เพลิงสวาท... รุ้งมารายา
4) สัญญาณจากสัญญา (NC 18+)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔
แสงแดดทอประกายแยงตาทะลุผ่านรอยต่อของผ้าม่านสีครีมที่ปิดไม่สนิท รอยยิ้มปรากฏพิมพ์บนใบหน้าของคนทั้งคู่ เมื่อลืมตามาพบกันเข้าพอดี บนโซฟาตัวยาวสามารถรองรับสองร่างได้พอดิบพอดี หากแต่ต้องแนบชิดอิงแอบกันก็จะไม่ลำบากนัก
ชั่วพริบตาเดียวจากรอยยิ้มนั้นกฤตกรก็แปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นอื่นในตรงกันข้าม จรรย์อมรเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นอะไรไปคะ?” หล่อนถามพร้อมกับมือเรียวบางที่ลูบไล้อยู่บนทรวงอกของเขา
สายตาของอีกฝ่ายลำบากใจ “ผมขอโทษนะครับ” เขาบอก
“เรื่อง?”
“ก็เรื่องเมื่อคืนทั้งหมด...”
หญิงสาวจ้องแววตาวิตกของเขา
“คงเพราะผมเมา...”
“ไม่ค่ะ” หล่อนยกนิ้วชี้ขึ้นวางทาบทับริมฝีปากเขา “ถ้าเพียงแต่คุณบอกฉันว่า... เมื่อคืนคุณมีสติดีทุกประการ ฉันก็จะยินดีกับมันค่ะ”
แววตาของหล่อนช่างอ่านออกได้ยากเย็นเหลือเกิน
“ครับ... เมื่อคืนผมรู้ดีว่าทำอะไรลงไป” กฤตกรพยักหน้ายอมรับอย่างไม่ขัดเขิน
“แล้วเพราะอะไรถึงทำอย่างนั้นล่ะคะ? ถ้าไม่ใช่เหตุเพราะคุณเมา”
“คือว่า...” สีหน้าของเขาลังเล คิ้วย่นเข้าหากันใช้ความคิด
หล่อนรอฟังคำตอบ “อะไรคะ? ฉันอยากฟังจะแย่”
“ผมรู้สึกพิเศษกับคุณ” เขาบอกพร้อมยิ้มบางๆ
“จริงหรือคะ?” หล่อนถามกลับน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“จริงครับ ความรู้สึกพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน” สบนัยน์ตาเย้ายวนนั้นพร้อมกับเกลี่ยไล่ไรผมที่หน้าผากของหญิงสาวในอ้อมแขน
จรรย์อมรยิ้มอย่างพอใจ “แน่นะคะ?”
“ผมดูเหมือนคนเจ้าเล่ห์กลับกลอกงั้นเหรอ?”
หล่อนยกยิ้มเหยียดๆ อย่างหมันไส้ “ถ้าอย่างนั้นคงต้องจัดรางวัลชุดเล็กให้ซักหน่อยแล้ว” ว่าพร้อมหมุนตัวเองขึ้นคร่อมร่างกำยำอย่างรวดเร็ว
ไม่พูดพล่าม... โดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว หล่อนก้มลงแทรกลิ้นลงในปากที่อ้าค้างของเขา ไม่ต้องพูดอะไรอีกเป็นการปิดปาก มีเสียงร้องอู้อี้ดังออกมาจากลำคอของชายหนุ่ม
เขาดันศีรษะหล่อนออกเมื่อรู้สึกหายใจไม่ทัน ปริ่มจะขาดใจอยู่แล้ว...
“อยู่เฉยๆ ค่ะ รางวัลพิเศษนี้ ฉันจะเป็นคนจัดการให้คุณเอง” หล่อนบอกพร้อมสูดลมหายใจเข้าถี่ๆ
ดวงตาคมวาววับเมื่อจ้องมองแมวสาวหิวสวาท คิ้วดกหนายกขึ้นพร้อมยิ้มกริ่มที่มุมปาก สีหน้าท้าทายฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงกลัว “เอาเลย ผมจะยอมพรุนให้คุณแทะโลมไปทั้งตัว”
หล่อนเหยียดยิ้มอย่างชอบใจก่อนจะตวัดผ้าห่มสีขาวที่พันธนาการร่างกายของทั้งคู่ออกจนเผยเห็นร่างเปลือยเปล่าซึ่งค้างอาบแสงจันทร์มาตั้งแต่เมื่อคืน
สองมือของหล่อนบีบคลึงอยู่ที่กล้ามหน้าอกของเขา ขณะที่ใบหน้าก็ซุกไซ้อยู่กับแก่นกลางของร่างหนา เสียงแห่งความสุขในยามเช้าดังผ่านลำคอออกมาเป็นเสียงนุ่มทุ้ม
...พระเจ้า เธอจัดการมันได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ...
มีเพียงคำชื่นชมจากความชื่นชอบพอใจเท่านั้นในวินาทีนี้
จรรย์อมรกระตุกหน้าขึ้นมองใบหน้าของเขาในแนวราบ “คุณพร้อมนะคะ?”
คนถูกถามขยิบตาให้เป็นคำตอบ หล่อนจึงยกตัวเองขึ้นมาคร่อมบนร่างบึกบึนอีกครั้ง หากแต่ทว่าจ่อศูนย์อยู่ที่แก่นกลางชูชันของเขา
“เข้ามาเลยที่รัก ผมพร้อมจะให้คุณมาเป็นส่วนหนึ่งของผมแล้ว”
เป็นไปอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง เมื่อผสานกันแน่นลึกจนถึงที่สุด ความสุนทรียะก็ปะทุขึ้นในใจของทั้งคู่พร้อมๆ กัน
มันเหมือนกับแสงอุ่นๆ ของดวงอาทิตย์ ราวกับแสงสีทองที่กำลังอาบไล้บนเรือนร่าง...
ความอบอุ่นอิ่มเอมเริ่มจากตรงจุดนั้น เมื่อผ่านการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ฝ่ามือทั้งสองข้างก็ถูกประสานให้เป็นหนึ่งเช่นเดียวกัน มันยิ่งบีบรัดเมื่อบทเพลงถูกเร่งเร้าให้จังหวะมันถี่สูงขึ้นไปอีก
“เป็นรางวัลที่วิเศษมาก” ชายหนุ่มคราง
...ราวกับเป็นความฝัน...
เมื่อดำเนินถึงจุดหนึ่ง ความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็วก็มาจากเบื้องล่าง จรรย์อมรแอ่นกายพร้อมแผดเสียงอย่างเร้าร้อน มันถูกเร่งเสียจนหล่อนไม่อาจฝืนทนอยู่ได้ ก่อนเสียงครางครั้งสุดท้าย มันก็ระเบิดออกมาราวกับพลุ ราวกับลอยได้... ร่างของหล่อนเบาหวิวบนเชิงเทียนที่กำลังกระหน่ำไม่ยั้ง
จนสุดท้ายก็เป็นอีกฝ่ายที่ทะลักออกมา กฤตกรเหยียดกายขึ้นสุดเมื่อถึงจุดนั้น น้ำรักหล่อหลอมความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี นานหลายนาทีกว่าที่ทุกอย่างจะสิ้นสุด
เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผากของทั้งคู่ ไม่เว้นแม้ตามเรือนร่าง มันออกมาทุกอณูรูขุมขน
จรรย์อมรก้มตัวลงซุกหน้าบนแผงอกเปียกชื้นของเขา ได้เสียงหัวใจเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ รับกับเสียงลมหายใจถี่ๆ ที่พวยพุ่งออกมาจากปลายจมูก
“คุณชอบรางวัลนี้มั้ยคะ?”
“ชอบ... ชอบมาก ขอบคุณมากนะครับ”
มือหนายกขึ้นสวมกอดแล้วจุมพิตแผ่วเบาที่กลางกระหม่อมเป็นการปิดท้าย
“คุณพจน์รออยู่ที่ห้องอาหารค่ะ”
กฤตกรยักคิ้วให้กระต่ายเพื่อบอกว่าเขารับรู้ ก่อนจะเดินอาดๆ พร้อมผิวปากตามสาวใช้ไปอย่างอารมณ์ดี
หันชำเลืองมองน้องชายที่เพิ่งโผล่มาเอาป่านนี้ กฤตพจน์วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปจับหูแก้วกาแฟขึ้นมายกจิบแทน
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่ชาย” เขาร้องทักแล้วเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งข้างๆ กัน
“ดูท่าเมื่อคืนจะพิเศษ”
“แน่นอน ทั้งพิเศษและวิเศษ” ดวงตาคมเปล่งประกายเจิดจ้า
“ยังไงล่ะ?”
“จำที่ผมเคยเล่าให้พี่ฟังได้มั้ย คนที่สลับกระเป๋ากับผมน่ะ”
อีกฝ่ายพยักหน้าเมื่อนึกได้เลาๆ ก่อนจะคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางอ่านส่วนที่ค้างไว้ต่อ
“นั่นแหละพี่ เธอนะ สุดยอดไปเลย!” มีเสียงดัง ‘เป๊าะ’ จากการดีดนิ้ว
“ถูกใจขนาดนั้นเลยเหรอ?” กดหนังสือพิมพ์ลงเหลือบตามองน้องชายอย่างแปลกใจ
“ไม่คาดคิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้”
“ผู้หญิง ‘ง่าย’ ? ก็ไม่ดีน่ะสิ” กฤตพจน์ย่นคิ้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้นพี่พจน์” เขาโบกมือปัด “หมายถึงว่าทุกสิ่งมันเป็นใจอย่างไม่คาดคิดมาก่อน แล้วผู้หญิงง่ายของพี่น่ะ ผมกลับมองว่าเป็นเสน่ห์ของความเร่าร้อนมากกว่า ความเร่าร้อนรุนแรงที่เธอมอบให้กับผม”
พี่ชายเหยียดยิ้มมุมปาก “ดูท่าว่านายจะโงหัวไม่ขึ้นซะแล้วนะเนี่ย”
“ยอมรับว่าหลงไปเต็มๆ”
กฤตพจน์หัวเราะลงลูกคอ “ยังไงก็ดูให้มันดีๆ ล่ะ ผู้หญิงสมัยนี้ก็ไว้ใจยากไม่แพ้กัน จิตใจของบางคนก็รวนเรปรวนแปรไม่ต่างจากผู้ชายหรอก” ดวงตาคมฉายแววกระด้างเหม่อมองไปเบื้องหน้า
กระต่ายนำจานอาหารเช้าแบบฝรั่งมาวางเสิร์ฟตรงหน้ากฤตกร เขาเบ้ปากแล้วดันมันออก “แหวะๆ จะให้ฉันกินมันอีกจริงๆ เร๊อะกระต่าย”
“ทำไมคะ?” สีหน้าของหล่อนตกอกตกใจ
“รู้มั้ยว่าการใช้ชีวิตของฉันที่อังกฤษกับอาหารขยะพวกนี้มันน่าสะอิดสะเอียนขนาดไหน”
สาวรับใช้ส่ายหน้า
“เธอชอบกินน้ำพริกกับผักสดใช่มั้ยล่ะ?”
หล่อนพยักหน้างงๆ
“นั่นแหละๆ ถ้าวันนึงฉันบังคับให้เธอเลิกกินมัน แล้วยัดเยียดให้กินแต่พิซซ่าล่ะ”
“ไม่เอาล่ะค่ะ มันแพง”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ส่ายหน้าช้าๆ “เข้าใจอะไรยากจริง เอาเป็นว่าถ้าฉันเลี้ยงเธอด้วยพิซซ่าทุกวัน ทุกมื้อ จะรู้สึกยังไง?”
กระต่ายทำหน้าเลี่ยนๆ “มีครั้งนึงที่ได้ชิมตอนคุณผู้หญิงเมตตาเลี้ยงฉลองวันเกิดให้ กินไปแค่ไม่เท่าไหร่ก็เอียนเลี่ยนจะแย่ ขืนต้องกินทุกวันทุกมื้อ มีได้อ้วกแตกอ้วกแตนกันบ้าง”
กฤตกรหัวเราะร่าอย่างชอบใจ คำตอบซื่อๆ ของหล่อนจี้เส้นดีนัก “ฉะนั้น เข้าใจฉันแล้วใช่มั้ย?”
คราวนี้กระต่ายพยักหน้าหงึกหงัก รีบเก็บสำรับเบรกฟัสต์ไปโดยไว “แล้วคุณกรจะรับอะไรแทนดีคะ?”
“ฉันอยากกินข้าวต้มหมู โรยพริกไทยเยอะๆ”
“รับทราบค่ะ” ผงกหัวพร้อมเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วแล้วก็เดินหายไป
“แค่นี้ยังเผ็ดร้อนไม่พออีกรึไง ถึงต้องให้โรยพริกไทยเยอะๆ” พี่ชายเอ่ยแซว ขณะทั้งใบหน้าเข้มยังจมหายไปกับหน้าหนังสือพิมพ์
“ยังครับ มันต้องมีต่อ” คำตอบออกมาพร้อมประกายตาแห่งความมุ่งมั่น
เขาจะไม่มีวันปล่อยผู้หญิงคนนี้ให้หลุดมือไปแน่...
“ถ้าคิดจริงจังจนถึงขั้นตบแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราวมันก็ดีนะ” กฤตพจน์เปรยพร้อมกับวางหนังสือพิมพ์กลับลงบนโต๊ะเมื่ออ่านคอลัมน์ที่สนใจจบ
“แต่งงานงั้นเหรอ?”
“ใช่ นายเคยคิดเอาไว้บ้างรึเปล่า ว่าอนาคตชีวิตคู่จะเป็นอย่างไร”
คนถูกถามส่ายหน้า “คิดตอนนี้มันจะเร็วไปรึเปล่า” กฤตกรพึมพำ
“ตั้งแผนเอาไว้จะได้มีเป้าหมาย” ก้มหน้าจับมีดหั่นไส้กรอก “นายเองก็จะเรียนจบอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว ออกมาก็ไม่ต้องเร่ร่อนหางานทำให้เหนื่อย แล้วจะมีอะไรให้ต้องคิดนอกจากเรื่องนี้” ฉาบสีหน้าชวนคิดแล้วก็นำอาหารเข้าปาก
กฤตกรเกาปลายจมูก “ว่าแต่พี่เองเถอะ ทำไมป่านนี้ยังไม่เห็นเงาของว่าที่พี่สะใภ้ผมเป็นตัวเป็นตนซักทีล่ะครับ” เขาย้อน
กฤตพจน์เหลือบตาขึ้นมองน้องชาย เขานิ่งไปชั่วขณะอย่างใช้ความคิด “มีสิ แต่นายยังไม่เห็นเธอต่างหาก”
“ถ้าพี่ไม่เอาเธอมาขลุกอยู่ที่บ้านเราเหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านมา แล้วเอาเธอไปซ่อนไว้ที่ไหนล่ะ” ดวงตาสุกสกาวมาพร้อมความสงสัย
คนถูกถามขบกรามแน่นจนเห็นเป็นรอยนูน “ถ้าเธอพร้อมเมื่อไหร่ นายก็จะได้เห็นเอง” บอกปัดตัดบทให้จบดื้อๆ แล้ว ก็ก้มหน้าจัดการกับสเต็กเนื้อปลาชิ้นใหญ่ในจานต่อ
กฤตกรเบ้ปากพร้อมๆ กับที่กระต่ายยกชามข้าวต้มหมูโรยพริกไทยเยอะๆ มาวางเสิร์ฟพอดี
“ฮัดเช้ย!” เสียงจามดังลั่น เร้าให้ทุกคนสนใจ คนหน้าแดงขยี้ปลายจมูกตัวเองแรงๆ “ฉุนเป็นบ้าเลย” เขาร้องครวญ
“อยากให้ร้อนรุ่มเข้าไปในทรวงมันก็ต้องพิษร้ายอย่างนี้แหละ” ฝ่ายตรงข้ามเปรียบพร้อมยิ้มหยัน
“ถ้าไม่ถึงตาย ผมรับได้ แสบๆ คันๆ ถึงรสถึงชาติดีออก” ใช้เหตุผลตัวเองแถเข้าสู้พร้อมรับกระดาษทิชชู่จากสาวรับใช้ไปซับที่จมูก
“ชักอยากเห็นซะแล้วสิ...”
“ใครฮะ?”
“ผู้หญิงของนายไง”
“ผมตั้งใจจะให้เธอมาทำความรู้จักกับพี่พจน์อยู่แล้ว และก็พ่อแม่เราด้วย” หยิบช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า
“อย่างนั้นเหรอ นี่แสดงว่านายคิดจริงจังกับเธอเข้าแล้ว”
กฤตกรยักไหล่ “คงงั้นมั้งครับ ผมแค่คิดว่าผู้หญิงที่ฟังก์ชั่นครบตามอย่างที่ผมต้องการมันหายากเหลือเกิน ถ้าจะปล่อยให้หลุดลอยไป ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอแบบนี้อีกเมื่อไหร่”
“ดี... งั้นวันเกิดพี่วันมะรืนนี้ นายก็ชวนเธอมาปาร์ตื้ที่บ้านเราด้วยสิ ถือโอกาสทำความรู้จักกันไปด้วยเลย ขี้คร้านพอเห็นบ้านเราแล้วเธออาจจะไม่อยากออกไปอีกก็ได้”
“อย่าว่าเธอในแง่ร้ายอย่างนั้นสิครับ เธอรู้จักครอบครัวเรา และดูท่าจะรู้จักดีซะด้วย เธอรู้ว่าผมคือน้องชายของพี่พจน์ รู้ว่าตระกูลเราทำอะไร พ่อแม่ชื่ออะไร”
“น่ากลัว”
“ไม่รู้สิครับ ถึงเธอจะหลอกเรา ผมก็ยินดีนะ” เจ้าของใบหน้าทะเล้นพูดติดตลก หากแต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มจางๆ เท่านั้น
“เพราะอย่างนี้ นายควรจะรีบพาเธอมาให้พี่ช่วยแสกน” สายตาของเขาจริงจังเสียจนน้องชายเริ่มขยาด
“พี่เริ่มทำให้ผมไม่ไว้ใจแล้วนะ”
“ไอ้บ้าเอ้ย นายยังเห็นฉันเป็นพี่ชายอยู่รึเปล่าวะเนี่ย!”
ตรงกลางคือหญิงสาวหน้าตาสะสวยสมวัยคนหนึ่ง ด้านซ้ายคือเด็กผู้หญิงยิ้มยิงฟันแหยๆ เหมือนถูกบังคับส่วนฝั่งซ้ายเป็นเด็กผู้ชายยิ้มสวยทำท่าทางคุ้นชินกับการถ่ายรูป
...รูปนี้มันกี่ปีเข้าไปแล้วนะ...
จรรย์อมรครุ่นคิด
...สิบปี... ไม่สิ ต้องเป็น สิบห้าปี เพราะตอนนั้นไปเที่ยวน้ำตกฉลองวันเกิดอายุเก้าขวบกันพอดี...
หล่อนยังจำได้ ภาพถ่ายที่ถืออยู่ในมือเป็นสีเหลืองออกน้ำตาลแล้ว เนื่องมาจากการจัดเก็บดูแลที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
เด็กผู้หญิงตัวกระดำกระด่างคนนั้นคือจรรย์อมล หญิงตรงกลางคือสุดาแม่บังเกิดเกล้า ส่วนเด็กผู้ชายหัวโปกเกรียนยืนเกาะแขนแม่เอียงคอยิ้มหวานคือหล่อนเอง เด็กชายจรรย์อมรในวันวาน
ใช่แล้ว... หล่อนเคยเป็นผู้ชาย เรื่องนี้นอกจากคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดในละแวกบ้านเกิดแล้วไม่มีใครรู้
ดูเนียนเสียขนาดนี้ ไม่เหลือเค้าของความกำยำในบุรุษเพศอยู่เลย ทุกประจักษ์สายตาต่างตัดสินว่าหล่อนคือผู้หญิงแท้ๆ คนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นผู้หญิงสวยและพราวเสน่ห์ให้ชวนหลงใหลมากอีกด้วย
มีขายหลายคนพร้อมจะพลีกายถวายหัวเป็นพ่อบุญทุ่มให้ ไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ หัวล้านหัวดก ต่างตกอยู่ในมนต์สะกดของดวงตาเย้ายวนชวนระทวยกันทั้งนั้น
เหยียดยิ้มที่มุมปากแสดงความรู้สึกสมเพชบนใบหน้า
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในนั้นคือกฤตกร น้องชายของกฤตพจน์ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้จรรย์อมลพี่สาวเพียงคนเดียวชองหล่อนต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนา
ยังหรอก... มันยังไม่ถึงคราวของเขา รอเพียงแค่จังหวะอันสมควรจากสถานการณ์อันเหมาะสมเท่านั้น
อย่างถึงพริกถึงขิง แม้จะยังไม่แซ่บซ่านร้อนแรงถูกปากอย่างเครื่องต้มยำในหม้อไฟร้อน แต่เมื่อคืนหล่อนก็ได้ร่วมรักกับเขาไปแล้ว คุณกฤตกร โชติอนันต์
...พึงพอใจมากเสียด้วย... หากเขามารู้ทีหลังว่าเคยมีอะไรกับอดีตผู้ชายด้วยกัน... จะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ...
แค่นึกก็สะใจ มันจะเป็นมลทินให้กับผู้ชายแท้ๆ อย่างเขาไปจนชั่วชีวิต ต่อให้ล้างยังไง มันก็คงไม่อันตรธานหายไปจากความทรงจำง่ายๆ
สำหรับหล่อน มันง่ายดายอยู่แล้ว กับสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนแบบนี้ หากแต่มันคงจะเป็นไปตามความคาดหมาย ถ้าเขาเกิดหลงรักหล่อนอย่างหัวปักหัวปำขึ้นมาจริงๆ
“อุแว้... อุแว้...”
ในห้องนอน... กฤตพจน์ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงร้อง ฟังชัดๆ มันคือเสียงร้องของทารกแสบแก้วหูเสียจนทนฝืนข่มตาลงต่อไม่ได้
เขากระตุกตัวเองลุกลงจากเตียงอย่างหัวเสีย
...เสียงบ้านั่น!...
มันดังมาจากข้างนอก... เขาจึงเดินอาดๆ ไปเปิดประตูห้องนอน พบเพียงความว่าเปล่า แต่เสียงกระจองอแงน่ารำคาญก็ยังกรีดร้องต่อเนื่องไม่ยอมหยุด
“กระต่าย!” ตะโกนร้องเรียกสาวใช้ น้ำเสียงเจือความอดทนในจุดต่ำสุด
แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของคนถูกเรียก
“กระต่าย! ฉันเรียกไม่ได้ยินรึไง!” ร้องตะโกนอีกครั้ง พร้อมกับเดินลงบันไดเพื่อตามหาต้นตอของเสียง
ยิ่งออกตามหาก็ดูเหมือนจะไกลออกไปทุกที
มาถึงโถงชั้นล่าง ก็พบเพียงความมืดและความว่างเปล่า ไม่มีใครตื่นตระหนกกุลีกุจอตามออกมาจากเสียงร้องเอ็ดตะโรโหวกเหวกของเขาสักคน
ไม่สนแล้ว เสียงนั่นมันดังไม่ไกลจากตรงนี้ ดังมาจาก...
หน้าประตู!
ตระหนักชัดแจ้งดังนั้นแล้ว เขาก็จ้ำพรวดๆ เปิดประตูไม้สักออกไปทันที แล้วก็พบว่ามันมาจากตรงนี้จริงๆ
แต่ทว่า...
ผู้หญิงที่ยืนหันหลังให้กับเขาคือใครกัน
เธอผมยาวและอยู่ในชุดผ้าอองฟองสีขาวพลิ้ว
...รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด...
เสียงเล็กแหลมของทารกยังไม่ขาดสาย ก่อนร่างนั้นจะค่อยๆ หมุนตัวกลับมาอย่างช้าๆ ให้เขาประจักษ์แก่สายตา
“มล!” ใบหน้าชายหนุ่มซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าไร้แวว ดวงหน้าซีดเซียวเหมือนคนที่อดนอนมาเป็นเวลานาน และดูเหมือนจะนานมากทีเดียว
ผมเผ้าของเธอสยายปลิวไปตามแรงลมเช่นเดียวกับชุดที่เธอสวมใส่ ในอ้อมอกมีห่อผ้าซึ่งเดาว่าคงจะห่อหุ้มร่างของทารกน้อยเจ้าของเสียงร้องไว้
ภาพที่เห็นมันน่าขนลุกเหลือเกิน...
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง เอ่อ ฉันหมายถึง ทำไมถึงมาเอาป่านนี้” เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้าคนถาม
แต่หญิงสาวไม่ตอบ เธอยื่นเด็กน้อยมาตรงหน้าเขา
“แล้วนี่มันเด็กที่ไหนกัน?”
“ลูกเราไงคะพจน์” เสียงของเธอเรียบนิ่ง แต่ฟังยะเยือกรูหู
“ลูก?” กฤตพจน์ทวนซ้ำอย่างแปลกใจ “เธอคลอดก่อนกำหนดรึไง ไม่สิ ถ้านับตามจริงแล้ว มันยังไม่เป็นตัวด้วยซ้ำ”
“นี่ล่ะ ลูกของเรา”
“ไม่ เธอโกหก จะเล่นตลกอะไรกับฉันอีก”
ใบหน้าของหญิงสาวเศร้าหมอง “ฉันไม่เคยโกหก... และเล่นตลกอะไรกับคุณ หัวใจทั้งดวงของฉัน มีแต่ความจริงใจมอบให้คุณตลอดมา...”
ก้อนน้ำลายในคอ ช่างกลืนลงได้ยากลำบากเหลือเกินในเวลานี้
“รับลูกกับฉัน กลับมาอยู่กับคุณเถอะนะคะ”
“มล...”
“ฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน...” หยดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาข้างหนึ่ง อาบแก้มเป็นสายทางแห่งความเศร้าโศกทรมาน
กฤตพจน์ขยับเท้าก้าวเข้าไปใกล้เธออีกนิด แต่ก็ต้องรีบชักกลับ เมื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชายหวนกลับมาจุกจนแน่นอกอีกครั้ง
“ไม่ได้ ฉันหมดเยื่อใยจากเธอแล้ว”
“หมายความว่า คุณรังเกียจฉันกับลูกงั้นเหรอ?”
“เด็กนั่น ใช่ลูกฉันจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ เธอท้องกับฉันแน่เร๊อะ จรรย์อมล”
“คุณพจน์!”
“กลับไปซะ!”
“คุณจะให้ฉันกลับไปไหน ในเมื่อที่ของฉันอยู่ที่นี่!” ฉับพลัน ร่างระหงของเธอก็บวมอืด ใบหน้าที่เคยสะสวยก็เน่าเฟะ มีหนอนชอนไช ลูกตาข้างหนึ่งร่วงออกมานอกเบ้า
“ม่ะ... มล!” ราวกับหัวใจจะหยุดเต้น เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของอดีตคนรัก
“ฉันจะอยู่กับคุณ... อยู่ที่นี่... เราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ตลอดไป!” เธอและลูกพุ่งเข้าหาเขาพร้อมเสียงหัวเราะดังก้องกังวานชวนสยอง
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ตกใจตื่น...
...ฝันร้าย...
ท่ามกลางความสงบเงียบ มีเสียงหอบอากาศเข้าปอดถี่ๆ และรุนแรง ใบหน้าคมสันอยู่ในอาการตกสุดขีด มันยังหลอกหลอนค้างตามเขามาสู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบจะหลุดกระเด็นออกมา เหงื่อบนใบหน้าผุดขึ้นราวกับละอองฝน มันเปียกชื้นลามไปถึงฝ่ามือทั้งสองข้าง อากาศร้อนอบอ้าวในชั่วพริบตา ทั้งที่เร่งเครื่องทำความเย็นจนหนาวยะเยือกตอนก่อนนอน
ภาพของจรรย์อมลช่างน่ากลัวเหลือเกิน... เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมถึงฝันว่าเธอเป็นผีมาหลอกหลอนเสียได้ ทำราวกับคนที่ตายไปแล้วมาขอส่วนบุญอย่างไรอย่างนั้น
...หรือว่า...
เมื่อความคิดอัปมงคลผุดขึ้นมาในหัว ก็ต้องให้รีบสลัดมันออกโดยพลัน
“เป็นไปไม่ได้” บ่นพึมพำ “เมื่อวันก่อนยังเห็นอยู่เลยนี่นา”
บางทีเขาอาจจะเริ่มคิดถึงเธอจนเกินพอดี เก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ สร้างเรื่องราวไร้สาระในจินตนาการ
ปลอบประโลมตัวเองแล้วก็ทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยิบยกนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมาเพ่งดู บอกเวลาเช้าตรู่พอดี แม้จะไม่ใช่เวลาที่ต้องตื่นตามปกติ แต่หากจะให้ฝืนใจข่มตาหลับต่อ ก็คงจะยากเย็นเต็มที
“อิทังเม... ญาตินังโหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย...”
จรรย์อมรยกมือประนมขึ้นระหว่างอก รับพรขณะกรวดน้ำพร้อมอธิษฐานอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้ล่วงลับในใจ
เมื่อคืนนอนไม่หลับ จู่ๆ ก็เกิดนึกถึงพี่สาวขึ้นมา จึงตั้งใจใส่บาตรให้เพื่อเป็นการระลึกถึง
หล่อนเก็บถาดอุปกรณ์คืนให้กับร้านข้าวแกงซึ่งเป็นผู้จัดชุดใส่บาตรสำเร็จรูปไว้บริการ หมุนตัวกลับเข้าคอนโดก็ต้องชะงัก เพราะโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกางเกง หน้าจอโชว์หราเป็นชื่อของปารมี
“ว่าไงจ๊ะ?” หล่อนกรอกเสียงต้อนรับสดใส
“เธอตื่นแล้วเหรอ?” ปลายสายประหลาดใจ
“ก็ถ้ารู้ว่าฉันยังไม่ตื่น เธอก็แย่มากที่โทรมารบกวน”
“ฉันก็แค่ตื่นเต้น อยากฟังแถลงการณ์”
“อะไรของเธอ?” จรรย์อมรชักสีหน้า แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกลิฟต์
“ก็เรื่องวันนั้นน่ะ วันที่เธอกับคุณกรหายไปด้วยกันสองต่อสอง”
“นี่ ยัยปารมี เธอโทรมาหาฉันด้วยเรื่องนี้เนี่ยนะ!”
“ฉันอกจะแตกตายอยู่แล้ว ออกมาเจอกันที่เซ็นทรัลพระรามสองนะ วันนี้ฉันว่างทั้งวัน แล้วเจอกันนะ บาย”
ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายโต้ตอบอะไรกลับไป ปารมีตัดสายโทรศัพท์ลงดื้อๆ ทิ้งให้จรรย์อมรต้องอ้าปากค้าง แล้วแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ให้แหลกคาพื้นด้วยความหงุดหงิด
“ว่าไงนะ เธอคบกับเขางั้นเหรอ?” น้ำเสียงของหล่อนมาพร้อมกับใบหน้าอันแสนประหลาดใจ
จรรย์อมรยกมือขึ้นเป่าปากเป็นเสียง ‘ชู่ว’ เพื่อควบคุมการสนทนาให้เป็นไปตามมารยาททางสังคม เพราะเสียงร้องแหกกระเชิงของเพื่อนตัวดีเร้าให้คนอื่นๆ ในร้านต่างหันมามองกันตาเขียวตาดำ
“ที่จริงก็ยังไม่ค่อยแน่นอนหรอกนะ” จรรย์อมรเปรยต่อ “แต่ดูเหมือน... เขาจะให้ความสนใจกับฉันมากก็เท่านั้นเอง” หล่อนบอกหน้าตาเฉย
“แต่คุณกรเป็นน้องชายคุณพจน์ไม่ใช่เร๊อะ?” สีหน้าตื่นตระหนก
“เธอรู้?”
“เคยได้ยินว่าคุณพจน์เขามีน้องชายเรียนอยู่ที่เมืองนอกน่ะ เธอเองก็พอจะรู้เหมือนกันไม่ใช่รึไง”
จรรย์อมรพยักหน้า
“วันนั้นที่ไอ้หน้าหม้อมันตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงหลง ก็เลยบางอ้อ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเธอไม่แคร์หรือรู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ?”
คนถูกถามยักไหล่ “ใครจะไปสน เป็นพี่เป็นน้องแล้วยังไงล่ะ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ตัวบุคคล อยู่ที่ความรัก ความรักของฉันเกิดขึ้นกับใครก็ต้องไปอยู่กับคนนั้นนั่นแหละ”
“หมายความว่าเธอก็รักเขา?”
“ก็ถ้าเวลามันจะพิสูจน์ออกมาว่าเขาคือคนที่ใช่อ่ะนะ”
ปารมีทำหน้าราวกับจะระเบิด หล่อนไม่อยากจะคิดเลยว่านี่คือจรรย์อมลตัวปลอม มันออกจะดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อย แต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆ จะต้องมีเหตุขัดข้องบางประการแน่ๆ เพื่อนผู้แสนดีแสนน่ารักของหล่อน จะกลายเป็นแม่เสือดาวพราวเสน่ห์โปรยความเย้ายวนไปทั่วราชอาณาจักรแบบนี้
สักครู่ เสียงโทรศัพท์มือถือของจรรย์อมรก็ดังขึ้น หล่อนหยิบมันออกมาจากกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมราคาแพง หน้าจอขึ้นชื่อ ‘คุณกร’
หล่อนพยักพเยิดใบหน้าเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการขอตัวกับเพื่อนร่วมโต๊ะ ก่อนจะออกไปกดปุ่มรับสายที่ด้านนอกของร้านอาหาร
“สวัสดีค่ะคุณกร”
“สวัสดีครับคุณมล ไม่ทราบว่าตอนนี้สะดวกคุยรึเปล่าครับ”
“ว่ามาเลยค่ะ” ใบหน้าของหล่อนแสนระรื่น
“วันพรุ่งนี้ เป็นวันเกิดพี่ชายผม ผมอยากเชิญคุณมาร่วมปาร์ตี้ที่บ้าน แล้วก็จะถือโอกาสแนะนำให้คุณรู้จักกับพี่พจน์ด้วยน่ะครับ” เสียงของเขาเปล่งประกายความหวัง
“ว่าอะไรนะคะ?”
“หรือว่าคุณไม่สะดวก?”
“ไม่ค่ะ” ว่าพร้อมสะบัดหน้าอย่างเผลอตัว “ถ้าคุณไม่รังเกียจฉัน ฉันก็ยินดีค่ะคุณกร”
“ผมจะรังเกียจคุณได้ยังไงกัน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะไปรับคุณที่คอนโดนะครับ”
“แล้วฉันจะรอค่ะ”
หล่อนวางสายไปด้วยชัยชนะอีกก้าว ดวงตาทอตะกายความมุ่งมั่น หล่อนจะได้พบกับผู้ชายคนนั้นอย่างเป็นทางการเสียที ต่อไปนี้ก็จะถึงคราวของเขาล่ะ...
**********
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ