นักสืบชิดชัยกับคดีฆาตกรรมปริศนา

8.3

เขียนโดย miracle

วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 01.07 น.

  10 chapter
  19 วิจารณ์
  23.27K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) กำเนิดนักสืบคิด ตอนที่ 1: ปฐมบท

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 1: ปฐมบท

ผมกับวัยที่กำลังย่างเข้าสู่อายุยี่สิบ สี่ปีเต็ม ชีวิตของผมก็เหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป มีรัก โลภโกรธเเละหลงเหมือนคนอื่นๆ โชคดีคือผมมีสมองที่ฉลาดกว่าคนอื่นๆสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเด่นและดังสักเท่าไหร่ แต่ละวันชีวิตของผมก็ผ่านไปเรื่อยๆตามกาลเวลา รอเพียงวันที่จะเสื่อมสลายก็เท่านั้น แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมต้องขบคิดและไม่เข้าใจนั่นก็คือเรื่องของความ รัก ความรักที่ผ่านมาของผมมีทั้งสุขเเละทุกข์คละเคล้ากันไป แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของผมผู้ชายธรรมดาคนนี้ต้องเปลี่ยนไปตลอด กาล


ย้อนไปเมื่อสมัยที่ผมนั้นยังวัยละอ่อน อายุประมาณสิบสี่เศษ ผมมีโอกาสได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศตามประสากระแสที่ตอนนั้นฮิตไปเรียนนอก กันในหมู่วัยรุ่นไทย ประเทศที่ผมไปนั้นก็ประเทศออสเตรเลีย รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย นิวเซาท์เวลส์เป็นอาณานิคมบริเตนแห่งแรกในออสเตรเลีย แรกเริ่มกินดินแดนกว้างขวางกว่าปัจจุบัน ก่อนที่จะแยกไปเป็นรัฐอื่นๆภายหลัง เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือซิดนีย์ ครับผมก็ต้องเลือกไปเรียนเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือซิดนีย์อยู่แล้ว เมื่อผมได้ย่างเท้าเข้าสู่ซิดนีย์ ผมบอกกับตัวเองว่า เมืองนี้ต้องเป็นจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนในชีวิตของเราแน่นอน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมลืมไม่ลงจวบจนกระทั่งปัจจุบัน


หลังจากที่ผมได้เรียนภาษาเป็นที่เรียบ ร้อยก็ประมาณสี่เดือนเห็นจะได้ ผมก็ต้องตัดสินใจว่าจะเข้าเรียนที่โรงเรียนไหน ผมจึงตัดสินใจไปเรียนที่ชานเมืองเล็กๆที่ติดกับทะเลคือเมืองดีวาย เป็นเมืองเล็กๆที่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษถ้านั่งรถเมล์สาย ด่วน เพราะผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศที่มีคนพลุกพล่านสักเท่าไร อีกทั้งบรรยากาศที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของทะเลและสายลม นั่นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายกับความน่าเบื่อและความเงียบของประเทศนี้ได้เป็น อย่างดี บ้านที่ผมอาศัยนั้นเป็นคู่สามีภรรยาชาวออสเตรเลียชื่อแมททิว กับรอนด้า วันแรกที่ผมไปถึงนั้นปรากฎว่ามีแต่สามีที่อยู่บ้าน ผมก็เลยถามเค้าไปว่าภรรยาคุณอยู่ไหน เค้าก็บอกกับผมว่าวันนี้ภรรยาเค้าเพิ่งจะคลอดลูก เลยต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นก่อน นั่นไง ผมว่าแล้วต้องมีสิ่งดีดีเกิดขึ้นแน่ๆ แม้แต่วันแรกที่ผมมาก็มีสายใยชีวิตเส้นใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่น่ารักมากดูแลผมทุกๆอย่างป็นอย่างดี และที่สำคัญทั้งสองอ้วนมากครับ นั่นทำให้ผมอดขำไม่ได้ที่เห็นสองคนเดินเคียงข้างกันเวลาพาผมออกไปช๊อปปิ้ง


อีกสองวันโรงเรียนผมถึงจะเปิดผมจึงมี เวลาเดินสำรวจแถวๆบ้านว่ามีอะไรเป็นที่น่าสนใจหรือไม่ และสำรวจเส้นทางที่จะไปโรงเรียนด้วย ผมลองเดินไปโรงเรียนด้วยสองเท้าของผม ปรากฎว่าใช้เวลาไปประมาณแปดนาทีเศษๆ ผมเลยคิดว่าที่จริงก็ใกล้เหมือนกันนี่นา แต่พอขากลับบ้านผมใช้เวลาเดินถึงยี่สิบนาที เพราะจากโรงเรียนไปบ้านเป็นทางขึ้นเขาแบบชันมากมาก ทำให้ผมนึกสภาพตัวเองไม่ออกว่าหนทางกลับบ้านจะเลวร้ายเช่นไรถ้าต้อง แบกกระเป๋าหนักสิบกิโลเศษขึ้นเขาทุกวัน แค่คิดผมก็เหนื่อยแล้ว


และแล้วก็มาถึงวันแรกที่ผมต้องไปเข้า เรียน เป็นเช้าที่สดใส ท้องฟ้าไม่มีแม้แต่เมฆสักก้อน เป็นสีฟ้าสดใส อากาศก็กำลังเย็นสบายไม่ร้อนจนเกินไป เพราะโรงเรียนของผมเริ่มเปิดต้นเดือนมีนาคม ซึ่งอากาศค่อนข้างสบาย ผมเข้าเรียนที่ชั้นมัธยมสี่ ในห้องเรียนมีนักเรียนประมาณสิบห้าคน ผมลืมบอกไปผมมีชื่อจริงว่า นายชิดชัย ทรัพย์สมบูรณ์ ชื่อเล่นว่า ชิด ซึ่งในภาษาอังกฤษนั้นเป็นคำที่มีความหมายเพราะมาก ผมจึงต้องทำการเปลี่ยนชื่อให้กับตัวเองเพื่อไม่ให้เพื่อนๆเรียกผมว่า มิสเตอร์ชิด ผมได้เลือกใช้ชื่อ คิด(kid) ที่ผมเลือกชื่อนี้เพราะว่ามันคล้ายๆชื่อไทยของผมพอดีเวลาเพื่อนเรียกจะได้ รู้ว่ากำลังเรียกผมอยู่และที่สำคัญผมชอบจอมโจรคิดส์ในหนังสือการ์ตูนจอมโจร คิดส์มาก ในวันนี้ผมได้รู้จักกับเพื่อนคนไทยชื่อว่าหนุ่ย หนุ่ยเป็นเพื่อนคนแรกที่ผมมีในโรงเรียนนี้ทำให้ผมค่อนข้างจะสนิทกับหนุ่ยมาก เป็นพิเศษ ไปไหนไปกันว่างั้น หนุ่ยเป็นผู้ชายตัวใหญ่มีผิวค่อนข้างคล้ำใส่แว่น ฐานะที่บ้านร่ำรวยมากเห็นบอกว่าที่บ้านทำสวนยางพารา สิ่งของเครื่องใช้ที่หนุ่ยใช้นั้นจะมีแต่ของแพงๆ ผิดกับหน้าตาที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร หนุ่ยเป็นคนไม่ค่อยพูดจึงไม่ค่อยมีเพื่อน ดังนั้นผมจึงนับได้ว่าเป็นคนที่หนุ่ยสนิทมากที่สุด


เวลาผ่านไปประมาณครึ่งปีผมเริ่มชินกับ ชีวิตในโรงเรียน และคิดถึงเมืองไทยมาก หนุ่ยจึงแนะนำให้ผมเล่น ไอซีคิว ซึ่งเป็นโปรมแกรมที่ฮิตมากในสมัยนั้น นั่นทำให้ผมได้รู้จักกับผู้หญิงชาวไต้หวันคนหนึ่ง เธอชื่อเมย์ วู คุยไปได้ซักพักผมก็เริ่มที่จะสนิทและรอออนไลน์คุยกับเธอทุกวัน จนวันหนึ่งผมจึงบอกกับว่า เราสองคนมาพบกันดีไหม พรุ่งนี้เป็นไง เธอตอบตกลง เรานัดเจอกันที่เมืองเมืองหนึ่งไม่ใกล้จากเมืองที่ผมอยู่เท่าไรนัก ชื่อเมืองแชทส์วูด เรานัดเจอกันตอนเที่ยงผมรอเธอประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็มองหาไม่รู้ว่าเธอคือ ใครเพราะผมยังไม่เคยเห็นหน้าตาของเธอมาก่อนจำได้แค่ว่าเธอบอกผมว่าเธอมีผม หยิก และผิวคล้ำอีกทั้งยังอ้วนเตี้ยด้วย ส่วนเธอผมส่งรูปให้เธอดูเรียบร้อย ไม่งั้นคงไม่มีวันหากันเจอแน่ๆ ผมก็มองหาไปรอบๆบริเวณก็ไม่พบใครเลยที่จะมีลักษณะแบบนั้น จนที่สุดอยู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาแตะที่ไหล่ข้างขวาของผม แว๊บแรกที่ผมเห็นเธอเธอเป็นคนที่หน้าดีมากคนหนึ่ง แต่ผมก็ไม่คิดว่านั่นจะเป็นเมย์ ผู้หญิงคนที่ผมนัดพบคนนั้น ผมนึกว่าเป็นแค่คนจะถามเวลาผมจึงตอบออกไปว่า


“ตอนนี้เที่ยงสามสิบห้านาที”


แล้วผมก็ไม่ได้สนใจและมองหาผู้หญิงผม หยิกคนนั้นเหมือนเดิม แต่แล้วเธอก็แตะที่ไหล่ผมอีกครั้ง พอผมหันเธอก็บอกกับว่า


“นี่ฉันเองเมย์” เธออมยิ้มเล็กๆ


ผมรู้สึกตกใจไปชั่วขณะไม่คิดว่าคนที่ผม เห็นคนนี้จะเป็นเมย์ ผู้หญิงที่ผมนัดเจอคนนั้น รอยยิ้มของเธอมันทำให้หัวใจที่แสนจะเบื่อหน่ายของผมได้มีรอยยิ้มอีกครั้ง


“นี่มันกี่โมงแล้วทำไมมาช้าจัง”    ผมพูดออกไปแก้เขิน


“ขอโทษทีนะ พอดีมีธุระนิดหน่อย”    เธอตอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานพร้อมกับใบหน้าที่ทำให้ผู้ชายบนโลกนี้ทุกคน ต้องยอมสยบแทบเท้า นั่นทำให้ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ เมย์เป็นผู้หญิงผิวขาวนวล ผมยาวสีดำ มีใบหน้ารูปไข่สีชมพูอ่อนๆ ดวงตาของเธอเหมือนมีประกายบางอย่างที่จะทำให้ทุกคนต้องถูกสะกดเมื่อใดก็ตาม ที่มองสบตากับเธอ เธอสูงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเซ็นติเมตร นั่นก็เพียงพอกับความความสูงของสาวน้อยอายุสิบห้าสิบหกปี


เราสองคนไปดูหนังกัน จากนั้นก็กินข้าวเหมือนคู่รักคนอื่นๆทั่วไป จากนั้นผมก็ไปส่งเธอที่บ้านตามสูตรเด็กไทยที่ต้องดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงให้ดี ที่สุด วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจมาก ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เดทกับสาวสวยขนาดนี้ถึงตายก็ยอม แล้วผมก็นัดพบเธอทุกวันเสาร์อาทิตย์ ความสัมพันธ์ของผมและเธอก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย จนผมตัดสินใจบอกรักกับเธอและขอเธอเป็นแฟน และผมก็ได้แนะนำให้หนุ่ยเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดรู้จัก เราสามคนไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเวลาผ่านไปสองเดือนนับตั้งแต่วันที่ผมตกลงเป็นแฟนกับเมย์


เธอได้แนะนำให้ผมรู้จักกับพ่อและแม่ของ เธอ ซึ่งท่านทั้งสองก็ชื่นชอบผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าอะไรต่างๆมันคงผ่านไปด้วยดีกับความรักครั้งนี้ และคิดเลยไปถึงว่าเราสองคนจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ไกลแค่ไหน แต่แล้วเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น นั่นคือ อยู่มาวันหนึ่งผมดูนาฬิกาเวลาบอกที่ประมาณตีสามเศษ เป็นสายเรียกเข้าจากเมย์นั่นเอง ผมกดรับ


“ ว่าไง มีอะไรหรือเปล่า โทรมาซะดึกเลย”  ผมถามด้วยเสียงที่งัวเงีย


“พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกเหมือนโดนใครคอยตามอยู่ตลอดเวลา”  เธอตอบผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“ใจเย็นๆ คิดมากไปเองรึเปล่า”  ผมปลอบใจเธอ


“ไม่ ฉันไม่ได้คิดมาก สองอาทิตย์มานี่ รู้สึกเหมือนโดนคนสะกดรอย คอยตามดูอยู่ตลอดเวลา ที่หอพักก็มีจดหมายไม่ได้จ่าหน้ามาสอดไว้ใต้ประตู ฉันเปิดอ่านมีข้อความสั้นๆประโยคเดียวว่า “ฉันรักเธอ””


“อาจจะมีเพื่อนคนไหนเล่นตลกกับเมย์รึ เปล่า ลองถามเพื่อนๆดูรึยัง”    ผมให้คำแนะนำเท่าที่คิดได้เพราะผมคิดว่าคงเป็นเพื่อนนั่นแหล่ะที่แกล้ง


“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่...”    เธอเริ่มร้องไห้พูดจาไม่ได้สับ


“เมย์ ใจเย็นๆนะ ค่อยๆพูด หายใจลึกๆ”    ผมพยายามปลอบเธอ


“แต่ทุกทุกวันตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีจดหมายมาสอดใต้ประตูฉันทุกวัน จนมาถึงวันนี้ฉันตัดสินใจที่จะต้องบอกเธอ เพราะว่าฉันกลัวเหลือเกิน ไอ้บ้านั่นมันส่งรูปถ่ายใส่ซองมาให้ฉันด้วย เป็นสิบๆใบเลย เป็นรูปในอิริยาบถต่างๆของฉัน เป็นรูปฉันที่อยู่ในทุกทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน ที่บ้าน หรือแม้แต่ตอนที่ฉันซื้อของหรือกินข้าวกับครอบครัว  ทำยังไงดี ฉันกลัวเหลือเกินคิด ฉันจะทำยังไงดี”   เธอร้องไห้หนักขึ้น


“แล้วเรื่องนี้ได้บอกกับใครรึยัง” ผมถาม


“ยังฉันไม่กล้าบอกใคร “       เธอตอบด้วยเสียงสั่นเครือ


“เอางี้ พรุ่งนี้ฉันจะไปหา รอฉันอยู่ที่ที่เรานัดพบกันวันแรก” ยังจำได้อยู่ใช่ไหม


“ได้ ฉันยังจำได้เสมอ”


“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันเก้าโมงเช้านะ ฉันจะไปรอ รีบมาด้วยล่ะ”


 “ได้ แล้วฉันจะรีบไป ฉันรักเธอนะคิด รู้ใช่ไหมว่าฉันรักเธอมาก”


“รู้สิ เพราะฉันก็รักเธอเหมือนกัน นอนได้แล้วนะที่รัก ทำใจให้สบาย แล้วผมจะรีบไป”


ไม่อยากจะเชื่อว่านั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมได้ยินเสียงของเมย์ในขณะที่เมย์ยังมีชีวิตอยู่ และตั้งแต่วินาทีที่ผมได้วางโทรศัพท์จากเธอในค่ำคืนนั้น ชีวิตที่แสนจะธรรมดาของผมก็ได้เปลี่ยนไปในปริยาย


วันรุ่งขึ้นผมก็ไปรอเธอตามเวลานัด ผมรอเธออยู่ประมาณสองชั่วโมง โทรหา เธอก็ปิดเครื่อง นั่นทำให้ผมกังวลใจเป็นอย่างมาก ผมรอจนถึงประมาณบ่ายโมง จึงนั่งรถกลับบ้าน ในใจก็ภาวนาว่าขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย คงเป็นแค่ความเหนื่อย เมย์อาจจะเหนื่อยมากก็เป็นได้ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ผมโทรหาเมย์ทุกวันนับจากวันนั้น โทรเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ผมจึงรู้ในทันทีว่าเรื่องมันไม่ธรรมดาซะแล้ว ผมพยายามถามจากเพื่อนของเธอที่ผมรู้จักสองสามคนแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเมย์อยู่ ที่ไหน ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอดสัปดาห์ จนในเช้าวันที่แปดผมต้องช๊อคราวกับจะเป็นลม ริมฝีปากของผมแห้งผาก ลมหายใจติดขัด มือเท้าอ่อนแรง เหงื่อไหลออกมาจากทุกรูขุมขนของผม เมื่อได้ยินข่าวตอนเช้าว่า


“เมื่อคืนนี้เวลาประมาณตีสองได้พบศพ หญิงสาวชาวจีน ทราบชื่อภายหลังว่า เมย์ วู เป็นชาวไต้หวัน นอนเป็นศพอยู่ที่โกดังร้างแห่งหนึ่งแถวชัทส์วูดซึ่งเป็นโกดังเก่าๆอยู่ไม่ ไกลจากบ้านของผู้ตาย บริเวณมือและเท้าถูกมัดด้วยเชือก และปากของผู้ตายถูกปิดด้วยผ้าเทป ผมถูกถลกออกจนเหลือแต่หนังศีรษะที่โชกไปด้วยเลือด ที่สำคัญใบหน้าของผู้ตายถูกทุบจนเละ จนไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร ที่รู้มีเพียงบัตรประจำตัวที่ค้นได้จากกระเป๋าใบหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็น กระเป๋าของผู้ตายเอง ที่สำคัญมีจุดที่น่าสังเกตคือที่บริเวณแขนด้านขวาผู้ตายมีอักษรภาษาอังกฤษ คาดว่าสลักด้วยของมีคม อ่านได้ว่า looks(มองดูสิ) ตำรวจสันนิษฐานว่าสาเหตุการตายน่าจะมาจากการถูกข่มขืน เพราะที่อวัยวะเพศของผู้ตายมีร่องรอยการถูกข่มขืนอย่างชัดเจน สภาพศพบ่งบอกว่าถูกข่มขืนหลายครั้งก่อนที่จะถูกฆาตกรรมดังกล่าว และสถานที่เกิดเหตุได้พบหลักฐานที่จะชี้ตัวผู้ต้องสงสัยตกอยู่บริเวณใกล้ เคียงด้วย ซึ่งเป็นบัตรประจำตัวของผู้ต้องสงสัย ชื่อและลักษณะของผู้ต้องสงสัยนั้นยังถูกปิดเป็นความลับ เพื่อที่จะทำการสอบสวนต่อไป จบการรายงานข่าว ต่อไปพบกับข่าวต่างประเทศ ....”


ผมช๊อคมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นและภาวนา ว่าขออย่าให้สิ่งผมคิดเป็นจริง ผมวิ่งกลับมาที่ห้องของผม สิ่งที่ผมคิดและจะต้องทำเป็นสิ่งแรกคือต้องตรวจดูก่อนว่าบัตรประจำตัวของผม ยังอยู่หรือไม่เพื่อความสบายใจ และแล้วสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น บัตรประจำตัวของผมไม่อยู่ มันไม่อยู่ ผมค้นในทุกที่ที่มันควรจะอยู่ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ


“ตายห่า ซวยแล้วกู”  ผมพูดกับตัวเอง และครุ่นคิดกับสิ่งที่กำลังจะเกิดตามมา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา