Mongkid Junior
1) โลกที่มองไม่เห็น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกลางดึกคืนหนึ่ง ท่ามกลางแสงสลัวๆจากพระจันทร์ยามราตรี เด็กหนุ่มวัยย่างเข้าสิบห้าปียังคงพลิกตัวอยู่บนเตียง เสียงกรนดังลั่นห้องจากเด็กๆกำพร้าผู้ถูกทอดทิ้ง
เด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูง สีผิวค่อนข้างขาว คิ้วสองข้างมีสีเทาซึ่งเขาเป็นคนเดียวที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นี่ ที่มีสีคิ้วเช่นนั้น อีกไม่กี่วันเขาก็จะต้องออกไปอยู่ข้างนอกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว กฏของที่นี่คือ ใครก็ตามที่มีอายุครบ 15 ปี เขาจะต้องออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง เพื่อให้เด็กกำพร้าคนอื่นๆได้เข้ามาอยู่แทน
เด็กหนุ่มคิดหนักถึงชีวิตข้างนอกที่เขาต้องไปเผชิญ เขายังคิดไม่ตกว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร จะหาที่ทำงานที่ใดที่เขาจะสามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงและมองออกไปนอกหน้าต่าง มือสองข้างนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเริ่มเห็นบางสิ่งขยับเขยื้อนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เสียงกิ่งไม้ใบไม้ดังเล็กน้อยเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาเห็น ไม่ได้เป็นเพราะเขาตาฝาดไป
“นั่นใครน่ะ”เด็กหนุ่มร้องถาม
เขาจ้องมองไปยังจุดที่เกิดเสียงอย่างไม่ละสายตา ลมพัดเบาๆเข้ามาในห้องที่เด็กหนุ่มและเหล่าเพื่อนๆนอนกันอยู่ เด็กหนุ่มเปิดมุ้งลวดออกเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่โจรหรือขโมย
ชายแก่ผู้มีผมสีน้ำตาลผสมดำ เคราและคิ้วก็เป็นสีน้ำตาลอมดำ หุ่นของเขาอ้วนตุ๊ต๊ะ แต่ก็สูงใหญ่จนหน้ากลัว ชุดที่เขาใส่เป็นเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อน ชายแก่คนนั้นเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว หนุ่มน้อยทำท่าตกใจเล็กน้อยแล้วรีบปิดมุ้งลวดกลับอย่างเดิม ตอนนี้ ผ้าห่มทั้งผืนก็ปกคลุมร่างหนุ่มน้อยจนมิด เขานอนขดตัวแน่นิ่งไม่ขยับ เขาคิดว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คน แต่เป็น...ผ..
“ไม่ต้องตกใจ ลาเฟ็ด” ชายแก่พูดขึ้นหลังจากที่เขามายืนหยุดที่ข้างหน้าต่าง
หนุ่มน้อยลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง ตามองตรงออกไปนอกหน้าต่าง
“คุณเป็นใครครับ รู้จักชื่อผมได้อย่างไร” เขาถามชายแก่ผู้นั้นด้วยความสงสัย
ความมืดในคืนนั้นทำให้เขามองหน้าชายแก่ผู้นั้นไม่ถนัด เด็กๆทุกคนในห้องก็หลับกันหมดแล้วดูจากเสียงกรนที่เขาได้ยิน เขาอยากจะลุกไปปลุกเพื่อนข้างๆแต่ก็เกรงใจ
“ลาเฟ็ด มองค์คิด! ใครๆก็รู้จักเธอกันทั้งนั้น-- คงมีแต่เธอนั่นล่ะที่ไม่รู้จักตัวเธอเอง ฉันรู้จักเธอมากกว่าที่เธอรู้จักตัวเธอเองด้วยซ้ำไป ฉันจะพาเธอกลับโลกของพวกเรา โลกที่เธอจากมา เธอไม่อยากรู้หรอว่าพ่อแม่ของเธอเป็นใคร” ชายแก่ผู้นั้นตอบ
เขาถามคำถามอีกมากมายด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อและแม่ของเขา แต่ชายแก่ผู้นั้นบอกเพียงว่า เมื่อกลับไปถึงที่นั่น เขาจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เฟ็ดคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจเดินตามชายคนนั้นไปพร้อมกับข้าวของและเสื้อผ้าอีกเล็กน้อย
ที่นี่มีแต่คนกลั่นแกล้งเขา ไม่ชอบเขาเพราะความฉลาดของเขา หรือเพราะคิ้วสีเทาที่ทำให้ทุกคนมองว่าเขาเป็นคนประหลาด -- อีกอย่างคือไม่นานนี้เขาก็ต้องออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นี่มีเด็กมากเกินไปแล้ว เขาเองก็อายุจะสิบห้าปีแล้ว ได้เวลาที่เขาจำเป็นต้องออกไปเผชิญโลกด้วยตนเอง -- เฟ็ดไม่มีญาติคนใดที่เขารู้จักเลยสักคน ชายแก่คนนี้เป็นความหวังสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับญาติที่เขารอคอย รวมถึงพ่อแม่ของเขาด้วย
เฟ็ดเดินออกมาจากอาคารที่พักและชายคนนั้นก็จูงมือเฟ็ดเดินผ่านเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชายแก่คนนั้นจูงมือเขาออกมาจากต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นและเขาก็พบว่ามันไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาอาศัยอยู่
เฟ็ดรู้สึกตกใจมาก ตั้งแต่ที่เดินชนต้นไม้แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บใดๆ แถมภายในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เขาก็พบว่าที่ที่เขายืนอยู่ไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาอยู่มาเกือบตลอดชีวิต
เฟ็ดหันหลังไปมองต้นไม้ที่เขาพึ่งจะเดินทะลุผ่านมา เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเขา นอกนั้นก็เป็นเพียงพื้นดินโล่งๆที่แทบจะไม่มีต้นไม้แม้ซักต้นเดียว
“ฝัน-- ฉันต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ”เฟ็ดบ่นพึมพำอยู่กับตนเอง
เขายังคงคิดว่าเขาอาจจะง่วงนอนจนเห็นอะไรผิดแปลกไป หรือเขาอาจกำลังฝันอยู่ก็เป็นได้
หนุ่มน้อยอ้าปากค้างเมื่อตรงหน้าเขาคือทะเลสาบที่น้ำใส่และนิ่งชวนให้เขาอยากจะกระโดดลงน้ำใจจะขาด นานจนเขาจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ลงว่ายน้ำคือเมื่อใด ชายแก่กระตุกมือหนุ่มน้อยไว้
เฟ็ดหันหน้ากลับไปหาชายแก่อีกครั้ง เมื่อครู่เขาเกือบลืมว่าเขามากับชายแก่ ชายแก่ยกมือขวาขึ้นและเอามันเข้าไปในปากเล็กน้อยหลังจากนั้นเขาก็ผิวปากเสียงดังลั่นและแหลมจนขี้หูของเขาแทบจะละลายไหลออกมาเป็นน้ำ
เฟ็ดหันกลับมามองที่ทะเลสาบตามเดิมและเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่ง บางสิ่งที่คล้ายกับปราสาทเก่าๆ
“นั่นอะไรครับ” เฟ็ดถาม
มันเป็นปราสาทที่ดูแข็งแกร่ง ใหญ่โต ดูเหมือนมันจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 500 ปีแล้วแต่ที่น่าแปลกใจคือ ปราสาทนั้นมีฝนตกตลอดเวลา ก้อนเมฆสีดำลอยอยู่เหนือปราสาทนั่นเพียงที่เดียวเท่านั้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มีคำถามมากมายที่เฟ็ดอยากจะถามชายแก่คนนั้นแต่ก็ต้องเก็บไว้ในใจ
“ที่อยู่ใหม่ของเธอไง.. ลาเฟ็ด” ชายแก่ผู้นั้นตอบ
แสงจากพระจันทร์ทำให้ปราสาทแห่งนั้นดูงดงามไม่น้อย เฟ็ดยังคงยืนมองไปยังปราสาทที่ใหญ่และสวยงามนั่นอยู่ตลอดเวลา เขายังคงคิดว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน เขาจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเรื่อยๆโดยไม่ใส่ใจสิ่งใดมากมาย
ไม่นานก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น มันคือเสียงของนกชนิดหนึ่งที่กำลังบินออกมาจากปราสาทท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งบินเข้ามาใกล้มากขึ้น มันก็ยิ่งดูตัวใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น และในที่สุดมันก็บินตรงมาหยุดตรงหน้าเฟ็ดและชายแก่ผู้นั้น
ตัวของมันใหญ่โตราวกับนกยักษ์ในรายการสัตว์โลกดึกดำบรรพ์ สีของมันที่เขียวอ่อนราวกับใบอ่อนของพืช ทำให้มันดูน่ากลัวและน่าสนใจไปพร้อมๆกัน ขาสองขาของมันยาวกว่าขาของเฟ็ดและชายแก่ต่อกันเสียอีก
นกยักษ์ยังคงบินอยู่ต่อหน้าของเฟ็ดและชายแก่ผู้นั้น ปีกที่โบกไปมาแต่ละครั้งทำให้ลมพัดเข้าหาเขาทั้งสองจนต้องเอามือป้องไว้เพื่อกันฝุ่นเข้าตา
เฟ็ดเริ่มรู้สึกกลัวและรีบวิ่งไปหลบหลังชายแก่ผู้นั้นในทันที แต่ก็ยังชะโงกหัวคอยดูอยู่ห่างๆ
“ ไม่ต้องกลัวมันหรอกลาเฟ็ด มันค่อนข้างใจดีมากเลยล่ะ” ชายแก่หัวเราะเล็กน้อย
นกยักษ์หยุดยืนตรงหน้าชายแก่ มันก้มหน้าลงเพื่อทำความเคารพเขา ชายแก่ยื่นมือไปลูบที่หัวของนกตัวนั้นเบาๆ จงอยปากของมันดูแข็งและแหลมมาก เขากลัวว่านิ้วมือของชายแก่คนนั้นจะกลับออกมาไม่ครบห้านิ้วหลังจากที่ยื่นมือนั้นไป
“ไง กราด็อท สบายดีใช่ไหม ไม่เจอกันสะนานเลยนะ พาเราไปปราสาทที”
กราด็อทได้ยินก็พยักหน้า และหันหลังให้เขาทั้งสอง ชายแก่คนนั้นขึ้นขี่หลัง กราด็อททันที ดูเหมือนเขาจะเคยชินกับการขี่สัตว์ที่ทั้งแปลกและน่ากลัวแบบนี้
เฟ็ดเริ่มพยายามตั้งสติ เขาเริ่มถามตัวเองว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ เขาหยิกตัวเองหนึ่งครั้งและนั่นทำให้เขารู้สึกเจ็บไม่เบา เฟ็ดยังคงไม่เชื่อว่าเขาเจ็บจริง เขานึกย้อนไปถึงก่อนเขานอน เขาเริ่มรู้สึกไม่สนุกกับความฝันแบบนี้อีกแล้ว
ระหว่างนึกไปนั้น เฟ็ดก็ตบหน้าตัวเองอยู่ตลอดเวลา บอกกับตัวเองเสียงดังว่าตื่นเถอะๆ ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความจริง มันไม่ใช่ฝัน
“ไม่มีเวลาให้เธอตบหน้าตัวเองจนกระทั่งตื่นหรอกนะ มันดึกมากแล้ว รีบปีนขึ้นมาเถอะ” ชายแก่พูดตวาด
เฟ็ดยืนคิดอยู่นาน ไม่รู้ว่าจะขึ้นดีหรือไม่ หรือในปราสาทนั้นเขาจะต้องเจออะไรแปลกๆอีก ที่นี่อะไรก็ดูแปลกตาไปหมด น้ำที่ใสแต่นิ่งสงบ ฝนที่ตกเฉพาะที่ปราสาทเพียงแห่งเดียวราวกับจงใจให้เป็นเช่นนั้น นกที่ตัวใหญ่ยักษ์แบบที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ลมที่แสนเงียบสงบจนใบไม้ที่เขามองเห็นไม่กระดุกระดิกสักนิดเลย
กราด็อทคงเริ่มไม่อยากรอ มันตวัดหางเข้าใส่ เฟ็ดเต็มแรงและรัดตัวเขาไว้แน่น เฟ็ดถูกยกขึ้นมาบนหลังกราด็อท แต่อยู่ด้านหน้าของ ชายแก่ผู้นั้น
กราด็อทบินขึ้นทันทีอย่างรวดเร็ว และไม่เท่านั้น มันบินเร็วมากเหลือเกินจนทำให้ เฟ็ดเกือบลื่นตกลงมา โชคดีที่ชายแก่ผู้นั้นจับเขาไว้ได้ทัน มันบินเร็วกว่าเครื่องบินเสียอีกในความรู้สึกของเขา
เพียงไม่ถึงครึ่งนาที พวกเขาก็ เข้าไปในสายฝนที่กำลังตกอยู่ แต่สิ่งที่แปลกมากก็คือ ที่ตัวปราสาทกลับไม่มีฝนเลยสักหยด มันตกเป็นวงแหวนรอบๆเกาะเล็กๆแห่งนี้ แต่เพื่ออะไรนั้น เฟ็ดเองก็ไม่เข้าใจ
กราด็อทบินลงพื้นหญ้าหน้าปราสาทเพื่อให้ทั้งสองได้ลง ปราสาทเก่าๆที่ดูเงียบพิลึก แสงจันทร์ไม่มากนักแต่มันก็ทำให้เขามองเห็นสิ่งต่างๆได้ทั่ว พื้นหญ้าอ่อนนุ่มรายรอบปราสาท ประตูบานใหญ่และกำแพงสูงที่หน้าทึบทำให้รู้สึกได้ถึงความปลอดภัย โดมแหลมหลายอันที่ต้องแหงนหน้ามองจนปวดคอ พื้นที่กว้างใหญ่ที่สามารถทำเป็นสนามฟุตบอลที่เขาอยากได้มานาน กระต่ายน่ารักหลายตัวที่มองมาที่เขาราวกับคนแปลกหน้า ม้าสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังนอนอยู่ริมประตูบานใหญ่ อากาศที่เย็นสบายชวนให้ง่วงนอน
ถึงแม้ที่นี่จะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน แต่ความง่วงก็ไปหาคุณได้ทุกที่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ตราบเท่าที่คุณยังไม่ได้พักผ่อน เด็กหนุ่มก็เช่นกัน เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้วในตอนนี้ อากาศที่นี่ก็เป็นใจเสียอีก
ชายแก่รีบพาเฟ็ดเข้าไปในปราสาท ในนี้เงียบสงัดจริงๆ ทั้งเงียบและมืด มันน่ากลัวกว่าฝันร้ายที่เฟ็ดเคยเจอเสียอีก เขาเดินตามชายแก่อย่างกระชั้นชิด มองทั้งซ้าย และ ขวาตลอดทุกย่างก้าวที่เดินอย่างระมัดระวัง
“ที่นี่จะมีผีไหมเนี่ย” เด็กน้อยบ่นพึมพำกับตัวเอง
ทั้งสองไปหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่ง ห้องที่มีประตูหนาทึบ ประตูที่ไร้ลูกบิด ไร้รูเสียบกุญแจ ชายแก่พูดบางสิ่งบางอย่างที่เฟ็ดก็ฟังไม่ออก ไม่นานก็มีงูสีดำตัวไม่ใหญ่มากตัวหนึ่งเลื่อยมาจากทางด้านบนของประตู มันทำให้เฟ็ดตกอกตกใจ เขาถึงกับล้มลงไปนั่งกับพื้นเมื่องูตัวนั้นห้อยหัวลงมาจากด้านบนของประตู มันห่างจากหน้าของเขาไม่ถึง 2 ฟุตเลยทีเดียว เฟ็ดยังคงนั่งกับพื้นเพื่อดูว่างูมันจะทำสิ่งใด
งูสีดำยังคงเลื่อยลงมาจากด้านบนของประตูและมุดเขาไปในรูที่อยู่ตรงกลางของประตูบานนั้น ค่อยๆเข้าไปด้านในจนกระทั้งหายไปทั้งตัว ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกด้วยตัวของมันเอง แต่ก็คงเป็นเพราะงูนั่น เขาเข้าใจดี
แต่ชายแก่คนนี้และสถานที่แห่งนี้มันแปลกจนเฟ็ดจินตนาการไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับชายแก่คนนั้น ปราสาทแห่งนั้น และในห้องๆนั้น เฟ็ดเดินตามเข้าไปในห้องนั้น และทันใดนั้นเอง เขาก็เดินต่อไปไม่ได้ มีกิ่งต้นไม้เลื่อยชนิดหนึ่งมาพันขาของเขาไว้ มันรัดแน่นจนเขาเดินไม่ได้ เขาล้มลงและพยายามจะแกะเถาวัลย์นั้นออกแต่ก็ทำไม่ได้
เฟ็ดถูกดึงลากไปมาทั่วห้องกว้างๆนั่น เสียงร้องช่วยด้วยของเขายังดังอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเสียงร้องของเขา ชายแก่ยังคงกอดหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ เธอกอดชายแก่คนนั้นด้วยความดีใจราวกับไม่ได้เจอกันเป็นปี
ไม่นานชายแก่ก็ผละจากหญิงสาวคนนั้น และพูดบางสิ่งบางอย่าง แต่เฟ็ดฟังไม่ถนัดเพราะหูของเขาอื้อไปหมดแล้ว เขาถูกลากไปลากมากับพื้นราวกับเป็นผ้าขี้ริ้ว ไม่นานเถาวัลย์ที่รัดขาของเขาอย่างแน่นก็คลายออก เถาวัลย์ที่ยาวค่อยๆหดสั้นลงและไปรวมตัวกันที่รากของมัน
สุดท้ายมันก็กลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวรูปงามอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่อาจมากกว่าสักเล็กน้อย ผิวที่ขาวเนียนสวยของเธอ ผมสีน้ำตาลอมดำคล้ายๆสีผมของชายแก่คนนั้น ผมที่ยาวจนถึงกลางหลังของเธอถูกรวบมัดไว้ด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเธอ เธอใส่เสื้อโค๊ทสีน้ำตาลเข้มยาวเกือบถึงพื้น ถ้าเกิดเธอเป็นผู้ชายล่ะก็ เขาคงจะเดินเข้าไปชกซักสองสามหมัดให้หายแค้น
เธอหัวเราะลั่นที่ได้แกล้งแขกผู้มาเยือนสำเร็จ
“ยินดีต้อนรับน้องใหม่” เธอพูดขึ้น
“ขอโทษเขาสะ เลโลวี่”ชายแก่ตวาด
“แค่แหย่เล่นนิดหน่อยเองนะค่ะ ปู่ทวด” เธอเถียงราวกับว่าเธอไม่ผิดอะไรเลย
“เลโลวี่.....”ชายแก่ทำเสียงดุ
“ก็ได้ค่ะ ก็ได้ ขอโทษ แล้วตานี่ชื่ออะไรเนี่ย ” เธอพูดขอโทษอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
ชายแก่เดินเข้ามาหาเฟ็ดพร้อมกับหญิงสาวทั้งสอง ชายแก่เริ่มแนะนำตัวเหลนสาวของเขาทั้งสอง
“คนนี้ชื่อ โลเวนด้า ทูเรกซิ่ว และอีกคนที่แกล้งเธอเมื่อสักครู่เป็นพี่สาวของ โลเวนด้า เธอชื่อ เลโลวี่ ทูเรกซิ่ว เหลนทั้งสองของฉันเอง ส่วนฉันก็คือ คาร์รูตี้ คอนลอร์ท ต้องขอโทษเธอแทนเหลนสาวของฉันด้วยนะ สำหรับเรื่องเมื่อครู่”
ชายแก่แนะนำเหลนสาวของเขาทั้งสองรวมถึงตัวเขาเสร็จก็ยกมือข้างขวาของเขาชี้มาที่เฟ็ด
“นั่นคือ ลาเฟ็ด มองค์คิด ลูกชายคนเดียวของ เมอร์ลี่ มองค์คิด”
ทันทีที่เหลนสาวของเขาทั้งสองได้ยินชื่อเฟ็ดก็ตกใจ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำท่าทางตกอกตกใจขนาดนั้น
เฟ็ดนึกขึ้นได้ว่าเขายังคงโกรธเลโลวี่ อยู่ เธอสร้างความไม่ประทับใจให้กับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่พูดกับเธอเลย ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร
เฟ็ดเก็บความรู้สึกมานานจนเขาต้องถามทุกคำถามที่เขาอยากรู้สักที ตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงความง่วงแต่อย่างใด
“พวกคุณเป็นใคร พ่อแม่ของผมอยู่ที่ไหน ที่นี่ที่ไหน...” เฟ็ดยังคงถามไม่หยุดจน คาร์รูตี้ ต้องบอกให้เฟ็ดหยุดเพื่อที่เขาจะได้เล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง
“เธอเป็นชาวเจเนอร์รี่เหมือนพวกเรา” คาร์รูตี้เริ่มเล่า “พวกเราแตกต่างกับมนุษย์ในโลกที่เธอเคยอยู่ พวกเรามีพลังพิเศษที่แต่ละคนจะได้รับ พลังจะเป็นผู้เลือกผู้ที่จะได้รับมัน จริงๆแล้วโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงด้านที่เธอเคยอยู่เท่านั้น พวกเราสามารถเข้าไปยังโลกมนุษย์ได้ แต่ถ้าผู้พิทักษ์พบพวกเราเมื่อไหร่ก็ซวยเมื่อนั้น ผู้พิทักษ์คือผู้ควบคุมไม่ให้มนุษย์และชาวเจเนอร์รี่ อยู่ปะปนกัน เมื่อประมาณ 12 ปีก่อนหน้านี้ แม่ของเธอพาเธอไปอยู่ที่โลกมนุษย์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เพื่อความปลอดภัยของเธอ ส่วนพ่อของเธอไม่มีใครพบเขาอีกหลังจากงานศพของแม่เธอ” คาร์รูตี้เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แววตาของเขาดูเหมือนว่ามีน้ำตาคลอ
น้ำตาเด็กหนุ่มเริ่มคลอ อีกไม่นช้ามันคงจะหยดลงพื้นจดได้ แต่เขาก็ยังมีความหวังที่จะพบพ่อของเขา
“เล่าต่อสิครับ ผมรอฟังอยู่” เฟ็ดพูดขึ้นอย่างสนอกสนใจเรื่องราวต่างๆ
คาร์รูตี้หยุดเล่าและบอกให้เขาไปพักผ่อน มีเรื่องอีกมากมายที่เขายังไม่ควรจะรู้ในตอนนี้
ชายแก่พาเฟ็ดไปที่พักของเขา เขาบอกว่ารุ่งเช้าเขาจะพาเฟ็ดไปแนะนำให้รู้จักที่นี่มากขึ้นและสอนบางอย่างที่เขาควรต้องรู้อีกมากมาย เฟ็ดเข้านอนพร้อมกับขบคิดเรื่องต่างๆมากมายจนเหนื่อยและผล๊อยหลับไปในที่สุด
แสงแดดยามเช้าเริ่มส่องผ่านกระจกบานใหญ่เข้ามาภายในห้องขนาดไม่ใหญ่นัก แสงแดดเริ่มแยงลูกตาเฟ็ดราวกับกำลังบังคับให้เขาตื่น และนั่นมันทำสำเร็จ
เฟ็ดตื่นขึ้นมาในยามสายของวันที่ 24 กันยายน เขายกนาฬิกาข้อมือที่เขาใส่ติดตัวตลอดเวลาขึ้นดู
“ที่แท้ก็ฝันสินะ” เขาพูดขึ้นแล้วก็หัวเราะเล็กน้อย
มือสองข้างก็ขยี้ลูกตาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ช้าเขาก็ลุกขึ้นนั่งและบิดขี้เกียจตามประสาคนพึ่งตื่นนอน เขาลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆ
“พระเจ้า ให้ตายสิ! นี่ไม่ใช่ฝันงั้นหรอ หรือว่าฉันกำลังฝันซ้อนฝันกันแน่เนี่ย” เฟ็ดพูดเสียงดังพร้อมกับตบหน้าตัวเองหลายที “ของจริงนี่หว่า”
เขาต้องตกใจกับสิ่งต่างๆที่เขาได้เห็นในห้องนี้ ที่นี่แปลกมากจริงๆ เตียงที่เขานอนเป็นเพียงดินธรรมดาๆเท่านั่น ไม่ใช่เตียงนุ่มๆใดๆ แต่ที่แปลกคือทำไมเตียงดินที่เขานอนนั้นนุ่มและน่านอนกว่าเตียงทุกเตียงที่เขาเคยนอนเสียอีก
เฟ็ดนั่งลงบนเตียงดินอีกครั้ง ดินที่เขานั่งลงไปค่อยๆปรับให้เข้ากับผู้นั่งและผู้นอน มันจึงทำให้เขานั่งและนอนได้อย่างสบายนั่นเอง
ที่นี่ยังมีกลิ่นที่หอมจากดอกไม้ทั้งภายในและภายนอกห้อง สภาพห้องที่ดูสะอาดสะอ้านราวกับพึ่งจะทำความสะอาด เสียงนกร้องที่น่าฟังชวนให้เดินตามหาเสียงนกนั่น เขาเดินตามเสียงนกไปจนกระทั้งไปหยุดที่หน้าต่างบานหนึ่ง
เฟ็ดพบกับพ่อแม่นกและลูกของมันกำลังร้องเสียงดังอยู่ในรังของมันอย่างมีความสุข เขาหวนนึกถึงพ่อและแม่ของเขา เขาจำหน้าพ่อและแม่ของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หรือไม่เขาก็อาจไม่เคยเจอพ่อและแม่ของเขาเลยก็เป็นได้
เฟ็ดเริ่มจินตนาการไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับพ่อและแม่ของเขา เขาเริ่มเดินต่อไปเพื่อตามหาคาร์รูตี้ เขาต้องการถามหลายเรื่องที่เขาสงสัย อีกหลายเรื่องที่เขาอยากรู้
เขาเดินไปจนกระทั้งพบกับโลเวนด้า เธอนั่งอยู่ที่บันไดหน้าปราสาทเพียงลำพัง เธอนั่งเล่นอยู่กับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง เฟ็ดเดินไปทางด้านหลังและขอนั่งข้างๆเธอ เธอพยักหน้าเพื่อตอบรับการขอของเขา
เฟ็ดนั่งลงและเริ่มถามคำถามบางอย่างกับเธอแต่เขาไม่กล้าสบตากับเธอ เธอช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารักเหลือเกิน สีผมที่ดำเงางาม จมูกโด่งคล้ายกับชาวฝรั่ง ผิวที่ขาวเนียนน่าสัมผัส แถมกลิ่นน้ำหอมของเธอยังชวนให้น่าหลงไหล
คงเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและเขาแทบจะไม่เคยคุยกับผู้หญิงวัยเดียวกันมาก่อน ที่เคยคุยก็แค่ครูหรือแม่บ้านที่ดูและสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเท่านั้น ยิ่งกับผู้หญิงที่ทั้งน่ารักและเรียบร้อยแบบเธอด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เฟ็ดเกร็งอย่างบอกไม่ถูก
“ในโลกของพวกเรานี้ สิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะเกิดจากธาตุหลักสี่ธาติด้วยกัน คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ”เธอเริ่มเล่า “ฉันเองเป็นคนธาตุน้ำ พี่สาวฉัน และ ปู่ทวดเป็นคนธาตุดิน ส่วนเธอเป็นคนธาตุลม สีผมจะเป็นตัวบอกว่าเป็นคนธาตุใด พวกเราจะมีพลังจากธาตุที่ตนเองมีในตัว เช่น พี่สาวของฉันมีธาตุดินเด่นกว่าธาตุอื่นในตัวจึงสามารถควบคุมดินได้เป็นอย่างดี คนธาตุน้ำก็จะควบคุมธาตุน้ำได้ ส่วนเธอก็จะสามารถควบคุมลมได้” เธอเล่าโดยไม่มองหน้าเฟ็ดเช่นกัน มือสองข้างของเธอกำลังอุ้มกระต่ายน้อยอยู่
เฟ็ดเหมือนกำลังทำท่าจะถามอะไรบางอย่างกับเธอ แต่เธอก็รีบเล่าต่อทันทีเพราะกลัวจะลืมในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อ
“พวกเราทุกคนจะมีเครื่องลางอยู่คนละชิ้น มันคือวัตถุที่เด็กทุกคนจะได้รับจากพ่อแม่ วันแรกที่เด็กเกิดมาจะมีพิธีแยกวิญญาณครึ่งหนึ่งออกจากร่างเพื่อเก็บไว้ในเครื่องลางชิ้นนั้น เป็นพิธีที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เพื่อให้ผู้ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหรือถูกฆ่าสามารถชุบชีวิตให้กลับคืนมาได้ ชิ้นเดียวกับที่เธอห้อยคอไว้ตลอดเวลา”
เฟ็ดหยิบสร้อยที่ห้อยอยู่ที่คอของเขาตั้งแต่เด็กขึ้นมาดูก่อนที่จะเก็บมันไว้ในเสื้อตามเดิม สร้อยที่เป็นเพียงสายที่ทำจากโลหะเงิน และมีจี้ที่ทำจากวัตุอะไรสักอย่างที่กลมๆและมีสีขาวเหมือนไข่มุก แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย
“แม่ของเธอต้องเสียชีวิตเพื่อพยายามช่วยเหลือพวกเราจำนวนมากไว้ ทุกคนที่นี่รู้จักแม่เธอดี รวมถึงเธอด้วย ถ้าพูดถึงชื่อลาเฟ็ด มองค์คิดแล้ว ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้” เธอ เล่าให้เฟ็ดฟังต่อ
เฟ็ดยังคงไม่เข้าใจกับเรื่องที่ว่า ทำไมทุกคนถึงรู้จักเขา ทั้งๆที่เขาไม่เคยอาศัยอยู่ในโลกที่นี่เลย และที่สำคัญ นี่ก็ล่วงเลยผ่านมาเกือบ 12 ปีแล้ว จะมีใครรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร
ระหว่างที่เฟ็ดกำลังนั่งฟังเธอเล่าเรื่องอย่างเพลินๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง มันเป็นเสียงเรียกของคาร์รูตี้ เขาเดินมาจากทางด้านหลังพร้อมกับเลโลวี่
เฟ็ดและโลเวนด้า ลุกขึ้นยืนและหันหน้าไปหาปู่ทวดและเหลนสาวของเขาที่กำลังเดินมา คาร์รูตี้เดินเข้ามาถึงเฟ็ดก็จับไหล่ของเขาและพาเดินออกมานอกปราสาท
“ได้เวลาพาเธอไปหาทุกคำตอบที่เธอต้องการจะรู้” คาร์รูตี้พูดขึ้น
แต่ทันใดนั้นเองก็มีชายคนหนึ่ง ชายที่มีผมสีน้ำเงินเข้มผสมดำยาวกว่าไหล่ หน้าตาดูดุเสียยิ่งกว่าครูทุกคนที่เขาเคยเจอ ตาที่ดูนิ่งและเยือกเย็น รูปร่างของเขาดูสูงกว่าคนปกติมาก เขากำลังเดินตรงเข้ามา
คาร์รูตี้ ตกใจเล็กน้อยก่อนจะแนะนำชายผู้นี้ให้เฟ็ดรู้จัก
“นี่คือชายผู้ดูแลปราสาทแห่งนี้ มูติน มารูดิน ผู้ที่ทำให้ฝนตกตลอดทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันไม่ให้พวก ซีลิ๊ป เข้ามาได้” เฟ็ดได้ฟังประโยคนั้นเข้าก็ทำหน้างงๆ “ลืมไปว่าเธอไม่รู้จักพวกซีลิ๊ป-- พวกมันเป็นพวกธาตุไฟ พวกที่พวกเรามองไม่เห็น มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจมากที่สุด ฆ่าก็ไม่ตาย อายุขัยพวกมันก็เป็นพันๆปี มันแปลงกายได้สารพัดตามที่มันอยากจะเป็น น้อยครั้งที่มันจะยอมปรากฏตัวให้พวกเราเห็น -- พวกมันสามารถเข้าไปในร่างกายของมนุษย์หรือแม้แต่พวกเราชาวเจเนอร์รี่ พวกมันจะควบคุมร่างกายให้ผู้นั้นทำสิ่งใดๆโดยไม่รู้ตัว มันทำทุกอย่างที่เราคาดไม่ถึงได้เสมอ”
“ร้ายกาจใช่ไหมล่ะ พวกมันน่ะ แต่ที่ร้ายกาจกว่าพวกนั้นก็มีนะ ทีแร๊ค ซีลิ๊ป ผู้ที่มีความสามารถในการควบคุมและสั่งการพวกมัน เขาคือผู้ที่มองเห็นพวกมัน -- อีกหนึ่งในคนที่สามารถเห็นมันได้คือพ่อของเธอ ผู้มีพลังตาทิพย์ จริงๆแล้วสัตว์ต่างๆก็มองเห็นพวกมันเหมือนกันน่ะ แต่แน่นอน แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยากจะสู้กับพวกมันหรอก มันเหมือนเอาชีวิตไปทิ้งไม่มีผิด”
หลังการแนะนำตัวกันเสร็จ มูตินกระซิบบอกเรื่องสำคัญซักอย่างกับคาร์รูตี้ คาร์รูตี้พยักหน้าและเอานิ้วสองนิ้วเข้าปากเพื่อผิวปาก เสียงผิวปากของคาร์รูตี้ดังขึ้น นกยักษ์กราด็อท ก็บินมาอย่างรวดเร็ว เสียงร้องของพวกมันดังลั่นจนต้องหันมอง
คราวนี้มันมากันถึง 4 ตัวด้วยกัน ปากที่แหลมคม กงเล็บที่ยาวและแหลม รวมถึงปีกที่กว้างทำให้มันบินได้ไว ที่สำคัญ พวกมันได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งนกอีกด้วย
ถ้ามันไม่ได้มีสีเขียวราวกับใบไม้อ่อนแบบนี้ มันก็คงจะเหมือนกับสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่เขาเคยเห็นในทีวี เฟ็ดเริ่มไม่กลัวกราด็อทเหมือนเมื่อคืนแล้ว ไม่ช้านกยักษ์ทั้ง 4 ก็รับพวกเขาทั้ง 4 คน พาบินออกไปอย่างรวดเร็ว
คราวนี้มันบินไปไกลจากปราสาทมาก แต่ใน 10 นาที พวกมันก็บินลงจอดที่หน้าผาแห่งหนึ่ง ทั้งสี่เดินมาหยุดที่ริมหน้าผาสูง สิ่งที่เขาได้เห็นทำให้เขาต้องตกใจ
ที่นี่เป็นเมืองที่กว้างใหญ่มาก มันกว้างจนเขามองไปสุดลูกหูลูกตาก็ยังเห็นเป็นสภาพเมืองที่ถูกทำลาย สภาพเมืองถูกทำลายอย่างราบคราบ ไม่มีตึกใดสูงเกินกว่าต้นไม้เลยแม้แต่ตึกเดียว เมืองรกร้างว่างเปล่า ไม่มีต้นไม้ แม่น้ำ ลำคลอง หรือแม้แต่ทะเลสาบ ฝุ่นทรายปกครองเมืองทั้งเมืองไปทั้งหมด ทุกอย่างดูเงียบอย่างน่ากลัว เฟ็ดเริ่มคิดว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น
“เสียดายนะที่เธอไม่ได้เห็นสภาพเมืองของพวกเราเมื่อ 13 ปีก่อนที่มันจะถูกทำลาย” คาร์รูตี้เริ่มเล่า “ในอดีตนั้นเหล่าผู้มีพลังพิเศษต่างอยู่กันอย่างสันติ ไม่มีการแบ่งแยกประเทศ เพราะที่นี่เป็นหนึ่งเดียว มีผู้ปกครองเพียงผู้เดียว มีกฏหมายฉบับเดียว และมีความรักใคร่สามัคคีกันดี” ใบหน้าของคาร์รูตี้ดูเหมือนเก็บสิ่งต่างๆไว้มากมายจนทุกอย่างพร้อมที่จะระเบิดออก
“จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อประมาณ 13 ปีก่อน ผู้ปกครองของพวกเราจากไป พวกเรา 1 คนจะถูกคัดเลือกจากผู้ที่เหมาะสมที่สุด มีผู้เข้าชิงตำแหน่งนั้นเพียงสองคน หนึ่งในนั้นคือทีแร๊ก ซีลิ๊ป ผู้สามารถควบคุมซีลิ๊ปได้ -- ซีลิ๊ปเป็นเสมือนตำรวจ หรือทหาร พวกมันทำตามคำสั่งทุกคำสั่งของทีแร๊ก มันคุมคุกที่มีเพียงแห่งเดียวของที่นี่ คุกที่ไม่เคยมีใครหนีรอดจากพวกซีลิ๊ปได้ --- คุกอันฮูยามัน พวกมันคอยตรวจตราดูการกระทำผิดกฏของที่นี่ และแน่นอนทีแร๊ก คือผู้ที่ใครๆต่างก็ต้องเกรงกลัวในความสามารถที่เขามี” คาร์รูตี้เริ่มหันหน้ามองเฟ็ดเพื่อดูว่าเขายังคงฟังอยู่
“แต่ผลก็คือเขาไม่ได้เป็นผู้ปกครองโลกแห่งนี้ เขาจึงคิดที่จะปกครองโลกนี้เองโดยไม่ต้องฟังคำตัดสินของใครหรือสิ่งใดทั้งนั้น เขาปล่อยนักโทษทุกคนที่ยอม สว่ามิภักดิ์ต่อเขา รวบรวมสมัครพรรคพวกเป็นกองทัพขนาดใหญ่ และเริ่มเปิดฉากสงครามในที่สุด เพียง แค่ 7 วัน เมืองทั้งเมืองที่กว้างใหญ่กว่าทวีปบางทวีป ก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นซาก แม้ผู้ปกครองคนใหม่จะรวบรวมคนทั้งหมดที่พอจะหลงเหลืออยู่ไปรวมตัวกันเพื่อต่อสู้ศึกครั้งนั้นแต่ก็พ่ายแพ้กลับมาครั้งแล้ว ครั้งเล่า หลังจากสิ้นสงคราม บางคนก็ไม่คิดจะสู้ต่อไป บางคนก็หนีไปโลกมนุษย์ บ้างก็อาศัยใต้ดิน บ้างก็ใต้น้ำ กระจัดกระจายกันไปต่างๆนานา แต่ที่หนักหน่อยก็พวกธาตุลมอย่างเธอ ทีแร๊ก ซีลิ๊ป ไล่ฆ่าทุกคนที่เป็นธาตุลม” คาร์รูตี้ เล่าให้ฟังพลางมองหน้าเขาไปด้วย
เฟ็ดทำท่าทางสงสัยว่าทำไมต้องธาตุลม
“ทำไมต้องฆ่าพวกธาตุลมครับ แล้วตอนนี้ใครเป็นผู้ปกครองที่นี่” หนุ่มน้อยถามด้วยความสงสัย
“ผู้ปกครองที่นี่กำลังยืนอยู่ข้างๆเธอไงล่ะ” คาร์รูตี้ตอบ “ส่วนที่ว่าทำไมต้องฆ่าเหล่าธาตุลมนะหรอ ความอมตะไง ต้องเป็นผู้ที่เกิดธาตุเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถฆ่ากันได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าต่างธาตุจะไม่สามารถฆ่าให้ตายได้อย่างสมบูรณ์ ฉันหมายถึงว่าธาตุเดียวกันจะสามารถทำลายสร้อยที่เธอห้อยอยู่ได้ด้วย ถ้าสร้อยยังอยู่ วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วก็ยังมีโอกาสกลับเข้าร่างเหมือนเดิม แน่นอนทีแร๊ก ก็เป็นพวกธาตุลมเช่นเดียวกับเธอและแม่ของเธอ และถ้าเขาฆ่าทุกคนที่เป็นธาตุลมสำเร็จก็จะไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้ นั่นคือเขาจะเป็นอมตะ -- ช่วงเวลา 12 ปีก่อนนั้น ตอนเธออายุเกือบ 3 ขวบ แม่ของเธอรวบรวมเหล่าคนธาตุลมมาไว้ด้วยกัน เพื่อทำพิธีปลิดชีพ รอผู้ที่จะมาทำให้เขากลับคืนชีพได้ และวันนี้เขาคนนั้นก็กลับมาแล้ว” คาร์รูตี้ มองหน้าเฟ็ดแล้วยิ้ม แต่เฟ็ดเองสงสัย
เขาจะช่วยคนพวกนั้นได้อย่างไร เฟ็ดทำท่าทางไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถทำแบบนั้นได้
“แม่ของเธอออกไปถ่วงเวลาเพราะว่า ทีแร๊ก ซีลิ๊ป และเหล่าสมุนกำลังมาที่นั้นเพื่อทำลายล้างธาตุลมให้หมดไป แม่ของเธอเสียสละและกล้าหาญเป็นอย่างมาก ไม่มีใครลืมบุญคุณของแม่เธอได้เลย -- สุดท้ายเหล่าธาตุลมก็ปลิดชีพตัวเองสำเร็จ และทิ้งเครื่องลางไว้เพื่อรอให้ คนๆหนึ่งมาเป็นผู้ทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ เลือดของพวกเขาทั้งหมดถูกฉีดเข้าไปในตัวของเธอ หลังจากนั้นเธอก็ถูกนำตัวไปซ่อนไว้ในโลกมนุษย์ เมื่อเธออายุครบ 15 ปี ซึ่งก็เป็นวันพรุ่งนี้ เลือดของพวกเขาในตัวของเธอจะมีพลังพอที่จะทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง -- แต่ก็ติดอยู่เรื่องเดียวก็คือ สร้อยเหล่านั้นถูกขโมยไป แต่แน่นอนว่ามันยังไม่ถูกทำลาย เมื่อเธอพร้อม พวกเราจะไปเอามันกลับคืนมาเพื่อชุบชีวิตคนจำนวนหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง” คาร์รูตี้เล่าต่อ ตอนนี้น้ำตาของเขาเริ่มหยดลงที่พื้นแล้ว
คาร์รูตี้หันหน้ากลับมาหาเด็กหนุ่มและยื่นมือไปสำผัสหน้าอกของหนุ่มน้อย
“สำคัญมาก เรื่องของสร้อยที่เธอใส่อยู่ มันจะทำให้เธอใช้พลังพิเศษได้อย่างเต็มความสามารถ แต่ถ้าถอดเมื่อไหร่ก็จะทำให้เธอมีพลังน้อยลง ถ้าเธออยากมีอายุยืนยาวก็จงรักษามันไว้ให้ดี หรือไม่ก็เก็บไว้ในที่ปลอดภัย”
ระหว่างที่เฟ็ดฟังเรื่องที่ คาร์รูตี้เล่า สองสาวก็กำลังนั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเพื่อหลบแสงแดด พวกเธอดูจะไม่กระหายอยากฟังเรื่องเล่า
“ฉันคิดว่าได้เวลากลับแล้วล่ะ เธอคงหิวแล้ว จริงไหม ลาเฟ็ด เธอจะได้ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวทานอาหารเช้ากัน” คาร์รูตี้พูดเสียงเรียบๆ เขายิ้มให้กับหนุ่มน้อยเล็กน้อย ตอนนี้น้ำตาที่เฟ็ดเห็น หายไปจากใต้ตาของคาร์รูตี้แล้ว เหลือเพียงสีแดงระเรื่อในดวงตาของเขาเท่านั้น
คาร์รูตี้ผิวปากเรียกนกยักษ์กลับมาอีกครั้ง กราด็อทพาทุกคนบินไปรอบๆเมืองใหญ่เมืองเดียวของที่นั่น เมืองที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง บินอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง นกยักษ์กราด็อท ก็พาพวกเขากลับไปยังปราสาท สิ้นสุดการผจญภัยในเช้านี้
“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 15 ปี เธอจะได้รู้อะไรมากกว่านี้ รับรองว่าเธอต้องสนุกแน่” พูดจบปู่คาร์รูตี้ ก็หัวเราะลั่นและเดินกลับเข้าไปยังปราสาท
ทุกคนเดินตามคาร์รูตี้เข้าไปยังปราสาท เฟ็ดเดินตามหาที่โลเวนด้าบอกเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนที่เขาใส่อยู่เป็นเสื้อเชิ๊ต แขนยาว กางเกงยีนส์ที่เขาเตรียมมา
เสียงระฆังดังขึ้นสองครั้ง บอกให้รู้ว่าเป็นเวลา 9 โมงเช้าแล้ว หลังจากเฟ็ดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สองสาวก็พาเดินมายังห้องอาหารแห่งเดียวของปราสาทนี้
เฟ็ดถึงขั้นผงะกับห้องอาหารที่น่าจะมีเพียงที่เดียวบนโลก ห้องอาหารที่ไม่มีโต๊ะ ไม่มีจาน ไม่มีช้อน ไม่มีซ้อม ไม่มีมีด มีเพียงห้องที่กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้
“ไม่เห็นมีโต๊ะอาหารเลยล่ะ อาหารก็ด้วย แล้วพวกเราจะทานอะไรกันล่ะ”
เฟ็ดถามขึ้นด้วยความสงสัย ในใจก็ภาวนาขออย่าให้ต้องกินแต่ผลไม้สีสันแปลกตาเหล่านั้นเลย
“ก็เห็นๆกันอยู่ เธอโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ – เฟ็ด ถ้าไม่รู้ว่าอะไรในห้องนี้ทานได้ก็ไม่ต้องทาน” เลโลวี่ตอบอย่างไม่เกรงใจผู้ทาน
“ปู่ทวดของเราเข้าใจสัตว์ทุกตัวน่ะ ท่านเลยสงสารมัน พวกเราเลยพลอยอดทานเนื้อสัตว์ไปด้วย” โลเวนด้าพูดเสริม “แต่ผลไม้ที่นี่มีสรรพคุณดีจริงๆนะ รับรองว่าแค่คำแรกที่ตกถึงท้อง เธอจะรู้สึกได้ถึงสรรพคุณของพวกมันเลยล่ะ”
โลเวนด้าเดินไปล้างมือที่อ่างน้ำอันหนึ่งที่ริมประตู มีน้ำไหลออกมาจาก รูของผนังเหนืออ่างตลอดเวลา เธอยื่นมือเข้าไปเหนืออ่างน้ำนั้นเพื่อล้างมือ แล้วเธอก็ช็ดมือของเธอกับผ้าขนหนูผืนหนึ่ง
เธอเดินตรงไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งและเริ่มหยิบผลไม้ผลหนึ่งขึ้นทานทันที พี่สาวของเธอก็ทำเช่นเดียวกับ
ผลไม้ที่นี่แปลกทั้งรูปร่างและสีสัน สีของพวกมันสดใสและดูแปลกตาจนเฟ็ดไม่กล้าที่จะทาน
เฟ็ดหยิบผลไม้ลูกหนึ่งทาน เขากัดแค่คำเดียวก็ต้องวางลงไว้กับพื้น น้ำของผลไม้ที่ไหลเข้าปากทำให้เขาต้องบ้วนทิ้งทันที เขาหยิบผลอื่นๆเพื่อลองทานดูต่อ แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาผลไม้ที่ลิ้นของเขายอมรับได้
รสชาติที่แปลกมากๆของพวกมัน บางลูกก็เปรี้ยวจนแสบฟัน แต่บางลูกก็หวานจนเลี่ยน สองสาวหัวเราะที่เฟ็ดหาผลไม้ที่เขาสามารถทานได้ไม่เจอ เฟ็ดมองหน้าเธอทั้งสองก็รู้สึกแปลกใจว่า พวกเธอทานเข้าไปได้อย่างไร
เลโลวี่ แสดงความมีน้ำใจด้วยการหยิบผลไม้หลมนึ่งผาให้เฟ็ด เฟ็ดลองทานมันและพบว่ารสชาติของมันอร่อยเหลือเกิน ผิดกับผลไม้หลายลูกที่เขาลองทานดู
เฟ็ดทานเข้าไปจนกระทั่งหมดลูก
“ขอบคุณนะ” เฟ็ดพูด
ไม่นานเขาก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งท้อง เฟ็ดหยิบแก้วใบหนึ่งเพื่อรองน้ำที่ไหลออกมาจากรูหนึ่งของผนัง ภายในร่างกายของเขามันร้อนจนเขาต้องวิ่งไปหาน้ำทาน แต่ก็ไม่หาย
“เธอให้ฉันทานอะไรเนี่ย ทำไมมันถึงปวดแสบปวดร้อนขนาดนี้” เฟ็ดพูดเสียงดังด้วยความโมโหแต่มือข้างหนึ่งก็ยังกุมท้องอยู่ เข่าทั้งสองข้างค่อยๆทรุดลงกับพื้น เขาไม่สามารถเดินหรือพูดอะไรต่อไปได้อีกแล้วในตอนนี้ ไม่ช้าเขาก็ล้มลงนอนกับพื้น
โลเวนด้าเห็นท่าไม่ดีก็รีบนำผลไม้สีฟ้าผลหนึ่งมาให้เฟ็ดทาน แต่เฟ็ดไม่ยอมทาน เขาไม่กล้าที่จะเชื่อคำพูดของสองพี่น้องคู่นี้นี้อีกแล้ว แต่เธอก็ขยั้นขยอให้เฟ็ดทานให้ได้
สุดท้ายเฟ็ดก็ต้องยอมทาน หลังจากที่เขาทานไปไม่นานอาการของเขาก็เริ่มดีขึ้น จนหายทรมานในที่สุด
“พี่จะแกล้งอะไรเขานักหนา เขาไปทำอะไรให้พี่งั้นหรอ”
โลเวนด้าพูด ดูท่าทางเธอจะโกรธกว่าเจ้าตัวที่โดนแกล้งเสียอีก “พ่อแม่ของเขาก็ดีกับครอบครัวของเราจะตายไป เขาคือความหวังเดียวของพวกเรานะพี่ จำคำพูดของปู่ทวดไม่ได้หรือไง ถ้าเขาทนไม่ได้จนต้องกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์พวกเราจะทำยังไง ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆไปอีกนานเท่าไหร่”
“ดูเธอจะเป็นห่วงเพื่อนใหม่ของเธอมากกว่าที่ควรจะเป็นนะ”
เลโลวี่พูดเสียงแข็ง “ก็เรื่องมากเองไม่ใช่หรือไง ทานนู้นก็ไม่ได้ ทานนี่ก็ไม่ได้ แล้วที่ฉันให้กินไปก็ไม่ได้เป็นพิษอะไรต่อร่างกายเลยสักนิด มันก็แค่ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย แต่ที่ร่างกายเขารับไม่ได้ก็เพราะเขาไม่เคยทานมันมาก่อนเลยต่างหาก”
เฟ็ดรู้สึกโกรธมากในตอนแรก แต่พอรู้ว่าผลไม้นั้นช่วยปรับสมดุลในร่างกาย แล้วตอนนี้เขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเคยเสียด้วยซ้ำไป ควรโกรธเริ่มลดลง แต่เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนที่นี่
เฟ็ดเริ่มคิดถึงบ้านที่เขาจากมา คิดถึงเพื่อนๆที่ดีกับเขาบ้างและร้ายกับเขาบ้างในบางครา แต่นั่นมันคงทำให้เขารู้สึกดีกว่าการไม่มีเพื่อนสนิทเลยแบบนี้
ท่ามกลางสายตาที่ทอดยาวมาของสองสาว เฟ็ดรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาหันหลังกลับออกมาจากห้องอาหารโดยไม่ทิ้งคำพูดใดๆไว้เลย
เขาเดินตามทางเดินออกมาเรื่อยๆ เมื่อมองไปทางด้านซ้าย เขาจึงได้พบกับดอกไม้มากมายห้อยระย้าลงมาจากเพดาน มันคือต้นไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ห้อยลงมาเกือบจะจรดพื้น
สองเท้าค่อยๆก้าวย่างเข้าไปในม่านดอกไม้ มือสองมือคอยแหวกมันออก เขาเดินเรื่อยไปจนกระทั่งผ่านม่านดอกไม้ออกมาได้ในที่สุด
“ ว้าว นี่เป็นด้านหลังของปราสาทสิน่ะ ร่มรื่นดีจริงๆ ”
เฟ็ดพูดพลางส่งยิ้มให้กับสนามหญ้าและผาน้ำตกด้านหลังปราสาท
เขาเห็นหอคอยอยู่หลังหนึ่ง คงไม่พลาดที่คนอยากรู้อยากเห็นอย่างเฟ็ดจะพลาดโอกาสที่จะได้ขึ้นไปด้านบน
เขาเดินขึ้นไปด้านบนตามบันไดวน ชั่วครู่ เขาก็ขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดของหอคอย ข้างบนมีระฆังใหญ่ยักษ์หนึ่งอัน เขานึกขึ้นได้ทันทีว่าเสียงระฆังที่ดัง 1 ครั้ง บ้าง 2 ครั้ง บ้าง คงมาจากเสียงระฆังอันนี้
เฟ็ดยืนมองออกไปนอกระเบียง คงไม่มีป่าที่ไหนจะสวยเท่านี้อีกแล้ว หนุ่มน้อยคิดในใจ แต่ดูรอยยิ้มและสีหน้าของเขาจะแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน
เขาพึ่งจะได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ปราสาทที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น อยู่สูงจากพื้นดินมากโขเลยทีเดียว น้ำในทะเลสาบที่ล้อมรอบปราสาทที่เขาอยู่ มันค่อยๆไหลลงจากหน้าผาด้านหลังของปราสาท
ท่ามกลางฝนที่โปรยปรายอยู่ตลอดเวลา แต่ท้องฟ้ากลับแจ่มใส แสงจากพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่เกือบจะตรงกับหัวส่องผ่านเมฆบางเบาลงมายังพื้นหญ้าที่เขียวชอุ่ม ฝูงสัตว์นานาชนิดที่วิ่งไปทั่วบริเวณปราสาท เหมือนสถานที่ในความฝันของเฟ็ดในวัยเด็กไม่มีผิด ถึงแม้บางสิ่งบางอย่างจะไม่เหมือนที่เขาเคยฝันก็ตาม
สองสาวเดินออกมาตามหาเฟ็ดหลังจากที่เขาหายไปนาน พวกเธอเดินมาจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ประตูด้านหลังของปราสาท เสียงตะโกนของเธอทั้งสองยังคงดังเพื่อเรียกเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน
เลโลวี่มองขึ้นไปบนหอคอยสูง และทันใดนั้นเองเธอก็แปลงกลายเป็นต้นไม้ในทันที ต้นไม้ที่เธอแปลงกายเป็นนั้น ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆจนไปหยุดอยู่ที่บนสุดของหอคอย
กิ่งของเธอเข้าไปพันไว้กับระฆังตรงกลางของหอคอยด้านบนและรากของเธอค่อยๆหลุดจากพื้นดินและไม่ทันที่เฟ็ดจะหายใจเข้าได้เต็มปอด เธอก็ขึ้นมาอยู่ด้านบนหอคอยข้างๆเฟ็ดแล้ว
เสียงระฆังดังสนั่นขึ้นหนึ่งครั้งจากการที่เธอพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเธอมีความสามารถอะไร แต่เธอก็ยังทำให้เขาตกใจอยู่ดี
“ทุกคนเป็นห่วงเธอมาก รีบกลับเข้าไปในปราสาทได้แล้ว” เธอพูด
เฟ็ดไม่พูดอะไรตอบไป หรือเขาอาจไม่ได้ยินเสียงเธอก็เป็นได้
“หูหนวกหรือไงเฟ็ด” เธอตวาดเขาด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหู “ปู่ทวดบอกว่าให้กลับเข้าปราสาท ไม่รู้หรือไงว่าพวกทีแร๊กมันตามหานายยิ่งกว่าพลิกแผ่นดินหาเสียอีก ถ้ามันรู้ว่านายอยู่ที่นี่ ทุกคนที่นี่จะต้องตกอยู่ในอันตราย”
“ นั่นสินะ สุดท้ายเธอก็เป็นห่วงตัวเอง ฉันคิดอยู่แล้วไม่มีผิด” เขาพูดสวนกลับทันควัน
“จะกลับเข้าไปในปราสาทดีๆหรือจะให้ฉันจับนายโยนลงไปข้างล่าง” เธอพูดเสียงขู่
“ฉันไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้” เสียงโลเวนด้าดังขึ้นมาจากบันไดในขณะที่ตัวของเขายังขึ้นมาไม่ถึง
ไม่ช้าเธอก็วิ่งขึ้นมาถึงด้านบนแล้วยืนหอบอยู่ด้านข้างระฆัง มือสองข้างยังคงกดไปที่หัวเข่าทั้งสองข้าง ขาทั้งสองข้างก็ย่อลงเล็กน้อย ดูท่าว่าขั้นบันไดของหอคอยแห่งนี้จะมากเกินไปสำหรับเธอ
“ไปกันเถอะเฟ็ด อย่าไปยุ่งกับคนใจร้ายแบบนั้นเลย” เสียงใสๆจากน้องสาวคนใจร้ายพูดขึ้น
เฟ็ดและเธอค่อยๆเดินลงมาจากหอคอยนั้น
“ทำไมจึงมีคนอาศัยอยู่แค่ไม่กี่คน ทั้งๆที่ปราสาทออกจะกว้างขวางพอที่จะให้คนอาศัยได้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน” เขาถามขึ้น
“มีอยู่อีกหนึ่งคนในปราสาทแห่งนี้ ผู้ชาย เขาเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ถูกฆ่าตายในสงคราม เขาแทบจะไม่ยอมพูดจากับใครเลย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเกือบ 10 ปีแล้ว ปู่ทวดเป็นคนเก็บเขามาเลี้ยงน่ะ แต่เขาดุร้ายมากนะ ฉันกับพี่เคยโดนไล่เหมือนกบเหมือนเคียดเลยล่ะ” เธอตอบ
เฟ็ดขอร้องให้เธอ พาเขาไปพบกับชายคนนั้น เธอเล่าเรื่องของชายคนนั้นให้เขาฟังจนกระทั้งเขาทั้งสองเดินลงมาถึง
เลโลวี่ก็เดินตามทั้งสองลงมาอย่างช้าๆ เธอไม่พูดไม่จาเลยสักคำ ไม่รู้แน่ชัดว่า ระหว่างเขาทั้งสามนั้น ใครโกรธใครมากกว่ากัน กันแน่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ