ตำนานจ้าวยุทธภพ ตอนศึกชิงคัมภีร์จิ่วหลง(ฉบับนิยาย)
1) การประลองเดือด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟรีว ~ว ~ว ฟรีว ~ว ~ว ฟรีว ~ว ~ว !
เสียงลมพัด ฝุ่นละอองปลิวฟุ้งกระจายเป็นวงขนาดใหญ่ ณ สถานที่ ที่มี ผู้คนมากมาย ทั้งชายหญิง หนุ่มสาว ไปจนถึง วัยชรา ทุกคนล้วนแต่ บาดเจ็บ ล้มตาย เนื้อตัว เปรอะเปื้อนไปด้วย คราบเลือดและฝุ่นธุลี ใจกลางของสถานที่แห่งนี้ มีเวทีผ้าใบสีขาวขนาดย่อม ที่เปรอะเปื้อน ไปด้วย ฝุ่นผง คราบเลือด และรอยฉีกขาด ทั้งจากของมีคม และ เปลวไฟเผาไหม้ รอบ ๆ เวทีผ้าใบ มีทั้งเศษซากปรักหักพังของเวที คบไฟที่จุดล้อมลอบสถานที่แห่งนี้ ก็หล่นลงมากองกับพื้น บ่งบอกให้รู้ว่า เวทีผ้าใบแห่งนี้ ก็คือ สนามประลอง ในตอนนี้ สายตาอ่อนล้า ทุกคู่ ได้จับจ้องไปที่ คนเพียง 2 คน ที่เป็นต้นกำเนิดของ พลังลม รุนแรงนี้ ซ่างกวานเทียนหลง เจ้าสำนักมังกรดำ ชายวัยกลางคน คิ้วหนา ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นจ้องเขม็งตรงไปข้างหน้า กำลัง ตั้งท่าถอยเท้าซ้ายไปด้านหลังย่อตัวลงและตั้งเท้าขวา มือซ้ายกำหมัดแนบไว้ที่เอว และผายมือขวาตั้งระดับศีรษะ ประเมินคู่ต่อสู้ เตรียมจู่โจม ด้วยวิชามังกรดำสยบมาร โอหยางเจี้ยนหนิง เจ้าสำนักโบตั๋นขาว หญิงวัยไล่เลี่ย กับ ซ่างกวานเทียนหลง ยืนอยู่ตรงข้ามกับ ซ่างกวานเทียนหลง ขา 2 ข้าง แยกออกเล็กน้อย แต่มั่นคง เหยียดแขนทั้ง 2 ข้างลง แยกออกจากลำตัว นิ้วมือทั้ง 10 กระดิกช้า ๆ รวบรวมพลังวัตร พร้อมจู่โจมอีกฝ่ายทุกเมื่อ ด้วยวิชากรงเล็บปลิดชีพ พลังวัตรอันแข็งแกร่งของ ทั้ง 2 ทำให้เกิด กระแสลมแรง อาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ทั้ง 2 ก็ เริ่มจู่โจม กัน ทันที วิชามังกรดำสยบมาร ของ ซ่างกวานเทียนหลง บุกรุก โจมตี และ ดุดัน ยามที่ ซ่างกวานเทียนหลง เดินลมปราณและปล่อยพลังออกมาทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน แต่ โอหยางเจี้ยนหนิง ก็ รับมือกับมังกรดำสยบมารได้อย่าง ไม่ยากเย็น ด้วยวิชา กรงเล็บปลิดชีพ ที่ รวดเร็ว ว่องไว หลอกล่อ และ ร้ายกาจ ทั้ง 2 ผลัดกันรุกและรับ จากวันเป็นคืน ทั้ง 2 ประลองกัน อย่างดุเดือด 3 วันผ่านไป ก็ยังไม่รู้แพ้ชนะ จนในที่สุด อาวุโส แห่ง 4 สำนักใหญ่ ไต้ซือ เฉินเฮ่าหมิ่น แห่ง วัดเส้าหลิน นักพรตหล่อเจียเหลียง แห่งสำนักบู้ตึ้ง ปรมาจารย์หลิวเต๋อหัว แห่งสำนักตักม้อ และ และซือไท่ หลินซินหยู แห่ง ง้อไบ้ ที่พ่ายแพ้ให้แก่ ทั้ง 2 ได้หารือกันเพื่อที่จะหยุด การประลองเลือดเดือด ในครั้งนี้
“ ประสกทั้ง 2 อาตมา เป็น ตัวแทนของ 4 สำนักใหญ่ ประสกทั้ง 2 โปรด ยุติการประลองในครั้งนี้ไว้เพียงเท่านี้เถอะนะ 3 วัน 3 คืนที่ผ่านมา พวกท่าน ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ก็ยังหาผู้เป็นหนึ่งไม่ได้ พวกเราจาก 4 สำนัก จึงเห็นว่า การประลองครั้งนี้ ประสพทั้ง 2 เสมอกัน “ ไต้ซือ เฉินเฮ่าหมิ่น ก้าวออกมาเจรจา กับ ซ่างกวานเทียนหลง และ โอหยางเจี้ยนหนิง ที่ หยุดการต่อสู้ไว้ชั่วคราว แต่ยังคง ตั้งท่าประจันหน้ากันอยู่
“ หึ ไต้ซือ เราประลองกันเพื่อ คัมภีร์จิ่วหลง หากเสมอกัน แล้ว ใครจะได้ครอบครองคัมภีร์จิ่วหลงละ ข้าไม่ยอมให้นางมารสารพัดพิษนี่ได้ไปครอบครองคนเดียวแน่ “ ซ่างกวานเทียนหลง กล่าวด้วยเสียงดังกังวาล ในขณะที่ตั้งท่าเตรียมโจมตีต่อ
“ หึ ข้าก็ไม่ยอมให้ เจ้าเฒ่าทมิฬ นี่ได้ครอบครองคัมภีร์จิ่วหลง คนเดียวแน่ “ โอหยางเจี้ยนหนิง กล่าวตอบโต้
“ ข้าคิดว่า พอมีทางออกให้เรื่องนี้ “และซือไท่ หลินซินหยู ก้าวออกมาพูดเพื่อยุติการต่อสู้
“ ทางออก อะไร “ โอหยางเจี้ยนหนิงร้องถาม
“ ในเมื่อ พวกท่านเสมอกัน แต่คัมภีร์มีเพียงเล่มเดียว ลอกคัมภีร์ ขึ้นมาใหม่ และเพื่อความยุติธรรมพวกท่านก็ลอกคัมภีร์กันฝ่ายละครึ่ง ให้ เจ้าสำนักโบตั๋นขาวลองครึ่งแรก เจ้าสำนักมังกรดำลองครึ่งหล้ง แล้วขึ้นใหม่อีกเล่นสำหรับพวกท่าน ส่วนคัมภีร์จิ่วหลงเล่มจริง เราจะ ทำลายมันซะ เพื่อ ยุติการเข่นฆ่า แย่งชิง “ ซือไท่ หลินซินหยู ออกความคิดเห็น
“ พวกเรา 4 สำนัก เห็นด้วย “นักพรตหล่อเจียเหลียง แสดงความเห็นด้วย
แม้ ซ่างกวานเทียนหลง และ โอหยางเจี้ยนหนิง จะไม่เห็นด้วยกับ ทางออกที่ 4 สำนักใหญ่เสนอให้ แต่ก็ยอมยุติการประลอง
ในวันต่อมา เวทีผ้าใบที่เป็นซากปรักหักพักเมื่อวานได้ถูก ซ่อมแซมใหม่ ด้านซ้ายและขาวของเวทีมีคบไฟขนาดใหญ่ติดไฟอยู่ ตรงกลาง เวทีมี แท่นศิลาที่วาง คัมภีร์จิ่วหลง ต้นเหตุแห่งการนองเลือด วางเด่นอยู่ ด้านล่างข้างเวที ซ้ายและขวา มีเก้าอี้ ตั้ง อยู่ด้านละ 3 ตัว ด้านขวา ตัวแรก มีโอหยางเจี้ยนหนิง นั่งอยู่ ตัวที่ 2 คือ ซือไท่ หลินซินหยู และ ตัวที่ 3 คือ นักพรตหล่อเจียเหลียง ทางด้านซ้าย เก้าอี้ตัวแรก คือ ซ่างกวานเทียนหลง ตัวที่ 2 คือ ไต้ซือ เฉินเฮ่าหมิ่น และตัวที่ 3 คือ ปรมาจารย์หลิวเต๋อหัว
“ เอาละ อาตมา คิดว่าวันนี้เป็นวันดี ที่จะมีทางออกสำหรับ คัมภีร์จิ่วหลง ต่อไปนี้ สำนักมังกรดำ และ สำนักโบตั๋นขาวจะได้ครอบครอง คัมภีร์จิ่วหลง อาตมา ก็หวังว่า ท่านเจ้าสำนักทั้ง 2 จะ นำไปใช้ อย่างดี อยู่ใน ศีลธรรม เพราะว่าคัมภีร์เล่มนี้ สร้างความ เดือดร้อนมา มาก “ ไต้ซือ เฉินเฮ่าหมิ่น ลุกจากเก้าอี้ ก้าวขึ้นมาพูดกลางเวที
“ ข้า โอหยางเจี้ยนหนิง ขอ รับปากท่านไต้ซือ แม้ข้าจะไม่ได้เป็นฝ่ายธรรมะ อย่างพวกท่าน 4 สำนัก แต่ มือข้าไม่เคยเปื้อนเลือดคนดี ข้าจะนำไปศึกษาและไม่คิดจะนำไปทำร้ายผู้ใดหากผู้นั้นไม่ใช่คนเลว “ โอหยางเจี้ยนหนิงลุกขึ้นยืนกล่าวให้คำมั่นสัญญา และยกมือขั้นทำท่าคารวะ
“ ข้า ซ่างกวานเทียนหลง ก็ขอรับปากท่าน “ ซ่างกวานเทียนหลง ลุกขึ้นกล่าวพร้อมยกมือขึ้นทำท่าคารวะ
เมื่อ ซ่างกวานเทียนหลงกล่าวจบ ก็มีหญิงสาวในชุดสีขาวมีผ้าปิดครึ่งหน้า เดินแถวโปรยดอกไม้สีขาวแล้วท่องวาจาสิทธิ์ของสำนักพร้อมกันประมาณ 10 เดินมาทางด้านขาวแล้วไปหยุดตั้งแถวหน้ากระดานอยู่หน้าเวที ซึ่งทั้งหมดเป็น ศิษย์สำนักโบตั๋นขาว และ ศิษย์สำนักมังกรดำ เป็นชายฉกรรจ์ ในชุดสีดำ จำนวนเท่ากันกับสำนักโบตั๋นขาว เดินแถวท่องวาจาสิทธิ์ของสำนักเดินออกมาจากทางด้านซ้ายแล้วไปหยุดต่อแถวเรียงหน้ากระดาน จากศิษย์สำนักโบตั๋นขาว
“ ความรัก คืออะไร สร้างรอยแผลร้าย เจ็บปวดชิงชัง ชอกช้ำ ตรอมตรม ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ไม่มีรักไม่มีทุกข์ ปลดเปลื้องสรรพสิ่ง มากมายดับสลาย ” หญิงสาวในชุดสีขาวมีผ้าปิดครึ่งหน้า เดินโปรยกลีบ ดอกโบตั๊นขาว ประสานน้ำเสียงเย็นชา ท่องวาจาสิทธิ์ของสำนัก กลีบดอกโบตั๋นขาว ปลิวไปตามลมส่งกลิ่นหอมหวนเยือกเย็น กลิ่นดอกโบตั๋นขาวผสมกับเสียงเย็นชาของ ศิษย์สาว สำนักโบตั๋นขาวทำให้บรรยากาศดูน่าขนลุก ทั้งหมดไปหยุดตั้งแถวอยู่หน้าเวที
“ มิตรหรือศัตรู ศัตรูหรือมิตร ทั่วทั้งปฐพี ทั้งมิตร ทั้งศัตรู ล้วนเป็นมายา บุกบั่นเผชิญหน้า ไม่ผูกมิตร ไม่สร้างศัตรู อยู่อย่างสันโดษ “ เสียงประสานท่องวาจาสิทธิ์ของสำนัก ดังมาจาก ชายชุดดำ ที่เดินเรียงแถวมา และไปหยุดตั้งแถวเรียงหน้ากระดานต่อจาก สำนักโบตั๋นขาว
บรรยากาศดูทำให้พิธีส่งมองคัมภีร์จิ่วหลงในวันนี้ดูศักสิทธิ์ มากขึ้น
“ เสี่ยวลี่ “ โอหยางเจี้ยนหนิง ลุกขึ้นแล้ว ส่งเสียงเรียกชื่อศิษย์เอกเสี่ยวลี่ ผู้ที่จะเป็นตัวแทนเจ้าสำนักไปนำคัมภีร์มาทำการคัดลอก
“ เสี่ยวลี่ รับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก “ เสี่ยวลี่เดินออกจากแถวมาคุกเข่ารับคำสั่งและคารวะ จากนั้น เสี่ยวลี่ก็เดินขึ้นเวทีไปทางด้านขาวไปหยุดอยู่ที่ด้านขวาของแท่นศิลาที่วางคัมภีร์จิ่วหลง
“ หลิ่วชิง “ เมื่อโอหยางเจี้ยนหนิงส่งตัวแทนขึ้นเวทีไป ซ่างกวานเทียนหลงก็เรียนศิษย์เอก หลิ่งชิง ออกมา
“ หลิ่วชิง รับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก “ หลิ่วชิงกล่าวแล้วคุกเข่ารับคำสั่ง แล้วเดินขึ้นเวทีทางด้านซ้ายไปหยุดอยู่ด้านซ้ายของแท่นศิลาที่ว่างคัมภีร์
และเมื่อทั้ง เสี่ยวลี่ และ หลิ่วชิง ขึ้นไปอยู่ด้านซ้ายและขาวของคัมภีร์ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อ เสี่ยวลี่และหลิ่วชิง หันมามองหน้ากันแล้ว พยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณ ทั้ง 2 เอื้อมมือมาจับคัมภีร์กันคนละด้าน แล้ว ใช้วิชาตัวเบา เหาะเหิน หายไปไปพร้อมกับคัมภีร์ เมื่อ ซ่างกวานเทียนหลง และ โอหยางเจี้ยนหนิง รู้ตัวว่าโดน ศิษย์เอกทรยศก็รีบ ตามไป หากแต่ว่าก็ได้สายเกินไปเสียแล้ว เสี่ยวลี่ และหลิ่วชิง สมคบกับวางแผนมาเป็นอย่างดี
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใครชอบแบบนิยายก็มาอ่านนะคะ ใครชอบแบบบทละครก็มีค่าาาา
โปรดรอติดตามต่อนต่อไปค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ