THE LAST OF LOVED (ความรักครั้งสุดท้าย)
7) แม่...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความขจารินมาที่บ้านของนิศาชลแต่เช้าเพราะเธอเกรงว่าเพื่อนสาวจะไปที่บ้านและพบกับอาของเธอ
“อ้าว..ริน มาแต่เช้าเชียวมีทานอะไรมาหรือยัง”นิศาชลถามขณะที่ยื่นแก้วน้ำส้มให้
“อื่มแล้วคุณปู่ไม่อยู่เหรอ..”ขจารินมองดูรอบๆ สายตามาหยุดที่เพื่อนสาว
“อ้อ..ยังไม่เห็นเหมือนกัน เมื่อคืนคุณปู่เล่าเรื่องรักครั้งแรกให้ฟังจึงพบกันนอนดึก... อ้าว นั้นไงเดินตรงมาแล้ว”นิศาชลวิ่งเข้าไปพยุงคุณปู่ให้มาร่วมสนทนา ขจารินยกมือขึ้นไหว้ และเข้าไปช่วยอีกแรง
“อะไรกันสาวๆ ปู่คงไม่แก่ขนาดนั้นใช่ไหม...”คุณปู่นั่งลงโดยมีสองสาวนั่งข้างๆ
“ไม่ค่ะ...ใครว่า”ทั้งสองสาวพูดขึ้นมาพร้อมกัน และพากันหัวเราะ
“น้ำค้างกำลังเล่าเรื่องรักครั้งแรกของปู่ ถ้าว่างๆ เล่าให้หนูฟังด้วยคนนะค่ะ”ขจารินพูดเสียงอ้อนจนคุณปู่ยิ้ม
“ได้สิหลานๆ... ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายเถอะนะ เดี๋ยวปู่จะออกไปไร่ นัดพ่อเมฆไว้”คุณปู่พูดจบก็เดินจากไปปล่อยให้นิศาชลที่กำลังจะพูดอ้าปากค้าง
“คุณปู่นะ คุณปู่ ไม่ฟังกันเลย.. นี่รินเธอรู้ไหมว่าอีตาเมฆอะไรนั้นเค้าอยู่ที่นี้ ที่หมู่บ้านของเรา”นิศาชลพูดและหันมามองเพื่อนที่กำลังมีสีหน้าซีดที่ผิดปกติ
“น้ำค้างฉันมีเรื่องจะสาระภาพ..แต่เธอสัญญาก่อนนะว่าจะไม่โกรธฉัน.. แต่เรื่องนี้ฉันอยากเล่าให้เธอฟังหลายครั้งแล้วหละ แต่ก็ไม่มีโอกาส”สีหน้าของขจารินสำนึกผิด ราวกับทำเรื่องผิดใหญ่โต
“ริน..เราเคยโกรธเธอหรือไง... เราเป็นเพื่อนกันมาตัวแต่เด็กแล้วนะ พูดมาเถอะ”นิศาชลปลอบใจเพื่อนสาว
“จริงนะ...คือที่จริงแล้วนายเมฆที่เธอกำลังพูดถึง..เค้าเป็น”นิศาชลตั้งใจฟังจนขจารินพูดติดๆ ขัดๆ
“เค้าเป็นใคร ใครเป็นเค้า รินรู้จักเค้าด้วยเหรอ”นิศาชลทนรอฟังไม่ไหว
“เค้าเป็นอาของฉันเอง...”ขจารินพูดจบ นิศาชลถึงกับอึ้ง และนิ่งไปนาน
“น้ำค้าง..! เธอโกรธฉันเหรอ ต่อว่าฉันก็ได้นะ แต่อย่าเงียบแบบนี้”ขจารินขย่าเพื่อนจนได้สติ
“อื่ม..เค้าห้ามไม่ให้รินพูดใช่ไหม..ถ้าเป็นอย่างนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือเค้า”นิศาชลพูดแววตาแสดงออกด้วยความโกรธแค้น ขจารินกุมกระหมับด้วยความเครียด และกว่ารายงานจะเสร็จก็ค่ำเพราะนิศาชลเอาแต่เหม่อ
เสียงรถมาจอดที่หน้าบ้านของนิศาชลในเวลาภพค่ำ ขณะที่กำลังเธอเดินมาส่งขจารินที่หน้าบ้านพอดี
“ขอบใจนะพ่อเมฆ ว่างๆ เชิญที่ไร่ หรือที่บ้านก็ได้ทุกเมื่อ”คุณปู่พูดจบวาริทยกมือขึ้นไหว้และยิ้มรับ แต่สายตามองเข้ามาในบ้านและทันทีที่นิศาชลเดินออกมา ทั้งคู่สบสายตากันแต่สายตาของเจ้าหล่อนแต่ทำเมินเฉย...
“อาเมฆ...ตายหละ”ขจารินอุทานขึ้นและรีบเดินไปที่รถ เช่นเดียวกันนิศาชลเดินเข้ามาพยุงคุณปู่ของเธอ และเชิดหน้าค้อนใส่วาริท และเดินเข้าบ้านไป วาริทดูจะงง กับท่าทางของเธอ พอหันมาอีกทีหลานสาวก็มานั่งในรถแล้ว
“อ้าว..ริน เพื่อนของเราไม่เห็นจะแปลกใจอะไรเลย หรือว่า...”วาริทคิดและมองหน้าผู้เป็นหลานที่พยักหน้ารับ
“ใช่ค่ะ..รินว่าอารีบไปเถอะค่ะ ไม่งั้นน้ำค้างออกมาเล่นงานคุณอาแน่”ขจารินพูดจบวาริทไม่รอช้าที่จะออกรถ
เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาในบ้าน และนั่งลงที่โซฟาข้างๆ ดนัย และถอนหายใจใหญ่พร้อมๆกัน อื้อ...
“เป็นอะไรอาหลานคู่นี้ มาถึงก็ถอนหายใจซะดังเชียว”ดนัยมองอย่างสงสัย ทั้งคู่มองหน้ากันและเกี่ยงกันพูด
“เอาหละ..รินเล่าดีกว่า ผมรู้ว่านายเมฆมันคงเล่าไม่หมด”ดนัยขัดขึ้นมา
“ก็น้ำค้างรู้แล้วสิค่ะเรื่องของอาเป็นอาของริน ตอนนี้เธอคงโกรธมาคุณอาระวังไว้เถอะค่ะ”ขจารินพูดจบก็เดินเข้าครัวไปทำอาหารเย็นก่อน ปล่อยให้สองหนุ่งนั่งคุยกันต่อ
ขจารินเดินมาที่สวนหลังบ้านและเจอวาริทกำลังนั่งเช็คภาพที่อัดมาแล้วด้วยท่าทีจริงจัง เธอนั่งลงข้างๆ วาริท หันมามองและยิ้มให้ผู้เป็นหลานมีอายุห่างกันเพียง 9 ปี
“ว่าไง...ยังไม่นอนอีกหรือ พรุ่งนี้ต้องไปวิทยาลัยไม่ใช่เหรอ”ขจารินยังไม่ตอบอะไร เพราะมัวแต่ดูรูป
“อื่ม..ก็ใช่นะสิค่ะ พรุ่งนี้จนถึงอาทิตย์หน้าต้องอยู่วิทยาลัย อย่างน้อยรินก็โล่งใจที่อาไม่ต้องเจอน้ำค้าง.. เพราะถ้าอยู่ที่นี่นะ รินก็ไม่รู้ว่าอาจะปลอดภัยหรือเปล่า”ขจารินพูดไป พลางดูรูปจึงไม่เห็นว่าผู้เป็นอากำลังหัวเราะอยู่
“อะไรกัน เพื่อเราดุขนาดนั้นเชียวหรือ.. ตัวเล็กแค่นั้นเอง”วาริทพูดและขำไป
“ขำไปเถอะค่ะ... เจอเข้ากับตัวเมื่อไรอย่ามาหาว่ารินไม่เตือน... อื่มเห็นบอกว่าคุณย่าจะมาหรือค่ะ”ขจารินขู่และถามในเวลาเดียวกันยิ่งทำให้วาริทขำไปใหญ่ จนเจ้าหลอนทำหน้ามึนงง
“อารมณ์ดีเสียวนะอาหลานคู่นี้” ดนัยเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
“รินเห็นจะมีแต่อาเมฆ ที่อารมณ์ดีอยู่คนเดียว”ขจารินชักเริ่มจะค้อนใส่ผู้เป็นอา
“ก็ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้นี่น่า ดูมันอบอุ่นมีความสุข ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการมีครอบครัวจะมีความสุขได้ขนาดนี้”วาริท ผู้พบเจอเพียงความโดดเดี่ยวและสังคมฝรั่งที่ต้องแข่งขัน และการพึ่งพาตัวเองมาโดยตลอด
“ก็นี้แหละเสน่ห์ของสยามเมืองยิ้ม เราจะถูกสอนกันต่อๆมา ให้รักกัน เริ่มจากรักคนในครอบครัว และแบ่งความรักให้เพื่อนบ้าน จากนั้นก็หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และคนในประเทศไงหละ”เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง และอดที่จะยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้
“อย่างนี้เองหรือครับ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เติบโตที่เมืองไทย”วาริทยิ้มแต่ก็ยังแฝงกับความรู้สึกบางอย่างไว้ในใจ
“จะเกิดที่ไหน แต่เรามีสายเลือดความเป็นไทยอยู่เต็มอกจงภูมิใจเถอะนะ”อภิภพพูด
“ว่าแล้วผมชักคิดถึงครอบครัวของผมแล้วสิ”ดนัยพูดขึ้นมา ทำให้ขจารินหันไปมอง
“อ้อ..เปล่นะครับผมยังไม่มีครอบครัว..หมายถึง พ่อ แม่พี่น้องต่างหากครับ” เขารีบแก้คำพูดขึ้นมาทันที ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะกับท่าทีตื่นตัวของดนัย
“นายจะร้อนตัวทำไม... ใครเค้าสนเรื่องของนายกันเล่า”วาริทพูดแทรกขึ้น แต่คนที่กำลังแอบยิ้มอยู่คือขจาริน และดนัยก็แอบเห็น ทำให้เขารู้สึกว่ามีความหวัง
เครื่องบินมาจอดเทียบท่าประมาณช่วงเย็น ซึ่งมีวาริท ดนัยและอภิภพ มารอรับ หญิงสูงอายุวัย 65 ปีแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่มากกำลังเดินตรงเข้ามา เมื่อวาริทมองเห็นรีบวิ่งเข้าไปกอดผู้เป็แม่ ที่อ้าแขนรอรับอย่างดีใจ
“แม่ครับผมคิดถึงคุณแม่มาก..การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างครับเหนื่อยไหม”วาริทยื่นคำถามทันที
“Ok ทุกอย่าง Ok และแม่ก็คิดถึงลูกมากเช่นกัน... นั้น!! อภิภพใช่ไหม..”ศิราหันไปสบตากับลูกชายอีกคนที่กำลังส่งยิ้มให้เธอด้วยความปลาบปลื้มที่ได้พบกันอีกครั้ง
“ครับ..ผมอภิภพไงครับคุณแม่”อภิภพเดินเข้าใกล้ ยกมือขึ้นไหว้แทบอกของแม่ทูลหัวของเธอ และเธอก็โอบกอดเขาด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง พอได้จังหวะดนัยก็ไหว้และโอบกอดคุณแม่ศิราที่เคารพของเขาเช่นกัน
วันต่อมาบ่ายวันศุกร์ วาริทขับรถมาถึงบ้านพอดีศิรายังคงมองดูรอบ ตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้านจนมาถึงในบ้านด้วยคิดถึง ในแววตายังคงมีรอยยิ้มที่ปนไปกับความเศร้าใจอยู่ไม่น้อย วาริทจะเดินเข้าไปหาตาอภิภพห้ามไว้เข้าจึงนำของเข้าไปเก็บที่ห้องเดิมของคุณแม่ และในขณะเสียงรถมาจอดหน้าบ้านพอดี
“เข้าไปในบ้านก่อนไหมน้ำค้าง”ขจารินพูดและนิศาชลส่ายหน้าทันทีเธอตอบแทบจะไม่ต้องคิด
“ไปเถอะดูท่าวันนี้คุณอาจะไม่อยู่ น่าจะไปรับคุณย่าที่มาจากลอนดอนตั้งแต่เมื่อวานอาจยังไม่กลับ”เมื่อเห็นเพื่อนสาวพูดยืนยันหนักแน่แล้วนิศาชลจึงเดินเข้ามาในบ้าน และทั้งคู่ก็เจอหญิงสูงวัยกำลังมองมา ทั้งคู่สบตากัน...
“ไหนเธอบอกว่าอาของเธอไม่อยู่ไง ถ้าฉันเดาไม่ผิดคนนี้หละย่าของเธอ”นิศาชลกระซิบต่อว่าเพื่อนสาว ทั้งคู่เดินเข้ามาจนใกล้และยกมือขึ้นไว้ โดยมีหญิงสูงวัยรับไหว้และยิ้มให้ทั้งคู่
“ย่าไม่เห็นจะทราบว่ามีหลานสาว 2 คน”เสียงนุ่มนวลนั้นกับใบหน้าที่ดูใจดีทำให้สองสาวยิ้มจนลืมตอบคำถาม
“อ้อ...หนูคนนี้เพื่อนของรินเองค่ะคุณย่า ส่วนรินหลานคุณย่า”เมื่อพูดจบผู้เป็นหลานโอบกอดคุณย่าของเธอ
“ดีใจจังที่ได้เจอหนูอีกครั้ง ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะ” นิศาชลยิ้มปลาบปลื้มไปกับไออุ่นที่ส่งผ่านออกมาจนรู้สึกได้ และในขณะเดียวกันวาริทลงมาเจอเหตุการณ์นั้นและได้เห็นกับรอยยิ้มของนิศาชลอีกครั้งเขาแอบยิ้มตาม
ขจารินชวนคุณย่าและนิศาชลนั่งคุณกันตามประสาสาวๆ ทำให้ ลูกชายที่สองต้องเป็นฝ่ายจัดเตรียมอาหารแทน อภิพภพมองดูทั้งสามพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็พลอยยิ้มไปด้วย เช่นเดียวกับวาริท
“ผมไม่เคยเห็นคุณแม่จะมีความสุขขนาดมานี้มากว่าเลยครับ”วาริทพูด และเธอก็อดดีใจแปลกที่เห็นนิศาชลเข้ากับแม่ได้ดีทีเดียว และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าทางอันสดใสถอดคาบนางยักษ์คิ้วขมวดออกไปจนสิ้น
“นั่นสิเราเลยต้องมาทำของเย็นแทนเลย ฮ่าๆ” อภิภพพูด วาริทอาสาเอาของว่างไปให้ที่วงสนทนา และเมื่อเขามาถึงทุกคนเงียบและมองที่วาริท แต่นิศาชลกับทำเป็นไม่สนใจวาริทด้วยซ้ำ
“ขอร่วมวงสนทาด้วยได้ไหมครับ”วาริทพูดสายตามองไปที่นิศาชล และขจารินมองตาม....
“ไม่ได้ค่ะ...คุณอาไปช่วยคุณพ่อทำกับข้าวเลยค่ะ สาวๆจะคุยกัน”ขจารินไล่ผู้เป็นอา เพราะเกรงว่าเพื่อนสาวจะหมดสนุกเสียก่อน และในวันนั้นวาริทและอภิภพต้องกลายเป็นพ่อครัวทำอาหาร และนิศาชลขอกลับก่อนโดยมีคุณย่าและขจารินไปส่ง ขจารินเดินเข้ามาในบ้านแต่สายตาก็ยังคงมองแต่หน้าประตูบ้านอยู่บ่อย เธอท่าทางแปลกอย่างนี้ แต่แต่มาถึงบ้าน
“หลานรอใครหรือ” ผู้เป็นย่าถามขึ้นทำเอาเจ้าหลานสะดุ้งจากความเม่ลอย
“มองหาดนัยหรือเปล่า..เค้าไม่กลับมาด้วย”วาริทเดินเข้ามาที่โต๊ะพอดี
“เปล่าสักหน่อย..รินไปช่วยยกกับข้าวดีกว่าขจารินทำไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้าไปในครัว แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของเธอก็ดูจะเศร้าขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องฝืนใจทำทำร่าเริงจนเข้านอน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ