Angel's quest Part II Staff of angel
9) Staff of angel ลาก่อนชาวเอลฟ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความAngel Fantasy
ลาก่อนชาวเอลฟ์
“แรกเริ่มเติมทีพวกเราอพยพมาจากสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งโซรีน่า ที่ซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ที่นั่น”อลันเอ่ยขึ้นขณะเดินนำเหล่าผู้มาเยือนชาวมนุษย์ไปที่แห่งหนึ่ง “เจ้าคงเดาออกว่าข้าพูดถึงอะไร”
“คทาหรอครับ”
วายุเอ่ยทันทีเมื่ออลันพูดจบจนเขาเกือบเดินพลาดตกสะพานแขวนต้นไม้ถ้าไม่มีไคท์ช่วยรั้งเอาไว้
อลันหัวเราะในลำคอ
“ไม่ใช่หรอก ท่านอัศวินน้อย บรรพบุรุษของข้าคอยปกป้องสิ่งที่มีค่าน้อยกว่านั้นมากเลยล่ะ ศิลาไงละ”
“ถ้างั้นคุณก็พาพวกเราไปได้ล่ะสิครับ”
อลันยิ้มและส่ายหัว
“ไม่หรอก ปู่ของปู่ทวดข้าอพยพเผ่ามาที่นี่ได้หลายร้อยปีแล้ว ไม่มีเอลฟ์คนไหนที่รู้ทางมันหรอก แต่ว่ากันว่าให้ทวนต้นน้ำขึ้นไปก็จะพบสถานที่เก่าแก่ที่เผ่าเราเคยอาศัยอยู่”
“ต้นน้ำหรอครับ แสดงว่าต้องมีลำธารสิครับ มันอยู่ที่ไหน พาเราไปได้ไหมครับ”ไคท์แสดงความคิดเห็นเมื่ออลันพูดจบ “งั้นงานเราก็ง่ายขึ้นสิครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ลำธารที่ว่ามันตัดเข้าในหมู่บ้านออค ข้าไม่อยากนึกเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าเกิดเราอ้อมไปอีกทางละค่ะ ไม่จำเป็นต้องตีฝ่าเข้าไปเลยนี่ค่ะ หนูคิดว่ามันคงสะดวกกว่าเยอะค่ะ”
อลันยิ้มให้เอลที่ให้คำตอบที่เขาพึงพอใจแต่มันยังไม่พอสำหรับเขา เพราะพวกออคจมูกไวและพวกมันยังจัดทีมลาดตะเวนที่กว้างขวางอีกด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับคณะผู้มาเยือนรุ่นเล็ก
“ยังดีไม่พอหรอก เอางี้ ข้าจะพาเจ้าไปดูลำธารที่ว่าแต่อย่าเข้าใกล้ลำธารนะเพราะช่วงนี้น้ำในลำธารจะจับตัวเป็นน้ำแข็งลื่นมากทีเดียว”
‘ร้อนต้องก้าวลุย หนาวต้องย่ำเหยียบ’
วายุทำสีหน้าแปลกๆ เขาคิดประโยคบางอย่างได้ช่วงขณะและลืมมันไปในช่วงขณะเช่นกัน แต่เขาไม่คิดอะไรเกี่ยวกับมันมากแค่คิดว่า ช่างมันเหอะ
เจ้ากำลังนึกถึง คำใบ้ สินะ อัศวินน้อย
วายุตกใจสุดขีดเมื่อจู่ๆเสียงห้าวๆของอลันดังขึ้นใจสมอง มันทำให้เขาต้องเงยหน้าสบตาอลันที่พยักหน้าให้เขา
เก่งมากและถูกต้อง นั่นคือคำตอบของมัน คำใบ้ต่อไปสำหรับเจ้าอยู่ในบันทึกแล้ว อัศวินน้อยของข้า
“ขอบคุณครับ”
วายุเอ่ยขึ้นเมื่อสิ้นเสียงของอลันในสมองเขา สำหรับเขาและอลันไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลยแต่สำหรับเอล ไคท์และนาเทร์รี่มันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน
“นายพูดอะไรวายุ”
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
ในที่สุดอลันก็พาเหล่าผู้ที่มาจากสถาบันผู้วิเศษดีโนเช่มาถึงลำธารเล็กๆสายหนึ่ง มันกว้างแค่สี่ก้าวของวายุและกำลังจับตัวเป็นน้ำแข็ง วายุชโงกหน้าดูมันเขาสังเกตว่าไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณสะเอวเป็นอย่างต่ำ เขาจึงกลับมายืนใกล้ๆตลิ่งอย่างถอดใจ
“เราต้องทวนมันขึ้นไป มันเป็นทางเดียวสำหรับหินนั่น”
วายุเอ่ยขึ้นในขณะที่ทุกคนมองลำธารน้ำแข็งอย่างใจจดใจจ่อ แล้วไคท์และเอลก็เห็นด้วยเช่นกัน
“พวกออคมันป่าเถื่อนก็จริงแต่ พวกท่านเหนือกว่ามัน ที่พวกท่านช่วยเราตอนนั้น พวกมันตายหมดแต่พวกท่านไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยซักคน” เอลเอ่ย “ถ้าท่านอลันไม่ว่าอะไร หนูอยากขอให้ชาวเอลฟ์ช่วยหนูอีกครั้งจะได้ไหมค่ะ”
อลันมีสีหน้าพิจารณาครู่หนึ่งก็จะคลายกล้ามเนื้อคิ้วที่ขมุกได้ซักพัก
“ถ้าพวกเราช่วยได้ พวกเธอจะให้พวกเราทำอะไร”
“ผมอยากให้พวกคุณล่อมันไปอีกทาง แล้วพวกเราก็จะวิ่งฝ่าหมู่บ้านพวกมันทวนลำธารขึ้นไป”
อลันหัวเราะเสียงดัง
“มันเป็นความคิดที่ดีแต่ไม่เข้าท่าไปหน่อย พวกเจ้าลืมแล้วหรือไงว่าพวกเรามีบราวน์ฮอกน่ะ”
“ใช่! บราวน์ฮอก เราบินไปก็ได้นี่ บินเหนือหมู่บ้านมันไป แค่หลบธนูให้ได้ก็พอ”
วายุยิ้มอย่างดีใจที่ในที่สุดสิ่งที่เขาพูดจะเข้าท่าซักที ซึ่งเอลและไคท์เองก็พยักหน้าหลายครั้งซึ่งเห็นด้วยกับวายุเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าจะให้เหล่าเสือขาวช่วยล่อมันอีกแรง เผื่อว่าพวกมันจะมีเยอะเกินไป”
“ขอบคุณอีกครั้งครับ”
จากนั้นทางสนทนาก็จบลงเมื่ออลันบอกพวกเขาว่า เขาได้กลิ่นออคที่มุ่งมาทางนี้ ไม่มีในที่จะปฎิเสธเขาได้และต้องจำใจกลับหมู่บ้านเอลฟ์ไนท์ลีฟกันอย่างรวดเร็ว ในเช้าวันนั้นวายุที่เตรียมของไว้เรียบร้อยแล้วกำลังนั่งจัดการกับอาหารเช้าพื้นบ้านของเอลฟ์ที่อร่อยอย่าบอกใครพร้อมกับเอล ซึ่งเธอจัดเตรียมของไว้แล้วเช่นกันเหลือแต่ไคท์ที่กำลังเก็บของใช้ส่วนตัวของเขาอยู่
“คุณอลันจะให้เราไปเที่ยงนี้เลยหรอ มันเร็วไปไหม” วายุเอ่ย “เหมือนกับเขาอยากไล่เราไปอย่างไงอย่างงั้น”
“ไม่หรอกวายุ ที่เขาต้องการคือให้เราไปตอนที่พวกออคชุลมุนกันอยู่ต่างหาก เขาว่านี้มันไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ใช้แต่กำลังแต่คิดไม่ค่อยจะเป็น เขาบอกว่าตอนที่มันชุลมุนกันน่ะพวกมันจะเหยียบกันเองบ้าง ทะเลาะกันเองบ้าง ส่วนใหญ่จะฆ่ากันตายไปข้างนึงเลยล่ะ และไม่ต้องห่วง พวกนี้ใช้ธนูไม่เป็น มันเป็นแต่ปาหินถ้าศัตรูอยู่บนฟ้า แต่หินก้อนเท่าหัวคนนะวายุ”
“สงสัยว่าถ้าโดนไปทีนึงคงตายแหงแก๋”
“นั่นสิ ชั้นก็คิดเหมือนกัน”
ไม่นานไคท์ก็ลงมาสมทบ เขาสะพายเป้วิเศษของเขา ซึ่งวายุก่อนหน้านั้นไม่รู้ว่าที่ไคท์ตั้งไว้ให้เขาเหมือนกับที่ตั้งไว้ให้เอล ไคท์มาพร้อมกับนาเทร์รี่ เธอเองก็มีเป้วิเศษของเธอด้วยเช่นกัน
“นั่นเธอจะไปด้วยหรอนั่น”
“ชั้นก็ไม่รู้วายุ ทำไมไม่ลองถามดูล่ะ”เอลซุบซิบกลับเมื่อเขาซุบซิบมา
“ไม่หรอกเอล เดี๋ยวไคท์หึงตาย” วายุยิ้ม “พวกเขากิ๊กกันน่ะ”
“จริงเรอะ นี่มาเจอกันวันเดียวทำกันอย่างนี้หรอเนี่ย ไคท์น่ะ เร็วไปไหม”
วายุทำท่าทางจะกระซิบให้เอลซึ่งเอลก็เอียงหูมาที่จะฟังเขา
“จะไปรู้หรอเอล ชั้นไม่ใช่หมอนั่นด้วยสิ ว่าแต่ไม่อิจฉาไคท์บ้างหรอนั่น” วายุพูดอย่างเจ้าเลห์ “ถ้าอิจฉาเธอก็มาเป็นกิ๊กเราเอามะ”
“อีตาบ้างวายุ ฝันไปยะ เชอะ!”
เอลหันไปทางอื่นซึ่งเป็นการหลบหน้าแดงของเธอที่ไม่อยากให้วายุเห็น ซึ่งวายุก็พลันนึกว่าเอลโกรธเขา
“เอล ชั้นขอโทษ ชั้นพูดเล่น”
เอลหันมายิ้นทันที
“ชั้นก็พูดเล่นน่ะ แบร่”
ทั้งคู่หัวเราะและจากนั้นอลันก็มาถึง เขาขี่บราวน์ฮอกตัวนึงและมีบราวน์ฮอกอีก 4 ตัวตามหลังมา
“นี่นะ มันอาจจะยากกว่าขี่ม้านิดหน่อย แต่มันวิเศษมากทีเดียวละ การบินเนี่ย” นาเทร์รี่พูดขึ้นกับไคท์แต่วายุและเอลที่แอบฟังอยู่ได้ยินด้วย “ข้าเองก็ขี่มันแทบทุกวัน ไม่เคยเบื่อเลยล่ะ แต่มันเทียบกับไวท์ฮอกไม่ได้นะ นกสีขาวนั่นบินเร็วจริงๆ จะว่าไปสหายของท่านก็มีไวท์ฮอกด้วยสิ ข้าเห็นมันบินเล่นอยู่กับบราวน์ฮอกของพ่อข้า”
วายุสำลักน้ำเปล่าที่พึ่งกลืนไป เมื่อเขานึกย้อนถึงตอนเช้านี้ที่เขาเปิดหน้าต่างเห็นการูด้าและบลูกำลังบินอยู่กับบราวน์ฮอกตัวหนึ่งที่เขาไม่รู้ว่าเป็นของอลัน เพราะตอนนั้นเขาเห็นมันดูร่าเริงกว่าตอนที่อลันขี่อยู่เสียอีก เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นตัวละตัว
“ดูเหมือนว่าพวกทหารเสื่อขาวจะพร้อมแล้วนะ ถ้างั้นพวกเจ้าก็ขึ้นขี่บรานว์ฮอกของตัวเองได้เลย”อลันพูด “ข้ายกให้พวกเจ้าทุกคน”
เสียงขอบคุณอลันดังขึ้นในเหล่าผู้มาเยือนทั้งหมดรวมทั้งนาเทร์รี่ด้วย ที่เธอไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีบรานว์ฮอกเป็นของตัวเองเลย แต่ตอนนี้เธอได้มันมาแล้ว สิ่งที่เธอใฝ่ฝันมานานหลายปี
“เอาละช้าอยู่ทำไม พวกเจ้าจงไปรอกันที่เหนือลำธารจุดที่ข้าพาเจ้าไป จากนั้นข้าจะให้ทหารเสือขาวไปล่อพวกนักรบมันออกมา จังหวะนั้นให้พวกเจ้าบินข้ามไปให้เร็วที่สุด เข้าใจไหม”
“ครับ เข้าใจงั้นพวกเราลาก่อนนะครับ”
วายุพูดเมื่อตัวเองขึ้นนั่งบนบรานว์ฮอกที่เขาเล็งไว้นาน แต่นาเทร์รี่ยังยืนอยู่กับอลันผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“ไปเถอะ นาร์รี่ เจ้าไปสู่โลกกว้าง ข้าอยากให้เจ้าเป็นเช่นนั้น และถ้าไปถึงที่นั่นแล้ว(อลันหมายถึงถ้านาเทร์รี่ไปถึงเมืองใหญ่ๆ)เจ้าต้องเลิกใช้ภาษาขงพวกเรา ให้ใช้ภาษาเหมือนเหล่าผู้มาเยือน ถึงลักษณะทางกายจะปกปิดเจ้าไม่ได้ แต่ถอยคำจะปิดบังว่าเจ้ามาจากที่ไหน”นาเทร์รี่คุกเข่าต่อหน้าอลันเพื่อแสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย
“รักษาตัวด้วยนะค่ะ ท่านพ่อ”
“ไปเถอะ ลูกพ่อ”
จากนั้นนาเทร์รี่ก็ขึ้นขี่บรานว์ฮอกที่ผู้เป็นพ่อเตรียมไว้ให้ซึ่งเธอบ่นกับอลันว่าอยากได้มาตั้งแต่เธอยังเด็ก นาเทร์รี่ขึ้นขี่มันในท่าสง่างามราวกับนางฟ้าขี่หงค์
“คุณวายุครับ มันคงยากกว่าม้านิดหน่อยนะครับ”
“เอาเหอะ ไคท์เรามาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะกลัว ชั้นพร้อมจะบินแล้ว”
“พูดซะเท่เลยนะยะ งั้นถ้าชั้นให้สัญญาณทุกคนก็ออกบินนะ”
เอลประกาศ “สาม”
“สอง”
วายุจับบรานว์ฮอกของตนแน่น
“หนึ่ง บิน!!”
วายุทำตามสัญชาตยาญ เจ้าบรานว์ฮอกพุ่งทยานขึ้นไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะถลาลมร่อนไปมาเหนือยอดไม้หมู่บ้านเอลฟ์ไนท์ลีฟ วายุตะโกนอย่างเมามันส์ที่การบินครั้งนี้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
“งั้นตามข้า เอ่อ ชั้นมา”
นาเทร์รี่พยายามพูดให้เหมือนที่พวกวายุพูดกัน จากนั้นก็บังคับบรานว์ฮอกของเธอให้บินร่อนไปทิศทางที่ลำธารอยู่ ทั้งสามเมื่อเห็นดังนั้นแล้วบินตามเธอไปด้วย
“ใช่ ยากกว่าม้าหน่อยเดียว แต่ยอดเยี่ยมกว่าหลายเท่า สุดยอดโว้ย!!”
วายุอุทานอีกครั้งก่อนที่จะบังคับให้บรานว์ฮอกของตนบินตามบรานว์ฮอกของนาเทร์รี่ไปเหมือนกับการบังคับม้า เขาแค่เอียงซ้ายและใช้เท้าตีซ้าย เจ้าบรานว์ฮอกก็บินไปทางซ้าย เมื่อทำตรงข้ามกันมันจะไปทางขวา และเมื่อเขาเอนตัวไปด้านหลัง เจ้าบรานว์ฮอกก็บินขึ้นและถ้าเขาเอนตัวก้มลงมา เจ้าบรานว์ฮอกก็บินต่ำลง
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงลำธารน้ำแข็ง มันมีต้นไม้ใหญ่พอที่จะแอบบรานว์ฮอกได้ซึ่งนาเทร์รี่ก็พาพวกเขาไปเกาะบนต้นไม้นั้นด้วย วายุสังเกตเห็นเสือขาวหลายตัวซึ่งวิ่งมุ่งไปทางเหนือของลำธาร มันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านออค และพวกเสือก็พากันวิ่งกลับอย่างรวดเร็วเมื่อพวกออคร้ายวิ่งออกมาจากกำแพงหมู่บ้านเพื่อจะจัดการกับผู้บุกรุก
สงครามขนาดย่อมเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อนักรบเอลฟ์ที่รออยู่เข้าสมทบพวกเสือขาว ในที่สุดพวกออคก็ชุลมุนวุ่นวายกันใหญ่
“ตอนนี้แหละ ไป!!!”
อลันตะโกนจากที่ไหนก็ไม่รู้ พวกวายุได้ยินทุกคนและออกบินทันที บรานว์ฮอกสี่ตัวบินออกจากต้นไม้ใหญ่และพุ่งขึ้นเหนือหมู่บ้านออค ไม่มีออคตัวไหนสังเกตเห็น แม้ว่าบางตัวจะเห็นแต่ก็คิดว่าแค่นกฝูงหนึ่งบินข้ามหมู่บ้านไปเท่านั้น
หมู่บ้านออคที่จริงแล้วไม่ใหญ่ตัวมากนัก มีกระท่อมออคปลูกไว้ไม่ถึงร้อยหลัง พวกมันป่าเถื่อนเหมือนที่เล่าขาน เพราะวายุสังเกตเห็นกรงขังสัตว์และบ่อที่เต็มไปด้วยเลือดแดงคล้ำส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบริเวณ ซากศพและโครงกระดูกถูกทิ้งกระจัดกระจาย มีพวกออคบางตัวที่นอนอยู่บนพื้นดินในหมู่บ้านของพวกมัน วายุไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย วายุรู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียนสุดๆ และเมื่อช่วงเวลานั่นผ่านพ้นไป พวกเขาก็มาถึงป่าแห่งหนึ่งที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ และมีอากาศที่หนาวเย็นจนตัวสั่นสะท้าน วายุสังเกตเห็นว่าหมอกที่อยู่รอตัวจางไปเกือบหมดแล้ว เขาสามารถมองเห็นได้ไกลขึ้น มันมีเทือกเขาสีขาวโพลนหิมะสองลูกทับซ้อนกัน และก่อนที่จะถึงเทือกเขาที่อยู่ลิบๆนั้น มันมีป่าๆหนึ่งที่น่ากลัวน่าขนลุก มันมีดินสีแดงฉานเหมือนกับเปลวไฟไร้ซึ่งต้นไม้แต่มีกระดูกของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปักอยู่แทนที่จะเป็นต้องไม้และไร้ซึ่งหิมะที่เป็นสัญลักษณ์ของฤดูหนาว มันคือป่าสุสานแดง สถานที่โล่งแจ้งที่ติดอันดับน่ากลัวในไพริเวนเดอร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ