จอมคนวีรบุรุษ เล่ม1(การเติบโตของวีรบุรุษ)
เขียนโดย salamandre
วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 12.42 น.
แก้ไขเมื่อ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 21.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
3) คณะเดินทางถึงสยามประเทศ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความช่วงเวลาสาย ที่ด้านในของตัวเรือ มีห้องเรียบๆอยู่ห้องหนึ่งที่ดูแล้ว ไม่น่าจะมีความหลังจากค่ำคืนแห่งการ ต่อสู้ที่แสนจะยาวนาน เมื่อเพลาล่วงเลยมาหกเดือน ความสงบสุขก็ได้กลับเข้าเยี่ยมเยือนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อแสง แรกของอุทัยนั้นได้ทอแสงสว่างดังอำไพ ซึ่งแสงเหล่านั้นได้ขับไล่ไอหมอกบนผืนน้ำที่เบื้องล่างให้ละเหยลอย หายไป ด้านเล่าสะเก็ดน้ำค้าง พวกมันยังคงแข็งใจพยายามเกาะเกี่ยวกิ่งก้านใบด้วยแรงเฮือกสุดทาย ส่วน กลุ่ม ของนกกา พวกมันเริ่มขับขานร้องพร้อมรับกับเช้าวันใหม่แล้ว แต่ทว่าที่ลำเรือนั้น มันยังคงเงียบงัน อยู่ ไร้ซึ่งสิ่งเคลื่อนไหวต่างๆใดๆ
กลุ่มทหารยังคงนอนกันหลับใหลบนบริเวณพื้นเรือ ส่วนองค์รักษ์ส่วนตัวของพระองค์หลายยังยืนเฝ้าเวรยามอยู่ เพื่อสอดส่องดูแลไม่ให้มีเหล่าโจรร้ายกลับมารังควานกลุ่มคณะเดินทางได้อีก แม้ว่าแสงแรกเผยแย้มออกมาแล้ว แต่ทว่าเรือทั้ง 6 ลำ นั้น ยังคงจอดนิ่งเทียบฝั่งราวกับว่ามันกำลังสงวนท่าทีอยู่
พิเศษอันใด แต่ทว่าเจ้าห้องเรียบๆแห่งนี้ กลับเต็มไปด้วยบุคคลหลายคนที่มาเข้าเฝ้าฟังผลอาการของพระองค์ ในยามนี้พระองค์ทรงนั่งพิงอยู่ที่บนเตียงหลังหนึ่ง ซึ่งช่างได้จัดทำมาเพื่อพระองค์โดยเฉพาะ หมากนั่งอยู่ที่ทางซ้ายมือของพระองค์ ในตอนนี้นับว่าเด็กชายชาวสยามนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ที่สุด ถัดมาจึงเป็นเหอเซิน พระสหายสนิท ซึ่งหลังจากที่พระองค์ทรงพักฟื้นอยู่ที่เมืองเชียงรุ้งอยู่หลายเดือน ในตอนนี้พระองค์ดูเหมือนว่าจะหนักแน่นและสุขุมกว่าแต่ก่อนมาก วันนี้ห้องหับช่างหนาแน่นนักเนื่องจากหมอที่ดีที่สุดประจำเมืองมาตรวจดูอาการของพระองค์อีกครั้งก่อนที่จะแจ้งให้พระองค์ได้ทราบว่า ตอนนี้พระวรกายของพระองค์พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ฟางเกาจิ้งคุกเข่าอยู่หน้าเตียงตั่งของพระองค์ โดยมีหลิวจวินและจางชิว คุกเข่าอยู่ที่ด้านหลังของเขา ทั้ง 3 ก้มหน้าลงต่ำด้วยความเคารพนอบน้อม ไต้ซือเฒ่าและ ขุนหมื่นช้างพราย รั้งท้ายที่ตรงบริเวณประตูห้อง
หลังจากหมอประจำเมืองได้ออกไปแล้ว ตอนนี้บรรยากาศในห้องนี้เริ่มเกิดอาการอึดอัด เนื่องจากไม่ผู้ใดกล้ากล่าววาจาใดกับเจ้าอยู่หัวเลย โดยเฉพาะกลุ่มองครักษ์ ตั้งแต่คราที่ซ่งต้าไห้บุกมาอาละวาดถึงบนเรือ พวกมันทั้งหมดล้วนบกพร่องในหน้าที่ โดยพวกมันปล่อยให้องค์จักรพรรดิต่อสู้กับศัตรูเพียงลำพัง แม้พวกมันจะไม่ทราบ แต่ก็ยากที่จะล้มล้างความผิดร้ายแรงนี้ได้
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น พระองค์ไม่อยากให้กลุ่มบริวารพระองค์ต้องเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ดังนั้น จึงทรงตรัสทำลายบรรยากาศที่เลวร้ายนี้ขึ้นว่า “เรื่องทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นนั้น พวกเจ้าอย่าได้ใส่ใจ ข้าเป็นต้นเหตุเอง ข้าก็ควรจะจบเรื่องราวนั้นด้วยตัวของข้าเอง” หลังจากที่พระองค์กล่าวจบ ทั้งหมดก็ยังคงนิ่งเงียบงันอยู่ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากขึ้นมาแต่อย่างใด
แต่แล้ว เด็กชายหมาก มันเป็นบุคคลเดียวที่หาญกล้าที่จะคุยกับพระองค์ โดยมันกล่าวกับพระองค์ว่า “ตอนนี้พระองค์รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างพ่ะยะค่ะ” เนื่องจากพระองค์ทรงได้รับการรักษาในโรงหมอเป็นเวลานาน ซึ่งทุกคนไม่สามารถเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิได้ โดยวันนี้เป็นวันแรกที่พระองค์เสด็จออกจากโรงหมอแล้วสามารถมายังที่เรือ เมื่อไม่ได้พบหน้ากันนาน หมากจึงอดที่จะสอบถามของพระองค์ไม่ได้
เมื่อองค์ฮ่องเต้ทรงได้ยินคำพูดของหมาก พระองค์ทรงพระสรวลออกมา พร้อมใช้พระหัตถ์ลูบที่ศีรษะของเด็กชาย ก่อนตรัสว่า “อาการของข้าดีขึ้นมากแล้ว เพียงนอนพักอีก 2 ชั่วยามก็คงหายดีเป็นปกติ หมากเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าฮ่องเต้ก็ได้ เจ้าเป็นคนเดียวในที่นี้ที่สามารถเรียกเราว่า หลออี้ ได้ ข้ารู้สึกชอบชื่อนี้ขึ้นมาบ้างละ ฮา ฮา ฮา” เมื่อทั้งหมดได้ยิน พวกต่าง งงงันกับวาจาที่พระองค์ทรงตรัสกับเด็กน้อย มีเพียงหลวงจีนเฒ่าผู้เดียวที่หัวเราะตามพระองค์ไปด้วย
เด็กชาย สะท้านขึ้นก่อนกล่าวด้วยความยินดีว่า “ขอบพระทัย หลออี้” คำพูดที่ขัดๆของเด็กชาย ยังคงไม่สามารถทำร้ายบรรยากาศตรึงเครียดนี้ได้ จนพระองค์ต้องทรงกระแอมเองออกมาเบาๆ ผู้ที่ไม่รู้ความในยิ่งหวาดกลัวเพิ่มขึ้นไปอีก
จนเหอเซิน มันเหลียวซ้ายแลขวา มันเห็นทุกคนต่างเงียบกันหมด ใน ณ ที่นี้ มันย่อมเข้าใจฝ่าบาทที่สุด มันจึงต้องเป็นคนเริ่มต้นขึ้น มันพลันหัวเราะออกมา อีกทั้งยังหันซ้ายแลขวาเป็นสัญญาณให้ทุกคนหัวเราะพร้อมกัน ทุกคนจึงเริ่มหัวเราะอย่างแหยๆขึ้น แม้แรกๆจะดูว่าเสแสร้งไปบ้าง แต่แล้วพอไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งหมดกลับหัวเราะออกมาจากใจจริง ซึ่งหัวเราะของทุกคนได้ทำลายความตรึงเครียดที่อบอวลภายในห้องไปสิ้น เด็กชาย มันหัวเราะจนหน้าแดง ปนความอายในความเป็นเด็กของตน ในความเป็นจริง เด็กมันก็คือเด็กวันยังค่ำ มันยังไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์หรือความรู้สึกของผู้ใหญ่ได้
แต่แล้วเด็กชายก็ได้รวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นอีกว่า “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องทูลขอสิ่งหนึ่งจะได้มั้ย” หลังจากที่มันกล่าวจบ มันก็ก้มหน้าต่ำไม่กล้าจ้องฮ่องเต้ผู้นี้อีก ฮ่องเต้มองดูที่เด็กชายอย่างยิ้มแย้มด้วยความเอ็นดู พระองค์จึงสอบถามหมากว่า “มีสิ่งใดที่เจ้าต้องการ ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ต้าชิงผู้ยิ่งใหญ่ยังจะมีสิ่งใดบ้างเล่า ที่ข้าไม่สามารถประทานให้แก่เจ้าได้”
เด็กชายเงยหน้ามองพระองค์ด้วยท่าทีที่ยินดีก่อนที่จะกล่าวกับพระองค์ว่า “วันนั้นข้าเห็นพระองค์ใช้เพียงพระหัตถ์เปล่าๆ พระองค์ก็สามรถเอาชนะโจรร้ายนั้นได้แล้ว ข้าอยากให้ฝ่าบาทได้โปรดสอนวิชามือเปล่าให้แก่หม่อมฉันบ้างพะยะค่ะ” เด็กชายส่งแววตาแห่งความหวังให้พระองค์ มันคอยฟังคำตอบองค์จักรพรรดิอย่างใจจดใจจ่อ ท่ามกลางความตกใจของขุนหมื่นช้างพลายและเหอเซิน ทุกคนไม่คาดคิดว่าเด็กชายจะอุกอาจถึงเพียงนี้
แต่แล้วพระองค์กลับพระสรวล ฮ่า ฮ่า ฮ่า พร้อมตรัสว่า “เรื่องแค่นี้เอง ข้านึกว่าเรื่องยุ่งยากอันใดเสียอีก แต่เรื่องนี้ดูจะมีปัญหาอยู่บ้าง” หลังที่ตรัสจบพระองค์ก็ทรงทำสีหน้าดูครุ่นคิด ก่อนที่พระองค์จะทรงเห็นเด็กน้อยจ้องมองพระองค์เป็นเชิงถาม พระองค์จึงค่อยยิ้มออกมาพร้อมตรัสต่อไปว่า “เอาอย่างนี้เจ้าเคยฝึกปรือฝีมือชนิดใดมาบ้างละ”
เด็กชายส่ายหน้าก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “ข้าไม่เคยฝึกวิชาอะไรมาก่อน” จากนั้นจะหันไปหาบิดาของมันอย่างหวาดๆ ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า “บิดาข้าต้องการให้ข้าฝึกมวยดาบ แต่ข้าไม่ชอบการต่อสู่ข้าจึงเพียรวิชาตำรับตำราอย่างเดียวเท่านั้น” พอเขาพูดจบก็นิ่งสงบไป รวมกับมันกำลังนึกเหตุการณ์ความหลังเมื่อครั้งนั้นอยู่
พระองค์สงสัยในตัวเด็กชายจึงตรัสถามต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้ว เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงสนใจในวิชาการต่อสู้แล้วละ”
เด็กชายรีบตอบพระองค์โดยทันทีว่า “ข้าอยากปกป้องตัวเอง ปกป้องคนที่ข้ารักของข้าบ้าง เมื่อก่อนข้ามัวแต่ให้คนอื่นปกป้องข้า ข้ารู้สึกว่าตัวข้านี้ช่างบอบบางราวกับอิสตรีเลย มันจึงทำให้ข้าเกิดความคิดที่จะฝึกวิชาขึ้นมา ในตอนแรกข้าเห็นว่าท่านใช้กระบี่ ข้าก็อยากให้ท่านช่วยสอนวิชาดาบ แต่ในท้ายสุดข้าเห็นท่านใช้เพียงมือเปล่าก็สามารถสยบศัตรูผู้ร้ายกาจลงได้ ข้าจึงอยากให้ท่านช่วยสอนข้า ถึงเคล็ดวิชานี้” พอเด็กชายกล่าวจบก็ก้มลงกราบและคุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิเฉียนหลงด้วยท่าทีที่เคารพ
ขุนหมื่นช้างพลายถึงกับเหงื่อไหลออกมา เขาไม่คิดว่าบุตรของเขาจะบังอาจได้ถึงเพียงนี้ แต่พระองค์กลับทรงเห็นแก่ความตั้งใจจริงของเด็กชายจึงตรัสกับเขาอย่างหนักแน่นว่า “ข้าไม่ใช้อาจารย์เจ้าและข้าก็ไม่ใช้เจ้าชีวิตของเจ้า เพียงก้มหัวเคารพข้าก็พอ ไม่จำเป็นต้องก้มกราบข้า แม้ว่าเจ้าจะไม่เคยฝึกวิชาใดมาก่อน แต่สัดส่วนที่ปราดเปรียวและความฉลาดเฉลียวของเจ้า เจ้าอาจจะฝึกวิชาเหล่านี้ได้ไม่ยาก แต่ร่างกายที่บอบบางขาดความแข็งแกร่งของเจ้าอาจเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง” แม้ว่าเด็กชายจะยังคงก้มหน้าลงกราบเขาอยู่ที่พื้น แต่เด็กชายไม่สามารถซ่อนอาการผิดหวังที่มันมีเอาไว้ได้
พระองค์ทรงถอนหายใจ ก่อนกล่าวต่อไปโดยไม่สนท่าทีของเด็กชายแต่อย่างไร “ดังนั้นข้าจะสอนพื้นฐานการป้องกันตัวง่ายๆให้แก่เจ้าสัก 3 ท่า ซึ่งแค่เพียง 3 ไม่ถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันแต่อย่างใด ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคุกเข่า จงลุกขึ้นได้แล้ว” เมื่อเด็กชายได้ยินเช่นนั้นรีบรุดขึ้นมาจนตัวเซเลยที่เดียว “แต่ข้าเพิ่งจะหายจากอาการประชวร ข้าขอพักฟื้นร่างกายหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้า เจ้าค่อยมาหาข้า” หมากรับคำอย่างหนักแน่น จากนั้นทั้งหมดจึงค่อยล่าถอยออกไป ในห้องที่ว่างเปล่า พระองค์ทรงพระสรวลก่อนทรุดตัวลงนั่งสมาธิต่อไป
เมื่อถึงช่วงเช้า หมากรีบรับประทานอาหารเช้า จากนั้นมันจึงรีบไปห้องบรรทมขององค์ มันหาได้เชื่อฟังบิดาที่สั่งให้มันอย่าได้รบกวนองค์จักรพรรดิไม่ ขุนหมื่นช้างพลายถึงกลับยอมแพ้ในความดื้อรั้นของบุตรชายผู้นี้ ซึ่งเมื่อมันมาถึง มันก็พบว่าพระองค์กำลังสั่งเหล่าทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ข้างหน้าประตูมาจัดแจงย้ายตู้ เก้าอี้ ตั่งเตียงไปไว้ที่ด้านข้าง แล้วนำผ้าผืนที่นอนมาวางไว้ที่ผืนห้องแทน เด็กชายมองดูการปฏิบัติงานของทหารเหล่านี้ด้วยความสงสัย พระองค์ทรงสังเกตสีหน้าของเด็กชายอยู่ ก่อนร้องเรียกหมาก ทั้งทรงอธิบายให้มันได้เข้าใจว่าที่ทำเช่นนี้เพราะกลัวเกิดเหตุอันตรายในการฝึกสอนนั้นเอง หมากสอบถามอาการบาดเจ็บของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงตอบกลับมาว่าหายดีเป็นปลิดทิ้งแล้ว
หลังจากที่ทหารยามเหล่านั้นเคลื่อนย้ายเสร็จ พระองค์ก็รั้งทหารหนึ่งนายให้มันยังอยู่ในห้องก่อน เพื่อเป็นหุ่นในการแสดงการฝึกสอนแก่เด็กน้อยชาวสยามผู้นี้ ทหารนายนั้นก็ตอบรับด้วยวาจาขันแข็ง เพราะนี่ถือว่าเป็นโอกาสที่มันจะได้รู้เคล็ดวิชามวยปล้ำจากองค์จักรพรรดิโดยตรงเช่นกัน
พระองค์ทรงอธิบายให้ทั้งสอง ได้เข้าใจถึงเคล็ดวิชามวยปล้ำของมองโกล ซึ่งมีที่มาจากประเทศต้าฉินอันห่างไกล หลังจากที่มวยปล้ำได้เข้ามาสู่มองโกล ทุกคนต่างให้ความสนใจกับการต่อสู้ชนิดนี้มาก จนมวยปล้ำนี้แพร่หลายในที่สุด ซึ่งเปรียบได้ว่ากีฬามวยปล้ำนี้เป็นกีฬาประจำชาติของพวกมองโกลเลยก็ว่าได้ เคล็ดวิชาการต่อสู่ของมวยปล้ำมีหลักการ ดังนี้ คือ จับ ดึง กระชาก ตวัด เคลื่อนย้าย ลาก และฉุด
จากนั้นพระองค์จึงสาธิตท่าแรกให้แก่ทั้งสอง ซึ่ง เรียกว่า การเตะตวัด พระองค์ทรงให้ทหารยามผู้นั้น เตรียมรับมือการจู่โจมของพระองค์ ซึ่งแน่นอนว่า เหล่าทหารของราชสำนักย่อมได้ฝึกวิชาการต่อสู้มาเป็นพิเศษ ดังนั้น ต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ยังยากที่จะล้มพวกเขาในท่าเดียว ตอนนี้ทั้งสอง ได้ยืนประจันหน้ากัน จักรพรรดิเฉียนหลงทรงกระโดดเคลื่อนไหว โยกย้าย ขยับเท้าไปมา โดยมิให้พระองค์เองอยู่กับที่เป็นเป้านิ่ง ส่วนทหารหนุ่ม มันตั้งมั่นรัดกุมรอจังหวะจู่โจมฝ่าบาท ซึ่งท่าตั้งรับของมันนั้นถูกต้องตามมารถฐานที่ถูกฝึกมา พระองค์ยังคงทรงเคลื่อนย้ายไปมา จนในที่พระองค์ทรงลากพระบาทขวากางออกเป็นวงโค้ง เมื่อนายทหารหนุ่มเห็นแบบนั้น มันจึงขยับขาเตรียมตั้งรับการโจมตีอย่างเต็มที่ แต่ขณะที่มันขยับนั้นเอง ท่ารับที่เคยมั่นคงกลับเกิดช่องโหว่ขึ้น ซึ่งพระองค์ไม่รีรอช้า ทรงขยับพระบาทซ้ายเตะตวัดงัดเท้าขวาของทหารหนุ่มอย่างรุนแรง จนทหารหนุ่มล้มลงกองอยู่กับพื้นที่นอนโดยทันที ตัวทหารนายนั้น มันยังไม่ทราบเลยว่าเมื่อครู่นี้ได้เกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่
เด็กชายหมาก แม้ว่ามันจะมองไม่เห็นการจู่โจมเมื่อครู่นี้ แต่ก็รู้สึกประทับใจกับท่าตวัดนี้อย่างมาก จากนั้นพระองค์จึงกระทำซ้ำๆช้าๆให้ทั้งอีก สามถึงสี่ รอบ ก่อนที่พระองค์จะทรงเผยว่า “ท่านี้เป็นท่าที่ง่ายที่สุด เพียงก้าวเท้าขวาเป็นท่าหลอก จู่โจมซ้ายคือท่าจริง” ทั้งสอง จึงเริ่มเข้าใจในเคล็ดวิชานี้บ้างแล้ว และฝึกซ้อมกัน อีกสองถึงสาม รอบ ก่อนที่พระองค์จะแสดงต่อในท่าถัดไป
ท่าที 2 นี้เรียกว่า ท่ากระชากตะหวัดล้มกลิ้ง พระองค์ทรงเรียกทหารหนุ่มผู้นั้นมาเป็นหุ่นทดลองอีกครั้ง ทหารหนุ่มคิดว่า ในท่าแรกนั้น มันรู้สึกว่ามันไม่ทันระวังตั้งตัว จึงทำให้พลาดพลั้ง แต่ในท่าที่สองนี้ มันหวังที่จะตั้งรับองค์จักรพรรดิได้ เพื่อที่จะล้างอายให้กับตัวมันเอง ทั้งสองมา ประชันหน้ากันอีกครั้ง แต่แล้วในครั้ง พระองค์กลับตรัสกับทหารยามว่าไม่ให้ทหารหนุ่มต้องกังวล มันสามารถรุกใส่พระองค์สามารถกระทำได้อย่างเต็มที่ ทุนเดิมทหารหนุ่มถนัดเป็นฝ่ายรุกมากกว่ารับ ดังนั้นพระองค์ตรัสเช่นนี้กลับเข้าทางของมัน
ทั้งสองฝ่ายต่างก็หาจังหวะเป็นฝ่ายรุกกันอยู่ แต่ด้วยความหนุ่มแน่นและใจร้องของชายหนุ่ม มันจึงชิงเป็นฝ่ายรุกก่อน ต่อยหมัดตรงไปที่บริเวณลิ้นปี่ของพระองค์ พระองค์เอี้ยวตัวหลบก่อนที่จะใช้มือซ้ายจับที่เสื้อตรงบริเวณรักแร้ของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งป้ายปัดหลบหมัดของชายหนุ่ม ก่อนจะละมือขวามาคว้าจับที่ชายเสื้อบริเวณเอว พระองค์ขยับเข้าหาประชิดตัวชายหนุ่มพร้อมทั้งสอดเท้าขวาเข้าไปงัดที่ขาข้างซ้ายของทหารหนุ่ม ก่อนที่จะใช้ขาข้างนั้นตะหวัดให้เขาเสียหลัก ก่อนที่พระองค์จะใช้สองเหวี่ยงมัน พุ่งล้มลงยังที่นอนที่ด้านหลังของพระองค์อย่างหมดรูป นายทหารหนุ่มลุกขึ้นมานั่งอย่างงุนงง ก่อนที่พระองค์จะอธิบายให้ทั้งสองฟังต่อไปว่า “ท่านี้เป็นท่าที่ยากพอสมควร พวกเจ้าต้องหมั่นฝึกฝน ถึงจะสามารถใช้ออกได้อย่างเชี่ยวชาญ” ทั้งสองต่างพยักหน้าขานรับ ก่อนที่พวกมันจะทดลองฝึกซ้อมอยู่ 10 กว่าเที่ยว จึงค่อยจับหลักของท่านี้ออก พระองค์จึงเริ่มต้นสอนพวกมันถึงท่าสุดท้ายต่อไป
หลังจากที่พระองค์เห็นว่าทั้งสอง พอจะเข้าใจในท่าที่สองแล้ว จึงเริ่มแสดงท่าที่สาม ต่อในทันที ตอนนี้สีหน้าของทหารหนุ่มดูจะหมดความมั่นใจในตนเอง เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงได้ทรงตรัสถามชื่อทหารหนุ่ม ซึ่งทหารหนุ่มตอบกลับมาว่า “หม่าเอี้ยน” ด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหมดความกระตือรือร้นใดๆ
เมื่อเพราะองค์ได้เห็นท่าทีของเขาจึงตรัสถามชายหนุ่มว่า “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงป้องกันการโจมตีของข้าไม่ได้เลยสักท่าเดียว” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงละห้อยว่าไม่ทราบ
จากนั้นพระองค์จึงหันไปถาม หมาก ว่า “เจ้าละ รู้ไหมว่าเพราะอะไร” เด็กชายกลับตอบว่า “เป็นเพราะวิชามวยปล้ำนี้ถนัดในการต่อสู้ประชิดตัว พี่ชายผู้นี้ต่อสู้ประชิดตัวกับพระองค์ทำให้เขาพ่ายแพ้” เมื่อพระองค์ทรงได้ยินเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลหัวเราะชอบอกชอบใจในความเฉลียวฉลาดของหมาก พระองค์ทรงแปลความของเด็กน้อยให้ทหารหนุ่มฟัง หม่าเอี้ยนจึงค่อยเข้าใจ เนื่องจากที่ผ่านมา มันได้เรียนรู้วิทยายุทธ จำพวกโจมตีทางไกลเท่านั้น เมื่อเจอคู่เปลี่ยนยุทธวิธี มันเลยเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ เมื่อมันสำนึกได้แล้ว มันจึงคุกเข่าลงถวายความเคารพขอบคุณองค์เหนือหัวของมัน เมื่อมันได้คิดถึงภายภาคหน้า ถ้าในสนามรบจริง หากมันเจอศัตรูเช่นนี้ มันคงตายเป็นคนแรกแล้ว ดังนั้นมันต้องพยายามเรียนรู้ พร้อมแก้ทางวิชาประชิดตัวนี้ให้จงได้ เมื่อมันคิดได้เช่นนี้ มันจึงสามารถเรียกแรงฮึดสู้ให้กลับมาได้อีกครั้ง
จากนั้นก็มาถึงท่าที่ 3 ท่าสุดท้ายของบทเรียนขององค์จักรพรรดิ ท่านี้มีชื่อเรียกว่า ท่ากระชากผลักล้มหงาย พระองค์ไม่ต้องกวักมือเรียกทหารหนุ่มให้เข้ามารับบทเรียน แต่เขาเดินเข้าหาพระองค์เองอย่างสง่าผ่าเผย หม่าเอี้ยนตั้งท่าอย่างรัดกุมต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เด็กชายให้กำลังใจนายทหารหนุ่มเพื่อรับมือในบทเรียนบทสุดท้าย เมื่อองค์จักรพรรดิเห็นถึงความองอาจในตัวทหารหนุ่มผู้นี้ ต้องทรงยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นอย่างชื่นชม
ในที่สุดทั้งสอง ก็ยืนประชันหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของบทเรียนในครั้งนี้ ดังนั้น หม่าเอี้ยนจึงตั้งใจรับทราบท่า กระชากผลักล้มหงายอย่างสุดกำลัง สองตาของมันจับจ้องอยู่ที่แขนทั้งสองข้างขององค์ฮ่องเต้อย่างไม่ละสายตา จักรพรรดิเฉียนหลงทรงยิ้ม ก่อนที่จะเคลื่อนไว้ไปทางหม่าเอี้ยน ทหารหนุ่มจึงถอยล้นไปด้านหลังหนึ่งก้าว เพื่อป้องกันการจู่โจมประชิดตัวของพระองค์ พระองค์ทรงเคลื่อนย้ายร่างกายของพระองค์อยู่ตลอดเวลา ทั้งขยับขึ้นหน้าและถอยล่นไปด้านหลัง จนมันยากจะคาดเดาการโจมตีของเจ้าเหนือหัวมันได้
พระองค์ทรงเคลื่อนที่พลิ้วไหวอย่างรวดเร็ว มือขวาของพระองค์ตะปบไปที่คอเสื้อของทหารหนุ่ม แม้ว่ามันจะตกใจลนลานแต่ด้วยการที่เป็นทหารที่ถูกฝึกมาทำให้มันเตรียมพร้อมและตื่นตัวเสมอ ครั้งนี้มันมือขวางัดไปที่ข้อมือซ้ายของพระองค์ ก่อนจะขยับมือซ้ายกันการจู่โจมของพระองค์ ที่ทรงใช้ท่าตามหลังไว้ได้อย่างไร้ที่ติ
เด็กชายชายตบมือดัง แปะๆๆๆ ด้วยความยินดี เด็กชายเลือกที่อยู่ข้างผู้อ่อนแอกว่า อาจเป็นเพราะตัวของมันก็อ่อนแอนั้นเอง และอีกอย่าง นี่ไม่ใช่การต่อสู้แบบเอาจริงเอาตาย เขาจึงรับชมเพื่อความสนุกสนานบันเทิงใจและเอาไว้ศึกษาพัฒนาเรียนรู้ฝีมือของตัวมันเอง
พระองค์ทรงยิ้มก่อนที่จะทรงเปลี่ยนท่าร่างอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจะท่ามือที่ใช้ตะปบเป็นใช้นิ้วจี้ไปที่บริเวณไหล่ขวาของทหารหนุ่ม ดูเหมือนว่าเขาจะยากที่หลุดพ้นจากท่าจี้จุดนี้ แต่เขาก็สะบัดแขนขึ้นเพื่อให้ไหล่ของเขาหลุดพ้นจากการถูกจี้จุดได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งสามารถเรียกเสียงเฮฮาของเด็กชายได้อีกครั้ง พระองค์ทรงขยับริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่พระองค์จะทรงคลายมือจากที่เคยใช้จี้จุดเปลี่ยนเป็นคว้าจับบริเวณรักแร้ชายหนุ่มอีก หม่าเอี้ยนพยายามที่จะเตะที่หน้าอกของพระองค์เพื่อคลายสถานการณ์ พระองค์เอี้ยวตัวเหวี่ยงเท้าซ้ายไปที่ด้านหลัง ซึ่งรอดพ้นจากท่าเท้าของหม่าเอี้ยน อีกครั้ง ก่อนใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงชายหนุ่มเข้าหาตัว ก่อนใช้เท้าขวางัดขาของชายหนุ่มขึ้น พร้อมทิ้งตัวกระแทกเขาล้มลงสู่พื้นในที่สุด
แม้ว่าเขาจะล้มลง แต่หม่าเอี้ยนก็ล้มลงอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นองค์จักรพรรดิจึงทรงอธิบายท่วงท่าให้ทั้งสองได้เข้าใจ ก่อนทีจะให้คำชี้แนะและให้ทั้งสองฝึกร่วมกันอีก 1 ชั่วยาม พระองค์ทรงตรัสชมหมากว่ามีความสามารถ หัวไว สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นพระองค์ทรงตั้งพระทัยว่าจะเข้าบรรทมพักผ่อน ทั้งสองจึงขอตัวเดินก้าวเดินออกจากห้องไป
พระองค์ทรงตรัสขึ้นมาลอยๆว่า “หมาก ยังมีอีกสิ่งที่ข้ารับปากเจ้า แต่จ้ายังไม่ได้รับการยืนยันจากข้า” เด็กชายหันกลับมาทำหน้างงๆ พระองค์ทรงยิ้มก่อนที่จะตรัสต่อไปว่า “หม่าเอี้ยน รับบัญชา” ชายหนุ่มรีบคุกเข่ารับคำพระองค์อย่างร้อนลน เมื่อพระองค์ทรงเห็นทหารหนุ่มคุกเข่าอย่างเรียบร้อย จึงทรงตรัสว่า “หากเจ้าโลหิตของข้าได้ให้กำเนิดเชื้อขัยของมันออกมา พอถึงระยะที่โตเต็มวัย ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนต้องพาเจ้าลูกม้าไปหานายของมันที่อโยธยา” หม่าเอี้ยน รับคำอย่างเสียงดัง
เด็กชายเมื่อได้ยินอย่างนั้น มันดีใจมากๆวิ่งเขากอดพระองค์ แล้วค่อยวิ่งเข้าสวมกอดหม่าเอี้ยน ก่อนที่ทั้งสองจะล่าถอยออกจากห้องไปด้วยความปิติยินดี
อีก 2 วันต่อมา เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เหอเซิน เขาใช้เหล่าทหารให้มาจัดเตรียมที่นั่งสำรับรับประทานอาหารในห้องบรรทมของพระองค์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรจากหน้าต่างของลำเรือไปยังทิวทัศน์ภายนอกเรือ ท่ามกลางแมกไม้พนาสนที่หนาทึบบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำและผืนป่าในทางทิศใต้ของราชอาณาจักรของพระองค์ แม่น้ำที่พวกเขาอาศัยเส้นทางเดินทางจาก หวินหนาน ถึง เชียงของ แม่น้ำนี้ถูกเรียกว่า แม่น้ำหลางฉาง หรือ แม่น้ำล้านช้าง มีถิ่นกำเนิดมาจากเทือกเขาทิเบตในมณฑลชิงไห่สุดเขตตะวันตกของต้าชิง แม้น้ำสายนี้มีระยะยาวกว่า 4000 กิโลเมตร ไหลผ่านหลายท้องถิ่นด้วยกัน เช่น ล้านช้าง ต้าชิง สยาม ละแวก และนามเวียด อย่างที่สยามเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า แม่น้ำโขง ส่วนล้านช้างเรียกว่า แม่น้ำของ ซึ่งแม่น้ำสายนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของ ทะเลสาบโตนเล ในละแวกอีกด้วย ก่อนที่จะไหลออกทะเลจีนใต้ที่ นามเวียด ในท้ายที่สุด
ขณะที่พระองค์ทรงเหม่อลอยไปกับบรรยากาศที่ทรวงสวรรค์บรรจงสร้างมาให้กับมวลมนุษย์ อยู่ๆนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ปลุกให้พระองค์ตื่นจากห้วงชีวิตที่สวยงามของธรรมชาติ ก่อนตรัสว่า “เข้ามา” หมากเดินเข้ามาเป็นผู้แรก ก่อนที่จะเป็นทูตแห่งสยาม ไต้ซือ และขุนนางราชสำนักทั้งสี่ของพระองค์ หลังจากที่ทั้งหมดแยกย้ายมาที่โต๊ะสำรับอาหารตามที่จัดไว้ให้กับทั้งหมดแล้ว เหอเซิน จึงตบมือเป็นสัญญาณให้นายทหารยกสำรับอาหารเข้ามาให้กับทั้งหมด อาหารในมื้อกลางวันนี้เป็นอาหารที่เรียบง่าย สำรับอาหารที่จัดเตรียมนั้นได้แก่กับข้าว 3 อย่างเท่านั้น อันได้แก่ หมั่นโถว เนื้อเค็ม และผักดอง ไว้กินกับข้าวต้มเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนจะไม่ถูกปากพระองค์สักเท่าไหร่ เพราะปกติแล้วพระองค์ทรงเคยแต่ลิ้มลองอาหารดีๆ แม้แต่ตอนที่พระองค์ปลอมตัวเป็นชาวบ้านมายังเลือกเฟ้นแต่ร้านอาหารที่มีชื่อเท่านั้น แต่ตัวเลือกในวันนี้มีเพียงเท่านี้ ดังนั้นพระองค์ได้แต่เพียงทรงฝืนกินเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งหมดรับประทานอาหารเสร็จ เหอเซินก็เรียกทหารเข้ามาอีกครั้งเพื่อจัดเก็บสำรับอาหาร หลังจากทหารคนสุดท้ายได้ออกจากห้องไป เหอเซินจึงบอกกับทุกคนอย่างเป็นการเป็นการว่า “อีกไม่กี่ชั่วยามเราทั้งหมดจะมาถึงที่เชียงของแล้ว”
เมื่อเป็นเช่นนั้นพระองค์จึงกล่าวเสริมให้กับขุนนางทั้งสามว่า “ดังนั้นช่วงเวลานี้พวกท่านทั้งสาม ควรที่เรียนรู้เรื่องภาษาและวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของชาวอโยธยาไว้ให้ดี” พลางทอดพระเนตรมองไปที่ ฟางเกาจิ้ง และองครักษ์ทั้ง 2 ของเขา
ซึ่งทั้งสาม ก้มหน้าต่ำใบหน้าซีดเซียวขึ้นมาทันที เนื่องจากว่าแท้ที่จริงแล้ว พระองค์ทรงได้จัดเตรียมบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเพื่อทอดความรู้เรื่องภาษาและวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของชาวอโยธยาให้แก่ทั้งสาม ในช่วงที่พระองค์พักฟื้นอยู่เป็นเวลา 6 เดือนเต็ม แต่เนื่องจากปัจจัยที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฟางเกาจิ้ง ถือตัวหาได้สนใจการสอนของเหล่าซือ เขาจึงมักที่จะไปเที่ยวเล่นเสียมากกว่า แต่ยังดีที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเขาได้สนิทสนมกับหมากมากยิ่งขึ้น เขาเห็นว่าหมากเป็นคนใฝ่รู้ เขาจึงช่วยสอนวิชาจักรกลให้กับหมาก โดยหมากสอนเรื่องภาษาไทยเป็นการตอนแทน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้มากนัก ส่วนองค์รักษ์ทั้ง 2 คน แม้ว่าพวกเขาจะเข้าเรียนไม่เคยขาด แต่ด้วยเหตุผลยึดติดของตัวหลิวจวิน ทำให้เขาคร้านที่จะสนใจภาษาของชาวต่างแดน แต่ด้วยฝีมือชั้นเยี่ยมบวกกับเขาเป็นห่วงลูกศิษย์ผู้นี้จึงยอมเดินทางมาเป็นเพื่อน ส่วนจางชิว เขาเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของ หลิวจวิน เนื่องจากตัวเขาถูกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ หลิวจวิน จึงเปรียบเหมือนบิดาและอาจารย์ในคนๆเดียวกัน แต่ด้วยสมองที่โง่ทึบของเขาทำให้เรียนรู้อะไรได้ไม่ดีเท่าทีควร จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสามมีใบหน้าที่ซีดเซียว
พระองค์ถึงกับส่ายพระพักตร์เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสาม ก่อนที่จะทรงตรัสต่อไปว่า “อีกไม่กี่เดือนพวกเจ้าจะต้องใช้ชีวิตในสยามยาวนานถึง 5 ปี ดังนั้นช่วงเวลาเดินทางนี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องศึกษาจากท่านทูตให้มากๆ” ทั้งสามนั้นก้มลงคุกเข่าพร้อมทั้งรีบรับปากพระองค์อย่างหนักแน่น จากนั้นพระองค์จึงทรงตรัสกับคณะทูตจากอโยธยาว่า “รบกวนท่านขุนหมื่นช้างพราย ไต้ซือฝูอี้ซิน รวมถึงเจ้าด้วย หมาก ฝากดูแลทั้งสามคนนี้ ด้วยละกัน”
เมื่อทั้งสาม ได้ยินเช่นนั้น กล่าวอย่างพร้อมกันราวกับนัดแนะกันว่า “หม่อมฉันจะไม่ให้ฝ่าบาทผิดหวังพะยะค่ะ” เมื่อพระองค์ทรงได้ยินเช่นนั้นค่อยคลายพระทัยลงบ้าง
แต่พระองค์ยังมิวายถอนหายใจ ก่อนตรัสต่อไปว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายในชีวิตต่างแดน ตัวข้านั้นเป็นคนบังคับให้ทุกท่านไป หากพวกท่านไม่ประสงค์จะไป ข้าได้แต่ส่งเครื่องบรรณาการถวายพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแทนเท่านั้น” จากนั้นทรงเดินไปฉุดให้ทั้งสามให้ลุกขึ้น แต่ทั้งสาม ไม่มีใครกล้าลุกแม้สักคนเดียว พวกเขาตื่นตันใจอย่างมากโดยเฉพาะ ฟางเกาจิ้ง และ จางชิว ถึงกลับหลังน้ำตาออกมาทีเดียว
จากนั้น ฟางเกาจิ้ง จึงกล่าวกับองค์ฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง พวกกระหม่อมจะตั้งใจทำหน้าที่ให้ลุล่วงให้จงได้ ถ้าภารกิจยังไม่สำเร็จถึงตายจะไม่เอากระดูกลับเมืองต้าชิงเป็นอันขาด” องครักษ์ทั้งสองก็กล่าวอย่างย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเหมือนกันว่า “ถึงตายจะไม่เอากระดูกลับเมืองต้าชิง”
ขนาดหมากที่ชมอยู่ด้านข้าง เมื่อเขาได้ยินวาจาของทั้งสามเช่นนี้แล้ว ยังรู้สึกขนลุกขึ้นซู่ขึ้นมาเลย มันรู้สึกยินดีอย่างยิ่งหากเจ้าเหนือหัวของเขาเป็นจักรพรรดิเฉียนหลง พระองค์ทรงเข้าใจและใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชา แม้มันจะไม่เคยพบกับเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่มันก็เชื่อว่ากษัตริย์แห่งสยามก็ต้องเป็นยอดคนที่รักและห่วงใยราษฎร์เช่นเดียวกัน
ณ พระราชวังกรุงศรีอยุธยา
ว่าด้วยกษัตริย์ไทยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 31 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่สี่แห่ง ราชวงศ์บ้านพลูตาหลวง ก่อนหน้าที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ พระองค์ต้องห่ำหั่นกับพี่น้องร่วมสายเลือดของพระองค์ ถึงจะก้าวขึ้นบัลลังก์เลือดแห่งนี้ได้
พระองค์เมื่อขึ้นครองราชย์ ได้แต่งตั้งเจ้าฟ้ากุ้งเป็นพระอุปราช แต่ด้วยถูกปรักปรำ ทำให้พระองค์หลงผิดประหารเจ้าฟ้ากุ้งเสีย ซึ่งอันที่จริงพระองค์นั้นรักเจ้าฟ้ากุ้งมากที่สุด ถึงแม้เรื่องราวนี้จะล่วงเลยยาวนานถึง 11 ปี แล้ว แต่พระองค์กลับทรงเก็บซ่อนความรู้สึกเสียใจนี้เอาไว้อย่างเงียบงัน
ขณะที่พระองค์ทรงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ทหารหน้าห้องก็ตะโกนร้องขึ้นว่า “กรมหมื่นพิพิธกับท่านเสนาบดีจมื่นเจนณรงค์ขอเข้าเฝ้า พ่ะย่ะค่ะ” พระองค์ทรงตื่นจากห้วงของภวังค์ ก่อนร้องบอกให้มหาดเล็กหน้าห้องให้ทั้งหมดนั้นเข้ามา เมื่อพะองค์ทอดพระเนตรเห็นคนทั้งสอง จึงตรัสถามกรมหมื่นพิพิธขึ้นว่า “พระองค์เจ้าแขก เจ้ามาหาพ่อด้วยการธุระใดหรือ”
เมื่อรับฟังเช่นนั้น เจ้าแขกจึงทรงตอบกับพระราชบิดาว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าพักหลังเสด็จพ่อทรงงานมาก อีกทั้งยังทรงชราลงทุกปี บัดนี้ตำแหน่งมหาอุปราชก็ล่วงเลยมาหลายปี ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าเสด็จพ่อควรหาผู้ที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งเพื่อช่วยเหลือเสด็จพ่อด้วยจะดีกว่า”
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงพระสรวล ก่อนตรัสถามว่า “ใครละ หรือจะเป็นเจ้าหรือ”
กรมหมื่นพิพิธ หัวเราะขึ้นก่อนที่จะตอบว่า “ก่อนอื่นเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ทรงมีพระราชอัธยาศัยเฉลียวฉลาด แต่เนื่องจากทรงฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา จึงขาดความสามารถในการปกครอง ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้บุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งพระอุปราช ควรเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์ ผู้เป็นพระเชษฐาของเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต” ซึ่งแวดวงศ์พี่น้องของพระโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มขั่วอำนาจ คือ
- กลุ่ม 3 เจ้าฟ้า ได้แก่ เจ้าฟ้ากุ้ง เจ้าฟ้าเอกทัศ และเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ ซึ่งประสูติจากพระพันวัสสาใหญ่และพันวัสสาน้อย กลุ่มเจ้าสามกรมที่ประสูติจากพระสนม
ส่วนกรมหมื่นพิพิธ แม้ว่าพระองค์จะประสูติจากพระสนม แต่พระองค์กับสนิทกับกลุ่ม 3 เจ้าฟ้า ซึ่ง เจ้าฟ้ากุ้งและเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อจะทรงสนิทกันมาก เช่นเดียวกับเจ้าฟ้าเอกทัศและเจ้าแขกที่สนิทกันมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่ภายหลังจากที่เจ้าฟ้ากุ้งต้องทัณฑ์จนสวรรคต เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อก็กลับหันหลังให้ทางโลก เพื่อเอาดีในด้านพระพุทธศาสนา ส่วนพระองค์เองประสูติจากนางสนม พระองค์คงไม่ได้มีวันครองราษฎร์ ดังนั้นพระองค์จึงสนับสนุนเจ้าฟ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์ เพื่อตัวพระองค์เองก็จะได้มีอนาคตในการงานรุ่งเรืองตามไปด้วย
พระองค์ทรงมองกรมหมื่นพิพิธด้วยแววตาเย็นชา ก่อนพระองค์จะตรัสขึ้นว่า “เจ้าฟ้าเอกทัศผู้นี้เป็นคนโฉดเขลา หาได้มีสติปัญญาไม่ อีกทั้งยังขาดความเพียรพยายาม ขาดคุณสมบัติทศพิธราชธรรม” หยุดเล็กน้อย ก่อนเรียกมหาดเล็กเข้าเฝ้า โดยพระองค์ตรัสว่า พระองค์นั้นมีพระราชโองการเร่งด่วนขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดจึงมอบกราบรอฟังราชโองการ โดยเฉพาะเจ้าแขกที่ก้มหน้าลนลานหวั่นวิตกยิ่ง
“เนื่องจาก ข้าทรงดำริว่า เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์ทรงมีทศพิธราชธรรมไม่เพียงพอ จึงควรออกผนวชเว้นเรื่องการเมืองเสีย ดังนั้น ให้เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตทรงลาผนวชเพื่อมาดำรงพระตำแหน่งพระมหาอุปราช” เมื่อพระราชโองการออกมาเยี่ยงนี้ กรมหมื่นพิพิธจึงหมดเรื่องที่จะกราบทูลต่อไป เมื่อเจ้าฟ้าได้รับราชโองการ ทรงกลัวพระราชอาญา จำพระทัยเก็บซ่อนอารมณ์ ออกผนวชที่วัดลมุดปากจั่น แม้แต่เจ้าสามกรมครั้นพอทราบเรื่องก็ยังคงสงวนท่าที ชมพิธีกระทำพิธีราชอุปราชภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพ็ชรมหาปราสาทของเจ้าฟ้ากรมขุนพินิต อย่างเงียบงัน
ณ ลำน้ำโขง
ตอนนี้ทั้งหมดยังอยู่ในห้องบรรทมขององค์เฉียนหลงฮ่องเต้ โดยพระองค์รับสั่งให้ขุนนางทั้งสาม ได้ศึกษาเล่าเรียนเรื่องวัฒนธรรมกับท่านขุนหมื่นช้างพลายอย่างเร่งด่วน และแล้วทันใดนั้นเอง หม่าเอี้ยน ก็ตะโกนจากนอกห้องเข้ามาว่า “ถึงชายแดนต้าชิงแล้วพะยะค่ะ”
เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าถึงเวลาที่เขาและคณะทูตต้องเดินทางกลับไปยังแดนดินมาตุภูมิของมันแล้ว มันจะไม่พบกับหลออี้อีกแล้ว เมื่อมันหันไปมองที่องค์ฮ่องเต้ ในที่สุดน้ำตาของมันก็ไหลนองออกมาอีกครั้ง เมื่อพระองค์ทรงหันมามองมัน ดังนั้นจึงเข้าไปปลอบโยนเด็กน้อย ก่อนที่จะนำทั้งหมดขึ้นสู่ด้านบนของเรือ
ยามนี้เป็นเวลายามบ่าย 2 โมง แสงแดดยังคงจ้าราวกับว่านี่เป็นช่วงเที่ยงวัน ทหารหลายนายที่ทำงานบนเรือล้วนถอนชุดนอกออก เนื่องจากอากาศในตอนนี้ที่ร้อนอบอ้าวหรือเกิน ยามนี้ไม่มีใครรู้ว่าสายลมนั้นได้สูญหายไปยังที่ใด ถึงไม่มาส่งพวกเขาให้ตลอดรอดฝั่ง ด้านข้างของกราบเรือทางขวามือของพวกเขามีเรือลำเล็กลำหนึ่งจอดรอพวกเขาอยู่ ซึ่งเรือลำเล็กนี้จะเป็นพาหนะพาพวกเขาไปส่งยังท่าเรือเชียงของ
ถึงเวลาที่คณะเดินทางและจักรพรรดิเฉียนหลงต้องลาจากกันแล้ว พระองค์เดินเข้าหาขุนนางที่จะต้องเดินทางไปสยามทั้ง 3 คน เมื่อพวกมันเห็นพระองค์เดินเข้ามาต่างก็คุกเข่าทำความเคารพพระองค์อีกครั้ง พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาทั้งสามคน ว่า “การเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับอยุธยาในครั้งนี้ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกท่าน เนื่องจากอยุธยาเองก็มีศัตรูอยู่รอบด้านไม่ว่าจะเป็นละแวกหรือหงสาวดี ดังนั้นท่านทั้งสอง (หมายถึงจางชิวและหลิวจวิน) ต้องคุ้มกันท่านฟางให้ดี ข้าขอให้พวกท่านจงโชคดี” ทั้งสาม ต่างรับคำและกล่าวคำสรรเสริญพระองค์อย่างพร้อมเพียง
จากนั้นพระองค์จึงเดินไปหา ไต้ซือฝูอี้ซิน พร้อมตรัสกับสมณะเจ้าว่า “หาท่านต้องการค้นพบสิ่งใด ขอให้ท่านจงค้นพบสิ่งนั้น” จากนั้นทรงทำความเคารพไต้ซือเฒ่าผู้นี้ ไต้ซือมองมาที่พระพักตร์ของพระองค์ก่อนกล่าวสั้นๆ “ต้าชิงจะเจริญหากยังมีพระองค์อยู่ อามิตตะพุทธ” จากนั้นจึงทำความเคารพพระองค์
สุดท้ายจึงเป็นคณะทูตจากแดนอโยธยา ขุนหมื่นช้างพรายทำความคารพองค์จักรพรรดิก่อนกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ขอขอบพระคุณ องค์ฮ่องเต้ที่ดูแลข้าพระพุทธเจ้า สองคนพ่อลูก จากถิ่นแดนไกลเป็นอย่างดี หม่อมฉันเชื่อว่าการทูตในครั้งนี้จะนำมาถึงประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย อย่างถาวร” จากนั้นเขาก็สะกิดบุตรชายของเขาให้รีบคุกเข่าทำความเคารพ เด็กชายรีบก้มลงคุกเข่าทันที พระองค์ทรงพระสรวลก่อนตรัสว่า “ขอขอบใจท่านทูตเป็นอย่างมาก ที่อุตส่าห์เดินทางไกลเป็นพันๆลี้ มายังถิ่นกันดารแห่งนี้ ข้าก็หวังให้ไมตรีของต้าชิงและอยุธยาเป็นอย่างฟ้ากับน้ำที่ไม่อาจพรากจากกัน” จากนั้นพระองค์ก็เรียกเหอเซิน ให้เขานำทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองเป็นของกำนันให้ขุนนางชาวสยามผู้นี้ ท่านขุนรีบก้มตัวลงกราบแทบเท้าของพระองค์อย่างสำนึกขอบคุณ หมาก เขาไม่สนใจในอากัปกริยาของบิดา เขายังคงก้มหน้ากราบกับพื้นเรืออยู่
จากนั้นพระองค์จึงให้ทั้งหมดลุกขึ้นยืนขึ้น หมาก เมื่อเขาทราบว่าในที่สุดต้องลาจากสหายที่สนิทที่สุดของเขาในต่างแดนนี้ แม้ว่าทั้งสอง จะเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่เหมือนกับพวกเขาทั้งสองต่างรู้จักกันมานานแรมปี นี้อาจนับเป็นโชคชะตาของทั้งสองนั้นสมพงษ์กัน ในตอนนี้หลายคนได้ทยอยลงเรือที่จะพาพวกเขาสู่จุดหมายปลายทาง เด็กชายรั้งไว้เป็นคนสุดท้าย
“รับท่า” ก่อนที่พระองค์จะเข้าจู่โจมเด็กชายอย่างรวดเร็ว เด็กชายหันกับมารับท่าโดยที่เขายังไม่ทันระวังตั้งตัว ก่อนที่เด็กชายจะทันตั้งมือรับท่าการโจมตีนั้น เด็กชายก็โดนองค์จักรพรรดิกระชากทุ่มลงใส่พื้นเรือลำเล็ก เด็กชายล้มลงที่พื้นเรือเล็กด้วยความเจ็บปวดปนความรู้สึกที่งุนงง จากนั้นเมื่อมันลุกขึ้น มันค่อยพบเห็นว่าในตอนนี้กองเรือทั้ง 6 ลำ ค่อยๆแล่นห่างออกไปไกลจากลำเรือของเขาของเขาขึ้นทุกทีแล้วมันก็ได้ยินเสียงขององค์จักรพรรดิทรงตะโกนดังขึ้นว่า “โชคดีนะ หมาก อย่าลืมสิ่งที่ข้าสอนเป็นบทเรียนสุดท้ายเมื่อครู่ละ” เด็กชายชายตอบกลับไปว่า “ข้าจะไม่มีวันลืมพระองค์ โดยเด็ดขาด” จากนั้นต่างโบกไม้โบกมือกัน จนในที่สุดกองเรือราชสำนักได้หายไปลับตา แต่ทว่าหมากยังคงจ้องมองที่ทางทิศนั้นอยู่ด้วยรอยยิ้มและน้ำตา เขามีลางสังหรณ์ว่าจากกันครั้งนี้เขาคงไม่มีโอกาสเจอหลออี้ ผู้แสนดีผู้นี้อีกแล้ว ด้วยฐานะและวรรณะที่ต่างชั้นกัน แต่เขาจะพยายามปฏิบัติตนในแบบอย่างเช่นหลออี้ ให้ได้
ทั้งหมดอยู่รวมกันที่ส่วนหน้าของเรือโดย ขุนหมื่นช้างพราย เป็นผู้นำในการกล่าวถึงแผนการทั้งหมดที่วางไว้ หลังจากที่มาถึงสยามประเทศแล้ว โดยเขาได้เริ่มกล่าวขึ้นว่า “อีกไม่ถึง 1 ชั่วยาม ทั้งหมดจะมาถึงที่ท่าเรือเชียงของ ที่นั้นจะมีคณะของ พันจักรทอง มาคอยต้อนรับเราอยู่ จากนั้นเราจะเดินทางเข้าพักที่เชียงแสน 1 คืน ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เมือพะเยาเพื่อล่องเรือเดินทางสู่อโยธยาต่อ” ทุกคนต่างพยักหน้าเป็นเชิงรับฟังเข้าใจ
จากนั้น ไต้ซือฝูอี้ซิน ได้ถามท่านทูตว่า “เราไม่ได้แวะไปที่เมืองเชียงใหม่ก่อนเหรอ” เนื่องจากเมืองเชียงใหม่เป็นแหล่งรวมของศิลปวัฒนธรรมของล้านนา ทำให้หลวงจีนต้องการไปยลโฉมเมืองแห่งนี้สักครั้ง
ขุนหมื่นช้างพราย ได้ตอบกับหลวงจีนว่า “ตอนนี้เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองอิสระไม่ได้ขึ้นตรงอยู่กับอาณาจักรอโยธยาเรา อีกทั้งความสัมพันธ์ยังเป็นศัตรูมากกว่าเป็นมิตร เป็นไปไม่ได้เลยที่คณะเรานี้จะไปเมืองเชียงใหม่” หลวงจีนเมื่อได้รับฟังเช่นนั้นก็รับคำ จากนั้นท่านทูตแห่งสยามก็กล่าวต่อคณะต่อไปว่า “ระหว่างที่อยู่บนเรือลำนี้ เราจะให้หมาก บุตรชายของเราสอนภาษาของเราสยามแก่พวกท่านอีกครั้ง แต่ดูเหมือนไต้ซือจะสามารถพูดได้อยู่แล้ว จึงจะขอละไต้ซือไว้ละกัน” หลวงจีนกล่าวถ่อมตนอีกครั้ง ก่อนที่เด็กชายจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของมันโดยพลัน โดยมันเริ่มจากการทบทวนบทสนทนาง่ายให้แก่ทั้งหมดก่อน หลังจากที่ทั้ง 3 คน ถูกองค์จักรพรรดิตำหนิมา ทำให้พวกเขามีความตั้งใจที่จะร่ำเรียนมากขึ้น แล้วในที่สุดเรือลำน้อยก็เข้าเทียบท่าที่เมืองเชียงของ
เมื่อเรือได้เข้าเทียบฝั่ง ขุนหมื่นช้างพราย เขาได้สอดส่องมองหาพันจักรทอง ผู้ที่จะมาคอยต้อนรับคณะทูต ท่านขุนเคยพบหน้ากันกับพันจักรทองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในช่วงก่อนที่เขาจะเดินทางมายังประเทศจีน จึงจดจำหน้าตาของพันจักรทองผู้นี้ไม่ออก ที่เมืองเชียงของนี้ถือว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญของแคว้นล้านนา เนื่องจากเป็นพรมแดนที่สามารถข้ามไปประเทศจีน เมืองเชียงรุ้ง และไม่ห่างไกลจากหลวงพระบาง จึงเป็นแหล่งซื้อหาค้าขายของพ่อค้าจากทั่วทุกทิศทาง ทำให้เมืองที่มีประชากรไม่หนาแน่นแห่งนี้ ดูมีชีวิตชีวีวาขึ้นมาอย่างถนัดตา
จากนั้น ท่านทูตก็ได้ยินเสียงร้องเรียกอยากฝูงชนกลุ่มหนึ่งขึ้นว่า “ท่านขุนหมื่นช้างพราย ท่านขุนหมื่นช้างพราย” เมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกเช่นนั้นก็หันไปมองที่ทางต้นเสียงทันที แล้วเขาก็ได้พบกับ พันจักรทอง ซึ่งเขาเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 33-34 ปี ไว้ผมทรงมหาดไทเรียบเป็นทรง ใบหน้าวงรีเกลี้ยงเกลาไร้ทั้งหนวดและเครา แต่งตัวโอ่อ่าบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ตน พันจักรทอง ผู้นี้จัดว่าเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและอนาคตไกลผู้หนึ่ง เขายืนคู่กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสอง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ชายคนด้านข้างนี้มีใบหน้าดำหยาบกร้านรูปลักษณ์บึกบึนล่ำสั้น แต่หน้าตาอัปลักษณ์ดูหน้ากลัว เมื่อเขาเห็นทั้งสอง จึงดินตรงข้าหาเลยทันที
พันจักรทองชิงยกมือไหว้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กว่ามันก่อน เมื่อชายอัปลักษณ์แลเห็นจึงปฏิบัติตาม ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเข้าใจขนบธรรมเนียมของขุนนางสักเท่าไหร่นัก พันจักทองจึงแนะนำชายหน้าตาอัปลักษณ์ให้กับขุนหมื่นช้างพรายได้รู้จัก เขามีชื่อว่า นายแท่น เป็นผู้ชนะการคัดเลือกการเข้ารับราชการกองอาทมาทจากเมืองพิษณุโลก ซึ่งวิธีการคัดเลือกนี้สืบทอดมาตั้งแต่สมัยพระนเรศวร แล้วอันที่จริงการคัดเลือกลักษณะนี้มีด้วยกันหลายเมืองหลายแคว้น แต่ดูเหมือนว่าที่พิษณุโลกนี้จะได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะอาจเป็นเมื่อก่อนพระนเรศวรทรงเป็นผู้คัดเลือกด้วยตัวพระองค์เอง นายแท่นผู้นี้เป็นชาวบางระจัน ซึ่งเป็นเมืองผู้กล้าที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จ พันจักรทองก็บอกให้นายทหารต่ำศักดิ์กว่าไปบอกพวกทหารนายอื่นๆให้เตรียมพร้อมออกเดินทาง
ขุนหมื่นช้างพราย พาทั้งสองมาพบกับท่านทูตฟางเกาจิ้งและคนอื่นๆ ซึ่งพันจักรทองก็แสดงความเคารพนอบน้อมกับทุกๆคน ยกเว้นแต่ หมาก เพียงลูบศีรษะของเด็กชายเท่านั้น จากนั้นมันก็กล่าวแปลเป็นภาษาจีนได้ใจความว่า “นายเหนือของข้าพระเจ้า ทราบว่าพวกท่านเดินรอนแรมมาจากแดนไกลและไม่มีเงินแห่งราชอาณาจักรอยุธยาและแคว้นล้านนาติดตัว นายเหนือของข้าจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งแบ่งให้พวกท่าน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกพวกท่านสำหรับการเดินทาง”
ขุนหมื่นช้างพรายรับเงินจากมือของพันจักรทองส่งให้แก่ฟางเกาจิ้ง ซึ่งตัวท่านทูตดูพอใจกับการต้อนรับของขุนนางชาวสยามผู้นี้อย่างมาก ส่วนทางด้านหลิวจวิน เขาไม่รับเงินจากพันจักรทอง เพียงชี้ไปที่ จางชิว เพื่อให้เขาเป็นคนดูแลแทน จางชิวรับเงินมาและรีบเก็บไว้ในกระเป๋าข้างในเสื้อของเขาทันที ฝั่งด้าน ไต้ซือฝูอี้ซิน ย่อมไม่รับเงินไว้กับตัวเอง ท้ายสุดเขาจึงมอบเงินที่เหลือทั้งหมดให้กับขุนหมื่นช้างพราย ซึ่งดูเหมือนเขาจะยินดีอย่างยิ่ง จากนั้นพันจักรทองก็บอกกับทั้งหมดว่า พวกเขาได้เตรียมม้าให้กับกลุ่มคณะเดินทางทุกคนเพื่อเป็นของขวัญสำหรับการแรกพบหน้า มีแต่ฟางเกาจิ้ง ขุนหมื่นช้างพราย และจางชิว ที่ดีใจส่วนคนอื่นๆดูเฉยๆ หลิวจวิน มองค้อนเชิงตำหนิลูกศิษย์ของตน ทำให้จางชิวถึงกับจ๋อยไปเลย เด็กชายรู้สึกประทับใจกับการเอาอกใจเอาใจใส่กับทุกๆคนของขุนนางผู้นี้ แต่มันก็รู้สึกว่าเขาจะประจบประแจงกลุ่มคณะเดินทางมากเกินไป ซึ่งเขามักเคยเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นบิดาของมันหรือว่าจะเป็น เหอเซิน ขุนนางจากเมืองจีน ซึ่งทำให้มันไม่มีความรู้สึกที่ดีกับพฤติกรรมประเภทนี้เท่าไหร่นัก
จากนั้นท่านขุนจึงแวะไปหาจุ่น พ่อบ้านของเขา ซึ่งเป็นคนที่ดูแลเรื่องการค้าขายให้กับเขา ท่านขุนยินดียิ่งที่พบว่าการเดินทางครั้งนอกจากจะทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ว การค้าก็ได้กำไรงดงามอีกด้วย เขาจึงให้พ่อบ้านหาจ้างคนงานนำสมบัติที่ได้มาเดินกลับอโยธยาไปก่อน โดยเขาจะเดินทางไปกับคณะทูต แล้วพบกันที่เรือนของเขา พ่อบ้านผู้รับคำ ก่อนทักทายกับหมาก จากนั้นมันจึงเดินทางจากในทันที
ในขณะนั้น แท่นได้พาทหารมาเพิ่มอีก 15 คน พร้อมกับม้าอีกจำนวน 5 ตัว โดยพันจักรทองได้ส่งมอบม้าทั้ง 5 ตัวให้กับท่านทูตทั้ง 2 ประเทศ ก่อนมอบต่อให้ไต้ซือกับองครักษ์ทั้ง 2 คน ไต้ซือฝูอี้ซินและมือปราบทั้ง 2 รับไว้ด้วยความยินดี ส่วนเด็กชายรู้สึกไม่ยินดีเท่าไหร่เมื่อเห็นว่าตนไม่ได้รับม้ากับเขาบ้าง
แท่นกล่าวกับ พันจักรทอง “นายท่านข้าไม่เห็นด้วยที่ท่านมอบม้าให้ชนชั้นบ่าวไพร่ทั้ง 2 คนนี้ พวกข้าชายชาติทหารไม่ตีตนเทียบชนชั้นเสมอนาย” พันจักรทอง เห็นเช่นนั้นจึงดุด่าแท่นว่า “เจ้าคนป่าคนเขาจะรู้ประสีประสาอะไร เอ็งอย่าได้ริอาจกล่าววาจาสามหาวนี้ต่อหน้าข้าอีก ถ้าข้าพบเห็นความถ่อยของเอ็ง ข้าจะกุดหัวของเอ็งออกมา ไสหัวไป นำนายทหารไพร่ของเอ็งนำหน้าไปได้แล้ว” กลุ่มคณะเดินทางหันมามองที่ทั้งสอง เนื่องจากเสียงของพันจักรทองนั้นดังมาก ตัวหมากรู้สึกไม่พอใจในการกระทำของพันจักรทอง มันคิดว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ควรให้เกียรติชนชั้นผู้น้องด้วย ซึ่งต่างกับขุนหมื่นช้างพรายบิดาของมัน ที่ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจในการกระทำของขุนนางสยามผู้นี้ เขาคิดชนชั้นผู้น้อยต้องก้มหัวให้กับขุนนางชั้นใหญ่
แท่นสะกดกั้นอารมณ์ของมันเอาไว้ แล้วรีบสะบัดหน้าเดินจากไปในทันที หมากรู้สึกไม่พอใจต่อการข่มเหงของพันจักรทอง จึงรีบเดินเข้าไปพูดคุยกับแท่นว่า “พี่ท่านอย่าได้สนใจ วาจาของคนต่ำช้าเช่นมันเลย” เด็กชายพูดด้วยวาจาที่แสดงถึงอารมณ์ฉุนเฉียว
ชายหนุ่มเมื่อได้ยินเช่นนั้น ต้องหยุดเดินแล้วหันมามองหมาก ก่อนที่จะถอนหายใจกล่าวตอบมันไปว่า “เฮ้อ เด็กอย่างเจ้ามันจะไปเข้าใจอะไร ที่ข้ามาเป็นทหารเพราะต้องการเลียนเยื่องผู้กล้าที่พลีชีพปกป้องบ้านเมือง ไหนเลยคาดคิดว่าต้องมาเป็นทาสรับใช้เจ้าคนสอพลอพันธุ์นี้” ความอดกลั่นของมันอาจจะถึงขีดสุดแล้ว
เด็กชายเหมือนจะเข้าใจวาจาของมัน มันกล่าวกับนายแท่นต่อไปว่า “ท่านจงอย่าได้อคติกับเหล่าองครักษ์ชาวจีนเลย ที่เขามีม้าไว้ใช้คงมีเหตุผลของเขา” ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “ข้าจึงไม่เข้าใจเรื่องขนบธรรมเนียม อะไรพรรคนี้สักเท่าใดนัก รู้แต่ว่าข้ามีฝีมือในเพลงกระบองของข้าก็พอแล้ว” เด็กชายยิ้มและกล่าวกับเขาว่า “ท่านดูซื่อสัตย์ต่างกับขุนนางคนอื่นๆที่ข้ารู้จักมา ข้าต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับท่าน” ชายอัปลักษณ์เผยอยิ้มเป็นครั้งแรกพร้อมกล่าวว่า “ได้สิ เจ้าตัวน้อย ตัวข้านอกจากชาวบ้านบางระจันแล้ว ก็ไม่มีมิตรที่ไหนเลย” มันรู้สึกพิลึกพิลั่นอยู่บาง ตัวมันเป็นถึงนายทหาร แต่กลับมาพูดคุยกับเด็กชายตัวกระเปี๊ยกที่เลียนแบบผู้ใหญ่อยู่ แต่มันก็ชอบในความซื่อตรงของเด็กชาย ดังนั้น ทั้งสองคน จึงได้แตะมือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของพวกมัน
หมากรู้สึกว่าหลังจากที่มันได้พบกับหลออี้หรือจักรพรรดิเฉียนหลง นิสัยใจคอของมันนั้นเปลี่ยนไป ตัวของมันกลับลดความเอาแต่ใจลง แต่เพิ่มความเห็นใจผู้อื่นหมากขึ้น ลดความอ่อนแอของตัวเองลง เพิ่มความเข้มแข็งและกล้าแสดงความคิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งนำทางให้หมากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตโดยได้เริ่มต้นจากวันทัศนคติที่เปลี่ยนไปในวันนี้นั้นเอง
จากนั้นมีนายทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาร้องเรียกนายแท่น มันจึงเดินตรงเข้าหาชายผู้นั้น ก่อนที่ชายผู้นั้นจะซุบซิบที่ข้างหูของมัน ซึ่งเมื่อมันได้รับสาสน์ข้อความ ทำเอาใบหน้าอัปลักษณ์ของมันยิ่งดูบิดเบี้ยวน่ากลัวเข้าไปอีก หมากรู้สึกสงสัยว่าทั้งสองกำลังคุยถึงเรื่องใดกัน แต่มันคาดว่าคงไม่ใช้เรื่องที่ดีแน่ พอนายทหารกล่าวจบ มันก็รีบวิ่งจากไป นายเรืองหันมาหาเด็กชาย แล้วบอกกับหมากว่า “มาทางนี้เร็วเข้า ข้ามีเรื่องที่จะต้องรีบแจ้งแก่พันจักรทองให้มันทราบ”
ทั้งสอง รีบวิ่งตรงเขาหาเหล่าคณะเดินทาง เมื่อมาถึงแท่นรีบเข้ากระซิบบอกเรื่องราวที่เขาเพิ่งได้ยินให้แก่พันจักรทอง เมื่อจักรทองได้ยินเช่นนั้น มันถึงกับหน้าถอดสี ก่อนที่มันผละจากแท่น แล้วรีบเดินมุ่งหน้าไปหาขุนหมื่นช้างพราย เพื่อหารือกับเขาทันที หลังจากที่หารือเสร็จ ขุนหมื่นช้างพรายจึงเรียกบุคคลที่มีรายชื่อต่อไปนี้เข้าประชุมในทันที ซึ่ง ได้แก่ ตัวขุนหมื่นช้างพรายเอง ฟางเกาจิ้ง ไต้ซือฝูอี้ซิน หลิวจวิน จางชิว และตัวของพันจักรทอง นายแท่นสั่งทหารสร้างกระโจมสำหรับการหารือของพวกมัน ซึ่งทำให้เด็กชายสงสัยเป็นอย่างมากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วทำไมตัวนายเรืองเอง ผู้ที่เป็นคนบอกเล่าเรื่องราวให้แก่พันจักรทอง ถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมประชุมด้วย เด็กชายจึงค่อยรู้สึกตัวว่า เรื่องทั้งหมดคงเป็นเพราะชนชั้นของนายแท่น ที่ทำให้มันไม่คุณสมบัติเข้าร่วมด้วย
หมากถามชายหนุ่มด้วยความสงสัยว่า “ท่านบอกอะไรแก่เขา” เมื่อเด็กชายถามเขาเช่นนั้น นายทหารคนอื่นๆก็เดินมาถามเขาในทำนองเดียวกัน ชายหนุ่มถอนหายใจพลาง พร้อมกล่าวกับทั้งหมดว่า “เมื่อครู่ ไอ้เตาบอกกับข้าว่า มีกลุ่มคนทำลับๆล่ออยู่กลุ่มหนึ่ง กำลังจับจ้องมองพวกเราอยู่” นายทหารคนหนึ่งก็ถามเขาว่า “พวกมันเป็นพวกใดกัน” ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะเป็นคำถามที่ทั้งหมดต้องการที่จะทราบเช่นกัน
แท่นตอบด้วยใบหน้าที่ครุ่นคิดว่า “ไอ้เตา ไม่ได้บอกว่าเป็นพวกไหน แต่ข้าสังหรณ์ใจว่าเป็นพวกพม่ารามัญ” เมื่อชายหนุ่มให้คำตอบเช่นนี้ เด็กชายร้องด้วยความตระหนกอย่างลืมตัว ท่ามกลางเสียงซุบซิบของนายทหารคนอื่นๆ
เด็กชายร้องบอกให้นายแท่น เป็นความหมายว่า หมากต้องการคุยกับมันเพียงลำพังสองคน เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึง หมากรีบร้องถามเขาว่า “ท่านพิสูจน์แล้วหรอว่าเป็นฝ่ายพม่าหรือ เมื่อท่านบอกพวกทหารเหล่านั้นไปแล้ว ท่านไม่กลัวหรือว่า เมื่อพวกทหารรับรู้เรื่องพวกพม่ารามัญ จะไม่หวั่นวิตกหรือ” เด็กชายสอบถามด้วยความเป็นห่วง
ชายหนุ่มส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกังวลดอก ทหารเหล่านี้เป็นคนของข้า ข้าฝึกมาเองกับมือ ไม่มีทหารผู้ใดในสยามที่จะเกรงกลัวต่อทัพพม่ารามัญ” เขาตอบด้วยความเชื่อมั่น แต่เด็กชายยังสังหรณ์ว่าระหว่างการเดินทางไปอโยธยา คงมีอุปสรรครอพวกมันอยู่ข้างหน้าเป็นแน่
ทั้งสองได้ยินเสียงดังเซ็งแซ่ที่ด้านหลัง พวกเขาหันหลังกลับกับไป แล้วพบว่าเหล่าทหาร ทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาทีเดียว มีทหารนาหนึ่งเดินตรงมาหาพวกมัน พร้อมเอ่ยปากถามนายแท่นว่า “หัวหน้า พวกเราจะทำยังไงต่อไปดี” นายทหารทุกนายต่างก็รอคำตอบของนายแท่น แต่แล้วนายทหารอีกนายหนึ่งกลับเปิดประเด็นขึ้นว่า “มันไม่ยุติธรรมสำหรับหัวหน้าเลย ท่านหัวหน้าเป็นหัวหน้าคุ้มกันคณะเดินทางนี้ ที่จริงมันควรให้ท่านมีปากมีเสียงร่วมหารือด้วยเช่นกัน” นายทหารอีกนายก็พูดแทรกขึ้นมาอีกว่า “ตั้งแต่พวกเราเดินทางกันมา มีแต่ไอ้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั้น กระทำกับพวกเราเยี่ยงทาส พวกเราเป็นไท ไม่ใช่ทาสในเรือนของมัน” ทหารนายคนนั้นยังไม่ทันพูดจบ อีกคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ข้าว่าเราไม่จำเป็นต้องสู้ให้พวกมันพวกเรามิสู้หนีเอาตัวรอดเสียดีกว่า” จากนั้นเสียงของนายคนอื่นๆดังขึ้นอย่างไม่ยอมหยุด หมากพบว่าความสัมพันธ์ที่ผ่านระหว่างพันจักรทองกับกลุ่มทหารพวกนี้ถึงขั้นเลวร้ายเลยก็ว่าได้ และดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยากที่จะควบคุมแล้ว ขณะที่มันจะหันไปหาแท่น แท่นกลับเป็นฝ่ายที่พูดสวนขึ้นมาเองว่า “หยุดก่อน” นายทหารต่างหยุดโดยพร้อมเพรียง แม้แต่เด็กชายยังตื่นตระหนกในน้ำเสียงแฝงความด้วยอำนาจของเขา
ชายหนุ่มขมึงสายตาเข้มกวาดมองไปที่ใบหน้าของนายทหารทุกนาย ก่อนกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเอ็งเป็นข้าไพร่ของผู้ใด พวกเอ็งเป็นทหารของแผ่นดินนี้ ไฉนถึงทำตัวเนรคุณเลียนอย่างพวกโจรใจทมิฬ…”
“เมื่อบ้านเมืองมีภัย พวกเราต้องสามัคคีกัน ปกป้องระวังภัย” หมากมองไปที่มัน หมากคิดว่าในตอนนี้แท่นเหมือนกับเป็นคนละคนกับคนที่มันคุยด้วยเมื่อสักครู่นี้เลย ตอนนี้มันดูน่าเกรงขามและมีความเป็นผู้นำยิ่ง จากนั้นมันก็เหลียวหน้าไปหานายทหารผู้อื่นทีละนายๆ ซึ่งกลุ่มทหารพวกนั้นมีสีหน้าสำนึกผิดในทันที
ไม่รีรอช้า แท่นรีบสั่งการทหารเหล่านั้นเป็นการใหญ่ โดยมันได้ส่งทหาร 2 นายไปเฝ้าระวังเจ้าเตา โดยมีอีกคนคอยประสานอยู่ห่างๆ จากนั้นมันได้สั่งอีก 2 นาย ให้กลับไปเฝ้าระวังที่ท่าเรือ ส่วนอีก 3 นาย ให้ไปประจำที่จุดตลาด อีก 1 นายให้เฝ้าระวังม้าของพวกมันไว้ ส่วนที่เหลือให้รออยู่ที่ค่ายทหารพร้อมกับตัวมัน การสั่งการของมันนั้น ทั้งเด็จขาดและรวดเร็ว แม้แต่หมากยังคงชื่นชมในความสามารถของมันเลย จากนั้น ทั้งหมดเฝ้ารอการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ส่วนข้างในกระโจมนั้นก็มีการพูดคุยกันต่อไป โดยไม่ใครสนใจการสั่งการของทหารกล้าเช่นนายแท่นเลย
จากนั้นไม่นาน นายทั้งหมดก็กลับมา รวมถึงเจ้าเตาด้วย สีหน้าของแท่นไม่สู้ดี มันทราบได้ถึงบรรยากาศที่จะเกิดขึ้น เจ้าเตาไม่รอให้มันเอ่ยปากขึ้น มันชิงตอบออกมาก่อน “ขณะนี้นายทหารสอดแนมของทัพพม่ารามัญได้ถูกเรียกลับทุกนายแล้ว” นายทหารคนอื่น รวมทั้งหมากต่างก็พากันร้องเฮฮาออกมา ด้วยความปลื้มปิติใจ มีเพียงนายแท่นคนเดียวที่ไม่มีอาการดีใจในเหตุการณ์นี้ มันรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับการกระทำของทัพพม่า ด้วยความไม่วางใจ มันจึงสั่งให้เตากลับไปประจำจุดของมันต่อไป
และขณะที่มันกำลังจะพูดต่อไปนั้น ก็มีเสียงๆหนึ่งขึ้นขัดจังหวะมันว่า “พวกเอ็งโวยวายแบบนี้ พวกเอ็งจะก่อกบฏกันหรอ ไอ้แท่นมึงคิดว่ามึงชนะการประลองถ่อยๆนั้น จะสามารถกำแหงกับกูได้เหรอ” พันจักรทอง ชี้หน้าด่าทอแท่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
นายทหารคนอื่นเมื่อเห็น พันจักรทอง กล่าวเช่นนี้ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่เหล่าทหารขึ้น ต่างพากันชี้หน้าด่าทอก่อความวุ่นวายขึ้น พันจักรทอง พลันชักดาบของตนออกมาด้วยความลืมตัว ยิ่งเสริมฟืนลงเตาไฟขึ้นอีก เมื่อทั้ง 2 องครักษ์เห็นเช่นนั้นต่างพากันปกป้องทั้ง 2 ทูต ทั้งสยามและต้าชิง ส่วนตัวหมากนั้นรับรู้ถึงแรงอาฆาตของนายพันผู้นี้
เมื่อแท่นเห็นเช่นนั้นต้องตะโกนร้องอีกครั้งว่า “พวกเอ็งจงหยุด” หมาก รู้สึกเสียงของชายหนุ่มจากบางระจันผู้นี้มีมนต์คลังทำให้ทุกคนชุดการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งอีกครั้ง แม้แต่ทั้ง 2 องครักษ์ยังชื่นชมพลังและการตัดสินใจของแท่นเลย เมื่อทุกคนหันมาจับจ้องที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงกล่าวต่อไปว่า “พวกมึงเก็บอาวุธให้หมด” จากนั้นเดินตรงเข้าไปหา พันจักรทอง พร้อมทั้งอธิบายเรื่องราวที่หน่วยลาดตระเวนของทัพพม่าถอยทัพ
แม้ว่ามันจะยินดีที่หน่วยลาดตระเวนทัพพม่าจะจากไปแล้ว แต่มันยังคงแค้นที่พวกทหารตะโกนด่าต่อว่ามัน อีกทั้งพร้อมชักอาวุธต่อต้านมันเมื่อครู่นี้อยู่ แท่นคิดว่าหากปล่อยให้นานไป คงไม่ดีแน่ มันจึงตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด นั้นคือ มันก้มลงคุกเข่าต่อพันจักรทองพร้อมกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “พวกมึงจงเก็บอาวุธให้หมด” เด็กชายหันไปมองพวกทหาร ซึ่งเด็กชายเห็นว่าพวกทหารทั้งหมดล้วนแต่เก็บอาวุธ คงเหลือแต่พันจักรทองผู้เดียว ที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะเก็บอาวุธลงเป็นคนสุดท้าย พันจักรทองมองหน้าชายหนุ่มอย่างตื่นๆ ก่อนที่จะพูดกับชายหนุ่มว่า “เอ็งจะทำไร”
สาเหตุที่ชายหนุ่มกระทำเช่นนี้ เพราะมันต้องการให้เหตุการณ์เหล่านี้จบลงโดยเร็ว มันไม่สนว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก ตัวมันรู้เพียงแค่ ชีวิตของมัน หวังที่จะรับราชการทหาร ดังนั้น การเป็นทหารนั้น ต่อให้จะต้องแลกกับชื่อเสียงทั้งหมดที่เคยสั่งสมมานั้น มันก็ยอม ดังนั้น มันจึงกล่าวโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นว่า “ความวุ่นวายครั้งนี้ เกิดจากข้าน้อยขาดความสามารถในการควบคุมลูกน้อง ดังนั้น ข้าน้อยจึงขอยอมรับผิดแต่ผู้เดียว”
“ไม่” เด็กชายที่รีบไปวิ่งอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มเป็นคนพูดขึ้น ทำเอาทุกๆคนถึงกับอึ้งกันอีกครั้ง ขุนหมื่นช้างพลาย พูดเบาๆว่า “หมาก”
ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมา โดยมันกลัวว่าเด็กชายจะถูกลงโทษตามมันไปด้วย ในที่ขณะที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากกล่าววาจานั้น ตัวมันถูกหมาก ชิงกล่าวขึ้นก่อนว่า “ท่านขุนนางโปรดอย่าลงโทษพี่แท่นเลย พี่แท่นขยันขันแข็งในงาน อีกยังช่วยห้ามปรามอีก พวกนั้นหาได้ขัดขืนท่านไม่” กล่าวจบเด็กชายยกมือก้มศีรษะไหว้มัน เมื่อทหารทุกนายได้เห็นความกล้าหาญของเด็กชาย พวกมันต่างพากันก้มตัวลงกราบพันจักรทอง พร้อมทั้งให้เขาลงโทษพวกมัน
เมื่อพันจักรทอง เห็นดังนั้นจึงกล่าวกับทั้งหมดว่า “เห็นแก่ความผิดครั้งแรกของพวกมึง กูจะยังไม่ลงอาญา เพียงนำไอ้แท่น ไปโบยสัก 20 ที แล้วปลดยศออกเป็นไพร่เช่นเดิม” ทุกคนยังคงคุกเข่าขออภัยโทษให้แก่นายแท่นแก่พันจักรทอง ตัวมันกลับรู้สึกยินดีที่ได้เห็นคนอื่นยกย่องเกียรติมันเช่นนี้ ขณะที่มันได้คืบแล้วจะเอาศอกอีก
ขุนหมื่นช้างพราย คงทนเสียไม่ได้ที่บุตรชายเคารพนอบน้อมให้แก่ขุนนางผู้ยศต่ำกว่า เขาจึงก้าวเดินออกมายังข้างหน้า โดยที่ทั้ง 2 องครักษ์ก็ไม่ได้ทีท่าที่จะห้ามเขาแต่อย่างใด จากนั้นท่านขุนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหโกรธาขึ้นว่า “พวกเจ้าทั้งหมดลุกขึ้น หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะกุดหัวพวกเจ้าให้หมดทุกคน” พอกล่าวจบก็สะบัดหันหลังกลับไปที่จุดเดิมโดยทันที
เมื่อทั้งหมดเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมาแสดงความยินดีกับเด็กชายและ นายแท่น เหล่าทหารพากันชมเชยในความกล้าหาญของเด็กชาย บ้างสวมกอดพร้อมยกเขาขึ้นจนตัวลอย ตั้งแต่เกิดมานี่คงเป็นครั้งแรกที่มีคนมาแสดงความยินดีกับเขามากมายขนาดนี้ เด็กชายใช้ชีวิตร่อนเร่ไปที่ต่างๆกับบิดาตั้งแต่จำความได้ จนมา 2 ถึง 3 ปี หลังนี้ ตั้งแต่บิดาของมันสามารถซื้อตำแหน่งได้ จึงทำให้พวกมีฐานะทางการเงินดีขึ้นมาก การเปลี่ยนที่บ่อยๆนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กชายไม่ค่อยมีเพื่อน มันจึงไม่ค่อยมีสังคมมากนัก แต่ในตอนนี้กลับมีผู้คนหลายสิบคนกำลังโห่ร้องยินดีกับมัน ทำให้มันรู้สึกมีคุณค่าอย่างยิ่ง
พันจักรทอง กวาดมองพวกทหารที่โห่ร้องด้วยความดีใจอย่างโกรธแค้น ก่อนที่เขาจะหันไปมองที่เงาด้านหลังของ ขุนหมื่นช้างพลาย มันมองด้วยความโกรธแค้นที่ท่านขุนได้หักหน้ามัน มันจึงเดินหนีจากไปยังทิศที่ตั้งของตลาด
ขณะนั้นเองก็มีเสียงภาษาประหลาดดังก้องขึ้นว่า “พวกมึงไม่อายเด็กน้อยหรอ ถ้าเป็นข้า ข้าเชือดคอตัวเองตายนานแล้ว” ผู้กล่าวคือ จางชิว เขาพูดออกมาจากความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน จนหลิวจวินต้องออกมาปรามมัน ก่อนที่จะลากมันไปนั่งสมาธิที่ตรงอีกฝากหนึ่ง
แม้ว่าพวกทหารจะฟังภาษาจีนไม่ออก แต่พวกมันย่อมทราบว่าต้องไม่ใช่คำพูดที่สื่อความหมายที่ดีแน่ การกระทำของจางชิวกลับสะกิดอารมณ์ทีกำลังเดือดของพวกมันกลับมาอีกครั้ง นายทหารบางคนร้องด่าทั้ง จางชิว รวมทั้งประเทศจีนอย่างเสียๆหายๆ
จนกระทั้งหลวงจีนเฒ่าเดินออกมาห้ามพวกเขาไว้ พร้อมทั้งกล่าวว่า “ท่านทูตจากสยาม เห็นว่าในวันนี้ดึกมากแล้ว เป็นเช้าวันพรุ่งนี้เขาออกเดินทาง ขออภัยต่อความหยาบคายของมัน มันไม่รู้ขนบธรรมเนียมของถิ่นนี้ ถือว่าอาตมาเป็นตัวแทนของมันขอโทษพวกท่านแทนเถอะ” กล่าวจบพลันก้มโค้งศีรษะ ทั้งหมดเห็นสมณะเฒ่าออกโรงด้วยตัวเอง จึงยอมจากลาแต่โดยดี เหลือเพียงเด็กชายและ นายแท่น อยู่รวมกัน 3 คน เท่านั้น
แท่นกล่าวขอบใจเด็กชาย ซึ่งเด็กชายก็กล่าวถ่อมตัวว่าเรื่องที่มันกระทำนั้นเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ แท่นบอกกับหมากต่อไปว่า เมื่อหมากโตขึ้นมันต้องเป็นยอดขุนพลแน่ จนหมากมันขำออกมา จากนั้นจึงตอบกลับไปว่า “วิชาการต่อสู้ก็ข้าไม่มี ข้าคงเป็นได้แต่ทนายหน้าห้องเสียงมากกว่า” จากนั้นทั้งสองจึงหัวเราะออกมาพร้อมกัน หลังจากนั้นมันจึงบอกเด็กชายว่า ตัวมันจะไปจัดเวรยามป้องกันก่อน เด็กชายพยักหน้าแล้วก้าวเดินออกมา แต่แล้วไต้ซือเฒ่าก็ร้องเรียกรั้งเด็กชายเอาไว้ ท่านบอกแต่เพียง’ว่า “gen wo zhou” (ตามอาตมามา) จากนั้นหมากจึงเดินตามหลวงจันเฒ่าไปที่กระโจมของท่าน
เมื่อมาถึงกระโจมที่พัก หลวงจีนเฒ่าจึงสั่งให้หมากนั่งลงบนพื้นกระโจม จากนั้นหลวงจีนได้ชมเชยในความกล้าหาญของเด็กชาย ว่า “เจ้าเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นดี แต่ข้าจะขัดเกลาเจ้าให้ดียิ่งขึ้นอีก” พอหลวงจีนเฒ่ากล่าวจบ ซึ่งใบหน้าของพระองค์ยิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนที่ท่านจะบอกให้เด็กชายนั่งลงขัดสมาธิเอาไว้
หลวงจีนได้ถามเด็กชายว่า “เจ้าเคยฝึกทำสมาธิมาก่อนหรือไม่” เด็กชายส่ายหัวบ่งบอกว่าไม่เคย หลวงจีนยิ้มจากนั้นจึงถามเขาต่อว่า “รู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงต้องฝึกสมาธิ”
เด็กชายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบอย่างท้อแท้ว่า “แม้หนูจะเคยได้ยินการฝึกสมาธิของสถาบันสงฆ์มาบ้าง แต่หนูไม่เคยบวชเรียนเหมือนเด็กคนอื่น เพราะว่าหนูต้องย้ายสถานที่อยู่บ่อย บิดาจึงจ้างอาจารย์มาสอนที่เรือนเพื่อแทนการเรียนการสอนที่วัด”
หลวงจีนเฒ่ายิ้มก่อนจะบอกให้เด็กชายเงยหน้าขึ้น เด็กชายปฏิบัติตามทันที หลวงจีนยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะกล่าวว่า “การฝึกสมาธิมีประโยชน์แก่ทุกคน ทั้งพระภิกษุหรือฆราวาส การฝึกสมาธิเป็นการเสริมสร้างสติปัญญา การมีสติระลึกได้”
เด็กชายทำหน้างุนงง ก่อนกล่าวว่า “การฝึกสมาธิสามารถเสริมสร้างปัญญาได้อย่างไร”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลวงจีนหัวเราะ ก่อนกล่าวว่า “การทำสมาธิเป็นการฝึกจิตให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อพิจารณาสิ่งใดสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้ ได้ใช้ความคิดของตนพินิจอย่างรอบคอบ ถึงความสำคัญหรือการแก้ปัญหา ทำให้มีสติและสมาธิไม่หวั่นไหวแต่สิ่งรอบข้างแต่อย่างใด” กล่าวจบพลางยิ้มออกมา
เด็กชายยังทำหน้าตาสงสัยคล้ายกับตัวเขายังไม่เข้าในคำพูดที่ลึกซึ้งของหลวงจีนเฒ่า ก่อนกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “เหตุใดหนูจำต้องฝึกสมาธิด้วย”
หลวงจีนถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำถามของเด็กชาย หลวงจีนจึงกล่าวสวนเด็กชายกลับมาว่า “วันนี้อาตมาได้เห็นการตัดสินใจที่บ้าบิ่นของเจ้า แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาดี แต่ถ้าผลลัพธ์กลับตาลปัตรเป็นตรงกันข้าม เจ้าอาจไม่สามารถรักษาชีวิตน้อยๆของเจ้าไว้ได้ เจ้าลองทำตามที่อาตมาบอก จงใช้สติปัญญาของเจ้าเพ่งจิตใคร่ครวญในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ดี” จากนั้นหลวงจีนก็ให้เด็กชายวางมือซ้ายทับมือขวาแล้วนำมาวางไว้ที่ตักของมัน ก่อนที่จะให้เด็กชายได้ลองนั่งทำสมาธิดู โดยท่านจะติดตามดูอยู่บริเวณด้านข้าง
เด็กชายเพ่งจิตพร้อมระลึกถึงคำพูดของหลวงจีนที่ว่าให้ เพ่งจิตใคร่ครวญในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เมื่อมันลองนึกดูว่าเมื่อครู่นี้ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่น เรื่องการประชุม เรื่องความวุ่นวายของทหาร เรื่องที่บิดาของตนกล่าว หรือเรื่องที่พี่แท่นขอรับการลงโทษแต่เพียงผู้เดียว เมื่อได้นึกถึงเรื่องนี้ จิตของมันดูจะไม่สงบนิ่ง ตาของมันดูเหมือนต้องการที่ลืมเสียมากกว่า ตามร่างกายคล้ายกับว่ามีแมลงตอมไต่ไปทั่ว ในที่สุดเขาก็ลืมตาโพลงขึ้นพร้อมทั้งใช้มือซ้ายเกาบริเวณที่ตัวแมลงไต่ตอม แต่ก็หามีแมลงตัวใดไต่ตอมมันไม่
ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลวงจีนหัวเราขึ้นเมื่อได้ปฏิกิริยาของเด็กชาย หมากหันมองหลวงจีนด้วยท่าทีงุนงงสงสัย ตอนนี้มันยังไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลวงจีนหันมองที่เด็กชาย ก่อนกล่าวกับมันว่า “บทเรียนแรกจบแค่ตรงนี้ เจ้าลองหมั่นฝึกสมาธิดูด้วยตนเองก่อนละกัน หากมีข้อสงสัยสามารถถามอาตมาได้ทุกเมื่อ” จากนั้นจึงใช้รอยยิ้มส่งหมากกลับกระโจมของมันไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ