หัวใจลูกทุ่ง
เขียนโดย Mawmeaw
วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 00.26 น.
แก้ไขเมื่อ 14 เมษายน พ.ศ. 2562 08.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) บทส่งท้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเช้าวันรุ่งขึ้นสิงหาสะพายกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เขาบอกลุงกับป้าว่าจะขึ้นไปทำงานกับเพื่อนทางเหนือ
โดยให้เหตุผลว่าฝากเพื่อนหางานไว้ให้ที่เชียงใหม่ ตอนนี้เพื่อนก็ติดต่อมาว่ามีงานให้ทำแล้ว เขาจึงต้องเดินทางไปอย่างกระทันหันแบบนี้
แต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่มีใครถามเขาถึงวาริสาเลยตั้งแต่ที่เขากลับมาถึงเมื่อคืนแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเขาก็คงจะรู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องเอ่ยถึงเรื่องของหญิงสาวอีก
หลังจากไหว้ลาลุงกับป้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกเดินเท้าจากบ้านไปตามถนนลูกรังเรื่อยๆ เพื่อจะไปขึ้นรถสองแถวที่ปากทางเข้าหน้าหมู่บ้าน
ระหว่างทางชายหนุ่มก็เดินผ่านทุ่งนาที่ต้นข้าวกำลังออกรวงสีเขียวขจีส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
เขาหยุดยืนสักพักแล้วสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดหลายครั้ง เพื่อเป็นการระลึกถึงบ้านเกิดที่เขาเคยอยู่
เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเขาจึงจะได้กลับมาที่นี่ มาสัมผัสบรรยากาศแห่งท้องทุ่งนาที่มีกลิ่นหอมของรวงข้าวและกลับมาสูดอากาศบริสุทธิ์ๆ แบบนี้อีกครั้ง
ขณะที่เขากำลังยืนเก็บภาพบรรยากาศท้องทุ่งนาให้ติดอยู่ในความทรงจำของเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เป็นครั้งสุดท้ายอยู่นั้น
ระหว่างนั้นก็มีเสียงเครื่องยนต์ที่แสนจะคุ้นเคยสำหรับเขากำลังบดทับก้อนกรวดบนถนนลูกรังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมๆ กับเสียงชายคนหนึ่งตะโกนมาตั้งแต่เครื่องยนต์ยังจอดไม่สนิทว่า
“คุณสิงหา จะไปแล้วเหรอครับ คุณยังไม่ได้บอกลาผมเลยนะ แล้วคุณลืมอะไรไปอีกอย่างรึเปล่าครับ”
สิงหาหันมามองทางต้นเสียง และสงสัยเหลือเกินว่าชายหนุ่มผู้ที่ร้องตะโกนด้วยเสียงที่คุ้นหูมาแต่ไกลนั้นเป็นใครกันแน่
เมื่อเครื่องยนต์จอดสนิทแล้ว เขาก็พบว่าเครื่องยนต์ที่ว่านั่นก็คือรถอีแต๋นที่เขาใช้เป็นยานพาหนะคู่กายของเขาเมื่อเขากลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นั่นเอง
แต่มีคนขับก็คือผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองอีเกิ้งหรือลุงของเขานั่นเอง และคนที่นั่งข้างๆ คนขับก็คือป้าของเขา
ส่วนอีกสามคนที่นั่งข้างหลัง คนแรกที่ร้องตะโกนมาแต่ไกลก็คือหมอดนัยหรือหมอแดน อีกคนคือหมอตะวัน
ส่วนอีกคนน่าจะเป็นชาวบ้านคนใดคนหนึ่งในหมู่บ้านที่ขอติดรถมาด้วยเนื่องจากโพกผ้าปิดหน้าเอาไว้โผล่ออกมาให้เห็นเฉพาะดวงตา ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นไม่ชัดเจน
เขาแปลกใจมากที่ทุกคนนั่งรถอีแต๋นตามมาส่งเขาอีกครั้งแบบนี้ เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่น้อยว่า
“เอ๊ะ! ลุงครับป้าครับ แล้วก็คุณหมอตะวัน คุณหมอดนัยมีอะไรกันรึเปล่าครับ ทำไมถึงได้ยกขบวนกันมาส่งผมที่นี่อีกล่ะครับ”
หมอดนัยรีบชิงพูดขึ้นก่อนใครๆ ว่า
“ก็คุณเล่นไปไม่บอกผมเลยนี่ ผมเลยต้องบึ่งมาส่งคุณโดยเฉพาะด้วยเจ้ารถอีแต๋นนี่แหละครับ อ้อ! แล้วอีกอย่างผมก็เอาการ์ดแต่งงานมาให้คุณด้วย ผมจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้วนะครับ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหมอดนัย ชายหนุ่มก็อดที่จะมีสีหน้าเศร้าหมองอีกครั้งไม่ได้
ทั้งๆ ที่เขาพยายามเต็มที่ที่จะปรับสีหน้าให้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานแล้วแท้ๆ ชายหนุ่มได้แต่พูดว่า
“ยินดีด้วยครับ ขอให้คุณมีความสุขกับการแต่งงานและการใช้ชีวิตคู่นะครับ ผมคงต้องขอเสียมารยาทไม่ได้อยู่ร่วมงานแต่งของคุณครับคุณหมอดนัย”
ชายหนุ่มพูดโดยไม่มองหน้าหมอดนัย เนื่องจากเกรงว่าจะซ่อนแววตาเศร้าเอาไว้ไม่มิด ขณะที่บรรยากาศเริ่มจะหดหู่มากขึ้นทุกที
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงสดใสของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นมาว่า
“ใช่ นายสิงหา นายเสียมารยาทมากเลยนะที่รีบหนีไป ไม่อยู่ร่วมงานแต่งของพี่ดนัย และอีกอย่างนายนี่แย่จริงๆ เลย ที่จะไปโดยไม่ยอมบอกลาฉันสักคำ ”
เมื่อพูดจบ ชาวบ้านที่โพกผ้าปิดหน้าที่ติดรถมาด้วยก็กระโดดลงมาจากรถอีแต๋นพร้อมๆ กับเปิดผ้าโพกหน้าออก
เธอลงมายืนอยู่ตรงหน้าสิงหาพอดี เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง ก็พบเธออยู่ในเครื่องแบบของพยาบาลชุมชน เสื้อสีฟ้ากระดุมผ่าข้าง กางเกงผ้ายืดสีดำและสวมรองเท้าคัตชูสีดำไม่มีส้น ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเธอ วาริสา พยาบาลประจำสถานีอนามัยบ้านหนองอีเกิ้งนั่นเอง
เธอยื่นซองสีชมพูมาตรงหน้าชายหนุ่มทันทีที่ลงมายืนที่พื้น แล้วพูดว่า
“เอานี่ไปดูซะ แล้วบอกมาซะดีๆ ว่าทำไมต้องหนีฉันไปแบบนี้”
ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่พบวาริสามาปรากฏตัวที่นี่ ซึ่งทีแรกเขาเข้าใจว่าเธอเป็นชาวบ้านคนหนึ่ง เขาค่อยๆ ยื่นมือไปรับซองสีชมพูที่เธอยื่นให้มาดูด้วยอาการมือสั่นๆ ซึ่งเขาเดาว่ามันน่าจะเป็นการ์ดงานแต่งงานเป็นแน่
และเมื่อเปิดซองออกดูก็เป็นจริงดังคาด มันคือการ์ดแต่งงาน เขาค่อยๆเลื่อนสายตาไปอ่านทีละบรรทัด
“เชิญท่านร่วมเป็นเกียรติในงานมงคลสมรสของนายดนัย …และนางสาวปิยะนุช…”
เมื่ออ่านถึงชื่อเจ้าสาว เขาก็แปลกใจเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยถามวาริสาว่า
"ทำไมชื่อเจ้าสาวถึงไม่ใช่ชื่อคุณน้ำล่ะครับ ผมงงไปหมดแล้ว"
หญิงสาวได้แต่หัวเราะขำ แล้วอธิบายว่า
“นายสิงหาฟังฉันให้ดีนะ ความจริงพี่ดนัยเค้าไม่ได้ชอบฉันหรอก เค้าชอบเพื่อนของฉันก็คือยัยนุช เพื่อนของฉันที่นายเห็นชื่อบนการ์ดนั่นแหละ แต่เพราะฉันช่วยให้เขาได้รักกันและลงเอยกันด้วยการแต่งงานน่ะสิ พี่ดนัยก็เลยต้องใช้หนี้ฉันในครั้งนี้ยังไงล่ะ”
ชายหนุ่มยังมีสีหน้าสงสัยไม่หาย เขาถามต่อว่า
“เอ๊ะ! คุณน้ำหมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ แล้วเรื่องเมื่อวานนี้ล่ะครับ มันยังไงกันแน่”
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะอธิบายต่อ แต่หมอดนัยกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า
“ไม่ต้องงงหรอกครับคุณสิงหา ความจริงผมกับหมอตะวันเป็นผู้ช่วยนางเอกหรือก็คือเป็นกามเทพตัวน้อยๆ นั่นแหละครับ ผมมาเพื่อช่วยพิสูจน์ให้ยัยน้ำน้องสาวของพวกเรามั่นใจในความรักของคุณที่มีต่อเธอเท่านั้นเอง นี่ไงล่ะครับ”
พูดจบเขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดฟังเสียงที่บันทึกไว้ ซึ่งก็เป็นเสียงที่สิงหาพูดกับหมอตะวันเป็นครั้งสุดท้าย
“ขอบคุณครับคุณหมอตะวัน แต่ความจริงก็คือความจริง คุณน้ำเธอกำลังจะแต่งงานกับหมอดนัย เธอไม่เคยรักผมเลย และเธอก็คงจากผมไปจริงๆ แล้วคราวนี้"
"ผมฝากไปแสดงความยินดีกับเธอล่วงหน้าด้วยนะครับ ผมคงไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งของเธอหรอกครับ ผมขอหลบไปพักใจในที่ที่จะทำให้ผมสบายใจและเศร้าน้อยลงสักพักหนึ่ง เมื่อผมทำใจได้แล้ว ผมจะกลับมาครับ"
"ฝากบอกลาคุณน้ำด้วยนะครับ และอย่าลืมบอกเธอด้วยว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณน้ำและความทรงจำดีๆ ที่ผมมีร่วมกับคุณน้ำจะยังคงอยู่ในใจของผมตลอดไปครับ"
เมื่อฟังเสียงที่บันทึกไว้ด้วยโทรศัพท์จบลง หมอดนัยจึงเอ่ยขึ้นว่า
“หมอตะวันกับผมเอาคำพูดของคุณที่แอบบันทึกไว้ไปเปิดให้ยัยน้ำฟัง พอฟังจบ ยัยน้ำก็เร่งพวกเรากันใหญ่ บอกว่าต้องมาให้ทันก่อนที่คุณจะออกเดินทางไป"
"พอเรามาถึงก็พบว่าคุณออกไปแล้ว ก็เลยให้คุณลุงผู้ใหญ่พ่อของคุณช่วยขับรถอีแต๋นพาพวกเรามาที่นี่ให้ทันนั่นแหละครับ"
สิงหาเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลงจนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็หันมามองหน้าวาริสาก่อนจะพูดขึ้นว่า
“โถ่! คุณน้ำครับ ที่แท้ทั้งหมดนี่ ก็เพราะคุณกับรุ่นพี่ของคุณแสร้งทำเป็นลองใจผมเท่านั้นเองเหรอครับ คุณน้ำรู้มั้ยครับว่าคุณทำผมเกือบขาดใจตายแน่ะ ผมทั้งทรมานใจ เศร้าใจและก็ผิดหวังมากจริงๆ ครับ”
เขาพูดพร้อมกับทำหน้าผิดหวังจริงๆ
“เห็นทีคงได้เวลาที่ผมต้องหลบไปพักใจ พักเรื่องผิดหวังต่างๆ สักพักจริงๆ แล้วล่ะครับ ผมขอถือโอกาสลาคุณน้ำตรงนี้เลยแล้วกันครับ ลาก่อนครับคุณน้ำ ถ้าเรามีวาสนาต่อกันคงได้เจอกันอีกนะครับ”
พูดจบชายหนุ่มก็แบกเป้ขึ้นสะพายบนบ่าแล้วทำท่าจะเดินผละไปจริงๆ วาริสารีบวิ่งไปคว้าแขนของชายหนุ่มเกาะเอาไว้แน่น ก่อนจะรีบระล่ำระลักพูดว่า
"อย่าไปเลยนะนายสิงหา ฉันขอร้อง ฉันขอโทษจริงๆ ที่ทำแบบนี้กับนาย ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ฉันผิดไปแล้ว ฉันสำนึกผิดแล้ว ได้โปรดอย่าไปจากฉันเลยนะ"
"ไหนนายเคยบอกว่านายรักฉัน ตอนนี้นายทำให้ฉันรักนายแล้ว ทำไมนายยังจะทิ้งฉันไปอีกล่ะ หรือว่านายไม่รักฉันแล้วนายสิงหา คนใจร้าย"
หญิงสาวพูดไปก็น้ำตาร่วงไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ ชายหนุ่มดึงตัววาริสาเข้ามากอด เช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบาก่อนบอกว่า
"อย่าเสียใจไปเลยนะครับคุณน้ำที่รักของผม ความจริงผมรักคุณน้ำ รักมาก และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากคุณน้ำเด็ดขาด"
"แต่ที่ผมทำท่าจะไปอย่างนี้ก็แค่อยากรู้ว่าคุณน้ำจะรักผมบ้างรึเปล่าเท่านั้นเองครับ และตอนนี้ผมก็รู้แล้วล่ะครับว่าคุณน้ำก็รักผมเหมือนกับที่ผมก็รักคุณน้ำ"
"เท่านี้ก็เพียงพอแล้วละครับที่ผมจะอยู่กับผู้หญิงที่ผมรักและเธอก็รักผมเช่นกัน แล้วผมจะทิ้งคนที่ผมรักไปได้ลงคอเชียวเหรอครับ ไม่มีทางหรอกครับ คุณน้ำ"
พูดจบเขาก็กอดกระชับหญิงสาวในอ้อมกอดของเขาให้แน่นยิ่งขึ้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงตัดพ้อแว่วๆ มาจากหญิงสาวในอ้อมกอดของเขาว่า
“นายสิงหาบ้า คิดจะแกล้งเอาคืนฉันโดยการทิ้งฉันไปเหรอ ไม่มีทางซะหรอกฉันจะเกาะนายไว้แน่นเหมือนตุ๊กแกไม่ให้นายไปไหนได้เลยคอยดูสิ”
พูดจบสองหนุ่มสาวก็หัวเราะขำด้วยกันทั้งคู่
ส่วนบุคคลที่แอบมองอีก 4 คนที่เหลือบนรถอีแต๋นก็อดที่จะปลาบปลื้มใจไปกับความรักอันแสนสดใสและมีความสุขของสองหนุ่มสาวไม่ได้ หมอตะวันได้เอ่ยปิดท้ายว่า
“เอาล่ะ ในที่สุดก็เสร็จสิ้นภารกิจการพิสูจน์รักแท้ของทีมงานกามเทพน้อยอย่างพวกเราแล้วสินะ”
พูดจบทุกคนก็ฮาครืนกันใหญ่ ทั้งหมดต่างก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อมองไปยังภาพความรักระหว่างหนุ่มหัวใจลูกทุ่งกับสาวพยาบาลชุมชนประจำสถานีอนามัยบ้านหนองอีเกิ้งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาที่ลงเอยกันได้อย่างมีความสุข.....
จบบริบูรณ์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ