลอดเวลาเลย หาว่านอกคอกบ้างล่ะ ขายวิญญาณให้ปีศาจบ้างล่ะ ตัวเชื้อโรคบ้างล่ะ ทำไมนะทำไม ที่คนอื่นตาสีดำ สีเขียว สีส้ม สีเหลือง สีชมพู สีเทา สีน้ำตาล สีม่วง ไม่ใช่สีทอง กับสีแดง ก็ไม่เห็นจะมีใครว่าอะไร ทำไมสีฟ้าไม่ได้ล่ะ มันหนักหัวใครรึไง @#$%^&^*()()+_)+*&^%$%#...”

                ...แล้วชาร์ลก็รู้ได้ในทันทีว่า คงต้องปล่อยให้ฉันบ่นงึมงำต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่เข้ามายุ่ง... เขาถอยห่างออกไปก่อนจะถอนหายใจแล้วยิ้มแหยๆ อย่างรู้สึกผิดน้อยๆ ที่พูดตรงประเด็น (และตรงใจฉัน) เกินไป แต่แล้วฉันก็อดบ่นต่อทันทีที่ลูน่าส่งเสียงร้องออกมาอย่างขัดจังหวะฉันแล้วเรียกทุกคนไปดู

                “เอ๋! นี่อะไรน่ะ ทุกคนมาช่วยกันดูหน่อยสิ ฟรอนเทียเธอเลิกบ่นเถอะน่า บ่นไปก็ไม่ได้อะไร มาช่วยกันดูนี่แล้วหาข้อมูลไปตอกหน้าลีแรร์นิชาดีกว่า”

                ฉันชะงักกึกทันที ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นด้วยตาเป็นประกาย ก่อนจะพึมพำเบาๆ คนเดียวว่า นั่นสิ แล้วก็รีบลุกไปดูลูน่าทันที ปล่อยให้ชาร์ลลุกตามไปอย่างงงๆ ว่าทำไมฉันถึงได้เปลี่ยนอารมณ์ไวราวกับเปลี่ยนหน้าหนังสือแบบนี้

                “นี่มันอะไรล่ะเนี่ย อ่านไม่เห็นออกเลย”

                ไอเธียพูดขึ้นมาเป็นคนแรก หลังจากที่ทุกคนมาช่วยกันดูหนังสือเล่มที่ลูน่าเปิดออกมา ฉันส่ายหน้าพลางถอนหายใจกับคำพูดของไอเธียทันที ก่อนจะพูดว่า

                “ก็สมควรที่จะอ่านไม่ออก ก็มันเป็นภาษาโบราณของเผ่าพันธุ์นกอัคคีหรือว่าฟินิกซ์ที่พวกนายชอบเรียกกัน ที่เป็นผู้ครอบครองอาณาจักรวาเนียนี้อยู่นั่นล่ะ ภาษานี้มีคนที่อ่านออกไม่กี่คนหรอกนะ มันคัดลอกมาจากศิลาจารึกโบราณของอาณาจักรน่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับภูตแห่งอัญมณีประจำอาณาจักรนี้น่ะ แต่ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าเป็นเรื่องจริงไหม ถ้าเอาอันนี้ไปเป็นข้อมูลอ้างอิงคงโดนตีกลับอย่างไม่ต้องสงสัย”

                ทุกคนทำหน้าพอเข้าใจ แต่ลูน่ากลับแย้งฉันขึ้นมาว่า

                “ทำไมล่ะ ทำไมถึงโดนตีกลับ”

                “ก็เพราะว่ามันมีส่วนที่อ่านไม่ออกน่ะสิ นักภาษาศาสตร์หลายคนเวียนหัวไปตามๆ กันเลย หลังจากส่วนที่เป็นตำนาน ก็กลายเป็นกลอนบทแปลกๆ ภาษาที่ใช้ก็ซับซ้อนจนแปลไม่ออกเลยล่ะ”

                ฉันอธิบาย ลูน่าทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างก็ถูกไอเธียขัดขึ้น

                “ช่างเหอะน่า ลูน่า ยังไงเราก็มีหนังสือใช้อ้างอิงตั้งหลายเล่มแล้ว รีบไปช่วยกันสรุปดีกว่า เดี๋ยวรายงานเสร็จไม่ทันมะรืนนี้นะ เดี๋ยวเธอก็โดนฟรอนเทียกัดคอโทษฐานทำให้ตอกหน้าลีแรร์นิชาไม่ได้หรอก”

                ลูน่าแทบจะหันไปโวยวายไอเธีย แต่ก็เอาหนังสือยัดใส่มือชาร์ลก่อน แล้วจึงหันไปโวยวายทันที

                “หาาา! นายว่าฉันเป็นตัวปัญหางั้นเรอะ! แล้วอีกอย่าง ฟรอนเทียไม่ใช่พวกหมาป่าหรือแวมไพร์นะที่พอไม่พอใจแล้วจะได้แยกเขี้ยวกัดคอฉันน่ะ”

                “แล้วเธอไม่ใช่รึไงล่ะ”

                ไอเธียย้อนกลับนิ่งๆ สีหน้าเรียบเฉยพลางยักไหล่ แต่ดวงตากลับเป็นประกายระริกอย่างชอบใจแทน

                “ไอเธีย...”

                ลูน่ากดเสียงต่ำทำตาลุกวาวใส่เขาพร้อมแสยะยิ้มกว้างทันที พลางคว้าหนังสือใกล้ๆ ตัวแล้วฟาดลงไปที่ใบหน้าน่าหมั่นไส้นั่นทันที แต่ก็พลาดเมื่อไอเธียดันเห็นเสียก่อนจึงโยกตัวหลบได้ทันก่อนที่มุมหนังสือจะผ่านหน้าไปไม่ถึงคืบ เสียงแหวกอากาศของหนังสือดังสนั่นทำเอาคนได้ยินใกล้ๆ อย่างไอเธียต้องขมวดคิ้วก่อนจะโพล่งคำที่ชวนให้ลูน่าโมโหหนักกว่าเดิมออกมา

                “เธอนี่แข็งแรงใช้ได้เลยนะ แรงเยอะดีจริงๆ โชคดีที่ไม่โดนนะเนี่ย...”

                ลูน่าถลึงตาอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มใช้หนังสือไล่ฟาดไอเธียครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะพลาดไม่โดนไอเธียทุกครั้ง แต่ก็ไม่พลาดไปโดนสิ่งอื่นให้เกิดเสียงดังเลย เรนยืนมองพลางอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันกลับมาสนใจหนังสือในมือแทน ฉันเริ่มถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ก่อนจะหันหน้าหนี แต่ก็เหลือบเห็นชาร์ลที่เปิดหน้านั้นในหนังสือค้างไว้แทน จึงถามขึ้นว่า

                 “อะไรของนายน่ะ”

                “ฉันอยากรู้น่ะ”

                ชาร์ลตอบกลับมาสั้นๆ ให้ฉันงงปนสงสัยเล่น จนฉันต้องยอมเอ่ยปากถามออกมาก่อนว่า

                “อยากรู้อะไรของนาย”

                ชาร์ลหันมาหาฉัน ก่อนจะยกหนังสือขึ้นมาโบกไปมา แล้วทำตาปริบๆ มาให้ฉันแล้วพูดเสียงอ่อยอย่างอ้อนๆ และทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเห็นลูกสุนัขตัวน้อยๆ สักตัวกำลังนั่งมองมาทางฉันเหมือนกำลังหิวนมไม่มีผิด

                “ฉันอยากรู้ตำนานน่ะ เธอเล่าให้ฟังหน่อยนะ นะๆๆ”

                ฉันถึงกับนิ่งไปสักพักกับคำขอร้องและท่าทางของชาร์ล อ่า ฉันนึกไม่ถึงว่าเขาจะทำเหมือนกับสนิทกับฉันได้เร็วขนาดนี้ แต่ก็เริ่มทนไม่ได้กับสายตาลูกหมาหิวนมนั่น จึงยอมพยักหน้าตกลง

                “ก็ได้ๆ ไว้สรุปเนื้อหาเสร็จก่อน แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”

                “เธอนี่ใจดีที่สุดเลยนะ”

                ชาร์ลว่าแล้วก็ส่งยิ้มกว้างๆ แสนมีเสน่ห์มาให้ฉันอย่างดีใจ ก่อนจะรีบหันกลับไปสรุปหนังสืออย่างรีบเร่งเพื่อที่จะได้มาฟังฉันเล่าตำนาน ทิ้งให้ฉันทำตาปริบๆ กับรอยยิ้มที่เขาส่งมาให้เมื่อสักครู่ ก็แหม เวลาเขายิ้มกว้างๆ น่ะออกจะหล่อกว่าตอนยิ้มน้อยๆ เยอะเลย แล้วทำไมถึงไม่ยอมยิ้มกว้างบ่อยๆ นะ... เอ๊ะ หรือว่าจะเอาแต่เก๊กหล่อกันแน่ เฮอะ ขี้เก๊กแน่นอนเลย

                แล้วฉันก็คิดนินทาชาร์ลต่อไปในใจโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่า ตัวเองก็ไม่ชอบยิ้มกว้างๆ สักเท่าไหร่เหมือนกัน...

 

                “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”

                “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วอีกแล้วเหรอ”

                ไอเธียขัดฉันขึ้นมาทันที ฉันหันมามองเขานิ่งๆ พลางคิดในใจว่า ไหนตอนแรกคนที่จะฟังมีแค่ชาร์ลคนเดียวเอง ทไมถึงได้มานั่งฟังครบทุกคนแบบนี้กันนะ ฉันหันไปหาลูน่าแทน ลูน่ายิ้มให้อย่างรู้ใจฉันก่อนที่หนังสือในมือจะถูกยกขึ้น...

                ผัวะ!

                ...แล้วฟาดลงที่ศีรษะของไอเธียทันที ฉันจึงพูดอย่างเนิบๆ ตามว่า

                “ถ้าไม่เลิกขัดฉันจะไม่เล่าแล้วนะ”

                ลูน่ายิ้มอย่างสะใจที่คราวนี้ไอเธียหลบไม่พ้น (จริงๆ ยังไม่ทันได้หลบต่างหาก) ก่อนจะแบมือให้เรนแล้วยิ้มแสยะอย่างน่ากลัวให้ไอเธีย ซึ่งเขาก็รู้สึกผวาขึ้นมาทันที

                “ไม่ขัดแน่นอนแล้วฟรอนเทีย เรน ขอเทป”

                ว่าแล้วลูน่าก็ดึงเทปกาวที่ได้จากเรนออกแล้วเอามาแปะปากไอเธียทันที โดยได้รับความช่วยเหลืออย่างดีเยี่ยมจากชาร์ลที่นั่งใกล้ๆ กัน

                แล้วฉันก็ได้เปิดปากเล่าต่อในที่สุด...

                “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ครั้งที่ทุกอาณาจักรเริ่มก่อตั้ง เพื่อความสมดุลของแต่ละอาณาจักร ทุกอาณาจักรจึงต้องมีอัญมณีประจำอาณาจักร และเพื่อพลังที่ใช้ปกปักรักษาอาณาจักร จึงต้องมีภูตแห่งอัญมณีด้วย เมื่อเริ่มแรกนั้น แต่ละอัญมณีไม่มีภูตแห่งอัญมณีอย่างทุกวันนี้ ครั้งนั้น จึงต้องใช้ผู้ที่มีพลังมากที่สุดในขณะนั้นมาเป็นภูตแห่งอัญมณี เมื่อทุกคนที่มาเป็นภูตตายไปแล้วดวงวิญญาณจะอ่อนแรงลง จนในที่สุดต้องเปลี่ยนภูตแห่งอัญมณีประจำอาณาจักรไป ช่วงระยะเวลาแต่ละครั้งที่จะเปลี่ยนภูตแห่งอัญมณี ใช้เวลาประมาณพันปี

“จนในที่สุด เมื่อประมาณหนึ่งพันปีที่แล้ว มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับภูตแห่งอัญมณีประจำอาณาจักรวาเนียของเรา ภูตแห่งอัญมณีได้ถือกำเนิดขึ้นจากดวงวิญญาณที่มีจิตใจอันแรงกล้าของหญิงสาวคนหนึ่ง จนกลายมาเป็นภูตแห่งอัญมณีประจำอาณาจักรอย่างถาวรจนถึงทุกวันนี้

                “และพลังของเธอก็ได้ทำให้พลังวิญญาณของอัญมณีประจำอาณาจักรต่างๆ แข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นภูตประจำอัญมณีของแต่ละอาณาจักร ผลพลังจากพลังของเธอยังไม่หมดแค่นี้ เพราะมันยังทำให้อัญมณีต่างๆ ที่อยู่ตามธรรมชาตในขณะนั้นเกิดมีภูตแห่งอัญมณีขึ้นมาด้วย เธอจึงถูกนับเป็นภูตที่แกร่งที่สุดไป

“และมีเรื่องราวอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาว่า เมื่อใดที่ความชั่วร้ายออกอาละวาด ภูตที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะใช้ต่อกรกับความชั่วร้ายเหล่านั้นและผู้ถือครองที่จิตใจเข้มแข็งจะถือกำเนิดขึ้น เมื่อนั้น ความชั่วร้ายจะมลายหายไป จงมองหาสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ของเรา จบแค่นี้แหละ”

                “อ้าว!/อื้อ!”

                ทุกคนพากันร้องขึ้นมาทันทีที่ฉันตัดจบมันซะดื้อๆ (รวมถึงเสียงอื้อจากไอเธียที่ไม่กล้าดึงเทปออกเพราะสายตาข่มขู่ของลูน่า) ฉันมุ่ยหน้าลงลงทันทีก่อนจะเอ่ยปากว่า

                “จะอ้าวทำไม อากาศไม่ได้ร้อนนะ รู้ว่าเล่นมุขก็อย่าขัด เอาเป็นว่าจะร้องทำไม”

                ฉํนพูดดักคอก่อนที่ลูน่าจะขัดฉัน ชาร์ลจึงเป็นคนเอ่ยปากถามฉันขึ้นมาแทน

                “ก็ต้องมองหาอะไรล่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

                “ฉันไม่รู้ เขาก็รู้กันแค่นี้ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้เดี๋ยวตอนไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ ก็ค่อยไปดูศิลาจารึกที่เขียนตำนานไว้ละกัน”

                ฉันส่ายหน้าทำนองว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน จนทุกคนได้แต่ร้องโวยวาย (เบาๆ) อย่างเซ็งจัด

                “โหย!”

                หลังจากนั้น ทุกคนรวมถึงตัวฉันก็แยกย้ายกันกลับบ้านไป...

 

                เมื่อทุกคนออกไปจากหอสมุด หนังสือเล่มที่ลูน่าหามาเล่มนั้นก็เริ่มส่องแสง แล้วอัญมณีสีแดงสดก็ลอยออกมาจากหนังสือเล่มนั้น ก่อนลอยออกนอกหน้าต่างกลายเป็นนกสีเพลิงตัวน้อยๆ และบินตามฟรอนเทียกลับบ้านไป...

 

                เมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน ก็พบคนๆ หนึ่งดักรออยู่หน้าบ้านพลางทำหน้าเหี้ยมใส่ฉันทันทีที่หันมาเห็น ฉันผวารีบกระโดดหลังเสาไฟฟ้าพลางค่อยๆ ชะเง้อหน้ามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ

                “ฟรอนเทีย! ไปไหนมาฮะ! นี่มันเลยเวลากลับบ้านมาตั้งนานแล้วนะ ดวงอาทิตย์แทบจะตกดินแล้ว ฉันรอตั้งนานแล้วนะ เข้าใจไหมคนมันโมโหหิวน่ะเข้าใจไหม! รู้ไหมเวลามาถึงบ้านแล้วแต่กลับเข้าบ้านไม่ได้มันหงุดหงิดแค่ไหน วันนี้บอกแล้วว่าให้รีบกลับๆ ก็ไหนเธอบอกว่าเลิกเร็วไง ฉันก็อุตส่าห์วางใจให้ถือกุญแจ แต่กลับมาเอามืดค่ำป่านนี้! ไปไหนแทนที่จะมาบอกกันก่อน ที่ทำงานฉันใช่ว่าจะไกลจากโรงเรียนเธอ เอากุญแจมาให้ก่อนก็ไม่ได้ แล้วตกลงไปไหนมากันฮะ!”

                ชายคนนั้นเดินตรงรี่เข้ามาหาฉันที่แอบอยู่หลังเสาแล้วลากมายืนที่หน้าบ้านของฉันและออกปากเทศนาฉันยาวเหยียดทันที โดยที่เนื้อหาหลักๆ แล้วนั้น มันมีเพียงแค่ว่า ‘ไปไหนมา ทำไมไม่เอากุญแจมาฝากกันก่อน’ แค่นั้นเอง...

                ...ชิ บ่นอย่างกับพ่อเลยนะ...

                แต่แน่นอน ว่าผู้ชายตรงหน้านี้เขาไม่ใช่พ่อของฉัน แค่สีผมกับสีตาก็ดูออกแล้วว่าไม่ใช่เผ่าเดียวกันแน่นอน เพราะเขามีผมสีน้ำตาลเปลือกไม้กับดวงตาสีเขียวสดของใบไม้ และใบหูที่ยาวแหลมเกินคนทั่วไปแม้จะอยู่ในร่างแปลงก็ตาม นี่เป็นลักษณะเด่นของเผ่า ‘เอลฟ์’

                คนคนนี้ชื่อว่า เรย์อิ ซีอาร์ นามสกุลเดียวกับฉันเพราะว่าเขาคือคนที่เลี้ยงฉันมา จึงยอมให้ฉันใช้นามสกุลด้วยโดยระบุว่าฉันเป็นน้องสาวของเขาไป

                และนี่ก็คือสาเหตุที่เขาสามารถว่าฉันได้โดยที่ฉันไม่กล้าโต้ตอบแม้แต่น้อย...

                จริงๆ บ้านหลังนี้ก็เป็นของเขานะ แต่ที่เขามาบ่นเรื่องกุญแจก็เพราะฉันเพิ่งทำกุญแจหายไป และวันนี้วันเปิดเทอมวันแรกเลิกเรียนเร็ว เขาจึงยอมให้ฉันเอากุญแจไป ส่วนตัวเขาก็ออกไปทำงานที่สถานทูตของอาณาจักรเดนโทร อาณาจักรของเผ่าเอลฟ์นั่นเอง เขาเก็บฉันมาดูแลตั้งแต่ตอนที่เขายังเรียนอยู่ เขาเล่าว่าตอนที่เขาหนีออกจากบ้านมาอยู่คนเดียวได้สักพักจนตั้งตัวได้ ก็ไปเจอกับฉันที่ตอนนั้นเป็นแค่ทารกอยู่บนกองขนนกสีแดงที่ลอยมากับน้ำ เขาจึงเก็บฉันขึ้นมาเลี้ยงเอาไว้เพราะรู้สึกเหงา แต่จริงๆ ฉันว่าเป็นเพราะเขาไม่มีใครให้บ่นต่างหากจึงเก็บฉันมาน่ะ...

                “นี่ไม่ได้ฟังกันเลยใช่ไหม แล้วมัวเหม่ออะไรอยู่ทำไมไม่รีบเปิดบ้านสักทีรู้ไหมว่ามันหิวแค่ไหน เวลาคนโมโหหิวมันจะหน้ามืดสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ตัวมาทำเป็นอาหารได้ทันที และจะล่าต่อไปจนกว่าจะอิ่มท้อง นอกจากนี้คนที่โมโหหิวจะมีดีกรีความโรคจิตสูงกว่าปกติทำให้สามารถเลือกวิธีชำแหละที่โหดเดี้ยมที่สุดออกมาได้...”

                “พอแล้ว พอออ เปิดบ้านแล้วจ้า!”

                ฉันรีบเบรกเรย์อิทันทีก่อนที่เขาจะสาธยายความโรคจิตและลักษณะของคนโมโหหิวไปมากกว่านี้ ก่อนจะรีบไขกุญแจเปิดประตูบ้านให้เขาอย่างรวดเร็วและรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องครัวทำอาหารให้เขาทันที่

                “ขอภายในห้านาที จะขึ้นเอากระเป๋าไปเก็บแล้วลงมากิน รู้ใช่ไหมว่าคนที่โมโหหิวเป็นยังไง หึหึ”

                เรย์อิที่เดินตามหลังเข้ามาก่อนจะเอ่ยปากสั่งและเดินลิ่วขึ้นชั้นบนไปทันที โดยที่ไม่ลืมทิ้งเสียงหัวเราะสยองขวัญให้ฉันกังวลเล่นด้วย

 

                “แล้วตกลงวันนี้ไปไหนมา”

                เรย์อิที่อารมณ์ดีขึ้นแล้วหลังจากที่ได้กินข้าวถามฉันขึ้นมาขณะที่ตัวเองก็หยิบผลไม้ที่ฉันหั่นไว้ให้เรียบร้อยเข้าปากอย่างอารมณ์ดี ฉันที่กำลังยืนล้างจานอยู่ก็พูดตอบเขาไป

                “ไปหอสมุดมาน่ะ โดนสั่งทำรายงานไม่ต่ำกว่าร้อยหน้าก่อนเปิดเทอม”

                เขาเลิกคิ้วแล้วก็ถามถึงเหตุผลที่พวกฉันถูกสั่งทำงานทันที ก่อนจะเอ่ยข้อสันนิษฐานของตัวเอง

                “หือ มีใครเขาสั่งรายงานกันตั้งแต่เปิดเทอมบ้าง ยกเว้นทำโทษนั่นแหละ ห้องเธอมีใครไปทำให้ลีแรร์ไม่พอใจเข้าล่ะ ถึงได้โดนแบบนี้ หรือว่าลีแรร์คนนี้ก็เป็นเหมือนกัน”

                เป็นเหมือนกันในความหมายของเรย์อิหมายถึงเป็นเหมือนกับลีแรร์คนอื่นๆ ที่ชอบจับผิดฉันที่มีตาสีฟ้า แล้วจ้องจะสั่งงานหนักๆ มาให้บ่อยๆ ฉันยักไหล่แล้วก็พยักหน้ายอมรับอย่างปลงตกให้เขาเห็น เรย์อิส่งเสียงในลำคออย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะบ่นออกมา

                “เฮอะ มีแต่คนหัวโบราณอีกแล้ว ไม่รู้รึไงว่าสีตามันเป็นไปตามแหล่งพลังที่อยู่ใกล้ตัวขณะเกิดน่ะ ท่าทางที่นี่จะล้าหลังกว่าที่คิดแฮะ สงสัยจะต้องยื่นข้อเสนอกลับไปให้ทางอาณาจักรแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องอื่นๆ นอกจากเรื่องวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับเวทมนตร์ให้มากขึ้นแล้วนะ...”

                แต่แล้วเรย์อิกลับชะงักไปทันทีแล้วขมวดคิ้วหันมามองฉันพลางถามขึ้นว่า

                “เธอร้องเพลงหรอ”

                กลับกลายเป็นฉันที่เพิ่งจะล้างจานเสร็จแล้วหย่อนตัวลงนั่งกับเก้าอี้ต่างหากที่ชะงักด้วยความงุนงง ฉันไปร้องเพลงตอนไหนกัน ท่าทางเรย์อิจะเข้าใจความคิดของฉัน เขาจึงสอดส่ายสายตาหาต้นเสียงแทน เมื่อไร้เสียงบ่นของเรย์อิ เสียงหวานก้องกังวานแสนไพเราะก็ค่อยๆ ดังขึ้นมาแทน

                เรย์อิกวาดสายตาไปรอบๆ จนกระทั่งมองออกไปนอกหน้าต่างก็ได้พบนกน้อยสีเพลิงตัวหนึ่งกำลังเกาะกิ่งไม้และอ้าปากร้องเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ นกตัวนั้นทันที

                แทนที่มันจะบินหนีอย่างตกใจ มันกลับเบือนหน้าหันมาหาฉันที่เดินมายืนข้างๆ เรย์อิ แล้วมันก็บินเข้าหน้าต่างมาเกาะที่บ่าฉันแทน ฉันกับเรย์มองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนที่เรย์อิจะปิดหน้าต่างแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับฉันแล้วจ้องมองมันอย่างสงสัย แล้วมันก็ทำในสิ่งที่เราทุกคนตกใจทันทีที่เริ่มคิดว่ามันคือสัตว์ธรรมดาทั่วไปด้วยการ...

                “ยินดีที่ได้พบเจอ นกอัคคีสีฟ้า”

                ...พูด

                ...

                ...

                ...

                ฮะ!?

                ฉันกับเรย์อิถึงกับงงทันทีว่าตกลงมันเป็นสัตว์ธรรมดา หรือเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆ เหมือนพวกเรากันแน่ แล้วนกอัคคีสีฟ้านั่น... หมายถึงฉันงั้นเหรอ!?

                “ไม่ต้องตกใจไปภูตต้นไม้และนกอัคคีสีฟ้า เราคือสัตว์ภูตน่ะ”

                นกตัวน้อยเปิดปากอธิบายและเรียกเรย์อิว่าภูตต้นไม้ และเรียกฉันว่านกอัคคีสีฟ้า ทำให้เรย์อิหรี่ตาอย่างระแวงทันทีที่ได้รับรู้ว่ามันคือสัตว์ภูต และรู้เรื่องที่เผ่าพันธุ์ของเขามีอีกชื่อว่าภูตต้นไม้ เพราะคำว่าภูตต้นไม้นั้น ปัจจุบันไม่มีใครใช้เรียกเผ่าเอลฟ์อีกแล้ว แม้แต่ตัวเรย์อิก็ยังไม่ใช้ มันเป็นคำที่เลิกใช้มานานกว่าร้อยปีแล้ว การที่นกตัวนี้เรียกเขาเช่นนั้นก็หมายความว่า สัตว์ภูตตัวนี้มีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี

                นกตัวน้อยสะบัดหัวไปมาสองสามที ก่อนที่แสงจะเปล่งออกมาจากร่าง ตัวมันลอยออกจากบ่าของฉันแล้วลอยลงไปที่พื้น ก่อนจะเปล่งแสงจ้ากว่าเดิมจนพวกเราแสบตา และเมื่อแสงหายไป ร่างของหญิงสาวแสนสวยผมและดวงตาสีเพลิงก็ปรากฏตรงหน้าแทนที่นกตัวนั้น

                “เราชื่อเทียร่า จะว่าไปจริงๆ แล้วเราไม่ใช่สัตว์ภูตหรอกแค่อาศัยร่างของมันชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้นกตัวนั้นคงจากไปแล้ว เราคือภูตแห่งอัญมณีอันที่อยู่ที่คอของเจ้าอย่างไรเล่า นกอัคคีสีฟ้า”

                เทียร่าเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเผยความจริงอันน่าตกตะลึง ฉันเบิกตากว้างพลางคว้าสร้อยคอที่เรย์อิเล่าให้ฟังว่ามันติดตัวมาตั้งแต่เกิดของตนเองขึ้นมา อัญมณีสีฟ้าใสที่เห็นทำให้ฉันเกิดอาการงุนงง ก็ภูตตรงหน้าฉันเป็นธาตุเพลิงแน่ๆ ไม่ใช่เหรอ จะเป็นภูตแห่งอัญมณีสีฟ้าได้ยังไง

                “นั่นเป็นอัญมณีว่างๆ มันก็เลยเป็นสีฟ้า ถ้าเราได้กลับเข้าไปมันจะกลายเป็นสีแดงเข้ม”

                ฉันถึงกับอ้าปากตกตะลึง ส่วนเรย์อิที่มักจะเป็นคนพูดกลับเงียบกริบ เขาขมวดคิ้วและทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้งที่ฉันเคยเห็น บรรยากาศน่าอึดอัดก่อตัวอยู่สักพักจนในที่สุดเรย์อิก็เปิดปากพูดพร้อมดึงสติของฉันกลับมารับความจริงตรงหน้า

                “ถ้าคุณเป็นภูตแห่งอัญมณีจริงทำไมคุณถึงไม่ได้อยู่กับอัญมณีเม็ดนี้ตั้งแต่แรก”

                เทียร่ายิ้มออกมาอย่างถูกใจความฉลาดของเรย์อิ เธอผายมือไปที่เก้าอี้ราวกับเชื้อเชิญให้พวกเรานั่งเพื่อที่จะได้คุยกันให้นานขึ้น

                “ตอนนี้ภูตแห่งอัญมณีทั้งหลายถูกปลดผนึกออกหมดแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราถูกพลังของเหล่าผู้ก่อตั้งอาณาจักรผนึกเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผู้ที่ได้รับอัญมณีต่างๆ มีพลังมากเกินควรจนเกิดความวุ่นวายได้ แต่ตอนนี้ทุกคนรู้จักวิธีควบคุมพลังแล้ว ประกอบกับผนึกเริ่มอ่อนแรง พวกเราจึงพากันออกจากผนึกมาและกลับมาหาอัญมณีต้นกำเนิดของพวกเรา”

                เรย์อิมองไปที่เทียร่าอย่างชั่งใจ สุดท้ายเขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างยอมจำนน แววตาเขาถึงจะสื่อออกมาว่าบางส่วนยังไม่ค่อยวางใจ แต่เขาก็เชื่อไปแล้วว่าเทียร่าคือภูตแห่งอัญมณีที่อยู่กับฉันจริงๆ  เพราะไอพลังของเทียร่าเป็นของจริง แต่ว่า...

                “เอ่อ.. คือฉันไม่ค่อยเข้าใจ อธิบายอีกทีได้ไหมคะ”

                เรย์อิตวัดสายตาคมๆ มาหาฉันทันทีที่ฉันถามออกไป ฉันได้แต่ยิ้มแหยๆ เทียร่าอมยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยสรุป

                “เอาเป็นว่า เธอเข้าใจแค่ว่าต่อจากนี้ไปฉันจะมาเป็นภูตแห่งอัญมณีชิ้นที่อยู่กับเธอแค่นั้นก็พอจ้ะ”

                แล้วฉันก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายโดยมีเสียงถอนหายใจของเรย์อิที่เป็นเหมือนผู้ปกครองของฉันดังตามมา โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าการที่ยอมรับง่ายๆ ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตธรรมดาๆ ในความไม่ธรรมดาของฉัน(?) ให้มันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง...

 

-----------------

สวัสดีค่ะทุกคน (ยิ้ม โบกมือๆ)

เป็นน้องใหม่เพิ่งสมัครวันแรก แล้วก็ลงนิยายเลยเพราะเพื่อนชวน

ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

เรื่องนี้ลงทุกวันจันทร์ค่ะ

สามารถตามไปที่เด็กดีได้ที่ http://writer.dek-d.com/pankkie/writer/view.php?id=769566

เจอกันอีกทีหลังปีใหม่นะคะ ขอบคุณค่า~

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา