พิศวาสสีชมพู

9.2

เขียนโดย plaayfah

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10.20 น.

  13 ตอน
  24 วิจารณ์
  22.18K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ตอน 13

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เอามาฝากเพิ่มอีกตอนนะคะ จะทยอยอัพตลอดทั้งวัน ถ้ามีเวลา ติดตามกันนะคะ

 

       คนที่ถูกเอ่ยพาดพิงกลับนั่งรับประทานอาหารอย่างไม่รู้รสชาด เพราะมั่วแต่แอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่โดนระเห็จให้มารับหน้าที่ขับรถให้ มองไปยิ้มไป แม้จะรู้ว่าสิ่งที่คิดอยู่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากแต่ความสุขเล็กๆน้อยๆที่ได้รับก็เพียงพอแล้ว

       “ส่งมูนแล้ว พี่ป้องขับรถกลับก่อนก็ได้นะคะ ไม่ต้องรอ”หญิงสาวด้านหลังเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นปลายทางอยู่ไม่ไกล

       “แล้วคุณมูนล่ะครับ”ปกป้องเอ่ยตอบด้วยใบหน้านิ่งๆ

       “มูนคงอยู่นานค่ะ”เสียงหวานเอ่ยตอบพรางรวบรวมเอกสารและข้าวของที่ต้องใช้

       “ให้ผมรอดีกว่านะครับ” เสียงที่เอ่ยตอบเป็นทางการจนคนฟังเริ่มไม่ชอบใจ

       “ไม่ต้องหรอกค่ะ เสร็จแล้วมูนกลับเองได้” น้ำเสียงที่ใช้เริ่มแข็งกระด้างและสายตาที่ทอดมองจากด้านหลังที่เริ่มขุ่นมัว

       “อย่าดีกว่าครับ เอาเป็นว่าผมจะเดินเล่นรอ ถ้าเสร็จแล้วโทรเรียกผม”ชายหนุ่มยังคงเอ่ยตอบเสียงเรียบเช่นเดียวกับใบหน้า ที่คนด้านหลังพยายามมองว่าคนพูดมีอารมณ์บ้างหรือไม่ หากแต่ก็ไม่สามารถเดาได้

       “ก็ได้ค่ะ” เมื่อเห็นว่ากำลังจะถึงที่หมายแล้ว หญิงสาวจึงต้องยอมรับข้อเสนอโดยดี แม้จะทำให้อีกคนต้องรอเธอนานถึงเกือบ 2 ชั่วโมง

       บทสนทนาสิ้นสุดลง เมื่อปกป้องนำมาจอดเทียบหน้าตึก อินทิราเปิดประตูลงโดยไม่รอให้คนด้านหน้าลงมาเปิดให้ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในอย่างรีบร้อน ส่วนปกป้องเองเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นนาย เดินแกมวิ่งหายเข้าไปภายในตึกเรียบร้อยแล้ว จึงได้ออกรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะที่จำได้ว่าอยู่ไม่ไกลจากตึกสำนักงานแห่งนี้เท่าไหร่ และเมื่อต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองในสถานที่ที่บรรยากาศแสนสงบ แม้ว่าด้านนอกจะกำลังคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่กำลังแข่งขันกับเวลาเพื่อให้ทันเข้างาน

       นึกถึงคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อครู่ จะว่าเขาไม่รู้ก็คงแปลกนัก เขาไม่ได้โง่และอ่อนหัดเรื่องผู้หญิงถึงขั้นจะดูไม่ออกกับท่าทีที่หญิงสาวแสดงว่าปลื้มเขามาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเป็น ความสนิทสนมที่มอบให้ ท่าทีประหม่าจากผู้หญิงที่มีแต่ความมั่นใจในตัวเอง การยินยอมทำตามคำบอกของเขาโดยง่าย แม้จะเป็นเรื่องที่ใครๆก็ไม่สามารถจัดการได้ ถ้าเขาเพียงแค่เอ่ยปาก หญิงสาวก็จะยอมโดยดี นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาต้องการเป็นคนปราบพยศหญิงสาวมาแต่เล็กแต่น้อย ไหนจะคำเรียกแทนตัวที่เจ้าหล่อนมักจะบังคับให้เรียกเหมือนอย่างพี่ชายแท้ๆอย่างตะวัน หากแต่ที่เขาต้องทำเหมือนไม่รับรู้ ไม่ใช่ไม่สนหรือคิดต่างกัน หากแต่เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถดูแลหญิงสาวได้ดีอย่างที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้ และที่สำคัญคือไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นคนกินบนเรือนขี้บนหลังคา ที่อยู่อาศัยได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าของบ้าน แต่กลับมักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นลูกเขยเจ้าของบ้าน จึงพยายามแบ่งแยกตัวเองให้แตกต่างไม่ให้ทัดเทียมเสมอเธอหรือตะวัน หากแต่เพราะนอกจากทุกคนจะไม่เคยรังเกียจแล้ว ยังพยายามดึงเขาให้ทัดเทียมเสมอตั้งแต่วัยเยาว์ความพยายามที่จะอยู่ห่างๆดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่ออีกคนกลับพยายามหาเรื่องเข้าใกล้ มีเพียงช่วงที่ต้องจัดการเรื่องร้านที่ลงหุ้นกับตะวัน ทำให้เขาใช้ข้ออ้างเรื่องนี้ดึงตัวเองออกจากครอบครัวนี้ได้สำเร็จ หากแต่เมื่อร้านเป็นไปได้ด้วยดี ประจวบเหมาะกับตะวันก้าวเข้าสู่วงการมายา เขาจึงรับหน้าที่คอยดูแลติดตามเขาไปทั่วทุกแห่ง ยิ่งทำให้เขาได้เจอหญิงสาวน้อยลง จนแทบจะเรียกได้ว่านับครั้งได้ นั่นทำให้เขาคิดว่าเธอจะเปลี่ยนความรู้สึก เวลาหลายปีที่ผ่านมา เขารับรู้ความเคลื่อนไหวเธอเสมอ หากแต่เธอไม่รู้ตัว ยิ่งเห็นเธอทำงานอย่างสนุกสนาน พบปะผู้คนมากมาย ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจว่าหญิงสาวอาจจะเจอคนที่ถูกใจและเหมาะสมสักวันหนึ่ง แต่แล้วเขาก็รู้ว่าความคิดของเขานั่นผิด ยิ่งเห็นเธอในวันนี้ ยิ่งรู้ว่าหญิงสาวยังมั่นคงในความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหน ระหว่างที่กำลังคิดหาคำตอบให้กับตัวเอง ก็ต้องสะดุด เมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง

       “ครับ”ปกป้องดูหน้าจอก่อนกดรับสายสั้นๆ

       “ป้องอยู่ไหน”ปลายสายเอ่ยถามน้ำเสียงร้อนรน จนคนฟังต้องนิ่วหน้าอย่างนึกสงสัย

       “สวนสาธารณะใกล้ตึกที่คุณมูนหาลูกค้า”แม้จะสงสัย หากแต่ปกป้องก็บอกตำแหน่งของตัวเองออกไป ก่อนจะต้องยิ่งสงสัยมากขึ้น เมื่อปลายสายตอบกลับมาก่อนกดวางในทันที

       “งั้นรออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวไปหา”

 

       เวลากว่า 1 ชั่วโมงถัดมา จึงปรากฎร่างของชายหนุ่มที่สวมเพียงเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์สีซีดกับแว่นตาดำที่ก้าวลงจากรถสปอร์ตคันงานก่อนจะมุ่งหน้าไปยังด้านในของสวนสาธารณะ ที่มีใครคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่

       “เป็นไงบ้าง ไม่ค่อยได้เจอกันเลย”ดาราหนุ่มเอ่ยทักเสียงไม่ดังนัก และคนที่นั่งอยู่ก่อนก็หาได้หันกลับมา

       “พูดเหมือนไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันไปได้”ปกป้องเอ่ยตอบบ้าง แต่สายตากลับจ้องมองไปยังใบไม้ที่กำลังปลิวหล่นจากต้นเบื้องหน้า

       “ได้ข่าวมาว่าจะย้ายไปอยู่ข้างนอกไม่ใช่หรอ ทำไม”คนมาใหม่เอ่ยอีกครั้ง พร้อมทั้งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน

       “ก็แค่คิด ยังไม่ได้ไปสักหน่อย”หากจะหันหน้าคุยกัน อีกฝ่ายคงยิ่งสงสัยเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เพราะสีหน้าและแววตาที่กำลังแสดงออกถึงความสับสนในความคิด น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นจากผู้ชายคนนี้

       “ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”เพราะความสงสัยในพฤติกรรมของเพื่อน แม้จะไม่ใช่คนช่างพูด แต่ถ้าถึงขั้นต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กแบบนี คงไม่ใช่เรื่องเล็ก

       “เปล่า แค่อยากมีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง”ปกป้องเอ่ยตอบ ก่อนจะดึงตัวเองกลับมาอยู่กับคนตรงหน้า พรางปรับท่าทีให้รู้สึกสบายๆขึ้น เพื่อลดความกังวลแก่คู่สนทนา

       “แล้วดูไว้หรือยัง”น้ำเสียงที่ดาราหนุ่มใช้ทำให้คนฟังหันกลับมามองอีกฝ่าย ก่อนจะหันกลับไปตามเดิม ก่อนจะยิ้มมุมปาก

       “ก็ดูๆอยู่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ”ปกป้องเอ่ยตอบเรียบๆ

       “มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ”เอ่ยเพียงแค่นี้ ทั้งคู่ต่างก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะคุยอะไรดี เพราะปกติแล้ว ทั้งสองแทบจะไม่ค่อยคุยอะไรกันสักเท่าไหร่ หากแต่เพราะช่วงหลังมานี่ ทั้งสองไม่ค่อยได้เจอกัน แต่เพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายแปลกไป จึงทำให้ตะวันอดไม่ได้ ที่จะตามออกมาเพื่อพูดคุยด้วย จะเพราะเงียบไปนาน หรือเพราะยังมีเรื่องค้างคาใจอยู่ ทำให้ตะวันตัดสินใจเอ่ยออกมาอีกครั้ง

       “ฉันถามนายจริงๆเถอะ ดูไม่ออกหรือยังไง ว่าน้องสาวฉันชอบนาย”

       “....” ไม่มีคำตอบ นอกจากเสียงถอนหายใจจากคนฟัง ทำเอาคนถามคำถามถึงกับไม่เข้าใจ

       “ทำไมล่ะ ยายมูนไม่ดีไม่คู่ควรกับนายยังไง”เพราะไม่ได้คำตอบ ตะวันจึงจำต้องเดาเหตุผลไปต่างๆนาๆ แต่ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี คนฟังกลับรีบสวนตอบออกมา

       “ไม่ใช่แบบนั้น”ปกป้องตอบกลับ ก่อนจะเงียบลงไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

       “หรือนายชอบใครอยู่แล้ว”เมื่อเหตุผลแรกไม่ใช่ ตะวันจึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยต่อ

       “ไม่ใช่หรอก”น้ำเสียงที่ตอบออกไปเนือยๆอย่างหนักใจ ทำเอาคนฟังอดหงุดหงิดใจไม่ได้

       “แล้วทำไม”เมื่อไม่ได้คำตอบ ตะวันจึงหยุดเดาเหตุผล แต่กลับถามเอาคำตอบอย่างหงุดหงิดใจ

       “...”แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบมากเพียงใด หากแต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไป ถึงจะเหมาะสม

       “เราคุยกันตรงๆได้เสมอนะป้อง เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ”เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรออกมาสักที แถมยังมีท่าทีหนักใจให้เห็น ดาราหนุ่มจึงทำได้เพียงเอ่ยขึ้นเบาๆ พรางตบไหล่อีกฝ่ายอย่างที่ทำเสมอเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ

       “ก็ใช่ แต่จะให้พูดยังไงดี”ยิ่งอีกฝ่ายพูดและแสดงออกแบบนี้ นั่นเท่ากับยังไงซะ วันนี้เขาก็คงต้องบอกความรู้สึกของตัวเองจริงๆเสียแล้ว

       “ก็พูดมาตรงๆเลย ชอบหรือไม่ชอบ นายก็น่าจะรู้ ยายมูนชอบนายมานานแล้ว ตอนนี้อาจจะถึงขั้นรักแล้วก็ได้” ตะวันรู้ ว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกไม่ต่างจากน้องสาวเขาเท่าไหร่นัก หากแต่ที่เขาไม่รู้ ก็คือเพราะอะไร ปกป้องถึงต้องพยายามถอยห่างจากน้องสาวเขาถึงเพียงนี้ ถ้าไม่เพราะเขาหรือบิดาเอ่ยปาก ปกป้องเป็นต้องหาข้ออ้างมาเลี่ยงที่จะอยู่กับน้องสาวเขาเสมอ

       “ชอบ แต่ว่า..” คำตอบตรงไปตรงมา ทำเอาคนฟังยิ้มมุมปาก ก่อนจะต้องหุบยิ้มลงเมื่อเจอท้ายประโยค

       “แต่อะไร”น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าอารมณ์ของตะวันเริ่มจะไม่นิ่งเหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการสักที

       “ฉันไม่อยากให้คุณมูนต้องลำบาก ฉันไม่ได้มีเงินมากมายที่จะคอยดูแลให้คุณมูนสุขสบายอย่างที่ท่านกับนายทำให้ได้”ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมา ทำเอาตะวันถึงกับเหนื่อยหน่ายในความช่างคิดของเพื่อนรัก

       “มูนไม่ได้ต้องการของพวกนี้ นายน่าจะรู้จักน้องสาวฉันดี”เอ่ยออกไปเสียงเหนื่อยใจ หากแต่ตรงใจคนฟังที่รู้ดี

       “ฉันรู้ แต่ฉันก็ไม่อยากให้คนที่ฉันรักต้องลำบาก”คำพูดลอยๆกับใบหน้านิ่งๆ ที่เหมือนไม่สำคัญ หากแต่คนที่ยืนอยู่หลังต้นไม้ถึงกับยิ้มแก้มปริอย่างดีใจ

       “หมายความว่ายังไง”ซันที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

       “ก็หมายความตามนั้น”ถึงจะพูดแบบนั้น หากแต่คนที่พยายามทำหน้านิ่ง ก็อดเขินจนต้องเมินหน้าหนีไปอีกทางไม่ได้

       “ถ้ายายมูนรู้คงดีใจตาย”ซันพูดราวกับตาเห็น เมื่อคนที่ยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนักแทบจะวิ่งมากอดคนพูดตรงหน้า หากไม่ได้สัญญากับพี่ชายเอาไว้ ว่าจะฟังอยู่ห่างๆ โดยไม่แสดงตัว เมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ซันจะเดินทางมาถึงสวนสาธารณะแห่งนี้ ตะวันได้โทรศัพท์หาน้องสาว เพื่อนัดทานอาหารกลางวันด้วยกัน หากแต่ระหว่างคุยกัน น้ำเสียงของอินทิราดูแปลกไป จนตะวันซักได้คำตอบและอาสาจะจัดการง้างปากคนปากแข็งให้

       “อย่าเพิ่งเลย ฉันยังไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง”แม้ใจเองก็อยากจะบอกความรู้สึกที่มีอยู่ให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่อีกใจก็ยังไม่มั่นใจ จึงได้แต่กล้าๆกลัวๆอยู่อย่างนี้

       “แค่นายรัก ยายมูนก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว”ซันพูด เพราะเขารู้จักน้องสาวเป็นอย่างดี ขณะที่เจ้าตัวก็ยืนพยักหน้าหงึกๆอยู่หลังต้นไม้ ราวกับคนตรงหน้าที่แอบดูจะเห็น

       “ไว้ถึงเวลาแล้วฉันจะบอก” แม้จะรู้ว่าคำพูดของซันนั้นคือความจริง หากแต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจในอะไรๆหลายอย่าง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา