Mongkid Junior

8.8

เขียนโดย Dint

วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.37 น.

  1 chapter
  6 วิจารณ์
  4,875 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) โลกที่มองไม่เห็น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               กลางดึกคืนหนึ่ง    ท่ามกลางแสงสลัวๆจากพระจันทร์ยามราตรี  เด็กหนุ่มวัยย่างเข้าสิบห้าปียังคงพลิกตัวอยู่บนเตียง   เสียงกรนดังลั่นห้องจากเด็กๆกำพร้าผู้ถูกทอดทิ้ง

               เด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูง  สีผิวค่อนข้างขาว  คิ้วสองข้างมีสีเทาซึ่งเขาเป็นคนเดียวที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นี่  ที่มีสีคิ้วเช่นนั้น   อีกไม่กี่วันเขาก็จะต้องออกไปอยู่ข้างนอกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว  กฏของที่นี่คือ  ใครก็ตามที่มีอายุครบ 15 ปี  เขาจะต้องออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง  เพื่อให้เด็กกำพร้าคนอื่นๆได้เข้ามาอยู่แทน 

               เด็กหนุ่มคิดหนักถึงชีวิตข้างนอกที่เขาต้องไปเผชิญ   เขายังคิดไม่ตกว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหน   อยู่กับใคร  จะหาที่ทำงานที่ใดที่เขาจะสามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้ 

                เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงและมองออกไปนอกหน้าต่าง  มือสองข้างนั่งกอดเข่าอยู่   เขาเริ่มเห็นบางสิ่งขยับเขยื้อนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง   เสียงกิ่งไม้ใบไม้ดังเล็กน้อยเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาเห็น   ไม่ได้เป็นเพราะเขาตาฝาดไป  

         “นั่นใครน่ะ”เด็กหนุ่มร้องถาม    

               เขาจ้องมองไปยังจุดที่เกิดเสียงอย่างไม่ละสายตา   ลมพัดเบาๆเข้ามาในห้องที่เด็กหนุ่มและเหล่าเพื่อนๆนอนกันอยู่   เด็กหนุ่มเปิดมุ้งลวดออกเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่โจรหรือขโมย

               ชายแก่ผู้มีผมสีน้ำตาลผสมดำ   เคราและคิ้วก็เป็นสีน้ำตาลอมดำ   หุ่นของเขาอ้วนตุ๊ต๊ะ   แต่ก็สูงใหญ่จนหน้ากลัว    ชุดที่เขาใส่เป็นเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อน    ชายแก่คนนั้นเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว   หนุ่มน้อยทำท่าตกใจเล็กน้อยแล้วรีบปิดมุ้งลวดกลับอย่างเดิม   ตอนนี้  ผ้าห่มทั้งผืนก็ปกคลุมร่างหนุ่มน้อยจนมิด  เขานอนขดตัวแน่นิ่งไม่ขยับ   เขาคิดว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คน  แต่เป็น...ผ..

               “ไม่ต้องตกใจ  ลาเฟ็ด” ชายแก่พูดขึ้นหลังจากที่เขามายืนหยุดที่ข้างหน้าต่าง

หนุ่มน้อยลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง   ตามองตรงออกไปนอกหน้าต่าง               

               “คุณเป็นใครครับ   รู้จักชื่อผมได้อย่างไร” เขาถามชายแก่ผู้นั้นด้วยความสงสัย  

                ความมืดในคืนนั้นทำให้เขามองหน้าชายแก่ผู้นั้นไม่ถนัด   เด็กๆทุกคนในห้องก็หลับกันหมดแล้วดูจากเสียงกรนที่เขาได้ยิน   เขาอยากจะลุกไปปลุกเพื่อนข้างๆแต่ก็เกรงใจ  

                  “ลาเฟ็ด มองค์คิด!  ใครๆก็รู้จักเธอกันทั้งนั้น-- คงมีแต่เธอนั่นล่ะที่ไม่รู้จักตัวเธอเอง  ฉันรู้จักเธอมากกว่าที่เธอรู้จักตัวเธอเองด้วยซ้ำไป ฉันจะพาเธอกลับโลกของพวกเรา  โลกที่เธอจากมา  เธอไม่อยากรู้หรอว่าพ่อแม่ของเธอเป็นใคร” ชายแก่ผู้นั้นตอบ

                  เขาถามคำถามอีกมากมายด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อและแม่ของเขา    แต่ชายแก่ผู้นั้นบอกเพียงว่า  เมื่อกลับไปถึงที่นั่น    เขาจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง   เฟ็ดคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจเดินตามชายคนนั้นไปพร้อมกับข้าวของและเสื้อผ้าอีกเล็กน้อย    

                   ที่นี่มีแต่คนกลั่นแกล้งเขา    ไม่ชอบเขาเพราะความฉลาดของเขา   หรือเพราะคิ้วสีเทาที่ทำให้ทุกคนมองว่าเขาเป็นคนประหลาด --  อีกอย่างคือไม่นานนี้เขาก็ต้องออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว   สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นี่มีเด็กมากเกินไปแล้ว   เขาเองก็อายุจะสิบห้าปีแล้ว   ได้เวลาที่เขาจำเป็นต้องออกไปเผชิญโลกด้วยตนเอง --  เฟ็ดไม่มีญาติคนใดที่เขารู้จักเลยสักคน   ชายแก่คนนี้เป็นความหวังสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับญาติที่เขารอคอย    รวมถึงพ่อแม่ของเขาด้วย  

                   เฟ็ดเดินออกมาจากอาคารที่พักและชายคนนั้นก็จูงมือเฟ็ดเดินผ่านเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง    ชายแก่คนนั้นจูงมือเขาออกมาจากต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นและเขาก็พบว่ามันไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาอาศัยอยู่  

                   เฟ็ดรู้สึกตกใจมาก   ตั้งแต่ที่เดินชนต้นไม้แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บใดๆ  แถมภายในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น   เขาก็พบว่าที่ที่เขายืนอยู่ไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาอยู่มาเกือบตลอดชีวิต 

                  เฟ็ดหันหลังไปมองต้นไม้ที่เขาพึ่งจะเดินทะลุผ่านมา   เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย   ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเขา   นอกนั้นก็เป็นเพียงพื้นดินโล่งๆที่แทบจะไม่มีต้นไม้แม้ซักต้นเดียว

                  “ฝัน--  ฉันต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ”เฟ็ดบ่นพึมพำอยู่กับตนเอง

                  เขายังคงคิดว่าเขาอาจจะง่วงนอนจนเห็นอะไรผิดแปลกไป   หรือเขาอาจกำลังฝันอยู่ก็เป็นได้

                  หนุ่มน้อยอ้าปากค้างเมื่อตรงหน้าเขาคือทะเลสาบที่น้ำใส่และนิ่งชวนให้เขาอยากจะกระโดดลงน้ำใจจะขาด     นานจนเขาจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ลงว่ายน้ำคือเมื่อใด    ชายแก่กระตุกมือหนุ่มน้อยไว้

                  เฟ็ดหันหน้ากลับไปหาชายแก่อีกครั้ง   เมื่อครู่เขาเกือบลืมว่าเขามากับชายแก่  ชายแก่ยกมือขวาขึ้นและเอามันเข้าไปในปากเล็กน้อยหลังจากนั้นเขาก็ผิวปากเสียงดังลั่นและแหลมจนขี้หูของเขาแทบจะละลายไหลออกมาเป็นน้ำ

                  เฟ็ดหันกลับมามองที่ทะเลสาบตามเดิมและเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่ง  บางสิ่งที่คล้ายกับปราสาทเก่าๆ  

“นั่นอะไรครับ” เฟ็ดถาม

              มันเป็นปราสาทที่ดูแข็งแกร่ง  ใหญ่โต  ดูเหมือนมันจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 500 ปีแล้วแต่ที่น่าแปลกใจคือ    ปราสาทนั้นมีฝนตกตลอดเวลา   ก้อนเมฆสีดำลอยอยู่เหนือปราสาทนั่นเพียงที่เดียวเท่านั้น   ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  มีคำถามมากมายที่เฟ็ดอยากจะถามชายแก่คนนั้นแต่ก็ต้องเก็บไว้ในใจ  

              “ที่อยู่ใหม่ของเธอไง.. ลาเฟ็ด” ชายแก่ผู้นั้นตอบ

               แสงจากพระจันทร์ทำให้ปราสาทแห่งนั้นดูงดงามไม่น้อย   เฟ็ดยังคงยืนมองไปยังปราสาทที่ใหญ่และสวยงามนั่นอยู่ตลอดเวลา    เขายังคงคิดว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน   เขาจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเรื่อยๆโดยไม่ใส่ใจสิ่งใดมากมาย   

              ไม่นานก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น    มันคือเสียงของนกชนิดหนึ่งที่กำลังบินออกมาจากปราสาทท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายอยู่ตลอดเวลา   ยิ่งบินเข้ามาใกล้มากขึ้น   มันก็ยิ่งดูตัวใหญ่ขึ้น  ใหญ่ขึ้น  และในที่สุดมันก็บินตรงมาหยุดตรงหน้าเฟ็ดและชายแก่ผู้นั้น

               ตัวของมันใหญ่โตราวกับนกยักษ์ในรายการสัตว์โลกดึกดำบรรพ์   สีของมันที่เขียวอ่อนราวกับใบอ่อนของพืช  ทำให้มันดูน่ากลัวและน่าสนใจไปพร้อมๆกัน   ขาสองขาของมันยาวกว่าขาของเฟ็ดและชายแก่ต่อกันเสียอีก

               นกยักษ์ยังคงบินอยู่ต่อหน้าของเฟ็ดและชายแก่ผู้นั้น   ปีกที่โบกไปมาแต่ละครั้งทำให้ลมพัดเข้าหาเขาทั้งสองจนต้องเอามือป้องไว้เพื่อกันฝุ่นเข้าตา             

               เฟ็ดเริ่มรู้สึกกลัวและรีบวิ่งไปหลบหลังชายแก่ผู้นั้นในทันที   แต่ก็ยังชะโงกหัวคอยดูอยู่ห่างๆ  

               “ ไม่ต้องกลัวมันหรอกลาเฟ็ด   มันค่อนข้างใจดีมากเลยล่ะ”    ชายแก่หัวเราะเล็กน้อย

               นกยักษ์หยุดยืนตรงหน้าชายแก่   มันก้มหน้าลงเพื่อทำความเคารพเขา    ชายแก่ยื่นมือไปลูบที่หัวของนกตัวนั้นเบาๆ    จงอยปากของมันดูแข็งและแหลมมาก  เขากลัวว่านิ้วมือของชายแก่คนนั้นจะกลับออกมาไม่ครบห้านิ้วหลังจากที่ยื่นมือนั้นไป

               “ไง   กราด็อท สบายดีใช่ไหม   ไม่เจอกันสะนานเลยนะ   พาเราไปปราสาทที”

               กราด็อทได้ยินก็พยักหน้า และหันหลังให้เขาทั้งสอง    ชายแก่คนนั้นขึ้นขี่หลัง กราด็อททันที    ดูเหมือนเขาจะเคยชินกับการขี่สัตว์ที่ทั้งแปลกและน่ากลัวแบบนี้   

               เฟ็ดเริ่มพยายามตั้งสติ    เขาเริ่มถามตัวเองว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่   เขาหยิกตัวเองหนึ่งครั้งและนั่นทำให้เขารู้สึกเจ็บไม่เบา   เฟ็ดยังคงไม่เชื่อว่าเขาเจ็บจริง  เขานึกย้อนไปถึงก่อนเขานอน    เขาเริ่มรู้สึกไม่สนุกกับความฝันแบบนี้อีกแล้ว

               ระหว่างนึกไปนั้น   เฟ็ดก็ตบหน้าตัวเองอยู่ตลอดเวลา  บอกกับตัวเองเสียงดังว่าตื่นเถอะๆ  ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความจริง    มันไม่ใช่ฝัน    

               “ไม่มีเวลาให้เธอตบหน้าตัวเองจนกระทั่งตื่นหรอกนะ   มันดึกมากแล้ว   รีบปีนขึ้นมาเถอะ” ชายแก่พูดตวาด

               เฟ็ดยืนคิดอยู่นาน    ไม่รู้ว่าจะขึ้นดีหรือไม่    หรือในปราสาทนั้นเขาจะต้องเจออะไรแปลกๆอีก    ที่นี่อะไรก็ดูแปลกตาไปหมด   น้ำที่ใสแต่นิ่งสงบ   ฝนที่ตกเฉพาะที่ปราสาทเพียงแห่งเดียวราวกับจงใจให้เป็นเช่นนั้น   นกที่ตัวใหญ่ยักษ์แบบที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน    ลมที่แสนเงียบสงบจนใบไม้ที่เขามองเห็นไม่กระดุกระดิกสักนิดเลย           

               กราด็อทคงเริ่มไม่อยากรอ    มันตวัดหางเข้าใส่ เฟ็ดเต็มแรงและรัดตัวเขาไว้แน่น    เฟ็ดถูกยกขึ้นมาบนหลังกราด็อท  แต่อยู่ด้านหน้าของ ชายแก่ผู้นั้น    

               กราด็อทบินขึ้นทันทีอย่างรวดเร็ว  และไม่เท่านั้น    มันบินเร็วมากเหลือเกินจนทำให้ เฟ็ดเกือบลื่นตกลงมา   โชคดีที่ชายแก่ผู้นั้นจับเขาไว้ได้ทัน     มันบินเร็วกว่าเครื่องบินเสียอีกในความรู้สึกของเขา  

               เพียงไม่ถึงครึ่งนาที   พวกเขาก็ เข้าไปในสายฝนที่กำลังตกอยู่   แต่สิ่งที่แปลกมากก็คือ ที่ตัวปราสาทกลับไม่มีฝนเลยสักหยด  มันตกเป็นวงแหวนรอบๆเกาะเล็กๆแห่งนี้    แต่เพื่ออะไรนั้น เฟ็ดเองก็ไม่เข้าใจ

                กราด็อทบินลงพื้นหญ้าหน้าปราสาทเพื่อให้ทั้งสองได้ลง    ปราสาทเก่าๆที่ดูเงียบพิลึก    แสงจันทร์ไม่มากนักแต่มันก็ทำให้เขามองเห็นสิ่งต่างๆได้ทั่ว    พื้นหญ้าอ่อนนุ่มรายรอบปราสาท   ประตูบานใหญ่และกำแพงสูงที่หน้าทึบทำให้รู้สึกได้ถึงความปลอดภัย   โดมแหลมหลายอันที่ต้องแหงนหน้ามองจนปวดคอ   พื้นที่กว้างใหญ่ที่สามารถทำเป็นสนามฟุตบอลที่เขาอยากได้มานาน    กระต่ายน่ารักหลายตัวที่มองมาที่เขาราวกับคนแปลกหน้า   ม้าสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังนอนอยู่ริมประตูบานใหญ่    อากาศที่เย็นสบายชวนให้ง่วงนอน 

              ถึงแม้ที่นี่จะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน    แต่ความง่วงก็ไปหาคุณได้ทุกที่  ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน  ตราบเท่าที่คุณยังไม่ได้พักผ่อน   เด็กหนุ่มก็เช่นกัน   เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้วในตอนนี้   อากาศที่นี่ก็เป็นใจเสียอีก  

               ชายแก่รีบพาเฟ็ดเข้าไปในปราสาท   ในนี้เงียบสงัดจริงๆ   ทั้งเงียบและมืด   มันน่ากลัวกว่าฝันร้ายที่เฟ็ดเคยเจอเสียอีก   เขาเดินตามชายแก่อย่างกระชั้นชิด  มองทั้งซ้าย และ ขวาตลอดทุกย่างก้าวที่เดินอย่างระมัดระวัง 

               “ที่นี่จะมีผีไหมเนี่ย” เด็กน้อยบ่นพึมพำกับตัวเอง

               ทั้งสองไปหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่ง   ห้องที่มีประตูหนาทึบ   ประตูที่ไร้ลูกบิด   ไร้รูเสียบกุญแจ   ชายแก่พูดบางสิ่งบางอย่างที่เฟ็ดก็ฟังไม่ออก  ไม่นานก็มีงูสีดำตัวไม่ใหญ่มากตัวหนึ่งเลื่อยมาจากทางด้านบนของประตู   มันทำให้เฟ็ดตกอกตกใจ   เขาถึงกับล้มลงไปนั่งกับพื้นเมื่องูตัวนั้นห้อยหัวลงมาจากด้านบนของประตู   มันห่างจากหน้าของเขาไม่ถึง 2 ฟุตเลยทีเดียว   เฟ็ดยังคงนั่งกับพื้นเพื่อดูว่างูมันจะทำสิ่งใด

               งูสีดำยังคงเลื่อยลงมาจากด้านบนของประตูและมุดเขาไปในรูที่อยู่ตรงกลางของประตูบานนั้น   ค่อยๆเข้าไปด้านในจนกระทั้งหายไปทั้งตัว   ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกด้วยตัวของมันเอง   แต่ก็คงเป็นเพราะงูนั่น  เขาเข้าใจดี  

               แต่ชายแก่คนนี้และสถานที่แห่งนี้มันแปลกจนเฟ็ดจินตนาการไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับชายแก่คนนั้น   ปราสาทแห่งนั้น และในห้องๆนั้น  เฟ็ดเดินตามเข้าไปในห้องนั้น และทันใดนั้นเอง  เขาก็เดินต่อไปไม่ได้   มีกิ่งต้นไม้เลื่อยชนิดหนึ่งมาพันขาของเขาไว้   มันรัดแน่นจนเขาเดินไม่ได้   เขาล้มลงและพยายามจะแกะเถาวัลย์นั้นออกแต่ก็ทำไม่ได้  

              เฟ็ดถูกดึงลากไปมาทั่วห้องกว้างๆนั่น   เสียงร้องช่วยด้วยของเขายังดังอยู่ตลอด     แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเสียงร้องของเขา    ชายแก่ยังคงกอดหญิงสาวคนหนึ่งอยู่   เธอกอดชายแก่คนนั้นด้วยความดีใจราวกับไม่ได้เจอกันเป็นปี   

               ไม่นานชายแก่ก็ผละจากหญิงสาวคนนั้น  และพูดบางสิ่งบางอย่าง   แต่เฟ็ดฟังไม่ถนัดเพราะหูของเขาอื้อไปหมดแล้ว   เขาถูกลากไปลากมากับพื้นราวกับเป็นผ้าขี้ริ้ว   ไม่นานเถาวัลย์ที่รัดขาของเขาอย่างแน่นก็คลายออก   เถาวัลย์ที่ยาวค่อยๆหดสั้นลงและไปรวมตัวกันที่รากของมัน   

              สุดท้ายมันก็กลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง   หญิงสาวรูปงามอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา   แต่อาจมากกว่าสักเล็กน้อย    ผิวที่ขาวเนียนสวยของเธอ   ผมสีน้ำตาลอมดำคล้ายๆสีผมของชายแก่คนนั้น    ผมที่ยาวจนถึงกลางหลังของเธอถูกรวบมัดไว้ด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเธอ  เธอใส่เสื้อโค๊ทสีน้ำตาลเข้มยาวเกือบถึงพื้น   ถ้าเกิดเธอเป็นผู้ชายล่ะก็  เขาคงจะเดินเข้าไปชกซักสองสามหมัดให้หายแค้น

              เธอหัวเราะลั่นที่ได้แกล้งแขกผู้มาเยือนสำเร็จ   

“ยินดีต้อนรับน้องใหม่” เธอพูดขึ้น  

“ขอโทษเขาสะ  เลโลวี่”ชายแก่ตวาด

“แค่แหย่เล่นนิดหน่อยเองนะค่ะ  ปู่ทวด” เธอเถียงราวกับว่าเธอไม่ผิดอะไรเลย

“เลโลวี่.....”ชายแก่ทำเสียงดุ

“ก็ได้ค่ะ   ก็ได้   ขอโทษ   แล้วตานี่ชื่ออะไรเนี่ย ”  เธอพูดขอโทษอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก             

              ชายแก่เดินเข้ามาหาเฟ็ดพร้อมกับหญิงสาวทั้งสอง   ชายแก่เริ่มแนะนำตัวเหลนสาวของเขาทั้งสอง   

               “คนนี้ชื่อ โลเวนด้า ทูเรกซิ่ว  และอีกคนที่แกล้งเธอเมื่อสักครู่เป็นพี่สาวของ โลเวนด้า    เธอชื่อ เลโลวี่  ทูเรกซิ่ว  เหลนทั้งสองของฉันเอง   ส่วนฉันก็คือ  คาร์รูตี้ คอนลอร์ท   ต้องขอโทษเธอแทนเหลนสาวของฉันด้วยนะ  สำหรับเรื่องเมื่อครู่”

               ชายแก่แนะนำเหลนสาวของเขาทั้งสองรวมถึงตัวเขาเสร็จก็ยกมือข้างขวาของเขาชี้มาที่เฟ็ด  

              “นั่นคือ  ลาเฟ็ด  มองค์คิด  ลูกชายคนเดียวของ เมอร์ลี่ มองค์คิด”

               ทันทีที่เหลนสาวของเขาทั้งสองได้ยินชื่อเฟ็ดก็ตกใจ    เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำท่าทางตกอกตกใจขนาดนั้น    

               เฟ็ดนึกขึ้นได้ว่าเขายังคงโกรธเลโลวี่ อยู่    เธอสร้างความไม่ประทับใจให้กับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน   เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่พูดกับเธอเลย  ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร

               เฟ็ดเก็บความรู้สึกมานานจนเขาต้องถามทุกคำถามที่เขาอยากรู้สักที   ตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงความง่วงแต่อย่างใด      

               “พวกคุณเป็นใคร   พ่อแม่ของผมอยู่ที่ไหน   ที่นี่ที่ไหน...”   เฟ็ดยังคงถามไม่หยุดจน คาร์รูตี้ ต้องบอกให้เฟ็ดหยุดเพื่อที่เขาจะได้เล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง   

               “เธอเป็นชาวเจเนอร์รี่เหมือนพวกเรา” คาร์รูตี้เริ่มเล่า   “พวกเราแตกต่างกับมนุษย์ในโลกที่เธอเคยอยู่    พวกเรามีพลังพิเศษที่แต่ละคนจะได้รับ   พลังจะเป็นผู้เลือกผู้ที่จะได้รับมัน   จริงๆแล้วโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงด้านที่เธอเคยอยู่เท่านั้น   พวกเราสามารถเข้าไปยังโลกมนุษย์ได้    แต่ถ้าผู้พิทักษ์พบพวกเราเมื่อไหร่ก็ซวยเมื่อนั้น   ผู้พิทักษ์คือผู้ควบคุมไม่ให้มนุษย์และชาวเจเนอร์รี่ อยู่ปะปนกัน   เมื่อประมาณ 12 ปีก่อนหน้านี้   แม่ของเธอพาเธอไปอยู่ที่โลกมนุษย์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต   เพื่อความปลอดภัยของเธอ   ส่วนพ่อของเธอไม่มีใครพบเขาอีกหลังจากงานศพของแม่เธอ” คาร์รูตี้เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  แต่แววตาของเขาดูเหมือนว่ามีน้ำตาคลอ  

               น้ำตาเด็กหนุ่มเริ่มคลอ   อีกไม่นช้ามันคงจะหยดลงพื้นจดได้    แต่เขาก็ยังมีความหวังที่จะพบพ่อของเขา 

              “เล่าต่อสิครับ   ผมรอฟังอยู่” เฟ็ดพูดขึ้นอย่างสนอกสนใจเรื่องราวต่างๆ

               คาร์รูตี้หยุดเล่าและบอกให้เขาไปพักผ่อน   มีเรื่องอีกมากมายที่เขายังไม่ควรจะรู้ในตอนนี้    

               ชายแก่พาเฟ็ดไปที่พักของเขา   เขาบอกว่ารุ่งเช้าเขาจะพาเฟ็ดไปแนะนำให้รู้จักที่นี่มากขึ้นและสอนบางอย่างที่เขาควรต้องรู้อีกมากมาย   เฟ็ดเข้านอนพร้อมกับขบคิดเรื่องต่างๆมากมายจนเหนื่อยและผล๊อยหลับไปในที่สุด

               แสงแดดยามเช้าเริ่มส่องผ่านกระจกบานใหญ่เข้ามาภายในห้องขนาดไม่ใหญ่นัก   แสงแดดเริ่มแยงลูกตาเฟ็ดราวกับกำลังบังคับให้เขาตื่น   และนั่นมันทำสำเร็จ 

              เฟ็ดตื่นขึ้นมาในยามสายของวันที่ 24 กันยายน     เขายกนาฬิกาข้อมือที่เขาใส่ติดตัวตลอดเวลาขึ้นดู    

               “ที่แท้ก็ฝันสินะ” เขาพูดขึ้นแล้วก็หัวเราะเล็กน้อย  

               มือสองข้างก็ขยี้ลูกตาอยู่ครู่หนึ่ง   ไม่ช้าเขาก็ลุกขึ้นนั่งและบิดขี้เกียจตามประสาคนพึ่งตื่นนอน    เขาลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆ

“พระเจ้า  ให้ตายสิ!   นี่ไม่ใช่ฝันงั้นหรอ  หรือว่าฉันกำลังฝันซ้อนฝันกันแน่เนี่ย” เฟ็ดพูดเสียงดังพร้อมกับตบหน้าตัวเองหลายที   “ของจริงนี่หว่า”

               เขาต้องตกใจกับสิ่งต่างๆที่เขาได้เห็นในห้องนี้    ที่นี่แปลกมากจริงๆ   เตียงที่เขานอนเป็นเพียงดินธรรมดาๆเท่านั่น   ไม่ใช่เตียงนุ่มๆใดๆ     แต่ที่แปลกคือทำไมเตียงดินที่เขานอนนั้นนุ่มและน่านอนกว่าเตียงทุกเตียงที่เขาเคยนอนเสียอีก    

              เฟ็ดนั่งลงบนเตียงดินอีกครั้ง    ดินที่เขานั่งลงไปค่อยๆปรับให้เข้ากับผู้นั่งและผู้นอน   มันจึงทำให้เขานั่งและนอนได้อย่างสบายนั่นเอง

              ที่นี่ยังมีกลิ่นที่หอมจากดอกไม้ทั้งภายในและภายนอกห้อง    สภาพห้องที่ดูสะอาดสะอ้านราวกับพึ่งจะทำความสะอาด   เสียงนกร้องที่น่าฟังชวนให้เดินตามหาเสียงนกนั่น    เขาเดินตามเสียงนกไปจนกระทั้งไปหยุดที่หน้าต่างบานหนึ่ง

               เฟ็ดพบกับพ่อแม่นกและลูกของมันกำลังร้องเสียงดังอยู่ในรังของมันอย่างมีความสุข    เขาหวนนึกถึงพ่อและแม่ของเขา   เขาจำหน้าพ่อและแม่ของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย   หรือไม่เขาก็อาจไม่เคยเจอพ่อและแม่ของเขาเลยก็เป็นได้

               เฟ็ดเริ่มจินตนาการไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับพ่อและแม่ของเขา   เขาเริ่มเดินต่อไปเพื่อตามหาคาร์รูตี้  เขาต้องการถามหลายเรื่องที่เขาสงสัย    อีกหลายเรื่องที่เขาอยากรู้

              เขาเดินไปจนกระทั้งพบกับโลเวนด้า   เธอนั่งอยู่ที่บันไดหน้าปราสาทเพียงลำพัง  เธอนั่งเล่นอยู่กับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง   เฟ็ดเดินไปทางด้านหลังและขอนั่งข้างๆเธอ   เธอพยักหน้าเพื่อตอบรับการขอของเขา   

                เฟ็ดนั่งลงและเริ่มถามคำถามบางอย่างกับเธอแต่เขาไม่กล้าสบตากับเธอ   เธอช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารักเหลือเกิน   สีผมที่ดำเงางาม   จมูกโด่งคล้ายกับชาวฝรั่ง    ผิวที่ขาวเนียนน่าสัมผัส    แถมกลิ่นน้ำหอมของเธอยังชวนให้น่าหลงไหล

               คงเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและเขาแทบจะไม่เคยคุยกับผู้หญิงวัยเดียวกันมาก่อน    ที่เคยคุยก็แค่ครูหรือแม่บ้านที่ดูและสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเท่านั้น    ยิ่งกับผู้หญิงที่ทั้งน่ารักและเรียบร้อยแบบเธอด้วยแล้ว   ยิ่งทำให้เฟ็ดเกร็งอย่างบอกไม่ถูก

               “ในโลกของพวกเรานี้   สิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะเกิดจากธาตุหลักสี่ธาติด้วยกัน  คือ  ดิน  น้ำ  ลม  และไฟ”เธอเริ่มเล่า   “ฉันเองเป็นคนธาตุน้ำ   พี่สาวฉัน และ ปู่ทวดเป็นคนธาตุดิน   ส่วนเธอเป็นคนธาตุลม    สีผมจะเป็นตัวบอกว่าเป็นคนธาตุใด   พวกเราจะมีพลังจากธาตุที่ตนเองมีในตัว เช่น พี่สาวของฉันมีธาตุดินเด่นกว่าธาตุอื่นในตัวจึงสามารถควบคุมดินได้เป็นอย่างดี   คนธาตุน้ำก็จะควบคุมธาตุน้ำได้  ส่วนเธอก็จะสามารถควบคุมลมได้” เธอเล่าโดยไม่มองหน้าเฟ็ดเช่นกัน  มือสองข้างของเธอกำลังอุ้มกระต่ายน้อยอยู่

               เฟ็ดเหมือนกำลังทำท่าจะถามอะไรบางอย่างกับเธอ  แต่เธอก็รีบเล่าต่อทันทีเพราะกลัวจะลืมในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อ   

               “พวกเราทุกคนจะมีเครื่องลางอยู่คนละชิ้น   มันคือวัตถุที่เด็กทุกคนจะได้รับจากพ่อแม่   วันแรกที่เด็กเกิดมาจะมีพิธีแยกวิญญาณครึ่งหนึ่งออกจากร่างเพื่อเก็บไว้ในเครื่องลางชิ้นนั้น   เป็นพิธีที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ    เพื่อให้ผู้ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหรือถูกฆ่าสามารถชุบชีวิตให้กลับคืนมาได้     ชิ้นเดียวกับที่เธอห้อยคอไว้ตลอดเวลา”

               เฟ็ดหยิบสร้อยที่ห้อยอยู่ที่คอของเขาตั้งแต่เด็กขึ้นมาดูก่อนที่จะเก็บมันไว้ในเสื้อตามเดิม  สร้อยที่เป็นเพียงสายที่ทำจากโลหะเงิน   และมีจี้ที่ทำจากวัตุอะไรสักอย่างที่กลมๆและมีสีขาวเหมือนไข่มุก   แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย 

              “แม่ของเธอต้องเสียชีวิตเพื่อพยายามช่วยเหลือพวกเราจำนวนมากไว้   ทุกคนที่นี่รู้จักแม่เธอดี   รวมถึงเธอด้วย  ถ้าพูดถึงชื่อลาเฟ็ด  มองค์คิดแล้ว   ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้” เธอ เล่าให้เฟ็ดฟังต่อ    

               เฟ็ดยังคงไม่เข้าใจกับเรื่องที่ว่า  ทำไมทุกคนถึงรู้จักเขา  ทั้งๆที่เขาไม่เคยอาศัยอยู่ในโลกที่นี่เลย  และที่สำคัญ  นี่ก็ล่วงเลยผ่านมาเกือบ 12 ปีแล้ว  จะมีใครรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร

               ระหว่างที่เฟ็ดกำลังนั่งฟังเธอเล่าเรื่องอย่างเพลินๆ    ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง    มันเป็นเสียงเรียกของคาร์รูตี้     เขาเดินมาจากทางด้านหลังพร้อมกับเลโลวี่      

               เฟ็ดและโลเวนด้า    ลุกขึ้นยืนและหันหน้าไปหาปู่ทวดและเหลนสาวของเขาที่กำลังเดินมา    คาร์รูตี้เดินเข้ามาถึงเฟ็ดก็จับไหล่ของเขาและพาเดินออกมานอกปราสาท

              “ได้เวลาพาเธอไปหาทุกคำตอบที่เธอต้องการจะรู้” คาร์รูตี้พูดขึ้น

               แต่ทันใดนั้นเองก็มีชายคนหนึ่ง    ชายที่มีผมสีน้ำเงินเข้มผสมดำยาวกว่าไหล่  หน้าตาดูดุเสียยิ่งกว่าครูทุกคนที่เขาเคยเจอ  ตาที่ดูนิ่งและเยือกเย็น   รูปร่างของเขาดูสูงกว่าคนปกติมาก   เขากำลังเดินตรงเข้ามา 

                คาร์รูตี้ ตกใจเล็กน้อยก่อนจะแนะนำชายผู้นี้ให้เฟ็ดรู้จัก 

“นี่คือชายผู้ดูแลปราสาทแห่งนี้  มูติน  มารูดิน  ผู้ที่ทำให้ฝนตกตลอดทั้งวันทั้งคืน   เพื่อป้องกันไม่ให้พวก ซีลิ๊ป เข้ามาได้” เฟ็ดได้ฟังประโยคนั้นเข้าก็ทำหน้างงๆ   “ลืมไปว่าเธอไม่รู้จักพวกซีลิ๊ป-- พวกมันเป็นพวกธาตุไฟ    พวกที่พวกเรามองไม่เห็น  มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจมากที่สุด   ฆ่าก็ไม่ตาย   อายุขัยพวกมันก็เป็นพันๆปี    มันแปลงกายได้สารพัดตามที่มันอยากจะเป็น   น้อยครั้งที่มันจะยอมปรากฏตัวให้พวกเราเห็น --  พวกมันสามารถเข้าไปในร่างกายของมนุษย์หรือแม้แต่พวกเราชาวเจเนอร์รี่   พวกมันจะควบคุมร่างกายให้ผู้นั้นทำสิ่งใดๆโดยไม่รู้ตัว   มันทำทุกอย่างที่เราคาดไม่ถึงได้เสมอ”

               “ร้ายกาจใช่ไหมล่ะ   พวกมันน่ะ   แต่ที่ร้ายกาจกว่าพวกนั้นก็มีนะ   ทีแร๊ค  ซีลิ๊ป   ผู้ที่มีความสามารถในการควบคุมและสั่งการพวกมัน  เขาคือผู้ที่มองเห็นพวกมัน -- อีกหนึ่งในคนที่สามารถเห็นมันได้คือพ่อของเธอ  ผู้มีพลังตาทิพย์   จริงๆแล้วสัตว์ต่างๆก็มองเห็นพวกมันเหมือนกันน่ะ  แต่แน่นอน  แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยากจะสู้กับพวกมันหรอก  มันเหมือนเอาชีวิตไปทิ้งไม่มีผิด”

               หลังการแนะนำตัวกันเสร็จ   มูตินกระซิบบอกเรื่องสำคัญซักอย่างกับคาร์รูตี้   คาร์รูตี้พยักหน้าและเอานิ้วสองนิ้วเข้าปากเพื่อผิวปาก   เสียงผิวปากของคาร์รูตี้ดังขึ้น    นกยักษ์กราด็อท  ก็บินมาอย่างรวดเร็ว   เสียงร้องของพวกมันดังลั่นจนต้องหันมอง 

              คราวนี้มันมากันถึง 4 ตัวด้วยกัน   ปากที่แหลมคม   กงเล็บที่ยาวและแหลม  รวมถึงปีกที่กว้างทำให้มันบินได้ไว  ที่สำคัญ  พวกมันได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งนกอีกด้วย

              ถ้ามันไม่ได้มีสีเขียวราวกับใบไม้อ่อนแบบนี้   มันก็คงจะเหมือนกับสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่เขาเคยเห็นในทีวี   เฟ็ดเริ่มไม่กลัวกราด็อทเหมือนเมื่อคืนแล้ว   ไม่ช้านกยักษ์ทั้ง 4 ก็รับพวกเขาทั้ง 4 คน   พาบินออกไปอย่างรวดเร็ว   

               คราวนี้มันบินไปไกลจากปราสาทมาก   แต่ใน 10 นาที  พวกมันก็บินลงจอดที่หน้าผาแห่งหนึ่ง   ทั้งสี่เดินมาหยุดที่ริมหน้าผาสูง  สิ่งที่เขาได้เห็นทำให้เขาต้องตกใจ

              ที่นี่เป็นเมืองที่กว้างใหญ่มาก   มันกว้างจนเขามองไปสุดลูกหูลูกตาก็ยังเห็นเป็นสภาพเมืองที่ถูกทำลาย   สภาพเมืองถูกทำลายอย่างราบคราบ  ไม่มีตึกใดสูงเกินกว่าต้นไม้เลยแม้แต่ตึกเดียว   เมืองรกร้างว่างเปล่า  ไม่มีต้นไม้   แม่น้ำ   ลำคลอง   หรือแม้แต่ทะเลสาบ    ฝุ่นทรายปกครองเมืองทั้งเมืองไปทั้งหมด  ทุกอย่างดูเงียบอย่างน่ากลัว   เฟ็ดเริ่มคิดว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น

              “เสียดายนะที่เธอไม่ได้เห็นสภาพเมืองของพวกเราเมื่อ 13 ปีก่อนที่มันจะถูกทำลาย”   คาร์รูตี้เริ่มเล่า    “ในอดีตนั้นเหล่าผู้มีพลังพิเศษต่างอยู่กันอย่างสันติ    ไม่มีการแบ่งแยกประเทศ  เพราะที่นี่เป็นหนึ่งเดียว   มีผู้ปกครองเพียงผู้เดียว    มีกฏหมายฉบับเดียว   และมีความรักใคร่สามัคคีกันดี”  ใบหน้าของคาร์รูตี้ดูเหมือนเก็บสิ่งต่างๆไว้มากมายจนทุกอย่างพร้อมที่จะระเบิดออก    

              “จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อประมาณ 13 ปีก่อน    ผู้ปกครองของพวกเราจากไป  พวกเรา 1 คนจะถูกคัดเลือกจากผู้ที่เหมาะสมที่สุด   มีผู้เข้าชิงตำแหน่งนั้นเพียงสองคน  หนึ่งในนั้นคือทีแร๊ก  ซีลิ๊ป ผู้สามารถควบคุมซีลิ๊ปได้  --  ซีลิ๊ปเป็นเสมือนตำรวจ  หรือทหาร   พวกมันทำตามคำสั่งทุกคำสั่งของทีแร๊ก  มันคุมคุกที่มีเพียงแห่งเดียวของที่นี่    คุกที่ไม่เคยมีใครหนีรอดจากพวกซีลิ๊ปได้  ---  คุกอันฮูยามัน   พวกมันคอยตรวจตราดูการกระทำผิดกฏของที่นี่   และแน่นอนทีแร๊ก คือผู้ที่ใครๆต่างก็ต้องเกรงกลัวในความสามารถที่เขามี”  คาร์รูตี้เริ่มหันหน้ามองเฟ็ดเพื่อดูว่าเขายังคงฟังอยู่ 

               “แต่ผลก็คือเขาไม่ได้เป็นผู้ปกครองโลกแห่งนี้     เขาจึงคิดที่จะปกครองโลกนี้เองโดยไม่ต้องฟังคำตัดสินของใครหรือสิ่งใดทั้งนั้น    เขาปล่อยนักโทษทุกคนที่ยอม สว่ามิภักดิ์ต่อเขา   รวบรวมสมัครพรรคพวกเป็นกองทัพขนาดใหญ่    และเริ่มเปิดฉากสงครามในที่สุด    เพียง แค่ 7 วัน    เมืองทั้งเมืองที่กว้างใหญ่กว่าทวีปบางทวีป     ก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นซาก   แม้ผู้ปกครองคนใหม่จะรวบรวมคนทั้งหมดที่พอจะหลงเหลืออยู่ไปรวมตัวกันเพื่อต่อสู้ศึกครั้งนั้นแต่ก็พ่ายแพ้กลับมาครั้งแล้ว  ครั้งเล่า  หลังจากสิ้นสงคราม     บางคนก็ไม่คิดจะสู้ต่อไป   บางคนก็หนีไปโลกมนุษย์   บ้างก็อาศัยใต้ดิน    บ้างก็ใต้น้ำ   กระจัดกระจายกันไปต่างๆนานา   แต่ที่หนักหน่อยก็พวกธาตุลมอย่างเธอ  ทีแร๊ก  ซีลิ๊ป  ไล่ฆ่าทุกคนที่เป็นธาตุลม” คาร์รูตี้ เล่าให้ฟังพลางมองหน้าเขาไปด้วย   

                เฟ็ดทำท่าทางสงสัยว่าทำไมต้องธาตุลม     

               “ทำไมต้องฆ่าพวกธาตุลมครับ  แล้วตอนนี้ใครเป็นผู้ปกครองที่นี่” หนุ่มน้อยถามด้วยความสงสัย

                “ผู้ปกครองที่นี่กำลังยืนอยู่ข้างๆเธอไงล่ะ” คาร์รูตี้ตอบ   “ส่วนที่ว่าทำไมต้องฆ่าเหล่าธาตุลมนะหรอ   ความอมตะไง   ต้องเป็นผู้ที่เกิดธาตุเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถฆ่ากันได้อย่างสมบูรณ์    แต่ถ้าต่างธาตุจะไม่สามารถฆ่าให้ตายได้อย่างสมบูรณ์   ฉันหมายถึงว่าธาตุเดียวกันจะสามารถทำลายสร้อยที่เธอห้อยอยู่ได้ด้วย   ถ้าสร้อยยังอยู่   วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วก็ยังมีโอกาสกลับเข้าร่างเหมือนเดิม   แน่นอนทีแร๊ก ก็เป็นพวกธาตุลมเช่นเดียวกับเธอและแม่ของเธอ   และถ้าเขาฆ่าทุกคนที่เป็นธาตุลมสำเร็จก็จะไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้   นั่นคือเขาจะเป็นอมตะ --  ช่วงเวลา 12 ปีก่อนนั้น  ตอนเธออายุเกือบ 3 ขวบ  แม่ของเธอรวบรวมเหล่าคนธาตุลมมาไว้ด้วยกัน   เพื่อทำพิธีปลิดชีพ   รอผู้ที่จะมาทำให้เขากลับคืนชีพได้    และวันนี้เขาคนนั้นก็กลับมาแล้ว” คาร์รูตี้ มองหน้าเฟ็ดแล้วยิ้ม  แต่เฟ็ดเองสงสัย   

                เขาจะช่วยคนพวกนั้นได้อย่างไร   เฟ็ดทำท่าทางไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถทำแบบนั้นได้  

               “แม่ของเธอออกไปถ่วงเวลาเพราะว่า ทีแร๊ก  ซีลิ๊ป และเหล่าสมุนกำลังมาที่นั้นเพื่อทำลายล้างธาตุลมให้หมดไป  แม่ของเธอเสียสละและกล้าหาญเป็นอย่างมาก  ไม่มีใครลืมบุญคุณของแม่เธอได้เลย  --  สุดท้ายเหล่าธาตุลมก็ปลิดชีพตัวเองสำเร็จ  และทิ้งเครื่องลางไว้เพื่อรอให้    คนๆหนึ่งมาเป็นผู้ทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ  เลือดของพวกเขาทั้งหมดถูกฉีดเข้าไปในตัวของเธอ   หลังจากนั้นเธอก็ถูกนำตัวไปซ่อนไว้ในโลกมนุษย์   เมื่อเธออายุครบ 15 ปี   ซึ่งก็เป็นวันพรุ่งนี้  เลือดของพวกเขาในตัวของเธอจะมีพลังพอที่จะทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง -- แต่ก็ติดอยู่เรื่องเดียวก็คือ  สร้อยเหล่านั้นถูกขโมยไป   แต่แน่นอนว่ามันยังไม่ถูกทำลาย   เมื่อเธอพร้อม   พวกเราจะไปเอามันกลับคืนมาเพื่อชุบชีวิตคนจำนวนหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง”  คาร์รูตี้เล่าต่อ   ตอนนี้น้ำตาของเขาเริ่มหยดลงที่พื้นแล้ว

              คาร์รูตี้หันหน้ากลับมาหาเด็กหนุ่มและยื่นมือไปสำผัสหน้าอกของหนุ่มน้อย  

              “สำคัญมาก    เรื่องของสร้อยที่เธอใส่อยู่    มันจะทำให้เธอใช้พลังพิเศษได้อย่างเต็มความสามารถ  แต่ถ้าถอดเมื่อไหร่ก็จะทำให้เธอมีพลังน้อยลง   ถ้าเธออยากมีอายุยืนยาวก็จงรักษามันไว้ให้ดี   หรือไม่ก็เก็บไว้ในที่ปลอดภัย” 

               ระหว่างที่เฟ็ดฟังเรื่องที่  คาร์รูตี้เล่า   สองสาวก็กำลังนั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเพื่อหลบแสงแดด   พวกเธอดูจะไม่กระหายอยากฟังเรื่องเล่า 

               “ฉันคิดว่าได้เวลากลับแล้วล่ะ   เธอคงหิวแล้ว  จริงไหม ลาเฟ็ด   เธอจะได้ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวทานอาหารเช้ากัน”  คาร์รูตี้พูดเสียงเรียบๆ   เขายิ้มให้กับหนุ่มน้อยเล็กน้อย  ตอนนี้น้ำตาที่เฟ็ดเห็น  หายไปจากใต้ตาของคาร์รูตี้แล้ว  เหลือเพียงสีแดงระเรื่อในดวงตาของเขาเท่านั้น

               คาร์รูตี้ผิวปากเรียกนกยักษ์กลับมาอีกครั้ง   กราด็อทพาทุกคนบินไปรอบๆเมืองใหญ่เมืองเดียวของที่นั่น  เมืองที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง   บินอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง   นกยักษ์กราด็อท ก็พาพวกเขากลับไปยังปราสาท    สิ้นสุดการผจญภัยในเช้านี้ 

              “พรุ่งนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 15 ปี    เธอจะได้รู้อะไรมากกว่านี้   รับรองว่าเธอต้องสนุกแน่”  พูดจบปู่คาร์รูตี้ ก็หัวเราะลั่นและเดินกลับเข้าไปยังปราสาท  

               ทุกคนเดินตามคาร์รูตี้เข้าไปยังปราสาท   เฟ็ดเดินตามหาที่โลเวนด้าบอกเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนที่เขาใส่อยู่เป็นเสื้อเชิ๊ต แขนยาว กางเกงยีนส์ที่เขาเตรียมมา

               เสียงระฆังดังขึ้นสองครั้ง  บอกให้รู้ว่าเป็นเวลา 9 โมงเช้าแล้ว   หลังจากเฟ็ดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ   สองสาวก็พาเดินมายังห้องอาหารแห่งเดียวของปราสาทนี้

               เฟ็ดถึงขั้นผงะกับห้องอาหารที่น่าจะมีเพียงที่เดียวบนโลก  ห้องอาหารที่ไม่มีโต๊ะ  ไม่มีจาน  ไม่มีช้อน  ไม่มีซ้อม  ไม่มีมีด  มีเพียงห้องที่กว้างใหญ่   และเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด  ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้  

              “ไม่เห็นมีโต๊ะอาหารเลยล่ะ  อาหารก็ด้วย   แล้วพวกเราจะทานอะไรกันล่ะ”

               เฟ็ดถามขึ้นด้วยความสงสัย   ในใจก็ภาวนาขออย่าให้ต้องกินแต่ผลไม้สีสันแปลกตาเหล่านั้นเลย

              “ก็เห็นๆกันอยู่  เธอโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ – เฟ็ด   ถ้าไม่รู้ว่าอะไรในห้องนี้ทานได้ก็ไม่ต้องทาน”  เลโลวี่ตอบอย่างไม่เกรงใจผู้ทาน

               “ปู่ทวดของเราเข้าใจสัตว์ทุกตัวน่ะ  ท่านเลยสงสารมัน  พวกเราเลยพลอยอดทานเนื้อสัตว์ไปด้วย”  โลเวนด้าพูดเสริม   “แต่ผลไม้ที่นี่มีสรรพคุณดีจริงๆนะ  รับรองว่าแค่คำแรกที่ตกถึงท้อง   เธอจะรู้สึกได้ถึงสรรพคุณของพวกมันเลยล่ะ”

               โลเวนด้าเดินไปล้างมือที่อ่างน้ำอันหนึ่งที่ริมประตู    มีน้ำไหลออกมาจาก รูของผนังเหนืออ่างตลอดเวลา    เธอยื่นมือเข้าไปเหนืออ่างน้ำนั้นเพื่อล้างมือ  แล้วเธอก็ช็ดมือของเธอกับผ้าขนหนูผืนหนึ่ง   

               เธอเดินตรงไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งและเริ่มหยิบผลไม้ผลหนึ่งขึ้นทานทันที   พี่สาวของเธอก็ทำเช่นเดียวกับ 

               ผลไม้ที่นี่แปลกทั้งรูปร่างและสีสัน   สีของพวกมันสดใสและดูแปลกตาจนเฟ็ดไม่กล้าที่จะทาน

               เฟ็ดหยิบผลไม้ลูกหนึ่งทาน    เขากัดแค่คำเดียวก็ต้องวางลงไว้กับพื้น   น้ำของผลไม้ที่ไหลเข้าปากทำให้เขาต้องบ้วนทิ้งทันที  เขาหยิบผลอื่นๆเพื่อลองทานดูต่อ   แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาผลไม้ที่ลิ้นของเขายอมรับได้    

               รสชาติที่แปลกมากๆของพวกมัน   บางลูกก็เปรี้ยวจนแสบฟัน   แต่บางลูกก็หวานจนเลี่ยน   สองสาวหัวเราะที่เฟ็ดหาผลไม้ที่เขาสามารถทานได้ไม่เจอ   เฟ็ดมองหน้าเธอทั้งสองก็รู้สึกแปลกใจว่า พวกเธอทานเข้าไปได้อย่างไร

               เลโลวี่ แสดงความมีน้ำใจด้วยการหยิบผลไม้หลมนึ่งผาให้เฟ็ด  เฟ็ดลองทานมันและพบว่ารสชาติของมันอร่อยเหลือเกิน   ผิดกับผลไม้หลายลูกที่เขาลองทานดู

               เฟ็ดทานเข้าไปจนกระทั่งหมดลูก   

“ขอบคุณนะ” เฟ็ดพูด   

               ไม่นานเขาก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งท้อง   เฟ็ดหยิบแก้วใบหนึ่งเพื่อรองน้ำที่ไหลออกมาจากรูหนึ่งของผนัง     ภายในร่างกายของเขามันร้อนจนเขาต้องวิ่งไปหาน้ำทาน   แต่ก็ไม่หาย    

              “เธอให้ฉันทานอะไรเนี่ย   ทำไมมันถึงปวดแสบปวดร้อนขนาดนี้”  เฟ็ดพูดเสียงดังด้วยความโมโหแต่มือข้างหนึ่งก็ยังกุมท้องอยู่   เข่าทั้งสองข้างค่อยๆทรุดลงกับพื้น   เขาไม่สามารถเดินหรือพูดอะไรต่อไปได้อีกแล้วในตอนนี้  ไม่ช้าเขาก็ล้มลงนอนกับพื้น

               โลเวนด้าเห็นท่าไม่ดีก็รีบนำผลไม้สีฟ้าผลหนึ่งมาให้เฟ็ดทาน   แต่เฟ็ดไม่ยอมทาน   เขาไม่กล้าที่จะเชื่อคำพูดของสองพี่น้องคู่นี้นี้อีกแล้ว   แต่เธอก็ขยั้นขยอให้เฟ็ดทานให้ได้  

              สุดท้ายเฟ็ดก็ต้องยอมทาน  หลังจากที่เขาทานไปไม่นานอาการของเขาก็เริ่มดีขึ้น  จนหายทรมานในที่สุด   

               “พี่จะแกล้งอะไรเขานักหนา   เขาไปทำอะไรให้พี่งั้นหรอ” 

โลเวนด้าพูด  ดูท่าทางเธอจะโกรธกว่าเจ้าตัวที่โดนแกล้งเสียอีก  “พ่อแม่ของเขาก็ดีกับครอบครัวของเราจะตายไป   เขาคือความหวังเดียวของพวกเรานะพี่  จำคำพูดของปู่ทวดไม่ได้หรือไง   ถ้าเขาทนไม่ได้จนต้องกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์พวกเราจะทำยังไง   ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆไปอีกนานเท่าไหร่”

               “ดูเธอจะเป็นห่วงเพื่อนใหม่ของเธอมากกว่าที่ควรจะเป็นนะ”

เลโลวี่พูดเสียงแข็ง   “ก็เรื่องมากเองไม่ใช่หรือไง   ทานนู้นก็ไม่ได้  ทานนี่ก็ไม่ได้  แล้วที่ฉันให้กินไปก็ไม่ได้เป็นพิษอะไรต่อร่างกายเลยสักนิด  มันก็แค่ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย  แต่ที่ร่างกายเขารับไม่ได้ก็เพราะเขาไม่เคยทานมันมาก่อนเลยต่างหาก”

               เฟ็ดรู้สึกโกรธมากในตอนแรก  แต่พอรู้ว่าผลไม้นั้นช่วยปรับสมดุลในร่างกาย  แล้วตอนนี้เขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเคยเสียด้วยซ้ำไป  ควรโกรธเริ่มลดลง  แต่เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนที่นี่  

               เฟ็ดเริ่มคิดถึงบ้านที่เขาจากมา  คิดถึงเพื่อนๆที่ดีกับเขาบ้างและร้ายกับเขาบ้างในบางครา   แต่นั่นมันคงทำให้เขารู้สึกดีกว่าการไม่มีเพื่อนสนิทเลยแบบนี้

               ท่ามกลางสายตาที่ทอดยาวมาของสองสาว  เฟ็ดรู้สึกทำตัวไม่ถูก  เขาหันหลังกลับออกมาจากห้องอาหารโดยไม่ทิ้งคำพูดใดๆไว้เลย 

               เขาเดินตามทางเดินออกมาเรื่อยๆ   เมื่อมองไปทางด้านซ้าย  เขาจึงได้พบกับดอกไม้มากมายห้อยระย้าลงมาจากเพดาน   มันคือต้นไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้   ห้อยลงมาเกือบจะจรดพื้น  

               สองเท้าค่อยๆก้าวย่างเข้าไปในม่านดอกไม้   มือสองมือคอยแหวกมันออก  เขาเดินเรื่อยไปจนกระทั่งผ่านม่านดอกไม้ออกมาได้ในที่สุด

                “  ว้าว   นี่เป็นด้านหลังของปราสาทสิน่ะ   ร่มรื่นดีจริงๆ ”

เฟ็ดพูดพลางส่งยิ้มให้กับสนามหญ้าและผาน้ำตกด้านหลังปราสาท 

               เขาเห็นหอคอยอยู่หลังหนึ่ง   คงไม่พลาดที่คนอยากรู้อยากเห็นอย่างเฟ็ดจะพลาดโอกาสที่จะได้ขึ้นไปด้านบน  

               เขาเดินขึ้นไปด้านบนตามบันไดวน   ชั่วครู่  เขาก็ขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดของหอคอย   ข้างบนมีระฆังใหญ่ยักษ์หนึ่งอัน   เขานึกขึ้นได้ทันทีว่าเสียงระฆังที่ดัง 1 ครั้ง บ้าง  2 ครั้ง บ้าง   คงมาจากเสียงระฆังอันนี้

               เฟ็ดยืนมองออกไปนอกระเบียง  คงไม่มีป่าที่ไหนจะสวยเท่านี้อีกแล้ว  หนุ่มน้อยคิดในใจ  แต่ดูรอยยิ้มและสีหน้าของเขาจะแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน   

              เขาพึ่งจะได้รู้ว่าจริงๆแล้ว    ปราสาทที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น  อยู่สูงจากพื้นดินมากโขเลยทีเดียว   น้ำในทะเลสาบที่ล้อมรอบปราสาทที่เขาอยู่    มันค่อยๆไหลลงจากหน้าผาด้านหลังของปราสาท  

              ท่ามกลางฝนที่โปรยปรายอยู่ตลอดเวลา  แต่ท้องฟ้ากลับแจ่มใส  แสงจากพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่เกือบจะตรงกับหัวส่องผ่านเมฆบางเบาลงมายังพื้นหญ้าที่เขียวชอุ่ม   ฝูงสัตว์นานาชนิดที่วิ่งไปทั่วบริเวณปราสาท   เหมือนสถานที่ในความฝันของเฟ็ดในวัยเด็กไม่มีผิด  ถึงแม้บางสิ่งบางอย่างจะไม่เหมือนที่เขาเคยฝันก็ตาม

               สองสาวเดินออกมาตามหาเฟ็ดหลังจากที่เขาหายไปนาน   พวกเธอเดินมาจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ประตูด้านหลังของปราสาท    เสียงตะโกนของเธอทั้งสองยังคงดังเพื่อเรียกเขาอยู่ตลอดเวลา    แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน    

               เลโลวี่มองขึ้นไปบนหอคอยสูง   และทันใดนั้นเองเธอก็แปลงกลายเป็นต้นไม้ในทันที   ต้นไม้ที่เธอแปลงกายเป็นนั้น   ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆจนไปหยุดอยู่ที่บนสุดของหอคอย  

               กิ่งของเธอเข้าไปพันไว้กับระฆังตรงกลางของหอคอยด้านบนและรากของเธอค่อยๆหลุดจากพื้นดินและไม่ทันที่เฟ็ดจะหายใจเข้าได้เต็มปอด   เธอก็ขึ้นมาอยู่ด้านบนหอคอยข้างๆเฟ็ดแล้ว

               เสียงระฆังดังสนั่นขึ้นหนึ่งครั้งจากการที่เธอพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว   ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเธอมีความสามารถอะไร   แต่เธอก็ยังทำให้เขาตกใจอยู่ดี

               “ทุกคนเป็นห่วงเธอมาก    รีบกลับเข้าไปในปราสาทได้แล้ว” เธอพูด   

              เฟ็ดไม่พูดอะไรตอบไป  หรือเขาอาจไม่ได้ยินเสียงเธอก็เป็นได้

               “หูหนวกหรือไงเฟ็ด” เธอตวาดเขาด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหู   “ปู่ทวดบอกว่าให้กลับเข้าปราสาท  ไม่รู้หรือไงว่าพวกทีแร๊กมันตามหานายยิ่งกว่าพลิกแผ่นดินหาเสียอีก  ถ้ามันรู้ว่านายอยู่ที่นี่  ทุกคนที่นี่จะต้องตกอยู่ในอันตราย”

              “ นั่นสินะ  สุดท้ายเธอก็เป็นห่วงตัวเอง  ฉันคิดอยู่แล้วไม่มีผิด” เขาพูดสวนกลับทันควัน

              “จะกลับเข้าไปในปราสาทดีๆหรือจะให้ฉันจับนายโยนลงไปข้างล่าง” เธอพูดเสียงขู่

               “ฉันไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้” เสียงโลเวนด้าดังขึ้นมาจากบันไดในขณะที่ตัวของเขายังขึ้นมาไม่ถึง

                ไม่ช้าเธอก็วิ่งขึ้นมาถึงด้านบนแล้วยืนหอบอยู่ด้านข้างระฆัง  มือสองข้างยังคงกดไปที่หัวเข่าทั้งสองข้าง  ขาทั้งสองข้างก็ย่อลงเล็กน้อย  ดูท่าว่าขั้นบันไดของหอคอยแห่งนี้จะมากเกินไปสำหรับเธอ 

              “ไปกันเถอะเฟ็ด  อย่าไปยุ่งกับคนใจร้ายแบบนั้นเลย” เสียงใสๆจากน้องสาวคนใจร้ายพูดขึ้น

              เฟ็ดและเธอค่อยๆเดินลงมาจากหอคอยนั้น  

              “ทำไมจึงมีคนอาศัยอยู่แค่ไม่กี่คน  ทั้งๆที่ปราสาทออกจะกว้างขวางพอที่จะให้คนอาศัยได้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน” เขาถามขึ้น

              “มีอยู่อีกหนึ่งคนในปราสาทแห่งนี้   ผู้ชาย  เขาเป็นเด็กกำพร้า   พ่อแม่ถูกฆ่าตายในสงคราม   เขาแทบจะไม่ยอมพูดจากับใครเลย   เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเกือบ 10  ปีแล้ว   ปู่ทวดเป็นคนเก็บเขามาเลี้ยงน่ะ   แต่เขาดุร้ายมากนะ  ฉันกับพี่เคยโดนไล่เหมือนกบเหมือนเคียดเลยล่ะ” เธอตอบ 

               เฟ็ดขอร้องให้เธอ พาเขาไปพบกับชายคนนั้น   เธอเล่าเรื่องของชายคนนั้นให้เขาฟังจนกระทั้งเขาทั้งสองเดินลงมาถึง   

               เลโลวี่ก็เดินตามทั้งสองลงมาอย่างช้าๆ   เธอไม่พูดไม่จาเลยสักคำ   ไม่รู้แน่ชัดว่า  ระหว่างเขาทั้งสามนั้น  ใครโกรธใครมากกว่ากัน   กันแน่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา