Whirligig : #1 อาถรรพ์ผีคุณไสย(The sorcery)
2) โรงเรียนใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโรงเรียนใหม่
โลกใบนี้เป็นโลกที่แสนจะน่าเบื่อ มนุษย์ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างแรงกล้า พวกเขาตั้งชื่อและแยกประเภทให้กับสิ่งที่เห็นอย่างเหน็ดเนื่อย แต่ถ้าเมื่อเจอกับสิ่งที่ไม่เข้าใจและไม่สามารถอธิบายได้...พวกเขาจะพร้อมใจกันเรียกมันว่า...ผี
ช่วย...ฉัน ด้วย ใคร...ก็ได้ ช่วย....ด้ว...
รุ่งอรุณลืมตาตื่นขึ้นจากฝัน เขาเอามือเกยหน้าผากตัวเองอย่างเหนื่อยล้า หลายวันมานี้เด็กหนุ่มสะดุ้งขึ้นกลางดึกทุกคืนเพราะความฝันที่ตามหลอกหลอนเขาในยามข่มตาหลับ ในฝันนั้นเขาได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากใครบางคน เป็นเสียงที่ขาดห้วง พอพยายามหาตั้งตอของเสียง เขากลับรู้สึกขยะแขยงแล้วก็ตกใจตื่นซะงั้น ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ฝันร้ายอะไรหรอก แค่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ
“รัน ตื่นรึยัง” รุ่งอรุณหรือรัน สะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความง่วง เขามีผมสีเหลืองซึ่งผ่านการย้อมมาเมื่อไม่นานนี้เอง ตาที่กลมโตคล้ายกระต่าย จมูกที่แลโดดเด่น ริมฝีปากบางเรียวบวกกับผิวที่ขาว บอกตรงๆเลยว่าเเป็นเด็กหนุ่มที่จัดว่าหล่อมาก
“ตื่นแล้วครับหลวงตา” เขาเปิดประตูออก พบพระรูปหนึ่งนั่นคือคุณตาแท้ๆของเขาเอง พ่อแม่ของรันเสียชีวิตตอนที่รันอายุได้ 5 ขวบ คุณตาก็เลยรับเลี้ยงเขาในฐานะเด็กวัดโดยปริยาย
“วันนี้วันพระไม่ต้องตามหลวงตาไปบิณฑบาตนะ รีบแต่งตัวไปเรียนเถอะ” ท่านมองเด็กหนุ่มผมทองด้วยความเอ็นดู
“ครับ” รันพยักหน้า เขาออกจากห้องไปกินข้าวที่โรงครัว แล้วก็รีบเข้าห้องไปแต่งตัว ส่วนการอาบน้ำแน่นอนว่าในห้องเขามีห้องน้ำในตัว
“สวัสดีครับหลวงตาผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มวิ่งออกจากวัดพร้อมไหว้หลวงตา
“อืม รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะสายนะ” หลวงตามองรุ่งอรณวิ่งไปจนลับตาแล้วพูดว่า “เด็กคนนั้นชักเหมือนโยมเข้าไปทุกทีแล้วน่ะ โยมอาทิตย์” พอหลวงตาพูดจบก็มีชายอายุ30กว่าๆปรากฎตัวขึ้นมาแล้วก็ยิ้มอย่างขำๆ จากนั้นเขาก็ไหว้หลวงตาแล้วก็หายไป
รุ่งอรุณวิ่งสุดชีวิตมาถึงป้ายรถเมล์ แล้วก็รีบขึ้นรถเมล์ทันที “โอ้ย นึกว่ามาไม่ทันแล้วเรา” เขาพูดปนหอบกับตัวเอง แล้วเขาก็เห็นอะไรบางอย่างบนรถเมล์ เป็นเด็กวัยรุ่นอาชีวะคนหนึ่งที่ชุ่มไปด้วยเลือดขณะที่คนอื่นบนรถเมล์เหมือนจะมองไม่เห็นอย่างที่เขาเห็น
“สงสัยรถคันนี้มีประวัติแฮะ” รุ่งอรุณพึมพำพร้อมมองไปนอกหน้าต่าง และคิดว่าทำไมเขาต้องมีสัมผัสที่ 6 ด้วยนะ ทำไมเขาต้องมองเห็นผี ตัวเขาเองก็สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ 5 ขวบ แล้วอยู่กับคุณตาที่เป็นเจ้าอาวาสในวัด แต่เขาก็ไม่เคยเห็นพ่อแม่สักครั้งจะเห็นก็แต่คนอื่น
เมื่อรถเมล์มาถึงหน้าโรงเรียนใหม่ของเขา รุ่งอรุณตื่นจากภวังค์เมื่อได้เห็นโรงเรียนใหม่ของตน บรรยากาศภายในโรงเรียนถมึงทึงด้วยความมืด หอนาฬิกาที่เด่นตระหง่านแต่ดูอึมครึมแฝงไปด้วยปริศนาที่คลุมเครือกับความจริง
เขามองกำแพงของโรงเรียน มันแลดูสูงใหญ่คล้ายว่าด้านหลังกำแพงนั้นมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่ แม้ว่าจะเห็นยอดต้นไทรที่สูงจนพ้นขอบกำแพง ก็ไม่ได้ทำให้ความเร้นลับนั้นจางหายไป
โรงเรียนอรุณปัญญา
รันมองป้ายชื่อโรงเรียนแวบหนึ่งแล้วยิ้มที่มุมปากเดินเข้าไปข้างใน ลมที่พัดกิ่งไทรปลิวไสวทำให้อาณาบริเวณนั้นดูเศร้าหมองไปถนัดตา แม้ว่าจะเป็นช่วงเช้าของวันก็ตาม
“ลุงครับ ให้ผมช่วยมั้ย” รันเห็นลุงคนหนึ่งท่าทางจะเป็นภารโรงถือกระบุงใส่ใบไม้อย่างทุลักทุเล
“อืม ขอบใจนะพ่อหนุ่ม” ศรชัยมองเด็กหนุ่มที่มาช่วยอย่างงงๆ แล้วก็กระบุงให้รัน
“ลุงครับ ห้อง4/4 อยู่อาคารไหนเหรอครับ” รันถาม หลังจากเอาใบไม้ในกระบุงทิ้งถังขยะ
“อ๋อ เพิ่งเข้ามาใหม่เรอะ ห้อง4/4 อยู่อาคารสี่ อาคารเดียวกับหอนาฬิกาที่ติดกับสนามบอลน่ะ” ศรชัยชี้ไปที่หอนาฬิกา
“ขอบคุณครับ” รันเดินผละจากศรชัยไปที่หอนาฬิกา
“ระวังตัวด้วยนะ อาถรรพ์ของโรงเรียนนี้ ไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้า” ศรชัยพูดเบาๆด้วยเสียงที่เย็นยะเยือกแล้วกวาดใบไม้ที่เหลือใส่กระบุง โดยไม่รู้เลยว่ารันได้ยินเสียงที่เขาพูด
อาถรรพ์งั้นเหรอ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่......
ทำไม ผมต้องกลัวของสนุกๆแบบนั้นด้วยล่ะครับ
รันกำลังเดินไล่ห้องเพื่อหาห้องเรียน เนื่องจากตึกอาคารสี่ค่อนข้างใหญ่บวกกับเขาเป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายมายังไม่คุ้นกับที่ทางของโรงเรียนนี้ จึงสรุปได้ว่าตอนนี้เขากำลัง ‘หลงทาง’อยู่
โครม!?!?
เพราะมัวแต่มองห้องไม่ได้มองทาง รันจึงได้ชนใครบางคนแต่ฝ่ายที่ล้มคว่ำกลับเป็นเขาซะเอง
“เธอเป็นอะไรรึป่าว” ธันวายื่นมือจับรันที่กองอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ขอโทษที่ชนนะครับ พอดีผมมัวแต่มองป้ายห้อง” รันจับมือที่ยื่นมา เขาสังเกตุว่าคนตรงหน้าคงเป็นอาจารย์ ถ้าดูจากการแต่งตัว
“เพิ่งย้ายมาใหม่เหรอ อยู่ห้องไหนล่ะ” ธันวาคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่ภายในดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลับอ้างว้างโดดเดี่ยวเหมือนว่าเจ้าของตาคู่นั้นซ่อนเร้บความลับที่สำคัญไว้
“ห้อง4/4ครับ” รันยิ้มรับ
“อ้าว ครูเป็นที่ปรึกษาห้องนั้นพอดี เอาไงดีล่ะจะเข้าแถวเคารพธงชาติแล้วด้วย” ธันวายกแขนดูนาฬิกาข้อมือ แล้วก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง
“อมรเวท!! พอดีเลย หลังเลิกช่วยพา เอ่อ....” ธันวาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อคนตรงหน้า
“รุ่งอรุณครับ” รันพูดแทรกขึ้น
“เธอพารุ่งอรุณเข้าห้องเรียนหน่อยสิ เขาอยูห้องเดียวกับเธอน่ะ” ธันวาผายมือไปทางอมรเวท
“ครับ อาจารย์” อมรเวทยิ้มละเมียดให้รัน ใบหน้าของเขาดูเป็นมิตรที่ไม่ได้เกิดจากการเสแสร้ง
กริ๊งงงงงงง!?!?
“ออดเข้าแถวแล้ว พวกเธอรีบไปเถอะ” ธันวาเดินผละจากรุ่งอรุณและอมรเวทเพื่อไปที่สนาม
“ฉันชื่อน้ำ นายชื่ออะไรอ่ะ” อมรเวทพูดทำลายความเงียบระหว่างที่เดินลงอาคารไปที่สนามบอลเพื่อเข้าแถวหน้าเสาธง
“ฉันชื่อรัน นายเป็นเด็กเก่าเหรอ” รุ่งอรุณหันหน้าถามคนที่เดินข้างๆ
“อืม ฉันเรียนที่นี่มาตั้งแต่ม.1” อมรเวทยังคงเดินไปเรื่อยจนถึงสนามบอล
หลังจากเข้าแถวเคารพเสร็จอมรเวทพารุ่งอรุณมาห้อง4/4 ซึ่งเป็นห้องเรียนประจำของพวกเขา ทันทีที่รุ่งอรุณเข้ามาในห้อง4/4 ทุกสายตาต่างมองมาด้วยเขาเนื่องด้วยสีผมที่สะดุดตาตัดกับใบหน้าที่ขาวนวลอันหล่อเหลาของเขาจนอาจทำให้นักเรียนหญิงที่อยู่ในห้องทุกคนหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
“นายนั่งเก้าอี้ข้างๆฉันก็ได้นะ ยังว่างอยู่” อมรเวทว่างกระเป๋าไว้บนโต๊ะของตน ในขณะที่รุ่งอรุณเดินตามหลังเขามาติดๆ
“อืม ทำไมคนในห้องมองฉันแปลกๆจัง” รุ่งอรุณว่างกระเป๋าบนโต๊ะข้างๆอมรเวท
“ก็ผมนายเหลืองซะขนาดนั้น แถมหน้าตาหล่อยังกับนักร้องเกาหลี ไม่สะดุดตาก็แปลกเต็มทีแล้ว” อมรเวทนึกขันรุ่งอรุณ ในโรงเรียนของเขาไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องทรงผมมากนั้น ใครจะทำผมทรงอะไร หรือสีผมอะไรก็ได้ แต่อมรเวทเลือกที่จะซอยผมธรรมดา ผมของเขามีสีดำซึ่งเข้าหน้าตาของเขา อมรเวทเองก็มีหน้าตาที่หล่อไม่น้อยกว่ารุ่งอรุณ เขามีรูปร่างที่สูงโปร่งทำให้แลดูภูมิฐานต่างจากรุ่งอรุณที่ดูหล่อแบบน่ารัก
“น้ำ!!!! พาใครมาด้วยเนี่ย หน้ายังกับพระเอกหนังเกาหลีแน่ะ” เสียงปริศนาที่ดังขึ้นทำให้สองหนุ่มหันไปตามเสียง
“ เขาชื่อรุ่งอรุณน่ะ เป็นเด็กใหม่เพิ่งย้ายเข้ามา” อมรเวทหันไปคุยกับเด็กสาวที่เป็นเจ้าของเสียง
“นั่น แฟนนายเหรอ?” รุ่งอรุณขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ คนข้างหลังต่างหากล่ะ” อมรเวทส่ายหน้า
รุ่งอรุณหันมอง เขาเห็นเด็กสาวสองคนยืนอยู่ คนที่ยืนข้างหน้าและเป็นเจ้าของเสียง เธอมีหน้าตาที่สะสวยส่อแววลูกคุณหนู ผิวขาวละมุนตัดกับผมสีน้ำตาลอ่อน ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังมีหน้าตาที่ค่อนข้างน่ารัก ดวงตาที่คมกลมโตทำให้เธอสวยแบบคมขำน่ารัก
“สวัสดี ฉันชื่อนัน นายชื่อเล่นอะไรล่ะ” นันทภาเอียงคออย่างน่ารัก
“รัน” รุ่งอรุณมองเด็กสาวที่บอกว่าเขาเหมือนพระเอกหนังเกาหลีอ แล้วหันมองเด็กสาวอีกคนที่อยู่ข้างหลังนันทภา
“สวัสดี ฉันชื่อนาฏจันทร์ เรียกจันทร์เฉยๆก็ได้” รุ่งอรุณพยักหน้าเล็กน้อย
“ไง เพื่อนใหม่” รุ่งอรุณมองเจ้าของเสียงนั้น เห็นเด็กหนุ่มที่ยิ้มจนตาหยีมาให้เขามีผมดำสนิทตัดกับผิวที่ขาว ภายในดวงตามีแต่ความทะเล้นปนซุกซน มันทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากเวลาที่จ้องมอง
“ฉันชื่อเพทาย” รุ่งอรุณพยักให้เขาเล็กน้อย แล้วหันไปมองเด็กหนุ่มสองที่พูดถึงเรื่องการบ้านฟิสิกส์ เพราะพวกเขาพูดกันเสียงค่อยข้างดัง
“ไอ้กร ฉันไม่เข้าใจการบ้านฟิสิกส์ข้อยี่สิบว่ะ”
“เหรอ ข้อสุดท้ายแล้วนี่ มันคงดีมากถ้านายไม่ไล่ถามฉันตั้งแต่ข้อหนึ่งนะไอ้เจีย”
“ก็...ก็มันไม่เข้าใจเลยซักข้ออ่ะ”
“หืม” รุ่งอรุณนึกขันกับคำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสอง
“สองคนนั้นน่ะ เป็นเพื่อนในกลุ่มฉันเอง คนที่ตาตี่ๆ ชื่อ กร ส่วนคนตัวใหญ่ชื่อ เจีย” อมรเวทชี้ไปทางที่นั้งของสองคนนั้น ดูเหมือนเด็กหนุ่มทั้งสองจะรูว่ามีคนกำลังกล่าวถึงพวกเขาอยู่
“หวัดดี นายเป็นเด็กใหม่ใช่มั้ย ฉันชื่อกร” กรเลิศเดินเข้ามาในกลุ่มเพื่อหนีเจียระไน
“ฉันชื่อเจียนะ ไอ้กรนายยังไม่ได้อธิบายข้อยี่สิบให้ฉันฟังเลยนะ” เจียระไนแนะนำตัวให้รุ่งอรุณพร้อมกับตามตื้อกรเลิศ
“ให้ฉันช่วยอธิบายให้มั้ย” เสียงเด็กสาวปริศนาดังขึ้น รุ่งอรุณหันมองด้วยความอยากรู้ว่าผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นคือใคร เธอเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตที่ดูใสซื่อ ใบหน้าที่เรียวได้รูป เวลาเธอยิ้มให้เจียระไนเหมือนกับว่าตาเธอยิ้มตามไปด้วย
“จริงเหรอ เพียง” เจียระไนถามเพียงฤทัยอย่างดีใจ
“อืม” เพียงฤทัยพยักหน้าเล็กน้อย
“เธอคนนั้นน่ะ ชื่อเพียง แอบชอบล่ะซิ จ้องใหญ่เลย” เพทายกอดคอรุ่งอรุณอย่างสนิทสนม
“ก็แค่คิดว่าตอนยิ้มเขาก็น่ารักดี ” ตั้งแต่เข้าห้องมาตอนแรกรุ่งอรุณได้สังเกตุเพียงฤทัย เธอเป็นอะไรที่สะดุดตามาก เพราะหญิงสาวเอาแต่นั้งอ่านหนังสือเหมือนกับว่ามีโลกส่วนตัวที่ไม่ให้คนอื่นย่ำกรายผ่านไปได้ แววตาเธอในครั้งแรกมีแต่เความเศร้าสร้อย บรรยากศรอบตัวมีแต่ความเย็นยะเยือกจนน่าขุนลุกคล้ายแฝงความนัยน์บางอย่าง ตอนนี้รุ่งอรุณได้พอใจความอยากที่จะหยั่งถึงความในใจของหญิงสาว
ไม่นานนักเพียงฤทัยก็อธิบายการบ้านให้เจียระไนเสร็จ เธอเงยหน้าขึ้นพอดีกับรุ่งอรุณมองเธอ สายตาทุกคู่สบกันพอดี
ช่วย...ฉัน ด้วย ใคร...ก็ได้ ช่วย....ด้ว...
ได้...โปรด ฉัน...ทร..มาน เหลือ...เกิน
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นในโสตประสาทของรุ่งอรุณ มันเป็นเสียงที่เขาได้ยินในฝันซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลับไม่เต็มตื่นเมื่อคืนนี้และก่อนหน้านี้อีกหลายสัปดาห์ด้วย เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนรุ่งอรุณเริ่มปวดหัว
“นายเป็นอะไรอ่ะรุ่งอรุณ หน้าซีดเชียว” อมรเวทเดินเข้ามาใกล้ๆรุ่งอรุณ
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับนะก็เลยปวดหัว” รุ่งอรุณก้มหน้ากุมขยับนั่งลงบนเก้าอี้ โชคดีที่เสียงนั่นเงียบไปแล้ว ไม่งั้นเขาต้องสติแตกแน่ๆ
“ไปห้องพยาบาลมั้ย” นาฏจันทร์ถาม
“ไม่ล่ะ ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว” รุ่งอรุณเงยหน้าตอบ
“แต่หน้านายยังซีดอยู่เลย ฉันว่าไปห้องพยาบาลดีกว่านะ” นันทภาไม่พูดป่าว เธอดึงแขนรุ่งอรุณลุกขึ้นจากโต๊ะพาเดินออกจากห้องไป
“นี่เธอ เบาๆ สิ เดี๋ยวรุ่งอรุณก็ล้มหรอก” เพทายเข้ามาประคองรุ่งอรุณไว้ รุ่งอรุณเกิดอาการหน้ามืดจากการเปลี่ยนอิริยาบถอย่างกระหันทัน
“ฉันหน้ามืดอ่ะ ค่อยๆเดินได้มั้ย” รุ่งอรุณโดนลากทึ้งลงบันไดโดยเพื่อนทั้งสอง นันทภา....เจ้าแม่เสียงสิบแปดหลอด เพทาย....เด็กหนุ่มจอมทะเล้น ทั้งสองพารุ่งอรุณกึ่งวิ่งกึ่งเดินโดยไม่รู้เลยว่าการเดินลงบันไดโดยไม่เห็นทางนั้น สร้างความหวาดเสียวให้กับรุ่งอรุณมากเพียงใด
“เกิดอะไรขึ้น!” เมื่อเสียงของชายหนุ่มปริศนาดังขึ้น รุ่งอรุณจำได้แม่นว่า...เป็นเสียงของธันวา
“อยู่ๆรุ่งอรุณหน้ามืดน่ะค่ะ ก็เลยจะพาเขาไปห้องพยาบาล” สีหน้านันทภาบอกถึงความกังวล
ก็เธอเล่นลากฉันมา แบบไม่ให้ตั้งตัว
ฉันถึงได้หน้ามืดยังงี้ไงล่ะ
“’งั้นรีบพาเขาไปห้องพยาบาลเลยดีกว่า” ธันวาเดินนำลงบันได เพราะห้องพยาบาลอยู่ชั้นล่าง
“ครับ” เพทายกำลังประคองรุ่งอรุณลงบันไดโดยมีนันทภาช่วย แต่แล้วเขาสะดุดอะไรบางอย่างจนเสียหลัก ทำให้รุ่งอรุณและนันทภาเซตามเพทายไปด้วย รุ่งอรุณรับรู้ว่าตัวเองกำลังเสียการทรงตัวเขาจึงคว้าจับราวบันไดแน่นโดยสัญชาติญาณ นันทภาถูกอาจารย์ธันวารั้งตัวไว้ทันก่อนจะตกบันได เมื่อรุ่งอรุณที่เกาะราวบันไดอยู่เริ่มทรงตัวได้อีกครั้ง เขารู้สึกถึงการหายไปของใครบางคน
รุ่งอรุณพยายามปรับสายตาลงไปที่ปลายบันไดข้างล่าง เขาเห็นใครบางคนนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ภาพที่เลือนลางเริ่มชัดขึ้น รุ่งอรุณรู้แล้วว่า ใครบางคนที่หายไปเมื่อได้เห็นเพทายนอนนิ่งราวกับศพอยู่ที่ปลายบันได
กรี้ดดดดด!!!!!!!
เมื่อกรีดร้องของนันทภาดังขึ้น สติสัมปชัญญะของรุ่งอรุณเกิดเป็นอัมพาตชั่วคราว ความหนาวเย็นก็เริ่มไต่ขึ้นจากปลายไล่ขึ้นถึงศีรษะ ในขณะที่เขาสับสนอยู่นั้น..............
“รีบพาเพทายไปห้องพยาบาลเถอะ” จู่ๆเพียงฤทัยก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เธอพูดด้วยเสียงที่เย็นเฉียบจนน่าขนลุก
นี่นะเหรอ อาถรรพ์ของโรงเรียนนี้
คงไม่ใช่แล้วล่ะมั้ง นี่มันโรงเรียนต้องสาปชัดๆ!!!!!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ