COS -A- ~มหาศึกศิลาเทวาสุริยัน~

8.0

เขียนโดย ECOS

วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11.08 น.

  8 chapter
  12 วิจารณ์
  17.86K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) [CHAPTER I] สับสน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 COS -A-

Crystals Of Solaris –the Alternative-


Chapter I: สับสน


            “เฮ้ นายเตรียมตัวพร้อมรึยัง?” เสียงเพื่อนของเขาดังมาจากด้านหลัง

 

            เขาหันไปทางเสียงนั้น แต่พบแค่หน้าต่างขนาดใหญ่บานหนึ่ง นอกหน้าต่างนั่น...ดวงดาวมากมายทอแสงอยู่ มันช่างสวยงามจับใจเหลือเกิน จุดแสงริบหรี่ข้างนอกค่อยๆขยายขึ้น ห้องของเขาเริ่มเลือนหายไป ครู่เล็กๆต่อมาแสงพวกนั้นก็จ้าจนรอบๆขาวโพลนไปหมด เขาต้องหรี่ตาเพราะสู้แสงนั้นไม่ไหว เมื่อแสงจางลง...รอบๆตัวเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง ทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่งแต้มด้วยดอกไม้นานาสีสัน ปูลาดไปตามเนินสูงๆต่ำๆไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงอาทิตย์สีขาวสว่างทั้งสองตระหง่านอยู่กลางฟ้า สายลมพริ้วไหวอ่อนๆพัดอย่างต่อเนื่อง

 

            “พ่อครับๆ” เสียงเด็กน้อยดังขึ้น เขาหันไปดู และได้เห็นตัวเขาสมัยเด็กกับหนุ่มใหญ่ไว้เคราอีกคน พ่อของเขานั่นเอง

 

            เด็กน้อยคนนั้นจับมือกับพ่อ มองตรงไปยังสิ่งก่อสร้างสีเทาสูงตระหง่านทะลุเมฆขึ้นไป มันมีลวดลายเป็นหน้าต่างสีน้ำเงินขนาดต่างๆกระจัดกระจายอย่างไม่มีระเบียบ มีหลายยอดสูงต่ำไม่เท่ากัน

 

            “ซักวันผมจะต้องไปอยู่ที่นั่นให้ได้!” เด็กน้อยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ พ่อของเขาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างให้

 

            “ลูกต้องทำได้แน่นอน พวกเราชาว 61 ซิกนัส ไม่เป็นสองรองใครทั้งนั้นแหละ”

 

        “ครับพ่อ” ทั้งคู่เหม่อมองออกไปยังสิ่งก่อสร้างนั้นอีกพักใหญ่

 

            ลมแรงขึ้นมาก มันพัดอย่างรุนแรงจนต้องหยีตาป้องกันลม เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็มาอยู่ในสิ่งก่อสร้างยักษ์นั่นแล้ว ตัวเขาวัยรุ่นยืนอยู่ตรงหน้า รายล้อมด้วยชายหญิงวัยเดียวกันมากมายอย่างเป็นระเบียบ สูงขึ้นไปบนชั้นลอยด้านหน้า มีกลุ่มคนยืนเรียงหน้ากระดานอย่างเรียบร้อย ชายที่อยู่ตรงกลางพูดขึ้นด้วยเสียงก้องกังวาล

 

            “ผมขอแสดงความยินดีกับทุกๆท่าน ณ ที่นี้ด้วย พวกท่านทุกคนจะได้ทำงานในภารกิจอันยิ่งใหญ่ เราจะได้ชัยชนะหรือไม่ขึ้นอยู่กับทุกท่าน” สิ้นเสียง เสียงปรบมือดังกระหึ่มไปทั่ว

 

            “จี...ซี...เอส...” เขาวัยหนุ่มพูดเบาๆกับตัวเอง จ้องตรงไปยังเบื้องหน้า และยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ

 

            “เฮ้ๆ หวัดดี ยินดีที่ได้รู้จัก เราได้มาทำงานด้วยกันแล้ว” ผู้ชายข้างๆตัวเขาตอนหนุ่มหันมาพูด

 

            “อืม ยินดีๆ” ทั้งคู่จับมือกัน

 

            “เราชื่อ เกเบรียล...มิคาเอล เกเบรียล อยู่หน่วยเทคนิคภาคสนาม นายล่ะ?”

 

            “อ้าว อยู่หน่วยเดียวกันเลย ผมชื่อ....” แล้วจู่ๆทุกอย่างก็ดับวูบไป

 

......................................................................

 

            “นี่คุณ...นี่ๆ ฟื้นแล้วหรอ เป็นไงมั่งๆ” เสียงใสๆของผู้หญิงดังขึ้นซ้ำๆกัน

 

            เขาค่อยๆลืมตาขึ้น ภาพพร่ามัวไปหมดในตอนแรก และค่อยๆชัดขึ้นทีละน้อย เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงไม้ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่โตนัก แสงสว่างกำลังดีผ่านหน้าต่างที่มีม่านปิดอยู่ มีโต๊ะไม้กลมๆ กับเก้าอี้กลมสองตัวอยู่อีกฝั่งของห้อง บนนั้นมีแก้วน้ำสีขาวและถาดที่มีผลไม้รูปร่างแปลกๆวางอยู่ มีเงาหนึ่งเคลื่อนตรงมาหาเขา

 

            “ว้าว ฟื้นแล้วๆ” เธอพูดอย่างดีอกดีใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่นั้นจ้องตรงอยู่เหนือขึ้นไปพอดี ผมสีทองยาวสลวยของเธอตกห้อยลงมาบนใบหน้าของเขา

 

            “อ่ะ...อา...นี่ผม” เสียงแหบแห้งเปล่งออกมา เขาเอามือกุมหน้าผาก ตาสีดำของเขายังจ้องอยู่กับเธอ เขารู้สึกไม่มีแรง นี่เพราะเขาเพิ่งฟื้นหรือว่าโดนใบหน้าอันยากจะละสายตาได้นี้สะกดอยู่กันแน่

 

            เธอถอนสายตาออกไป ยืนอยู่ข้างๆเตียงของเขาและพูดขึ้น “คุณหลับไปหลายวันเชียวล่ะ พ่อชั้นไปเจอคุณที่หุบเขาของเขตเป็นกลาง หมดสติอยู่แถวนั้น เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย”

 

            “....” เขาพยายามนึก แต่ความทรงจำในหัวกลับว่างเปล่า เธอเหลือบมามองใบหน้านิ่งๆของเขาแล้วหันกลับไป

 

            “คงร้ายแรงน่าดู ไม่เป็นไร ชั้นไม่เซ้าซี้คุณหรอก ว่าแต่ไม่ได้กินอะไรหลายวัน ไม่หิวหรืออยากดื่มน้ำมั่งรึ” เธอพูดพลางเดินไปหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะมายื่นให้เขา

 

            “ขะ...ขอบคุณมากครับ” เขาชันตัวขึ้นนั่งและรับแก้วมา ดื่มมันอย่างหิวกระหาย เกือบจะทันทีคอแห้งๆของเขาก็เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น

 

            “หายคอแห้งแล้ว น้ำนี่เยี่ยมไปเลยนะครับ” เขามองดูน้ำใสๆในแก้วตรงหน้า มันดูเหมือนน้ำเปล่าทุกประการ

 

            “ชั้นผสมผงสกัดจากต้นออมิร่าเข้าไปน่ะค่ะ มันบำรุงคอได้ดีมาก ไม่มีทั้งรส สี กลิ่นอีกด้วย” เธอตอบอย่างยิ้มแย้ม

 

            “เดี๋ยวชั้นหยิบผลไม้มาให้นะ ขอแก้วด้วยค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือมาเตรียมรับแก้ว

 

            “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปหยิบเอง …ฮึบ” เขาตวัดผ้าห่มออก พลิกตัว ยันเท้าทั้งสองลงกับพื้น และค่อยๆลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะ วางแก้วลงและมองไปที่ถาดผลไม้

 

            “ผลไม้แปลกจัง ผมไม่รู้จักซักอย่างเลยแฮะ มีผลไหนหวานๆมั่งครับเนี่ย”

 

            “ผลเบบิวด์ นี่ค่ะ หวานสุดๆไปเลยล่ะ แต่ระวังแกนตรงกลางนะ มันขมน่าดู” เธอหยิบผลไม้รูปร่างเหมือนคณโทสีฟ้าขนาดเหมาะมือให้กับเขา “ไม่รู้จักซักผลไม้ซักอย่างเลยแสดงว่าคุณมาไกลเหมือนกันนะเนี่ย คุณมาจากไหนล่ะคะ?” เธอถาม

 

            เขารับและกัดผลไม้ที่เธอส่งมาให้ นั่งลงที่เก้าอี้และเริ่มเคี้ยว มันหวานอร่อยเหลือเกิน เขากลืนลงไปและพยายามนึกอีกครั้ง “เอ่อ...” แต่ในหัวยังคงว่างเปล่า

 

            “ที่อยู่ยังบอกไม่ได้อีกหรือคะ นี่คุณเป็นสายลับหรือไงกัน” สีหน้าเธอเปลี่ยนจากยิ้มแย้มมาเป็นนิ่งเฉย และเดินหันหลังห่างออกไปเล็กน้อย

 

            “เปล่า...เปล่าครับ นี่ๆอย่าเพิ่งไปครับ คุณ...เอ่อ...” เขารีบวางผลไม้ลงบนโต๊ะ พูดตะกุกตะกักเล็กน้อย

 

            “ซินเธียค่ะ ไลเคล่า ซินเธีย...แล้วคุณล่ะ?” เธอหันกลับมาพูดด้วย

 

            “...” เป็นอีกครั้งที่หัวเขาไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่ว่าเขาจะรีดเร้นความคิดมากเท่าใด เขาก็ไม่พบมัน นี่ตัวเขาลืมทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อตัวเองหรือเนี่ย!!

 

            “ขนาดชื่อยังบอกไม่ได้เลยรึคะ ชั้นว่าคุณต้องเป็นสายลับแน่ๆ ชั้นต้องรีบไปแจ้งคนอื่นก่อนแล้ว” เธอพูดอย่างไม่พอใจ หันหลังและรีบเดินตรงไปยังประตู

 

          “เดี๋ยวซินเธีย!! ผมไม่ได้เป็นสายลับอะไรที่คุณว่านั้น ช่วยกรุณาฟังผมก่อน ได้มั้ย?” เขารีบยื่นมือไปจับแขนเธอไว้ เธอหยุดเดินในทันทีและนิ่งอยู่ครู่เล็กๆ ก่อนจะค่อยๆหันหน้ามาหาเขา เขารีบพูดขึ้นทันทีก่อนเธอจะเบือนหน้าหนีไป “คือผม...ไม่ได้ต้องการปิดบังอะไรคุณทั้งนั้นแหละครับ แต่ผมนึกอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ออกเลย...ซักอย่าง” เขาพยายามพูดให้ราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

         “นี่คุณจะบอกว่า คุณเสียความทรงจำงั้นหรือ” เธอพูดเจือน้ำเสียงไม่มั่นใจ

 

         “ครับ ผมพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเสียที ตอนนี้ผมสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ซักอย่างเลย” เขาตอบกลับอย่างเศร้าสร้อย

 

         ซินเธียจ้องใบหน้าอันหดหู่ของเขาอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยปากขึ้น “ก็ได้ ชั้นเชื่อคุณ แววตาคุณดูไม่น่าจะโกหก ช่วยปล่อยมือชั้นก่อนที

สิ”

         “อ๊ะ ขอโทษทีครับ” เขารีบปล่อยมือ เธอเดินกลับมา ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา

 

         เธอใส่ชุดเรียบๆ เสื้อยืดสีขาวสะอาด กับยีนส์สีน้ำตาลค่อนข้างฟิต เรือนร่างเธอไร้การประดับตกแต่งใดๆ ผมสีทองสลวยยาวประบ่าไปจนถึงกลางหลัง ใบหน้ารูปไข่พร้อมตาสีน้ำตาลทองคู่โตจ้องตรงมาทางเขา เขาเหมือนถูกสะกดจนพูดอะไรไม่ออก

 

            หน้าเขาเริ่มแดงเล็กน้อย ซินเธียเองก็จ้องกวาดไปบนชุดแนบเนื้อสีน้ำเงินแก่ที่คลุมยาวทั้งตัว ตั้งแต่คอมาจรดปลายเท้า ลวดลายแปลกตามากมายกระจายอยู่ทั่วชุดของเขา ในที่สุดสายตาของเธอก็มาผสานกับนัยน์ตาสีดำเงา ด้วยผมและคิ้วที่ดำสนิทของเขาทำให้เธอรู้ทันทีว่าใบหน้าขาวๆของเขาเริ่มเจือสีแดง ทั้งคู่ยังคงไม่ได้พูดอะไรกันอีกพักหนึ่ง ซินเธียตัดสินใจทำลายความเงียบงันนี้ด้วยคำถามข้อหนึ่ง

 

            “เป็นไงบ้างคะ พอจะนึกอะไรออกบ้างหรือยัง” เธอถามอย่างร่าเริง

 

            เขาหลุดจากภวังค์ และตอบไปอย่างตะกุกตะกัก “อ่ะ เอ่อ ... ยัง ... ยังนึกอะไรไม่ออกเลยล่ะครับ”

 

            “อืม แย่เลยนะคะ ทานเบบิวด์ต่อก็ได้ค่ะ เพิ่งกินไปนิดเดียวเอง” เธอจรดสายตาไปยังผลไม้ที่ถูกกัดไปเล็กน้อยบนโต๊ะ

 

            “ครับขอบคุณ ผมล่ะหิวสุดๆเลยตอนนี้” เขาหยิบมันขึ้นมากินต่อ ห้องกลับไปเงียบอีกครั้ง

 

            ซินเธียมองดูเขารับประทานผลเบบิวด์อย่างเอร็ดอร่อย อย่างกับเขาไม่เคยกินมันมาก่อนในชีวิตเลยทีเดียว เมื่อเขาทานมันจนเหลือแต่แกนแล้ว เธอก็ถามขึ้นอีกครั้ง

 

            “ชุดคุณแปลกดีนะ ชั้นไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย” เธอพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่เขา

 

            เขารู้สึกแปลกใจนิดหน่อย พลางกวาดสายตาไปที่ชุดอยู่ครู่หนึ่ง “เอ่อ ผมรู้แต่ว่าชุดนี้มันชื่อว่า แอลซีทรีเอส เป็นชุดมาตรฐานของมนุษย์ทุกคนนานมาแล้ว แต่ผมลืมฟังก์ชั่นของมันไปซะหมดให้ตายสิ รวมไปถึง ...” เขาหยุดพูดกระทันหัน

 

            “มีอะไรหรือคะ?” ซินเธียทำหน้างงๆมาตั้งแต่เขาเริ่มบรรยาย พลางคิดไปว่าเขาคงบ้าไปแล้วแน่ๆ

 

            “ซินเธียครับ ที่นี่... ที่ไหนครับ” เขารีบถามอย่างร้อนรน

 

            “บ้านชั้นเองค่ะ” เธอออกจะงงๆกับคำถามแปลกๆของเขา

 

            “เปล่าครับๆ คือว่า ที่นี่อยู่สถานีไหน ดาวอะไร หรือว่าประเทศอะไรกันครับ?” เขาพยายามเรียบเรียงความต้องการแล้วถามออกไป

 

            “สถานี? ดาว? เอาเถอะ ชั้นไม่แน่ใจว่าคุณพูดถึงอะไร แต่ว่าบ้านชั้นอยู่ในหมู่บ้านเซริก ชายขอบด้านตะวันตกของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ไพ บนดินแดนที่เรียกว่าชีเทีย แบบนี้พอได้มั้ยคะ?” เธอพูดเรียบๆ

 

            “ครับ ขอบคุณมาก” เขาตอบ พลางค้นลงไปในห้วงความคิดถึงชื่อต่างๆที่เธอเพิ่งกล่าวออกมา ไพ? ชีเทีย? มีชื่อไม่คุ้นหูแบบนี้อยู่ด้วยหรือเนี่ย และเขาก็ถามคำถามต่อไป “ว่าแต่คุณไม่ได้ใส่แอลซีทรีเอสเหมือนผมนี่นา คนอื่นๆในหมู่บ้านเซริกนี้ล่ะครับ”

 

            “เห? ไม่หรอกค่ะ ไม่มีใครใส่ชุดแปลกๆนั่นหรอก ตั้งแต่เกิดมาชั้นเห็นคุณใส่มันคนแรกนี่แหละ” ตอนนี้เธอเริ่มมั่นใจว่าเขาเสียสติไปแล้วแน่ๆ

 

            เขารู้สึกอึ้งไปนิดหน่อย เขาพยายามสอดส่ายสายตาไปทั่วห้องเพื่อหาร่องรอยของเทคโนโลยีระดับสูง แต่หาเจอไม่ ตอนนี้เขาต้องหาอะไรสักอย่างเพื่อระบุที่อยู่ที่แน่ชัดของเขาเสียแล้ว และเขาก็ถามออกไปอีกครั้ง “ซินเธียครับ ผมขอดูวิวข้างนอกหน่อย จะได้ไหมครับ?”

 

            ซินเธียที่นั่งดูพฤติกรรมแปลกๆของเขามาตั้งแต่เมื่อครู่ตอบรับอย่างงงๆ “ค่ะ ได้ๆ” แล้วเธอก็ลุกจากเก้าอี้ไปแหวกม่านหน้าต่าง

 

            ‘ไม่มีกลไกเลยรึ หน้าต่างธรรมดานี่นา’ เขานึก และลุกไปที่หน้าต่างเมื่อเธอกวักมือเรียก

 

            เขาต้องหยีตาเล็กน้อยเมื่อมองออกไปในวันที่อากาศสดใสขนาดนี้ ท้องฟ้าสีครามสดใส เมฆกลมๆก้อนน้อยๆลอยไปมาช้าๆ มีบ้านหลังคาจั่วหลังไม่ใหญ่นักกระจัดกระจายอยู่มากมายทางซ้ายมือ ไม่มีหลังไหนสูงเกินกว่าสองชั้น ไกลออกไปจากหมู่บ้านมีทิวเขาสูงๆต่ำๆ ค่อยๆลดระดับลงมา อีกฟากเป็นหญ้าสีเหลืองเขียวพริ้วไหวตามสายลมเป็นระลอกสวยงาม ทอดตัวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ขอบฟ้าเห็นทะเลสีเขียวครามระยิบระยับ มันเป็นทัศนียภาพที่ดูสวยงามและสบายตาเหลือเกิน เพียงแต่ว่า...

 

            ‘นี่มันอะไรกัน ไม่มีสัญญาณของเทคโนโลยีซักนิด ตัวเรามาที่โลกแปลกๆนี่ได้ยังไงกัน’ เขาครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้คำตอบแต่อย่างใด

 

            “ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะ วิวออกจะสวยนะ” เธอพูดเมื่อเห็นหน้าเครียดๆของเขา

 

            “อ่ะ ครับๆ สวยมากๆเลยล่ะ” เขารีบตอบ “แต่ว่า...แค่ผมรู้สึกไม่คุ้นเคยเลยซักนิด ทุกอย่างที่ผมมองเหมือนกับผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิตเลย”

 

            ซินเธียยิ่งรู้สึกว่าเขาคงบ้าไปแล้วแน่ๆ เธอผละออกมาจากหน้าต่าง เดินไปใกล้ประตูพร้อมพร้อมกับพูดเรียบๆ “แปลกดีนะคะ ชั้นเคยได้ยินมาว่าคนที่เสียความทรงจำจะสามารถจำบรรยากาศของธรรมชาติได้ แสดงว่าคุณคงเกิดในสภาพแวดล้อมที่แปลกออกไปเยอะเลย แต่ชั้นไม่คิดแบบนั้นนะ ชั้นน่ะ...คิดว่าคุณคงไม่ได้เสียความทรงจำธรรมดาแน่ๆ ไม่สิ ไม่ได้เสียความทรงจำมากกว่า แต่คงจะ...” เธอกำลังจะบอกเขาตรงๆในสิ่งที่เธอคิดแล้ว ทันใดนั้น!

 

            “อ้าว พ่อหนุ่มคนนั้นฟื้นแล้วรึ” ชายหนุ่มอายุราว 40 เปิดประตูเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยผู้หญิงอายุพอๆกันอีกคน

 

            “ดีจังเลย เธอสลบไปตั้งห้าวันแน่ะ พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ ซินเธียยิ่งเป็นห่วงเธอเข้าไปใหญ่” หญิงคนนั้นพูดขึ้น

 

            “เอ่อ...ครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลผมตั้งหลายวันนะครับ” เขาโค้งให้สองคนนั้น

 

            “แหมๆ ไม่ต้องหรอกจ้ะ คนที่เธอควรจะขอบคุณคือซินเธียต่างหาก เค้าดูแลเธอเป็นอย่างดีเลยนะ” เธอชี้นิ้วไปที่ซินเธีย “ว่าแต่ พ่อคะ หนุ่มคนนี้นี่หน้าตาคล้ายกับเค้าคนนั้นมากเลยเนอะ” เธอหันไปพูดกับชายหนุ่มข้างๆ

 

            “อืม นั่นสิ ดูเหมือนกับ...” ชายหนุ่มตอบกลับมา

 

            “พ่อคะ! แม่คะ! พอแล้วๆ เข้ามาในห้องทำไมล่ะคะ” ซินเธียรีบแทรกทันที

 

            “ก็เห็นบอกจะมาดู แล้วก็หายไปเลยนี่นา เลยเดินมาดูซักหน่อย พอได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องก็เลยเข้ามา” พ่อตอบกลับไป

 

            “แม่ก็เตรียมข้าวเช้าเสร็จแล้วล่ะจ้ะ ลงไปทานด้วยกันหมดทั้งสี่คนเลยก็ดีนะ จะว่าไปยังไม่ได้ถามชื่อเธอเลย” แม่กำลังจะเอ่ยปากถามกับเขา

 

            “เอ่อ คือว่า...” เขายังไม่ทันได้ตอบ ซินเธียก็รีบเดินตรงไปหาพ่อและแม่ จับแขนของทั้งสองคน “เขายังเหนื่อยๆอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวหนูอธิบายเอง” และเธอก็พาพ่อแม่ออกนอกห้องไป ตามด้วยเสียงปิดประตู และห้องทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน

 

..................................................................................................

 

            “เสียความทรงจำงั้นหรือ แย่เลยนะ”แม่อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

 

            “ไม่แค่นั้นหรอกค่ะ หนูคิดว่าเขาเพี้ยนๆ สติไม่ค่อยจะดีด้วยล่ะ” ซินเธียขัดขึ้น

 

            “ไหงไปว่าเขาอย่างนั้นล่ะลูก พ่อว่าเขาก็ดูไม่เห็นจะเป็นอะไรนะ” พ่อแย้งขึ้นมา

 

            “ไม่หรอกค่ะพ่อ หนูคุยกับเขาแล้ว ชอบพูดคำศัพท์อะไรประหลาดๆ ใส่ชุดก็แปลก แถมมาบอกว่าทำไมพวกเราถึงไม่ใส่ชุดเหมือนเขาอีก” เธออธิบายเสริม

 

            “น่าๆ อย่าเพิ่งไปว่าเค้าอย่างงั้นเลย พาไปให้ท่านนักบุญเมโรดูอาการให้ช่วงสายๆนี้ก็ได้นะ” แม่เสนอความคิดขึ้นมา

 

            “นั่นสิซินเธีย ลูกน่าจะพาเขาไปนะ ได้ออกไปเดินเล่นด้วย” พ่อพยักหน้าเห็นด้วย

 

            เธอชะงักไปเล็กน้อย “ตะ...แต่ว่า...” แม่เห็นเธอดูอายๆ และพูดออกมา

 

            “เค้าเหมือนพี่ออกจะตายไป ลูกเองก็บ่นอยากหาคนคุยด้วยนี่นา ดูแล้วอายุน่าจะรุ่นเดียวกับพี่เลยนะ”

 

            “อืม เอาเถอะ อย่างอื่นไว้ว่ากันทีหลัง ลูกก็ชวนเขามากินข้าวเช้ากับเราด้วยละกันนะ พ่อกับแม่จะลงไปรอ รีบมาล่ะ” พ่อพูดเสร็จก็พาแม่เดินลงบันไดไป เธอเพียงแค่ตอบรับเบาๆ “ค่ะ แล้วหนูจะตามไป”

 

            ในห้อง เขากำลังเดินไปๆมาๆ บ้างก็หยิบของขึ้นมาดู บ้างก็เดินไปมองหน้าต่าง บ้างก็ทำหน้าเหม่อลอย และระหว่างที่เขากำลังเหม่อลอยอยู่นั้นเอง ประตูห้องก็เปิดแง้มขึ้น ซินเธียโผล่หัวเข้ามาพร้อมกับคำเชิญชวน

 

            “พ่อแม่ชั้นชวนคุณไปทานข้าวเช้าด้วยกันน่ะ มาด้วยกันเลยมั้ย” เขาพยักหน้า เดินออกจากห้องและลงบันไดไป

 

..................................................................................................

 

            บนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว อาหารรูปร่างแปลกตามากมายวางอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว พ่อและแม่นั่งพร้อมอยู่แล้วทั้งสองข้างของโต๊ะ ซินเธียปรากฏตัวขึ้นจากเฉลียงบันไดลงมา เธอกวาดตามองอาหารและอุทานอย่างดีอกดีใจ

 

            “ไข่มินม่า ว้าว เยี่ยมไปเลย” และเธอก็รีบเดินไปที่โต๊ะอาหาร เขาเดินตามลงมาอย่างเชื่องช้า พลางมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอด

 

            ‘แสงจากหน้าต่างรึ บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้าเลยรึไงนะ’ เขาครุ่นคิด และยังคงไม่ได้รับคำตอบว่าเขาอยู่ที่ใดกันแน่ จู่ๆกลิ่นหอมก็ลอยเข้ามาทำลายความคิดของเขา

 

            “โอ้โห อาหารแปลกตาจัง หอมมากเลยนะครับ” เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม

 

            พ่อและแม่มองหน้ากันอย่างงงๆ พ่อพูดออกมาเบาๆ “แปลกรึ” ส่วนแม่ก็เชิญให้เขานั่งลงฝั่งเดียวกับที่พ่อนั่ง

 

            เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมแล้ว ก็เริ่มรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ซินเธียเองดูเหมือนจะชอบไข่สีแดงขุ่นขนาดลูกปิงปองที่ชื่อมินม่าอย่างมาก เธอทานมันไปหลายลูกทีเดียว

 

    เขาเองก็ประทับใจเป็นพิเศษกับรสชาติอันหวานมันของเนื้อกุ้งชิบิริสีแดงม่วง พร้อมกับเปลือกกุ้งที่แข็งแต่ละลายได้รสเผ็ดกำลังดีในปาก กับความกรุบกรอบของผักใบหยักรูปร่างคล้ายคะน้าในจานผัดผัก น้ำจากผลโฟว์ว่าสีเหลืองทองที่รสชาติกลมกล่อมเหมือนกาแฟก็ทำให้เขาชอบได้ไม่แพ้กัน

 

            หลังราวสี่สิบนาทีทุกคนก็รับประทานอาหารกันจนอิ่ม และคุยกันสัพเพเหระ แม่ก็หันมาทางเขาและออกปากชวนอย่างสุภาพ

 

            “ไม่ทราบว่าคุณอยากไปเดินชมหมู่บ้านรึเปล่าคะ? วันนี้ซินเธียว่างๆอยู่พอดี เธอน่าจะเป็นคนนำชมหมู่บ้านให้ได้นะ”

 

            “ครับ ดีมากๆเลย รบกวนด้วยนะซินเธีย” เขาหันไปทางเธอและยิ้มให้ สีหน้าเธอดูจะหน่ายๆนิดหน่อย

 

            “จ้ะ จ้ะ” เธอตอบมาเรียบๆ ทางพ่อก็พูดขึ้นมา

 

            “ได้ยินจากซินเธียมาว่าเธอเสียความทรงจำ ชื่อตัวเองก็ลืมไปด้วยนี่นา” เขาหันหน้ากลับไปทางพ่อ

 

            “ครับ” เขาตอบสั้นๆ เพราะนึกไม่ออกว่าจะตอบเพิ่มเติมอย่างไรดี

 

            “งั้นเราก็ตั้งชื่อสมมุติให้เธอไปก่อนละกันนะ จะได้เรียกกันถูกๆ เอาเป็น...ไซเลสดีมั้ย?” ทางแม่เสนอ

 

            “ไม่ค่ะ ไม่เอาชื่อนั้นนะแม่” ซินเธียรีบแย้ง น้ำเสียงเจือความเศร้าสร้อย

 

            “งั้นเอาคล้ายๆก็ได้นะ เซเลสละกัน แบบนี้โอเคมั้ย” พ่อช่วยแก้ให้ เธอไม่ตอบอะไร พ่อเลยถามกับเขาแทน “โอเคมั้ยพ่อหนุ่ม”

 

            “ครับ ขอบคุณมาก เป็นชื่อที่ดูดีมากๆเลยครับ” เขาตอบรับอย่างยิ้มแย้ม

 

            ทั้งสี่คนลุกจากโต๊ะและแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ทางแม่กำลังเก็บโต๊ะอาหาร พ่อเดินขึ้นไปหาเสื้อนอกมาใส่ทับชุดแปลกๆให้กับเขา ส่วนซินเธียกำลังไปแต่งตัว เขาเองก็ช่วยแม่เก็บโต๊ะอยู่

 

            ครู่เล็กๆต่อมา ซินเธียปรากฎตัวในชุดสีขาว พร้อมกระโปรงสั้นกว่าหัวเข่าเล็กน้อย สวมถุงเท้าสีขาวครึ่งเข่ามีสายสีเงินคาด ใบหน้าเธอไม่ได้แต่งอะไรมากนัก จะมีก็เพียงต่างหูรูปดาวสีเหลืองสดอันเล็กๆและผมถูกรวบด้วยโบว์สีแดง มันทำให้เธอดูสวยขึ้นมากทีเดียว เขาเองก็ใส่เสื้อนอกแขนยาวสีครีม กับกางเกงเดฟสีน้ำตาลอ่อนเพื่อปกปิดชุดชีวภาพแปลกๆของเขาไว้

 

            ประตูเปิดออก สายลมอุ่นๆพัดเข้ามาปะทะใบหน้าให้ความรู้สึกที่แสนสบาย ซินเธียเดินนำเขาออกไปและหันมากวักมือเรียกเขา

 

            “เซเลสๆ มากันเถอะ” เธอดูแจ่มใสกว่าตอนแรกมากทีเดียว

 

            “อื้ม” เขารีบตอบรับ และเดินตามเธอไป

 

            ถนนหินคดโค้งทอดตัวไปตามส่วนต่างๆของหมู่บ้าน ต้นไม้ใหญ่มากมายให้ร่มเงากับร้านค้าและแผงลอยต่างๆที่มีอยู่เต็มข้างถนน สัตว์พาหนะและสัตว์เลี้ยงแปลกตามากมายเห็นอยู่ทั่วไป ผู้คนกำลังจับจ่ายซื้อของกัน เซเลสและซินเธียเดินไปท่ามกลางผู้คนโดยไม่ได้เป็นจุดสนในแต่อย่างใด ตลอดทางเธอแนะนำให้เขารู้จักเพื่อนบ้าน ต้นไม้ สัตว์แปลกๆ และสถานที่มากมายในเมือง ทั้งเซเลสและซินเธียต่างแวะซื้อของจากร้านข้างทางมารับประทานเป็นระยะๆ กว่าชั่วโมงหลังออกมาจากบ้าน เธอก็พาเขามาถึงทางเข้าสวนอันร่มรื่นแห่งหนึ่ง

 

            “พักกันหน่อยเนอะ” เธอชวนเขาไปนั่งที่เก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นไม้ใกล้ๆนั้น

 

            “อ่า อืมๆ ดีเลย” เขาตอบรับทันที ในมือเขามีผลเบบิวด์ลูกใหญ่ที่ซื้อมาจากตลาดอยู่ด้วย      

 

ตอนต่อไป...

Chapter II: โบสถ์นักบุญ

###ลิ้งค์รวมนิยายทุกตอนครับ จิ้มเลย

ข้อมูลตัวละคร

http://www.keedkean.com

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา