ALL THE CORRUPTION
1) ๑
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย มาร่วม ๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว ในปัจจุบันเมืองใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยตึกระฟ้า อาคารพาณิชย์ตลอดจนแหล่งบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ซึ่งจุดศูนย์กลางของความบันเทิงต่างๆในเมืองนี้คงหนีไม่พ้น “สยามสแคว์” สถานที่ที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า แหล่งกวดวิชา สนามกีฬาแห่งชาติ มหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่ใครจะไปนึกถึงว่าบริเวณนี้ยังเป็นกองบัญชาการใหญ่ของวงการสีกากีอีกด้วย
ฝั่งตรงข้ามของศูนย์รวมวัยรุ่นที่มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนี้ เป็นที่ตั้งของส่วนราชการสำคัญ นั่นก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกรมตำรวจในอดีต ซึ่งในปัจจุบันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้มาขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี
ภายในพื้นที่ที่ไม่กว้างใหญ่นักนี้ประกอบไปด้วยส่วนราชการมากมายหลายส่วน แต่มีส่วนหนึ่งที่ถือเป็นส่วนสำคัญนั่นก็คือกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งตัวอาคารเป็นอาคาร ๒ ชั้นยาว หลังคาเป็นหลังคาหน้าจั่วสีขาวมุงด้วยกระเบื้องสีแดงที่กาลเวลาได้เปลี่ยนให้มันกลายเป็นสีที่ซีดจางลง ตามปกติแล้วเวลาค่ำเช่นนี้มักจะไม่มีคนอยู่ทำงานต่อ แต่ในวันนี้บนห้องประชุมชั้น ๒ กลับยังเปิดไฟสว่าง
ห้องประชุมภายในของกองบัญชาการนี้เป็นห้องประชุมขนาดเล็ก ที่น่าจะสามารถจุคนได้ไม่เกิน ๑๐-๑๕ คนเท่านั้น แต่จำนวนเก้าอี้ภายในบอกว่ามันเคยจุคนได้มากกว่านั้นด้วยงบประมาณที่มีจำกัดการขยายห้องประชุมเป็นไปได้ยากแต่การอดทนนั่งในห้องแคบๆทำได้ง่ายกว่า แต่ในค่ำคืนนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมเพียง ๓ คนเท่านั้น
คนที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะแสดงการเป็นประธานในการประชุมเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในวงการตำรวจไทย กว่าที่ พล.ต.อ.ศานต์ ประชาชน จะก้าวถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้นั่น ทุกคนในวงการนี้ต่างรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายและท่านผ่านการทำงานมาแล้วเกือบทุกรูปแบบ ท่านเติบโตมาจากสายงานตำรวจนครบาลโดยตรง ด้วยบุคลิกของท่านและนโยบายที่แถลงต่อหน้าสื่อมวลชนในวันที่ท่านรับตำแหน่งนั้น ทำให้พวกเหยี่ยวข่าวตั้งสมญานามให้ท่านว่า “มือปราบเผด็จการคอรัปชั่น” ด้วยการประกาศนโยบายเอาใจประชาชนสุดขีดในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงการตำรวจ
สำหรับชายวัยสูงอายุคนถัดมานั้นนั่งอยู่ทางขวามือของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น เป็นเสมือนผู้เป็นวีรบุรุษแห่งวงการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตำแหน่งนายตำรวจดีเด่น ๓ ปีซ้อนนั้นไม่ได้มาง่ายและไร้ซึ่งฝีมือ ถ้าลองนับจริงๆก็จะรู้ว่าคงจะมีเพียงท่านนี้ท่านเดียวเท่านั้น พล.ต.อ.รชกร อินทรชัยชิต อาจจะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนแรกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เป็นได้ แต่ทุกๆคนต่างรู้และทราบดีว่าฝีมือและที่มาของ “มือปราบพิพากษา” ว่ามันถูกเขียนด้วยเลือดของบรรดาโจรต่างๆ
ชายคนสุดท้ายนี้เป็นนายตำรวจที่มีอาวุโสต่ำที่สุดในห้องประชุมนี้และมียศน้อยที่สุดเพียงแค่พันตำรวจเอกเท่านั้น เขาไม่มีประวัติการทำงานอะไรเลยที่โดดเด่นอีกทั้งชื่อของ พ.ต.อ.สุรพล กีรติโยธิน ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักของนักข่าวและรวมไปถึงตำรวจด้วย หากใครไม่สนิทนักก็คงไม่มีใครได้รู้จักนายตำรวจยศพันเอกคนนี้แน่ๆ ข่าวเดียวที่เขาเคยได้รับลงในหน้าหนังสือพิมพ์คือข่าวการจับกุมน้ำมันเถื่อนซึ่งไม่มีใครหรอกที่จะจดจำรวมทั้งตัวของเขาเองด้วย
“เอาละทุกคน” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพุดขึ้นท่ามกลางความเงียบแสดงถึงความพร้อมในการประชุม “เราเริ่มประชุมบอร์ดนี้กันเลยดีไหม”
บอร์ดที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพูดถึงนั้นได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างลับๆโดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นไปตามนโยบายที่เคยได้แถลงไว้กับนักข่าวในการปราบปรามการทุจริตในวงการตำรวจ สมาชิกในบอร์ดนี้มีเพียง ๓ คนเท่านั้น คือ ผบ.ตร. รอง ผบ.ตร. และ พ.ต.อ.สุรพล แต่บอร์ดนี้สามารถเรียกกำลังจากสถานีตำรวจต่างๆเพื่อทำการจับกุม อุ้มลักพาตัวใครก็ตามที่บอร์ดนี้ระบุแล้วว่าทำการทุจริตจริง
“ครับท่าน” พล.ต.อ. รชกร รับทราบในคำสั่งที่ได้รับพร้อมกับพลิกแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้าและเริ่มรายงานการประชุมทันที “เมื่อเดือนที่แล้วเรากำลังเฝ้าติดตาม ผบช.น. เพื่อการตรวจสอบการทำงานของท่าน ตอนนี้เรายังคงไม่พบหลักฐานอะไร ที่ระบุได้ว่าท่าน ผบช.น. ทำการไม่ชอบครับ” ผบช.น.ที่รองผู้บัญชาการกล่าวถึงก็คือ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
“สุรพล คุณมีความคิดเห็นอย่างไร” ผบ.ตร. ถามทีมงานสืบสวนตรงหน้าเพียงคนเดียวที่มีอยู่โดยการพูดและหันหน้าไปมองเพื่อรอฟังคำตอบ “จากประสบการณ์ในบอร์ดและประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา คุณว่าเขาบริสุทธิ์ไหม”
พ.ต.อ.สุรพลเงียบเหมือนทุกๆครั้งที่เขาได้รับคำถาม เขามักใช้เวลาคิดก่อนเสมอและเป็นเพราะบุคลิกอันรอบคอบของเขา “ตามความเห็นของผมครับท่าน เราน่าจะถอนทีมติดตามได้เลยครับ แต่ผมคิดว่าการคงการตรวจสอบทางเอกสารไว้ก่อนน่าจะไม่มีอะไรที่เสียหายครับ แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผมแล้วล่ะก็ผมคิดว่าท่าน ผบช.น.น่าจะไม่มีอะไรครับ”
“ผมอนุญาตกล่าวเสริมความเห็นครับ” รอง ผบ.ตร.พูดต่อเกือบจะทันที “ในฐานะที่ผมเคบเป็นผู้บังคับบัญชาของเขามาก่อน ผมว่าเราไว้ใจเขาได้”
“งั้นตกลง ถอนทีมติดตามได้เลยพรุ่งนี้ ตามแค่เอกสารพอ”พล.ต.อ.ศานต์กล่าวปิดหัวเรื่อง
“ครับท่าน ผมจะสั่งการทันที” รอง ผบ.ตร.ผู้รับผิดชอบส่วนปฏิบัติพูดขึ้นรับคำสั่ง
“เรื่องต่อไปสุรพล”
พ.ต.อ.สุรพลเปิดแฟ้มงานหน้าถัดไป เขาเหลือบตามองและเริ่มเรียบเรียงความพูดผ่านความคิดที่ใช้งานมากว่า๕๐ปีของเขา “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ครับ เมื่อสองสามวันก่อนผมบังเอิญได้ทราบข่าวการจับกุมเอเย่นค้ายารายเล็กๆรายหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้วการจับกุมเอเย่นรายย่อยเป็นเรื่องปกติครับแต่ที่แปลกคือรายนี้ได้พาทพิงถึงนายพลตำรวจท่านหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเราเท่าไหร่ครับ ผมเลยอดไม่ได้ครับเลยตามสืบเรื่องราวได้ระยะหนึ่ง”
“สิ่งที่ผมพบก็คือ” ฝ่ายสืบสวนหยิบสำเนาเอกสารในมือจำนวน ๒ ชุดส่งให้กับผู้บังคับบัญชาทั้งสองคน “ยอดเงินในบัญชีของท่านนายพลท่านนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่แทบทุกวัน ซึ่งมันก็ไม่น่าจะแปลกอะไรครับสำหรับคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวที่บ้านประเภทค้าขาย แต่ตัวเลขที่สิครับท่าน ท่านนายพลท่านนี้เปิดร้านขายกาแฟที่ย่านสำโรง แต่ยอดเงินที่หมุนเวียนในบัญชีมันมากกว่า ๓๖ล้านบาท เงินที่ไหลออกจำนวน ๑๗ ล้านบาทออกไปในประเทศใกล้นี่เองครับ พม่า เขมรและมีบางส่วนไปยังฟิลิปปินส์ คงไม่มีใครในโลกสั่งซื้อเมล็ดกาแฟจากประเทศพวกนี้และคงไม่มีใครซื้อเมล็ดกาแฟทีละ ๑๐กว่าล้านแบบนี้ครับท่าน”
“ฟังดูเหมือนเรากำลังเจอเจ้าพ่อตัวใหญ่อย่างนั้นสินะ” ผบ.ตร.พูดขึ้นและแสดงสีหน้าเครียดไปอย่างเห็นได้ชัด “นายพลคนนี้คือใคร สุรพล”
“ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ๕ ครับ พล.ต.ต.อารมณ์ ปฐวีครับท่าน”
นายพลอาวุโสทั้งสองนิ่งไป
“ผมขออนุญาตเสนอแนะแนวทางครับท่าน” ฝ่ายสืบสวนว่าต่อโดยไม่รอให้ผู้บังคับบัญชาสั่ง “เราควรทำ ๑ใน ๒อย่างนี้ครับท่าน คือเชิญท่านนายพลมาสอบปากคำครับ ผมมีหลักฐานแน่นพอครับ หรือไม่ ถ้าท่านคิดว่ายังมีคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีก เราอาจจะเฝ้าติดตามได้ครับ เพราะตอนนี้ผู้ต้องสงสัยยังไม่ทันระวังตัวครับท่าน”
พล.ต.อ.ศานต์นิ่งไปและดูจากท่าทางที่เอามือมากุมศีรษะแล้วแสดงว่าท่านกำลังใช้ความคิด
“ท่านครับ เราไม่อาจทำทั้งสองอย่างได้ครับ” พล.ต.อ.รชกร กล่าวแทรกความคิดของผู้บังคับบัญชาและดึงความสนใจของคนอีก ๒ คนมาได้อย่างทันที เขาว่าต่อไปโดยไม่รอให้เพื่อนร่วมงานถาม “เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาก่อนที่จะเข้าประชุมในบอร์ด พนักงานสืบสวนของ สน.พระโขนงโทรมาแจ้งกับผมว่า พล.ต.ต. อารมณ์เสียชีวิตแล้วครับท่าน”
สีหน้าแปลกใจปรากฏขึ้นในทันทีทันใด
“เป็นไปได้ไง รชกร” ผบ.ตร.ถาม
“มันเป็นไปแล้วครับท่าน พนักงานสืบสวนรับแจ้งจากชาวบ้านใกล้เคียงครับว่าพบความผิดปกติในบ้านของ อารมณ์ เจ้าหน้าที่ของเราจึงรุดไปที่เกิดเหตุครับ พล.ต.ต.อารมณ์ ภรรยาและบุตรสาว เสียชีวิตอยู่ในห้องครับ ทั้งสามคนโดนยิง คนร้ายเก็บปลอกกระสุนไปหมดครับส่วนทรัพย์สินในบ้านหายไปหมดครับ”
“สงสัยใคร”
“เด็กรับใช้ครับ ชื่อนายสมชัยครับ”
“จับได้หรือยัง”
“พอได้เบาะแสชุดปราบปรามก็ตามจับทันทีครับ อย่างสุดความสามารถ” รอง ผบ.ตร.กล่าวต่อเป็นการตอบคำถาม “แต่โชคไม่ดีครับท่าน นายสมชัยเอาเงินที่ปล้นมาไปดื่มเหล้า ก่อนที่จะเมามายอย่างไม่ได้สติและพลัดตกจากรางรถไฟฟ้า ลำตวพาดไปโดนรางที่สามพอดีครับ ไฟไหม้เกรียมครับท่าน ไม่เหลือร่องรอยเลยครับ”
ทุกฝ่ายต่างเงียบไป
พ.ต.อ.สุพลกุมมือแน่นขึ้นและวางอยู่บนขอบโต๊ะแสดงการสงสัยและครุ่นคิดอย่างทันที ส่วนผบ.ตร.ก็ยิ่งเครียดหนักโดยมือที่กุมศีรษะอยู่นั้นได้เปลี่ยนมาบีบขมับแทน
“ปิดสำนวนหรือยังครับ” ฝ่ายสืบสวนเพียงคนเดียวเป็นคนเริ่มพูดก่อนหลังจากทิ้งให้ห้องประชุมเงียบไปพักใหญ่
“มีคนตายและคนร้ายเสียชีวิต เจ้าหน้าที่สืบสวนปิดสำนวนไปแล้ว” รอง ผบ.ตร.ตอบ
พ.ต.อ.สุรพลปิดแฟ้มคดีนี้ลงและเงยหน้าสบตานายพลทั้งสอง “ท่านครับ” เขาพูดเสียงแข็งและเจือแววสงสัย “ผมว่ามันน่าสงสัยครับท่าน ผมว่าคดีนี้น่าจะเป็นการฆ่าปิดปากครับ โดยมีการร่วมกับการฆาตกรรมอำพราง มันมีเงื่อนครับ”
พล.ต.อ.รชกร ถอนหายใจก่อนที่จะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นวมและเอามือวางบนโต๊ะ ส่วน พล.ต.อ.ศานต์กลับแสดงสีหน้าให้ความสนใจและสงสัย
“ไหนว่ามาสิ” ผู้มีอำนาจสูงสุดพูดเบาๆ
“”ใครบางคนในขบวนการที่ท่านอารมณ์อยู่นี้คงจะทราบข่าวระแคะระคายว่ามีคนกำลังทำการสืบคดีนี้อยู่ ดังนั้นทำอย่างไรให้สาวถึงตัวใหญ่ไม่ได้ เลยทำการส่งมือปืนมาฆ่าปิดปาก และกลบเกลื่อนโดยการอำพรางคดีครับให้คนที่เกี่ยวข้องตายหมด ไม่เหลือใครไว้ให้ถาม ไม่เหลือหลักฐานซึ่งก็คือปลอกกระสุนครับ”
“เป็นไปได้สูงสุรพล และผู้รู้มาตลอดเลยว่าก่อนที่คุณจะพูดอะไรออกมาคุณต้องมีเหตุผลที่เพียงพอรองรับเสมอ” ผบ.ตร.กล่าวเห็นด้วย “เมื่อย่างนั้นผมคงไม่เจาะจงเลือกคุณขึ้นมาทำงานในบอร์ดนี้ด้วยตัวเองหรอก คุณเป็นคนรอบคอบเสมอ...สุรพล ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันแต่เหตุผลมันคืออะไร”
พ.ต.อ.สุรพลในฐานะฝ่ายสืบสวนเพียงคนเดียวของบอร์ดนี้หันไปสบตานายพลอาวุโสทั้งสองก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ท่านครับ ตั้งแต่ผมจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจออกมารับราชการมานี่ก็ร่วม ๓๐ ปีแล้วครับ ผมยังไม่เคยสักคดีเลยที่ผู้ต้องสงสัยจะอยู่แถวๆที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหาทุกคนเมื่อก่อคดีแล้วก็มักจะหลบหนีไปไกลที่สุด”
“คดีต่างๆที่ผมเคยทำก่อนจะมาอยู่ในบอร์ดนี้นั้น ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มักจะหนีไปเขมร หรือไม่ก็กลับบ้านเกิด รอฟังข่าวเห็นท่าไม่ดีก็หนีอีก หนีไปเรื่อยๆ ผมว่าคดีนี้น่าจะมีใครสักคนลักพาตัวนายสมชัย ไปกรอกเหล้าก่อนจะผลักตกรางรถไฟฟ้า”
คนในบอร์ดเงียบไป
“เหตุผลของคุณมีความเป็นไปได้” นายใหญ่เห็นด้วยและตอบรับ
พล.ต.อ.รชกร เลื่อนเก้าอี้เข้ามาจนตัวชิดกับโต๊ะประชุม “แล้วถ้าสมมติว่า นายสมชัยที่ว่าเกิดฆ่าทั้งครอบครัวจริงแล้วไปกินเหล้าย้อยใจล่ะ เข้าท่าไหม”
พนักงานสืบสวนประจำบอร์ดนิ่งไป “ท่านครับ” อีกครั้งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสบตากับผู้บังคับบัญชาของตน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงและช้าลง “ท่านครับ ครั้งที่ท่านน่าจะเชื่อผมน่ะครับ ผมเชื่อครับท่านว่าลางสังหรณ์ของท่านทั้งสองคงคิดอย่างเดียวกับผมครับ ได้โปรดสั่งระงับการปิดคดีนี้เถอะครับแล้วโอนเข้ามาที่บอร์ดผมจะขอทำคดีนี้เองครับ”
ผู้บังคับบัญชาทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ผู้บังคับชาที่มีอาวุโสสูงที่สุดในขณะนั้นจะกล่าวออกมาในที่สุดและถือเป็นคำสั่งอย่างทันที “ตกลง ระงับการปิดคดีนี้ทันที โอนข้อมูลและคดีนี้มาที่นี่”
“ขอบคุณครับท่าน” พ.ต.อ.สุรพลกล่าวพร้อมกับมีสีหน้าที่แสดงการดีใจและพึงพอใจ
ในที่สุดหัวเรื่องนี้ก็ถูกปิดลง แต่การประชุมของบอร์ดนี้ยังไม่จบ ยังคงมีการประชุมต่อไปในหัวข้อต่างๆที่สำคัญไม่แพ้กัน คือรายงายผลการปฏิบัติประจำสัปดาห์ สรุปคดีต่างๆที่ได้ทำและกำลังทำอยู่ทั้งหมด และเรื่องสำคัญที่จะปฏิเสธไม่ได้เลยคือเรื่องของงบประมาณประจำสัปดาห์และแนวทางในการปฏิบัติงานเพิ่มเติม จนกระทั่งในที่สุดประธานของบอร์ดก็สั่งปิดประชุมในเวลาเกือบสามทุ่ม
พ.ต.อ.สุรพลเดินอกจากห้องประชุมเป็นคนสุดท้ายเหมือนเช่นทุกๆครั้งและถือเป็นหลักปฏิบัติของการเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ ที่จะต้องเข้าออกจากห้องต่างๆ ขึ้นลงรถตามลำดับของความอาวุโส สำหรับผู้ที่อาวุโสน้อยควรอย่างยิ่งที่จะเข้าห้องก่อนเพื่อไปนั่งรอ และออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายเพื่อตรวจสอบความเรียนร้อย ก่อนออกจากห้องเขาไม่ลืมที่จะหยิบอุปกรณ์บันทึกเสียงการประชุมที่เขาจะอัดไว้ด้วยทุกๆครั้ง เพื่อเอาไปฟังทบทวนโดยที่เขาไม่เคยบอกการกระทำนี้ของเขาให้ใครรู้
หลังจากเดินออกจากห้องเรียบร้อยโดยทิ้งภาระการเก็บห้องให้เป็นของนายตำรวจชั้นประทวนที่ทำหน้าที่ดูแลอาคาร ก่อนที่เขาจะใช้เวลาไม่นานในการเดินออกจากอาคารมายังรถยนต์ส่วนตัวโตโยต้า วิออสสีบรอนซ์เงิน ก่อนจะปลดล็อคและไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย
นายตำรวจวัยกลางคนมากประสบการณ์หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาและกดโทรออกทันที ใช้เวลาไม่นานนักปลายสายก็กดรับโทรศัพท์
“ว่ายังไงพ่อตำรวจใหญ่ เมื่อไหร่จะกลับบ้านกันจ๊ะ” เมื่อได้ยินเสียงของภรรยาปลายสายอีกข้าง ก็ทำเอาหายเหนื่อยไปได้มาก
“กำลังจะกลับครับผม” พ.ต.อ.สุรพลกระเซ้า
“ที่รัก ซื้อโจ๊กหมูมาให้ด้วยนะคะ เจ้าเดิมนะคะที่ปากซอยกลางซอยอุดมสุขน่ะ” ภรรยาส่งเสียงสั่งการสามีแกมอ้อนนิดๆเพื่อให้สามีรู้สึกดีกับการสั่งในครั้งนี้
“จ๊ะที่รัก เดี๋ยวจะซื้อไปฝากนะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านคะ” พ.ต.อ.สุรพลกล่าวรับคำทันที ก่อนที่จะกดวางสายลงไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวลาเพราะเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าภรรยาของเขาไม่เคยกล่าวลาเลยสักครั้ง หลังจากวางโทรศัพท์รายงานตัวกับภรรยาเขาก็เสียบกุญแจ ติดเคริ่งยนต์ และออกรถตรงกลับบ้าน
พ.ต.อ.สุรพล กีรติโยธิน เป็นนายตำรวจที่เติบโตมาจากสายงานสืบสวนสอบสวนมาตั้งแต่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สมัยที่เขายังเป็นนักเรียนเตรียมทหารงานอดิเรกของเขาคือการอ่านหนังสือนวนิยายแนวสืบสวนจนบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่นที่ ๒๐ ยงย่องให้เป็นนักอ่านตัวยงทีเดียว
หลังจากที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ การงานของพ.ต.อ.สุรพลก็จัดอยู่ในพวกที่เป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีอะไรที่โดดเด่นหรือแหวกแนว แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนที่ใสซื่อมือสะอาด และทำตัวไม่เป็นพิษเป็นภัยกับพวกกังฉินและผู้ทรงอิทธิพล จึงไม่แปลกอะไรที่บรรดาเจ้านายทุกคนที่ผ่านมาจะรักและไว้ใจเขา จนเมื่อ พล.ต.อ.ศานต์ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและต้องการใครสักคนมาทำงานเป็นทีมสืบสวนของเขา ใครสักคนที่มีประวัติดีใสซื่อมือสะอาด ใครสักคนที่ไม่เป็นที่รู้จัก ทุกอย่างจึงมาลงเอยที่เขาคนนี้
เมื่อ พ.ต.อ.สุรพลมารับหน้าที่อย่างเป็นความลับได้ไม่ถึงเดือนก็ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในการสืบสวนด้วยการตรวจสอบอย่างเงียบๆ ทำให้ผบ.ตร.สั่งปลดนายพลตำรวจทุจริตไปได้ถึง ๕ นายภายในเดือนเดียว และ ๔ใน๕คนนี้ก็ถูกตัดสินจำคุกโดยทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่มีการประกาศความดี งานของเขาถูกปิดเป็นความลับเสมอ
วันนี้เขาใช้เวลาขับรถเพียง ๓๐ นาทีเท่านั้น แต่เขาเสียเวลาเกือบครึ่งหนึ่งในการต่อคิวรอโจ๊กหมูเจ้าประจำกลางซอยอุดมสุข เขากับภรรยาเคยคิดถึงขนาดว่าที่นี่อาจเป็นร้านโจ๊กที่ดีและอร่อยที่สุดในประเทศก็เป็นได้
พ.ต.อ.สุรพลเลือกที่จะมาอยู่ย่านนี้เนื่องจากแถบนี้ถือว่าเป็นแถบที่อยู่อาศัยที่มีความพร้อมและการอำนวยความสะดวกครบครัน เริ่มจากมีตลาดสดหลายสิบแห่งในรัศมีการเดินของเขาและภรรยา มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงเรียนชั้นดีสำหรับลูกของเขา โรงพยาบาลที่มีความพร้อมทางการแพทย์สูง รถไฟฟ้าที่ผ่านในระยะที่ไม่นานเกินไปในการเดินทางด้วยรถเมล์ สวนสาธารณะ สนามบินนานาชาติ สปอร์ตคลับ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ควรจะมีในสังคมของคนเมือง
ขับรถตรงเข้าหมู่บ้านจัดสรร ยามที่เฝ้าหมู่บ้านทำความเคารพและยิ้มให้อย่างเต็มใจเหมือนทุกๆครั้ง เขาขับรถช้าๆเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ดับเครื่อง จัดของในรถ ก่อนที่เขาจะวางแฟ้มงานไว้ในรถพร้อมๆกับกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค วันนี้เขาไม่อยากเอางานเข้าไปทำในบ้าน เขาลงจากรถและล็อคประตู
เขาไม่ลืมที่จะหิ้วถุงโจ๊กลงมาด้วย เดินอาดๆเข้าสู่เขตรั้วบ้านและตรงไปที่ประตูก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ไม่เห็นภรรยาที่ห้องรับแขก เขาถอดรองเท้าคู่เก๋าประสบการณ์ออกและวางบนชั้นอย่างเป็นระเบียบอย่างที่สอนลูกทุกๆวันในสมัยก่อน โทรทัศน์เปิดค้างไว้ ละครหลังข่าวกำลังจะจบลง เขาเดินตรงเข้าสู่ที่ห้องครัว อาหารบนโต๊ะถูกวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
พลั่ก!
รู้สึกเจ็บเหมือนถูกกระแทกด้วยของแข็งบริเวณท้ายทอยและนั่นทำให้เขาไม่สามารถทรงตัวยืนได้ เขาทิ้งร่างลงกับพื้นก่อนที่ดวงตาและสติของเขาจะดับวูบลง เขาเห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ทอดตัวลงบนพื้น และทุกอย่างก็ดับวูบลง
“พล...คะ” เสียงสั่นๆของภรรยาดังขึ้น ทำให้พ.ต.อ.สุรพลรู้สึกตัวอีกครั้ง และพบว่าเขาอยู่ในห้องนอนของตัวเขาเอง นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เขาใช้นั่งทำงานเกือบทุกวัน มือของเขาถูกพันธนาการด้วยเชือก แน่น เขารู้สึกเจ็บท้ายทอยนิดๆ
แต่ภาพที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกเจ็บยิ่งกว่า ภรรยาของเขาถูกมัดแขนไว้กับหัวเตียงทรงคลาสสิกแบบยุโรปที่เขาไปซื้อมากจากพวกขายของเก่า เธออยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่า มีคราบเลือดเห็นได้ชัดที่คิ้วซ้าย และคราบน้ำกามของความโสมมของชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้า
ชายคนนั้นเลือกที่จะนั่งตรงนั้นด้วยแสงไฟที่เหมาะพอดี เขาสวมเสื้อหนังสีดำทับเสื้อยืดเข้ารูปสีดำบดบังร่างกายที่กำยำแข็งแรงเอาไว้ กางเกงยีนขายาว รองเท้าหนัง ตัดผมทรงรองทรงต่ำ หน้าตาคม ผิวขาว แต่ดวงตาดุดัน
ชายแปลกหน้าลุกขึ้นยืนและเดินตรงมาที่เขาอย่างไม่รีบร้อน
“ฟื้นแล้วสินะ สารวัตร” ชายแปลกหน้าถาม
“มึง เป็นใคร” เขาพูดเสียงที่แสดงโทสะและความโกรธแค้นเต็มเปี่ยม
ชายแปลกหน้าแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “มึงควรเรียกกูว่าไงดีล่ะ ชายชู้ ไอ้บ้ากามโรคจิต มือปืน อะไรก็ได้ที่มึงอยากเรียก เอาเป็นว่ากูเป็นฝันร้ายของครอบครัวมึงก็แล้วกัน”
เขาทำสีหน้าเคียดแค้น “ใครส่งมึงมา”
มันถอนหายใจยาว ก่อนจะส่งเสียงอีกครั้ง “จุ๊ๆๆๆๆ...พนันกันได้เลย มึงไม่อยากรู้หรอกว่าใครส่งให้กูมา อีกอย่างมันจะมีประโยชน์อะไรเพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามึงก็ต้องตายอยู่ดี” มันเว้นช่วงพร้อมกับหยิบเอาบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดและสูบเข้าปอดเฮือกใหญ่ “เอาอย่างนี้แล้วกัน หลังจากที่กูยิงมึงเสร็จ กูจะเอาเมียมึงอีกรอบและจะบอกเมียมึงให้ว่าใครส่งกูมา และมึง ถ้าอยากรู้ก็ไปรอถามเมียมึงในนรกดีไหม ถามกันหวานๆแบบคู่รัก” พูดจบมันก็ยกเท้าซ้ายขึ้นถีบเต็มยอดอกเขาจนผงะหงายหลังไปก่อนที่มันจะเข้าจับเก้าอี้และเขาให้มาตั้งตรงอีกครั้ง
“ไอ้สัตว์” เขาสบถลั่นและใช้เท้าทั้งสองยันกายลุกขึ้น แต่ทุกอย่างก็ถูกยุติลงด้วยบาทาของฝ่ายตรงข้ามที่วาดมาเข้าที่ชายโครงจนเขาเสียหลักล้มลงอีกครั้งจนเขาร้องไม่ออกก่อนที่มันจะตรงเข้ากระทุ้งบาทาข้างเดิมซ้ำที่ชายโครงข้างเดิมจนเขาเริ่มกระอักเลือด
“มึงเก่งนักใช่ไหม” มันกระชากคอเสื้อชุดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ขึ้นมาแล้วตะคอกใส่หน้า ก่อนถะก้าวถอยหลังไปอีกสองก้าวและปรี่เข้ามาซัดเขาที่ชายโครงอีกครั้ง “เป็นไงซ่าออกไหม สารวัตร”
เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้นบนโต๊ะเครื่องแป้ง มันรีบเดินไปหยิบและกดปุ่มรับสายทันที
“ครับท่าน ผมเองครับ” มันพูดและกดเปิดลำโพงสนทนาให้ทุกคนได้ยิน
“เรียบร้อยไหม”
“ครับท่าน ตอนนี้ได้สองแล้วครับกำลังรอลูกชายมันอยู่”
“ไม่ต้องรอแล้ว เดี๋ยวแผนจะผิดพลาด ค่อยตามเก็บลูกมันทีหลัง”
“ได้ครับท่าน”
พอมันตอบรับจบปลาบสายก็กดวางสายไปทันที
มันเดินตรงมาที่เขาเป็นคนแรก ก่อนจะเอียงคอ “การเล่นสนุกของผมจบลงแล้วสารวัตร ผมไม่ได้ล่วงเกินเมียสารวัตรหรอกน่ะ งานของผมแค่มาฆ่ายกครอบครัวเท่านั้น” มันกล่าวสารภาพสิ่งที่มันทำ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความอาฆาตเขาน้อยลง “สารวัตร ตำรวจชั่วๆเนี่ยพอเรากำจัดไปคนหนึ่งมันก็มักจะมีพวกชั่วๆใหม่โผล่มาเสมอ ทำไมรู้ไหมสารวัตร ความชั่วมันอยู่ที่จิตใจของคนทุกคนเมื่อไหร่ที่ความดีเราแพ้ เราจะกลายเป็นคนชั่ว เหมือนผมไง”
พอมันพูดจบมันก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะสูบสารก่อมะเร็งเข้าปอดเฮือกสุดท้ายและโยนมันลงพื้น มันหยิบปืนพกยี่ห้อ Heckler&Kochสีเทาดำอออกมาจากซองใต้เสื้อหนังเผยให้เห็นตราตำรวจที่อกซ้ายของเสื้อตัวใน ฉับพลัน พ.ต.อ.สุรพลก็นึกได้
“กูรู้แล้วว่า...”เขากำลังจะพูด
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นและผู้ถูกยิงก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย ทุกอย่าง ทุกๆความคิ
ดลอยหลุดจากหัวสมองทิ้งไว้แต่เพียงความทรงจำของคนที่ยังต้องเดินอยู่บนโลกนี้ต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ