Angel's quest Part II Staff of angel
4) Staff of angel ดริกซ์ วอร์รี่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความAngel Fantasy
บทที่4 ดริกซ์ วอร์รี่
“ง่วงชะมัดยาก ที่นี่ทำไมคนน้อยจังเลย”
วายุส่องสายตามองรอบๆด้านหลังจากที่ผ่านประตูกำแพงเมืองดีชาเน่ได้ไม่นาน “สงสัยคงยังไม่ตื่นละมั่ง”
“บ่นอะไรนักหนายะ ถามเองตอบเองเลยนะนั้น”
เสียงเอลดังแทรกความง่วงของวายุในห้วงลึกๆของสมองเขา วายุแทบจะไม่สนใจเธอด้วยซ้ำ
“เอาละครับ ถึงแล้ว เราหมดเวลาพักแล้วครับ ทีนี้เราต้องหาคุณริกซ์ วอร์รี่เป็นอันดับแรกครับ เผื่อว่าเขาคงจะอยู่ที่นี่”
วายุผงกหัวทำท่าทางไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพูดของไคท์ซักเท่าไหร่ ในใจของเขาอยากบอกไคท์เบาๆว่า “ปากแมว”
“งั้นผมจะให้คุณวายุไปกับคุณเอลแล้วกันนะครับ ผมกลัวว่าจะต้องหาคนหายเพิ่มอีกละซิครับ”
‘นี่ถ้าไม่ใช่ไคท์ มีสิทธิฟันหักหมดปากแน่ๆนะเนี่ย’
วายุไม่อาจจะค้านไคท์ได้เพราะเขาเองยังไม่เคยมาเที่ยวที่นี่ซักครั้งเดียวแถมอีกอย่าง ดินแดนแห่งนี้ก็เป็นที่แปลกประหลาดสำหรับเขาด้วย
“ชั้นก็เห็นด้วยนะวายุ เผื่อใครบางคนชอบการหลงทางอ่านะ”
“เงียบไปเลยเอล เชอะ”วายุแยกเขี้ยว “งั้นก็ได้ๆ แต่ชั้นต้องไปกับเอลนะ”
“ผมก็จัดให้ก่อนแล้วนี่”
วายุและเอลแยกทางจากไคท์คนละฝั่งถนนโดยฝากม้าไว้กับชายชราใจดีเจ้าของโรงแรมเล็กๆเก่าๆริมทาง เมื่อได้ฟางนุ่มๆ พวกม้าทั้งหลายก็เหมือนกับถูกมนต์สะกดให้หลับหลังจากเหนื่อยมาทั้งคืน
“เราจะไปไหนกัน” วายุเอ่ยขึ้น “ชั้นว่าคนที่ชื่อดักซ์ ดริกซ์ นั่นคงจะตื่นแล้วแหละ”
“แน่นอน คนแก่ๆที่นี่ส่วนใหญ่ชอบตื่นเช้าๆกัน คุณลุงดริกซ์ วอร์รี่ ก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วยฉันคิด”
วายุพยักหน้า เพราะเขานึกย้อนถึงอาแป๊ะแถวๆบ้านที่ตื่นขึ้นมาเปิดร้านน้ำชาไว้ต้อนรับลูกค้าแก่ๆตั้งแต่ตีสี่ มันเกิดเสียงโลหะกระทบดังจากการชงชากาแฟแบบจีนๆ บางครั้งเขาเองก็โดนเสียงเหล่านี้ปลุกขึ้นมาตอนเช้ามืด แต่ก็ไม่นึกว่าไพริเวนเดอร์จะมีวัฒนธรรมอย่างนี้ด้วย
“คนแก่ๆที่นี่ตื่นเช้าจังนะ แต่ทำไมล่ะ ทำไมถึง...”
วายุสังเกตเห็นว่าไม่มีร้านน้ำชาหรือร้านขายอาหารเช้าเลย ผู้คนส่วนใหญ่จะมองขึ้นไปบนฟ้ามากกว่าที่จะชงเครื่องดื่มร้อนๆจิบกัน
“พวกเขารอนกบอกข่าวกันน่ะ”
“นกบอกข่าว เรอะ”วายุทวนคำพูดของเอล เขาคิดถึงนกพิราบสื่อสารที่คนสมัยก่อนเคยใช้กัน “งั้นคงมีหลายตัวละซิ”
“เปล่าเลยวายุ มีแค่หนึ่งตัวในแต่ละเมือง”
คำตอบของเอลส่งผลให้วายุคิดถึงนกน้อยๆที่ต้องบินไปส่งจดหมายให้ทุกๆบ้าน เขารู้สึกสงสารมันขึ้นทันที
“มันคงเหนื่อยแย่เลย”
เอลหัวเราะเบาๆ เขาสงสัยว่าทำไม แต่เอลชี้ขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับมีนกสีฟ้าใสคล้ายนกพิราบปรากฏขึ้น มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“งั้นลองรับข่าวดูสิ”
สิ้นเสียงเอล นกส่งข่าวก็ร้องเสียงใสๆแจ้วทั่วทั้งเมือง ผู้คนต่างหยุดเพื่อฟังมันร้องให้จบก่อนที่จะทำกิจวัตรต่อ ส่วนคนแก่ก็กลับเข้าบ้านของแต่ละคน สำหรับวายุ เขารู้สึกเหมือนกับเสียงที่นกบอกข่าวร้องนั้นจะแทรกเข้าไปในเส้นประสาทสมอง ทำให้เกิดของเข้มๆคล้ายกับผู้ประกาศข่าวหญิงวัยสามสิบดังขึ้น เขารู้ข่าวที่ว่าทันที พร้อมกับรอบตัวเสียงแสดงความคิดเห็นของข่าวแต่ละข่าวดังจากกลุ่มพ่อค้าและผู้สัญจร มันฮือฮาขึ้นไม่ช้า
“ว้าว”
“ทีนี้นายคงเข้าใจแล้วสิ” เอลยิ้มให้เขา วายุยังอยู่ในอาการของคนอึ้ง เขาสะดุ้งครั้งแรกของวันนี้เมื่อเอลตบบ่าเขา “ไม่ต้องถามเลย”
“ใช่แล้ว! ชั้นนึกอะไรดีๆได้แล้ว”
เอลปรบมือตัวเองเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ว่าแล้วเอลก็รีบลากวายุทันที แต่เขาพยายามที่จะขัดขืน
“มีอะไรก็พูดมาดีๆก็ได้นี่เอล ไม่เห็นต้องทำรุนแรงกันเลย เจ็บนะ”
“โทษทีๆ เอาว่า ตามชั้นมาก็แล้วกัน”
เอลเดินนำหน้าทันใด เปลี่ยนให้วายุรีบจ้ำเท้าตามเธอไปยังที่ๆหนึ่งซึ่งเอลเชี่ยวชาญในเรื่องถนนหนทาง เพราะในเธอเคยอยู่ที่นี่ตอนยังเด็ก ยายของเธอเลี้ยงเธอมาเพราะแม่เสียต้องแต่เอลยังเดินไม่ได้ และพ่อของเธอก็ต้องไปทำงานที่ไพริออน เขาจึงฝากเธอไว้กับแม่ของเขา จากนั้นเมื่อเอลเข้าสถาบันสอนผู้วิเศษได้ปีเดียว ยายก็เสียด้วยโรคชรา นับว่าเป็นเรื่องที่เธอเสียใจที่สุดหนึ่งในสองเรื่องเลยก็ว่าได้
“ที่นี่ที่ไหน ใครอยู่หรอเอล”
วายุเอ่ยถามเมื่อเอลหยุดยืนมองบ้านหลังเก่าโทรมที่ครั้งหนึ่งเธอเคยอาศัยหลับนอนกับยายที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กๆ
“บ้านยายชั้นเอง ท่านเสียไปสองสามปีแล้ว”
“เอล เธอไม่เป็นไรนะ”
วายุพูดเสียงปลอบเมื่อเห็นว่าสีหน้าเอลกลับกลายเป็นสีหน้าเศร้าๆที่วายุไม่อยากเห็นมันเลย “ไม่เป็นไรหรอกวายุ ชั้นทำใจได้ตั้งนานแล้ว”
“จะว่าไป เธอพาชั้นมาที่นี่ทำไมหรอ หรือว่าดรั๊กซ์ วาร่าอยู่ที่นี่”
“ดริกซ์ วอร์รี่ ต่างหาก เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะ แต่เขาเคยไปเยี่ยมยายที่บ้านหนนึง ถ้ายังจำไม่ผิดเขาบอกว่า ว่างๆก็มาเยี่ยมบ้างนะ ที่ท้ายตรอกกำแพง”
“ฉลาดนี่เอล งั้นเธอคงรู้จักตรอกกำแพงใช่ไหม เราไปกันเลย”
วายุดีดนิ้ว เขาพร้อมที่จะเดินตามหลังเอลอีกรอบ แต่ความคิดก็ดับวูบลงเพราะเอลส่ายหน้า “ชั้นไม่เคยไปหรอก แต่คนแถวๆนี้คงรู้จักบ้างแหละ”
“ตรอกกำแพงหรอครับ ไม่ทราบว่ามันไปทางไหนครับ ไกลไหมแล้วใช้เวลานานไหมครับ”
ไคท์ถามผู้ที่เพิ่งตอบคำถามของเขาทันทีโดยไม่ให้ชายชราคนนั้นตั้งตัวได้ทัน แต่ชายชราบอกเพียงว่าอยู่บริเวณกำแพงทิศหนือของดีชาเน่ที่เหลือไม่รู้ แต่นั่นเพียงพอแล้วที่ไคท์จะสืบขยายผลต่อไป
เขาหันกลับไปยังโรงแรมที่ฝากม้าเอาไว้ แสงแดดอ่อนๆสาดส่องไล่ความหนาวเหน็บของอากาศก่อนฤดูหนาว ซึ่งยังไม่มีหิมะโปรยลงมาในช่องนี้ ส่วนตัวไคท์แทบจะไม่รู้สึกว่ามันหนาวเย็นเลย เขาเฉยในทุกสภาพอากาศ เผ่าของเขาและดาร์กเป็นเผ่าประหลาดสุดเพราะไม่มีความรู้สึกที่ร่างกายได้รับ เช่นเผ่าดาร์กจะทนร้อนเมื่อโดนไฟ ไม่หนาวเมื่อโดนหิมะ เหมือนกับไลท์ แต่จะแตกต่างกันอยู่ที่การกระทำซะมากกว่า
“อะไรกันเนี่ย”
ไคท์อุทานเมื่อพบม้าที่ฝากไว้เพียงแค่ตัวเดียวซึ่งเป็นตัวที่เขาขี่ มันมีกระดาษพับเล็กๆหนีบไว้ที่อานม้า เขาเปิดมันอ่านอย่างร้อนรน
ถึง ไคท์
ชั้นและวายุรู้ที่ตั้งของบ้านคุณดริกซ์ วอร์รี่ แล้ว มัยอยู่แถวๆตรอกกำแพงที่อยู่ติดกำแพงฝั่งเหนือ พวกเรากำลังไปที่นั่นกับม้าอีกสองตัว เธอรีบตามไปเร็วๆนะ เผื่อว่าจะมีอะไรที่เราต้องรู้อีกสำหรับดริกซ์ วอร์รี่
เอล และ วายุ
ไคท์กระโดดขึ้นม้าโดยไม่ได้ตัดสินใจ เขาควบมันไปทางทิศเหนือของเมืองดีชาเน่ เขารีบตามวายุและเอลให้ทันโดยเร็วที่สุด เพราะใจเขาไม่ดีเอาเสียเลย
“ที่นี่ไง ตรอกกำแพง และบ้านสุดตรอก”
เสียงเอลประกาศอย่างภาคภูมิใจที่เธอยังไม่ลืมเรื่องราวของถนนหนทางของดีชาเน่ เอลยืนเท้าสะเอวมองบ้านโทรมๆร้างสองชั้นเก่าพอๆกับบ้านของยายเธอ วายุไม่แน่ใจนักว่าดริกซ์ วอร์รี่ยังอยู่ที่นี่เพราะสภาพไม่ต่างกับบ้านร้าง(ผีสิง)เท่าไหร่นัก แถมบรรยากาศก็เงียบสงัดวังเวง วายุรู้สึกขนลุกซู่เมื่อเขามองบ้านหลังนั้น
“เธอแน่ใจหรอเอล”
วายุถามอย่างลังเล
“มันไม่น่าจะมีคนอยู่นะ”
“ชั้นก็ว่าเหมือนกัน แต่ยังไงก็ลองเข้าไปดูไม่เสียหายนี่”
เอลพูดอย่างรอบคอบเพราะคิดว่าบางทีนักเขียนผู้นี้อาจชอบบ้านแบบนี้เป็นการส่วนตัวก็ได้ มันคุ้มที่จะเสี่ยง
“ปะ” เอลพูดพร้อมสาวเท้าทิ้งวายุ
“เอล รอด้วยสิ!”
ทั้งสองหายเข้าไปในบ้านที่เอลคิดว่าเป็นบ้านของดริกซ์ วอร์รี่ ทิ้งความจอแจของเมืองดีชาเน่ไว้เบื้องหลังโดยที่ไม่รู้เลยว่าชายกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่จ้องมองทั้งคู่มาพักใหญ่เริ่มติดตามทั้งคู่เข้าไปแล้ว
“จ้างให้ก็ไม่มาคนเดียวหรอก ยี๋”
วายุบนพร้อมแหวกหยักไย่ใยแมงมุมหนาภายในบ้านดริกซ์ วอร์รี่ในความคิดของทั้งสอง เขาไม่ชอบในนี้เอาเสียเลยเพราะมันยิ่งเหมือนบ้านผีสิงกว่าที่มองจากภายนอก เหมือนกับเอลที่เกลียดแมลงเป็นที่สุดแต่ต้องมาแหวกใยแมงมุมหนาๆอย่างนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในห้าอันดับสถานที่ที่เธอไม่อยากมาเป็นที่สุดเลยทีเดียว
บรรยากาศในบ้านหลังนี้มีแสงสลัวเพราะแดดยามเช้าส่องเข้ามาบ้างแล้ว อากาศในห้องก็เย็นสบายดีแต่ใยแมงมุมและฝุ่นฟุ้งที่ทำให้น่าอยู่น้อยลงเยอะ แต่ถ้ามีการทำความสะอาดครั้งใหญ่ๆบ้านหลังนี้คงกลับมามีสภาพน่าอยู่มากแน่ๆ
เอลกับวายุแยกกันหาหลักฐานว่าที่นี่เป็นบ้านของใครโดยที่เอลให้วายุไปชั้นบนส่วนตนไปชั้นล่าง วายุเองก็ไม่ยินดีนักที่จากแยกกันในบ้านหลังนี้ต่เพราะเหตุผลว่าจะได้ไม่เสียเวลาเขาจึงต้องจำใจยอมในที่สุด
“ไม่เลวแฮะ”
วายุอุทานเมื่อพบว่าบรรยากาศชั้นบนดีกว่าชั้นล่างเยอะ หยากไย่ใยแมงมุมก็บางตา แสงสว่างก็พอดีสายตา วายุจึงเดินอย่างสบายใจว่าเขาจะไม่สะดุดอะไรเข้า วายุสำรวจทุกซอกทุกมุมของชั้นบน ในที่สุดก็เจอหลักฐานว่าที่นี่เป็นบ้านของดริกซ์ วอร์รี่ คือการเจอห้องๆหนึ่งที่หน้าบานประตูเขียนไว้ว่า “ห้องส่วนตัวของดริกซ์ วอร์รี่ (ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต)”
“ชัดเจน”
วายุครางอย่างพอใจ เขาไม่สนที่ป้ายเขียนหรอก เขาเปิดเข้าไปในห้องนั้นทันที บรรยากาศภายในห้องน่าอยู่ที่สุด มันมีหยากไย่น้อยมากๆหรือแทบจะไม่มีเลย แสงแดดอ่อนๆส่องมาจากไหนก็ไม่รู้ทำให้ห้องสว่าง อากาศก็อบอุ่น วายุไม่เคยนึกว่าบ้านโทรมๆหลังนี้จะมีห้องที่น่าอยู่มากเหมือนกับว่าห้องนี้เพิ่งจะมีคนทำความสะอาดไปไม่นานมานี้
“ฟู่ๆ”
หูของวายุได้ยินเสียงๆหนึ่งจากมุมหนึ่งของห้อง เขาลองเดินลึกเข้ามาใจกลางห้อง เสียงนั้นก็ยิ่งชัดขึ้น มีลมเบาๆพัดกระทบผิวหนังพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดโครม
“อะไรวะ”
วายุรีบวิ่งไปยังประตูห้อง เขาสำรวจมันพบว่าประตูยังเปิดปิดได้อย่างปกติ แต่เมื่อเขาหันกลับมาภายในห้อง บางอย่างที่ไม่ปกติปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“ลอยคว้าง!!”
ร่างกายของวายุค่อยๆลอยขึ้นอย่างน่ากลัว เพราะการใช้เวทมนต์ของร่างซีดๆบางๆมองทะลุได้ร่างหนึ่ง วายุรู้ตัวเลยว่ามันเป็นผีแบบเดียวกับผีแองลี่ยายของไคท์ แต่ผีตนนี้ดูท่าทางจะไม่พอใจเขาซักเท่าไหร่
“ปล่อยนะเฟ้ย!”
วายุดิ้นทุรนทุรายในอากาศที่ว่างเปล่า แต่ก็สิ้นหวังเมื่อร่างกายทุกส่วนไม่แตะกับพื้นดินหรือผนังเพดานห้องเลย
“แกต้องการอะไรอีกถึงบุกมายังห้องของข้า! ฆ่าข้าแล้วยังไม่พอรึ จะหยามกันมากไปหน่อยแล้ว ยังงี้ต้องฆ่า!”
“อะไรวะ ชั้นไปฆ่าแกตอนไหน ชั้นมาหาคุณดริกซ์ วอร์รี่นะเฟ้ย ไม่ได้มาหาเรื่องแก๊!”
ร่างของวายุถูกเหวี่ยงไปทางตู้เสื้อผ้าเก่าๆ เขากระเด็นชนมันล้มโครมไม่เป็นท่า ก่อนที่จะพยุงตัวอีกครั้ง
“นี่คือการสั่งสอน ที่เจ้าไม่เคาะประตู!” ผีตนนั้นแยกเขี้ยว “จำไว้ด้วย!”
ร่างซีดๆของผีเริ่มปรากฏเด่นชัดซึ่งพอเดาออกว่าผีตนนั้นเป็นผีชายชราผมหงอกสั้น สวมชุดคลุมสีน้ำตาลขาดรุ่งริ่งพร้อมกับมีรอยเลือดบริเวณจุดที่ตรงหัวใจของผีตนนั้น
วายุมองตาไม่กระพริบ เมื่อผีตนนั้นตรงมาหาเขา พร้อมกับสายตาดุดันที่จ้องเขม็งใส่เขา วายุขนลุกซู่กว่าเดิม
“มีธุระอะไรกับข้า เจ้าหนู”
“เอ่อ” วายุเริ่มต้นเรียงคำตอบในใจเพื่อไม่ให้ผีตนนั้นเกิดโทสะทำร้ายเขาอีก “คุณคือ ดริกซ์ วอร์รี่ หรอครับ”
ผีชรายิ้ม “ใช่ ข้าคือ ดริกซ์ วอร์รี่ เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร หรือจากนิทานที่ข้าแต่งรึ”
“ครับ ผมมาหาคุณเรื่องนิทาน คือผมอยากรู้ว่าคุณแต่งเรื่องนี้จากความจริงหรือความคิด ผมจำเป็นมากครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังหาศิลานางฟ้าอยู่”
ผีดริกซ์ วอร์รี่ สะบัดหัวแบบผีๆของเขา แล้วมองวายุอย่างตั้งใจอีกรอบ “หาศิลานางฟ้ารึ หาทำไม”
“คืองี้ครับ คุณเคยได้ยินคำทำนายที่เกี่ยวกับอัศวินผู้ที่จะช่วยไพราวินเดอร์รึเปล่าครับ ผมต้องการช่วยอัศวินอีกแรง”
“ไพริเวนเดอร์ ก่อนที่เจ้าจะช่วย เจ้าต้องฝึกออกเสียงให้ถูกเสียก่อน” ผีดริกซ์ วอร์รี่ หยุดเพื่อไอในคอผีๆของเขา “เป็นข้า ข้าจะไม่แถวไปบอกใครนะว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเกี่ยวกับอัศวินนั่น มันอันตราย”
ผีดริกซ์ วอร์รี่ ล่องลอยไปมาบนพื้นห้องเมื่อได้ฟังเรื่องถูกใจเพราะเขาเองก็นึกอยากจะช่วยเหลืออัศวินคนนั่นเหลือเกิน
“รู้ไหมเจ้าหนู ข้าเองก็อยากช่วยเหลืออัศวินนั่น แต่ข้าเองก็พ้นจากโลกอันเป็นที่รักแล้ว ข้าคงช่วยอะไรได้ไม่มากนักหรอกนะ แต่เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ว่าเจ้าจะเอาศิลานางฟ้าทำไม”
“เพราะผมต้องตามหาคทานางฟ้าให้พบก่อนพวกดาร์ก ศิลานั่นมีคำใบ้ชิ้นต่อไปอยู่ ผมต้องถอดคำใบ้ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่คทา”
ผีดริกซ์ วอร์รี่ เหลือบมองวายุช้าๆอย่างน่ากลัว อากาศเริ่มเยือกเย็นผิดปกติ ราวกับว่าผีดริกซ์ วอร์รี่เริ่มเคืองขึ้นอีกครั้ง
วายุรีบสวมแหวนที่ผีแองลี่ให้มาทันที มันเปล่งแสงสว่างสีขาวบริสุทธิ์ ผีดริกซ์ วอร์รี่แปลกในมากเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาร้ว่าแหวนวงนี้คืออะไร แต่ที่เขาสงสัยคือทำไมมันมาอยู่กับเด็กหนุ่มคนนี้ด้วย
“แหวนแห่งแสงในตำนาน เจ้าเอามันมาจากไหน”
ผีดริกซ์ วอร์รี่ รีบถามทันทีเพื่อต้องการทราบรายละเอียดของมัน เพราะทั้งชีวิตเขาไม่เคยพบเบาะแสของแหวนวงนี้ แต่จู่ๆเด็กคนน้อยก็เข้ามาแล้วสวมโชว์ตรงหน้า มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
“ผีที่วิหารนางฟ้า ให้ผมมา”
ผีดริกซ์ วอร์รี่ ถึงกับน้ำตาตก เขารู้แล้วว่าเด็กคนนี้คือใคร นับว่าเป็นบุญของเขายิ่งนักที่ได้เห็นอัศวินผู้ที่จะช่วยไพริเวนเดอร์ ซึ่งเขาได้มาพูดคุยกันตัวต่อตัว(วายุคิดว่ามันไม่น่าปลื้มเลย เขาเกือบโดนฆ่าอีกครั้งในดินแดนนี้)
ผีดริกซ์ วอร์รี่ ล่องลอยไปยังมุมๆหนึ่งของห้องพร้อมกับหยิบสมุดบันทึกเก่าๆมาให้วายุเล่มหนึ่ง มันเขียนไว้ว่า “โครงร่างนิทานเรื่องชายหนุ่มกับนางฟ้า” มันเป็นสิ่งที่วายุคิดว่าคงช่วยอะไรได้ไม่น้อย ซึ่งเขาเต็มใจที่จะรับมัน
“เอาละหนุ่มน้อย ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้”
วายุรับสมุดบันทึกของดริกซ์ วอร์รี่มาไว้ในอ้อมอก พร้อมกับคำขอบคุณที่ดริกซ์ วอร์รี่ ชอบนักเมื่อได้ช่วยเหลือคนอื่นอย่างเต็มใจซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก
“ไม่หรอกครับ คุณช่วยผมได้เยอะเลย งั้นผมขอตัวนะครับ”
“โชคดีนะ อัศวินของข้า” ดริกซ์ วอร์รี่ ยิ้มให้ก่อนที่จะมองตามหลังวายุที่เดินออกไป
ผีดริกซ์ วอร์รี่อยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาหลับตาลงพร้อมกับความโล่งใจที่เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาดราวกับว่าเขาได้ทำสิ่งที่ค้างคาเสร็จไปแล้ว
“หมดหน้าที่ของข้าแล้วใช่ไหม แองลี่”
ผีแองลี่ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของผีดริกซ์ วอร์รี่ เธอยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมา “ทีนี้ข้าคงจะไปซักทีสินะ”
“ขอบใจมากนะดริกซ์ เจ้าช่วยข้าได้เยอะเลย”
“แต่ข้ายังสงสัยนะแอง ทำไมเจ้าไม่พาเด็กพวกนั้นไปเอามันเลยล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน”ผีดริกซ์ วอร์รี่ มองผีแองลี่อยู่มีเล่ห์เหลี่ยม แต่ผีแองลี่ก็ยิ้มให้เหมือนเดิม “ข้าต้องการให้วายุเข้มแข็งขึ้นนะดริกซ์ ตอนนี้เขายังเป็นแค่ไก่อ่อนที่เพิ่งเจาะเปลือกไข่ออกมาเท่านั้นเอง”
“แต่แฟร์รี่สีฟ้าตัวนั้นเหนือกว่าตัวอื่นนะแอง ข้าสัมผัสถึงพลังของหล่อนได้ หมาศาลจริงๆนะ”
“ข้าก็เคยเห็น พลังของแฟร์รี่ตัวนั้น สามารถสู้กับไคท์หลานข้าได้อย่างสูสี แค่หล่อนใช้พลังเพียงน้อยนิด แต่ร่างกายน่ะสิ ยังรับไม่ไหว ข้าเลยต้องให้ทั้งคู่เรียนรู้และเข้มแข็งไปพร้อมๆกันเสียยเลย”
ผีดริกซ์ วอร์รี่ ส่ายหน้าเชิงไม่เห็นด้วย แต่ไม่รุนแรงเท่าไหร่ เขาเข้าใจความต้องการของผีแองลี่ แต่มันติดอยู่ที่ว่า แองลี่จะทำอย่างไรถ้าทุกอย่างสายเกินไป
“แล้วถ้าเกิดว่าพวกดาร์กได้มันก่อนล่ะ เจ้าจะทำอย่างไร”
“ไม่ต้องห่วงหรอกดริกซ์ พวกมันไม่มีทางรู้หรอกว่าคทาอยู่ที่ไหน แม้แต่เบาะแสพวกมันยังไม่มีเลย แต่ว่าข้ารู้สึกชอบกลๆอยู่นะ เหมือนว่าพวกมันจะรู้อะไรเกี่ยวกับคทาบ้างนิดหน่อย”
“มันแน่นอนนะแองลี่ คนที่ฆ่าเจ้าและข้ามันคือคนเดียวกันที่บุกวิหาร แล้วข้าเองก็ยังสัมผัสพลังชีวิตมันได้อยู่ แต่ข้ายังเป็นห่วงอัศวินตัวน้อยของเรา เจ้าดาร์กคนนั้นเก่งมากเลยนะ”
ผีแองลี่เริ่มเครียดเข้าเหมือนกันหลังจากผีดริกซ์ วอร์รี่ กระตุกต่อมกังวลเข้าให้ “เจ้าลืมแฟร์รี่ตัวนั้นแล้วหรือไง”
“เปล่าหรอกแองลี่ ข้าแค่คิดว่าเขาน่าจะมีอาวุธที่จะใช้พลังของแฟร์รี่ตัวนั้นได้อย่างคล่องแคล่วนะ”
“สิ่งที่เจ้าหมายถึงคือ...” ผีดริกซ์ วอร์รี่ยิ้มให้ก่อนที่จะส่งถุงมือสีเทาให้กับแองลี่ มันมีวงกลมสีดำอยู่ใจกลางอุ้มมือ แล้วยังมีเหล็กกล้าประดับอยู่ที่บริเวณหลังนิ้วไว้เป็นสนัดมือดีๆนี่เอง “ถุงมือเจ้านายแฟร์รี่ ข้าฝากเจ้าไปให้เขาด้วยนะ”
“ได้เลยดริกซ์ งั้นข้าขอลาก่อนนะ ข้าไม่รบกวนเจ้าอีกแล้ว”
“ลาก่อนแองลี่”
ผีแองลี่จางหายไปทิ้งให้ผีดริกซ์ วอร์รี่ อยู่ลำพังอีกครั้งเหมือนที่เขาอยู่แบบนี้มานานหลายต่อหลายปี ผีดริกซ์ วอร์รี่รู้ว่าถึงเวลาของตัวเองแล้ว ร่างของผีดริกซ์ วอร์รี่เริ่มเปล่งแสงสีขาวซีดขณะเดียวกันร่างของเขาก็ค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ
“ลาก่อนไพริเวนเดอร์ ลาก่อน โพรีร่าที่รัก”
ผีดริกซ์ วอร์รี่ยิ้มให้กับร่างอีกร่างที่ปรากฏตัวพร้อมแสงสว่างสีเงิน ร่างนั้นเป็นร่างของหญิงสาวมีปีกสองข้างอยู่ด้านหลัง เธอใส่ชุดสีเงินสวยงาม มือข้างหนึ่งถือคทาที่มีระดับต่ำกว่าคทานางฟ้าในตำนาน หญิงสาวคนนี้คือนางฟ้าในนิทานเรื่องชายหนุ่มกับนางฟ้า
“ข้ามาช่วยท่าน ดริกซ์ ข้าจะช่วยให้ท่านอยู่บนโลกนี้นานขึ้น แต่ท่านต้องสาบานว่าจะไม่หนีข้าอีก”
“โอ้ โพรีร่า ข้าสาบาน เราจะอยู่ด้วยกัน”
“ตลอดไป...”
นางฟ้าโพรีร่าช่วยต่อคำหลัง เธอเข้าโอบร่างจางๆของผีดริกซ์ วอร์รี่แล้วทั้งคู่ก็หายวับไปทันทีพร้อมเสียงสีเงินจ้าแสบตา บัดนี้นิทานชายหนุ่มกับนางฟ้าเป็นจริงอีกครั้งแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ