เกาะ D
เขียนโดย LittleBlue
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 19.17 น.
แก้ไขเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558 19.41 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1) เขายังมีชีวิตอยู่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดครึ้มบนท่าเรือขนาดใหญ่มีเสียงกระซิบแตกตื่นของผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกนำตัวมาที่แห่งนี้โดยไม่รู้เหตุผลแน่ชัด บริเวณข้อมือของพวกเขาถูกใส่คุณแจมืออย่างแน่นหนา หลายต่อหลายคนดูร้อนรนและมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวแต่หญิงสาวผู้ซึ่งใบหน้าถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าคลุมหัวสีเทากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด สีหน้าของเธอไร้ซึ่งความรู้สึก สายตาของเธอดูว่างเปล่าราวกลับว่ารอบตัวเธอนั้นไร้ซึ่งผู้คน เธอดูเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าเธอยังมีชิวิตอยู่คือร่างกายที่ยังคงทรงตัวยืนอยู่ได้
“ทำไมต้องจับพวกเรา?”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”
“จะพาพวกเราไปไหน?”
“นี่มันไม่มีเหตุผล!”
เสียงของเหล่าผู้คนที่ตอนแรกเป็นแค่เสียงกระซิบนั้นเริ่มแผ่กระจายและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมันไม่ใช่เสียงกระซิบอีกต่อไป ผู้คนเริ่มโวยวายและสติแตก หญิงสาวแหงนหน้าใช้สายตาอันแสนว่างเปล่ามองไปรอบๆอย่างเหม่อลอย เสียงโวยจากผู้คนรอบตัวเธอไม่ได้ทำให้เธอสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ‘ไม่สน’ หญิงสาวคิด ‘ไม่สนอะไรทั้งนั้น’ มันเป็นความคิดที่อยู่กับเธอมานานจนเหมือนกับว่ามันได้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใต้สำนึกของเธอ
“ยินดีต้อนรับพวกเธอทุกคน” คำพูดที่ทะลุผ่านเสียงโวยวายของผู้คนเรียกให้หญิงสาวขยับสายตาไปหา เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายรูปร่างไม่ใหญ่โต ไว้หนวดเคราและดูมีอายุ เขาคือคนที่ทุกคนในที่นั้นเฝ้ารอคอยซึ่งนั่นรวมถึงเธอด้วย ที่แตกต่างคงจะเป็นเหตุผล คนอื่นๆนั้นเฝ้ารอคำอธิบายและคำตอบในขนะที่เธอเฝ้ารอที่จะถูกพาตัวไปที่ไหนก็ตามที่พวกเขาจะพาไป ใช่เธออยากไปจากที่นี่ ไปยังที่ๆห่างไกล หญิงสาวเปิดประสาทการรับฟังหลังจากที่ปิดมันไว้นาน
“พวกเธอทุกคนไม่ต้องกลัวไป เพราะที่ๆพวกเธอจะไปนั้นมีไว้สำหรับพวกเธอโดยเฉพาะ พวกเธอซึ่งแตกต่างจากคนอื่นๆนะ ในสังคมที่พวกเธออยู่นั้นพวกเธออาจอยู่อย่างไม่เป็นสุขเพราะความแตกต่างนั้นแต่ที่ๆเราจะส่งพวกเธอไปนั้นเป็นดั่งสวรรค์สำหรับพวกเธอเชียวละ มันคือเกาะที่มีชื่อว่า D” ผู้ชายวัยกลางคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มซึ่งหญิงสาวมองแวบแรกก็ให้คำจำกัดความว่า ‘จอมปลอม’ หญิงสาวละสายตาจากผู้ชายวัยกลางและเพ่งมันไปยังกลุ่มคน ‘กำลังมีคนออกมา’หญิงสาวคิดและจากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายร่างกำยำแวกฝูงชนที่ตอนนี้เงียบกริบออกมา
“อย่ามาโกหกเสียให้ยากเลย! เกาะสวรรค์อะไรเล่า?! ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ทำไมไม่มีข่าวคราวเรื่องเกาะนั้นเลย ฉันนะก่อนถูกจับมาที่นี่เป็นนักข่าว ฉันพยายามสืบเรื่องเกาะที่ว่านั้นแต่ไม่ว่าจะสืบยังไงก็ไม่ได้อะไรเลย เกาะเกอะอะไรนั่นมีชื่อว่าDนะไม่ไช่เพราะมันหมายความว่า DEATH (ความตาย)หรือยังไง อย่างเดียวที่ฉันรู้เกี่ยวกับเกาะนั่นคือถ้าไปที่นั้นจะไม่ได้กลับมาอย่างแน่นอน” ผู้ชายร่างกำยำตะโกนใส่ผู้ชายไว้เคราอย่างมีโทสะและสิ่งที่หลุดออกจากปากของเขาทำให้เกิดเสียงฮือฮาจากผู้คนอีกครั้ง แต่แล้วเสียงต่างๆก็เงียบลงเมื่อทหารในชุดนำ้เงินคนเดิมพูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“แล้วยังไงละ พวกเธอไร้ทางเลือก เสียใจด้วยนะ”
“ไม่มีทาง! นายทำกับพวกเราแบบนี้ไม่ได้ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปละก็..” ผู้ชายร่างกำยำพูดอย่างไม่ยอมแพ้
“แล้วจะทำไม? พวกเธอทุกคนนะมันไอพวกตัวประหลาดที่น่ารังเกียจ แล้วขอบอกนะว่านี่มันเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการ ฮ่าฮ่าฮ่า” คำพูดอันแสนอำมหิตปะปนไปกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันดูถูก
“แก!!!” ผู้ชายร่างใหญ่ตะโกนอย่างโกรธกริ้วพร้อมกับเสื้อผ้าของตนที่ฉีกขาดอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น เสียงตะโกนในตอนแรกกลายเป็นเสียงคำรามคล้ายสัตว์ป่าดุร้าย ตามตัวนั้นมีขนขึ้นไปหมด ปากที่ตอนนี้เต็มไปด้วยฟันแหลมคมซีกโตขยับ
“ฉันจะไม่ยอมไปเกาะนั้นเด็ดขาด” พูดจบร่างยักษ์นั้นก็พุ่งเข้าใส่ทหารในชุดนำ้เงิน แต่แทนที่ทหารวัยกลางคนนั้นจะตื่นตกใจกับสถานการณ์ที่กำลังจะถูกทำร้ายเขากลับหัวเราะชอบใจ
“เป็นรูปร่างที่น่ารังเกียจสมกับเป็นสัตว์ประหลาด ดูยังไงก็ไม่มีทางเป็นมนุษย์อย่างพวกฉันได้” พูดจบนายทหารก็หันไปหาลูกน้องในชุดนำ้เงินเช่นตนและออกคำสั่งด้วยนำ้เสียงสะใจปนเคียดแค้น
“เก็บมันซะ” เหล่าทหารทั้งหลายหันปืนใส่ร่างยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามา รถถังพร้อมปืนใหญ่ที่ตั้งตระหง่าอยู่ด้านหลังของหัวหน้่าทหารวัยกลางคนก็ทำเช่นกันและพวกเขาก็ระดมยิงต่อเนื่องหลายนาที หญิงสาวมองเหตุการทั้งหมดด้วยดวงตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น สายตาของเธอเหลือบไปมองซากศพที่นอนอยู่บนพื้นหลังจากควันของฝุ่นจากการปะทะเริ่มจางลง
“เจ้าทหารคนนั้นตั้งใจพูดยุให้เจ้าหมอนั่นโจมตีก่อนเพื่อที่จะระดมยิง เฮ่ออโหดชะมัด” นำ้เสียงขี้เล่นผิดกับสิ่งที่พูดดังขึ้นลอยๆจากด้านหลัง หญิงสาวเหลือบไปมองคนพูดและพบว่าคำพูดนั้นเร็ดลอดออกมาจากปากชายหนุ่มเจ้าของผมสีเหลืองซึ่งตอนนี้มีสีหน้าไม่ต่างจากเด็กที่กำลังสนุกกันการเล่นเกม ชายหนุ่มผมสีเหลืองเหมือนจะรู้ว่าถูกมองอยู่จึงหันมา พวกเขาสบตากันและเป็นชายหนุ่มที่เบือนสายตาไปก่อนแต่หญิงสาวกลับไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองใบหน้าของหญิงสาวแต่ไม่เป็นผลเพราะผ้าคลุมผืนใหญ่ที่เธอใส่อยู่ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาฉีกยิ้มแทนและเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณผู้หญิง”
หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับหันหน้าไปทางอื่นราวกับเมื่อกี้นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีพระอาทิตย์มองการกระทำนั้นด้วยแววตางุนงงแต่ก็เลิกใส่ใจกับมันเมื่อพวกทหารเป่าประกาศให้เหล่าผู้คนที่ใส่คุณแจมือทุกคนขึ้นเรือเพื่อออกเดินทาง
หญิงสาวมองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างด้วยสีหน้าที่ไม่มีความรู้สึกแต่อย่างใดราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิต แต่ภายใต้แววตาแสนว่างเปล่านั้นมีร่องรอยของความเจ็บปวดแฝงอยู่ ‘เหลือฉันคนเดียว...’
“นี่ทำบ้าอะไรอยู่นะ ขึ้นเรือซะ!” เสียงตะโกนจากหนึ่งในทหารทำลายความคิดของหญิงสาว แววตาของความเจ็บปวดหายไปและเธอก็เดินขึ้นเรือไป พวกเขาปลดคุณแจมือให้เธอ ก่อนจะบอกให้เธอไปยังห้องพักที่พวกเขากำหนดเอาไว้ หญิงสาวหยุดลงหน้าประตูเหล็กหนา ทหารคนที่นำทางเธอเปิดประตูออกก่อนจะผลักตัวเธอเข้าไป ทันทีที่ร่างของเธอเข้าไปในห้องประตูเหล็กก็ถูกปิดลงดังปั้ง หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ ในห้องนั้นไม่ใหญ่มาก ไม่มีกระจกหรือหน้าต่างให้เห็นและทุกอย่างดูจะทำมาจากเหล็กอย่างเดียวกับตัวเรือ หลังจากสายตามองไปรอบห้องอย่างถี่ถ้วนแล้วหญิงสาวจึงทราบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในห้องก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มเส้นผมสีเหลืองคนนั้น ทุกสายตาจ้องมาที่เธอแต่ราวกับไม่รู้สึกถึงสายตาเหล่านั้นหญิงสาวเดินไปยังตรงที่ว่างในมุมห้องและนั่งลงในทันที ทั้งห้องเงียบกริบ หญิงสาวหลับตาลงแต่แล้วก็ลืมตาขึ้น สายตาเบนไปมองประตูเหล็กเบื้องหน้าและจากนั้นไม่กี่นาที ประตูเหล็กหนาก็เปิดออกอย่างแรงเผยให้เห็นคนสามคน
“ไง พวกแกทุกคนนะจะต้องฟังสิ่งที่ฉันพูดเข้าใจไหม!?” คนตรงกลางหน้าตานักเลงพูดอย่างไม่เกรงใจใคร
“นี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ” หนึ่งในคนที่นั่งอยู่ถามขึ้นแต่ทันทีที่พูดจบก็ถูกคนตรงกลางต่อยเข้าให้ เสียงหวาดกลัวปนสะอึกสะอื้นดังออกมาจากชายหนุ่มร่างเล็กใ่ส่แว่นซึ่งนั่งข้างๆกับหญิงสาว หญิงสาวได้แต่มองความกลัวจากผู้ชายร่างเล็กคนนั้นด้วยความอิจฉา ‘นานเท่าไร่แล้วที่เราไม่ได้รู้สึกถึงความกลัว ใช่มันนานมากแล้วและเราคงจะไม่ได้รู้สึกถึงมันอีก’
“พวกแกจำไว้ให้ดีว่าอย่าบังอาจมาถือดีกับท่านทาทาร่าคนนี้ เกาะที่ๆเราจะไปคงจะเป็นเกาะประเภทที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และฉันเนี่ยและจะเป็นปลาใหญ่เอง” ชายร่างใหญ่พูดจบก็ปล่อยใบมีดออกมาจากแขนของตนอย่างต้องการข่มขู่ ทุกคนในห้องเงียบกริบ “เอาพวกแกเริ่มได้” ทาทาร่าหันไปสั่งคนที่มาด้วย แล้วพวกเขาก็เข้ามาค้นกระเป๋าของคนในห้อง หญิงสาวไม่ได้ขยับไปไหนและมองเหตุการนั้นอย่างสงบนิ่ง การกระทำที่เบื้องหน้าหญิงสาวได้แต่คิดว่า ‘ไร้สาระ’ ไม่นานก็มีเสียงคนร้องโอดครวญออกมา หญิงสาวหันไปมองก็พบพวกลูกน้องของทาทาร่านอนเหมือบอยู่โดยคนกระทำคือชายหนุ่มเจ้าของผมพระอาทิตย์
“นี่ๆ เข้ามาแบบนั้นจะให้ฉันไม่ตอบโต้คงไม่ได้หรอกนะ” ชายหนุ่มเส้มผมสีเหลืองพูดทีเล่นทีจริง
“แก!” ทาทาร่าเห็นลูกน้องรับมือไม่ไหวก็หันมาจะเอาเรื่องแต่ชายหนุ่มกลับโยนกระเป๋าตัวเองให้ซะงั้นแล้วพูดด้วยนำ้เสียงสบายๆ
“เอาไปสิ จริงๆฉันก็ไม่ใช่คนห่วงของอะไรหรอก ถ้าขอดีๆก็ให้แต่แรกแล้ว”
“แกในนี้ไม่มีอะไรเลยนี่หว่า” ทาทาร่าตะโกน
ชายหนุ่มยักไหล่ “ฉันเป็นพวกไม่ชอบเอาของติดตัวนะ”
การกระทำที่แสนไม่มีเหตุผลนั้นทำให้หญิงสาวตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายหนุ่มผมเหลือง ‘หมอนั่นต้องมีอะไรแน่ๆ’ เธอไม่ต้องการมีเรื่อง เธออยากอยู่นิ่งๆ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนมีพิรุธ
“นี่เอาของเธอมา” หนึ่งในลูกสมุนของทาทาร่าหันความสนใจมาที่เธอหลังจากได้สิ่งที่ต้องการ หญิงสาวละความสนใจจากชายหนุ่มผมเหลืองมายังคนตรงหน้า
“ไม่มี” หญิงสาวตอบ
“อย่ามาโกหก!” ฝ่ายตรงข้ามเริ่มขึ้นเสียง หญิงสาวขมวดคิ้ว ‘น่ารำคาญ’ หญิงสาวคิด ฝ่ายตรงข้ามเริ่มหมดความอดทนเมื่อเห็นหญิงสาวยังนิ่งแต่ก่อนที่จะลงมือทำร้ายหญิงสาวก็เกิดเสียงดังขึ้น
“นี่ๆพวกดูเจ้าหมอนี่ดิ พลังมันงี่เง่าดี” หนึ่งในสมุนทาทาร่าเอ่ยซึ่งเรียกร้องความสนใจเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าหญิงสาวได้เป็นอย่างดี ‘ค่อยยังชั่ว’ หญิงสาวคิด
“เจ้าหมอมันควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้วะ มันแยกชิ้นส่วนของนาฬิกาตัวเอง กากชะมัดยาด” สมุนของทาทาร่าพูดอย่างดูถูกพร้อมเสียงหัวเราะ
“ได้โปรดอย่าเอาของๆผมไป” ชายหนุ่มร่างเล็กสวมแว่นคนนั้นพูดทั้งนำ้ตา หญิงสาวซึ่งจ้องการกระทำนั้นอยู่ได้แต่รู้สึกอนาถก่อนจะละความสนใจ
“นี่มันอะไรวะ” พวกของทาทาร่ายังคงรังแกคนสวมแว่นต่อไป
“นั่นมัน! ได้โปรดคืนสิ่งนั่นให้ผมด้วยมันสำคัญกับผมมาก” ชายหนุ่มใส่แว่นเริ่มร้อนรน
“ของสำคัญงั้นเหรอ งั้นก็นี่” ทาทาร่าเดินข้ามาหยิบเจ้าสิ่งนั้นขึ้นพร้อมกับขยี้มันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มสวมแว่นเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนสายตานั้นจะกลายเป็นความเกรี้ยวโกรธ
“แกทำกับของสำคัญที่คุณแม่ให้ฉัน แก!” ชายหนุ่มดวงตาสั่นคำรามจากนั้นก็เอามือไปจับกับตัวต่ออะไรซักอย่างในห้องทำให้เกิดการแยกส่วนของสิ่งนั้น เพดานเริ่มสั่นคลอนก่อนจะถล่มลงมาตรงจุดที่เจ้านักเลงร่างใหญ่ยืนอยู่พอดิบพอดี แต่เป็นโชคร้ายของหนุ่มสวมแว่นเพราะทาทาร่าหลบได้จึงไม่เป็นอะไร ทาทาร่าหันไปหาชายหนุ่ม
“แกกล้ามากนะไอสี่ตา ฉันจะฆ่าแก!” ชายหนุ่มเจ้าของแว่นตาเหมือนจะพึ่งกลับมาสู่โลกปัจจุบันจึงเริ่มตัวสั่นแววตาเต็มไปด้วยความกลัว จากนั้นเขาก็ออกตัววิ่งไปยังรูที่กำแพงซึ่งพลังของเขาได้แยกชิ้นส่วนเอาไว้ก่อนหน้านี้ ‘ฉันยังไม่อยากตาย ทำไมฉันถึงทำเรื่องบ้าๆอย่างงั้นกันนะ โดยที่ควบคุมพลังตัวเองไม่ได้แท้ๆ’ ชายหนุ่มวิ่งไปพร้อมกับความคิดกลัวตายเต็มหัว
หญิงสาวถอนหายใจเมื่อความยุ่งเหยิงนั้นได้ออกจากในห้องไปแล้ว เจ้าแว่นนั่นทำให้เธอต้องออกตัวหลบการถล่มของเพดานในห้องโดยที่เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันทำให้เธออารมณ์เสียยังไงก็ไม่รู้
‘เอ๊ะ เราโกรธงั้นเหรอ! เราไม่ได้รู้สึกอะไรมานานแล้ว แล้วทำไม?’ คำถามต่างผุดขึ้นมาในหัวของเธอแต่ก่อนที่เธอจะหาคำตอบเจอ เสียงของชายหนุ่มผมสีพระอาทิตย์ก็เข้ามาทำลายความคิดของเธอ
“เจ้าแว่นนั่นจะเป็นคนที่ฉันไม่ต้องการเด็ดขาด แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้านั่นที่เปิดทางเอาไว้ให้ออกนอกห้องได้”
หญิงสาวมองชายหนุ่มตรงหน้าที่เอาแต่พูดอยู่คนเดียวอย่างนึกสงสัยในคำพูดแปลกๆของเขา คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดใจ ‘ช่างเหอะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา สำหรับเราแล้วเหลือแค่รอคอยความตายก็พอ’ ชายหนุ่มหันมาหาเธอแวบหนึ่งก่อนจะกระโดดออกไปจากห้องและหายไป หญิงสาวมองการกระทำนั่นเฉยๆก่อนจะนั่งลงเงียบๆและหลับตาลง ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีหญิงสาวก็ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและกระโดดออกจากห้องผ่านผนังที่ถูกทำลายก่อนหน้านี้และจึงพุ่งตัวออกไปอย่างว่องไวมุ่งไปทางทิศที่เธอสัมผัสได้ถึงพลังของเขาคนนั้น คนที่เธอคิดว่าตายไปแล้ว คนที่เป็นทุกอย่างสำหรับเธอ คนสำคัญของเธอ ‘จิน...เป็นจินจริงๆใช่ไหม’ หญิงสาวคิดพร้อมกันนำ้ตาที่เริ่มรุกรานแก้มนวลของเธอ นำ้ตาแห่งความหวัง
‘ถึงแล้ว’ หญิงสาวคิด ข้างหน้ามีเสียงการต่อสู้อย่างดุเดือดแต่หญิงสาวไม่สนใจ เธอเดินไปเบื้องหน้าอย่างเปิดเผย ไม่กลัวอันตรายใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้ในหัวเธอมีแต่ความคิดเกี่ยวกับเขาเท่านั้น เมื่อเธอไปถึง การต่อสู้ทั้งหมดก็สิ้นสุดไปแล้ว ภาพเบื้องหน้าคือทาทาร่าที่นอนมอบอยู่กับพื้นและหุ่นยนยักษ์ของทางทหารที่เละตุ้มเปะกองอยู่ข้างๆ แล้วก็ยังมีชายหนุ่มร่างเล็กที่ออกไปจากห้องคนแรกคนนั้นที่ดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและชายหนุ่มผมสีเหลืองที่ดูตื่นเต้นดีอกดีใจและกำลังพูดคุยอยู่กับชายคนหนึ่งผู้ซึ่งมีผมสีขาวยาวถึงกลางหลัง ใบหน้ายาว จมูกโด่ง แววตาคมแสนซื่อสัตย์ ใบหน้าน่าหลงไหลนั้นสำหรับหญิงสาวคือใบหน้าที่เธอแสนจะคิดถึง นำ้ตาที่หยุดไหลเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันมาพร้อมกับเสียงสะอื้นและรอยยิ้มน้อยๆบนริมฝีปากบางสีชมพู เสียงสะอื้นเบาหูที่ไม่ไกลนักเรียกความสนใจของชายหนุ่มทั้งสามให้หันไปมอง หญิงสาวเมื่อเห็นสายตาของคนที่เธอแสนคิดถึงก็ร้องไห้โห่ออกมาอย่างอดไม่ได้ ผู้ชายทั้งสามทำหน้าไม่ถูกโดยฉเพาะชายหนุ่มผมเหลืองเพราะก่อนหน้านี้ที่เจอหญิงสาวทำให้เขาคิดว่าเธอเป็นประเภทนิ่งๆไม่แสดงความรู้สึก เสียงร้องไห้ดำเนินต่อไปชายหนุ่มผมเหลืองจึงตัดสินใจพูดอะไรซักอย่างออกไปแต่ก่อนที่เขาจะได้โอกาสนั้นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยนำ้ตาก็โพล่งเข้ากอดชายหนุ่มเส้นผมสีขาวเงินซะก่อน
ชายหนุ่มที่อยู่ในออม้กอดของหญิงสาวนั้นยืนนิ่งปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้ ชายทั้งสองข้างๆก็ได้แต่มองภาพนั้นอย่างุนงง
ผ่านไปได้พักหนึ่งหญิงสาวก็ยังไม่หยุดรำ่ไห้และยังกอดชายหนุ่มแนน่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจถาม “เธอเป็นใคร?”
หญิงสาวได้ยินคำถามก็ปล่อยมือจากชายหนุ่มและพยายามหยุดเสียงร้องไห้ก่อนจะตอบ “ฉันเองจิน มินาโกะไง จิน” จากนั้นก็ถกผ้าคุมหัวลงซึ่งเผยให้เห็นเส้นผมยาวทองชมพู ม้วนเป็นรอนธรรมชาติตรงปลาย ใบหน้านวลขาวอมชมพูรูปไข ริมฝีปากบางน่าหลงไหลและแววตาโตใสสีทองงดงามถึงแม้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยคาบนำ้ตา ชายหนุ่มเจ้าของนามจินเบิกตากว้างพลางเอย่ “มินาโกะ เธอคือมินาโกะจริงๆใช่ไหม เธอ...เธอยังไม่ตาย” มินาโกะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มก่อนจะโผล่เข้าไปยังออม้แขนที่เปิดอ้ารอรับของชายหนุ่มผมขาว เมื่ออยู่ในออม้แขนแสนอบอุ่นและคุ้นเคยนั้นมินาโกะก็เริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง
“ฉันนึกว่าจินตายไปแล้ว...ฉัน..ฉันคิดถึงจินมากจริงๆ” หญิงสาวกระสิบใส่อกใหญ่ ทำให้คนตัวโตกว่ากระชับออม้กอดอย่างปลอบประโลม
“ฉันก็เหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับลูบหัวหญิงสาวเบาๆ หญิงสาวพยักหน้าหลายครั้งอย่างต้องการย้ำความคิดถึงของเธอให้เขา
ชายหนุ่มเห็นอย่างงั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างเอ็นดูก่อนจะถาม “แล้วคนอื่นๆหละ?”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวเงียบสนิท เธอก้มหน้าซบอกชายหนุ่มอย่างไม่อยากที่จะสบตาและเอ่ยถึงมัน ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวเงียบก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็อยากจะได้ยินจากปากของเธอว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ
“มินาโกะ...” เสียงเรียกจากชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยอารมทำให้หญิงสาวส่ายหน้าแรงๆก่อนจะตัดสินใจผลักออกจากออม้กอดอันอบอุ่น มินาโกะรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องไม่ยอมเลิกราจากการเค้นหาความจริงอย่างแน่นอนและเธอก็ตั้งใจจะบอกเขาแต่ไม่ใช่ตอนนี้ เธอยังไม่อยากเอ่ยถึงมันหรือแม้แต่นึกถึงมัน เธอยังไม่พร้อม หญิงสาวหันไปมองข้างหลังเมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งมาทางนี้
“มินาโกะ” ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินเรียกความสนใจของหญิงสาวให้กลับมาหาเขา หญิงสาวหันกลับมาตามที่เขาต้องการแต่สิ่งที่ออกจากปากของเธอไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้
“มีคนกำลังมา” มินาโกะเอ่ย เหตุผลหนึ่งก็เพื่อเตือนแต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อเปลี่ยนเรื่อง ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำกล่าวของหญิงสาวแต่หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงสายตาของชายหนุ่มที่แสดงออกถึงความไม่ยอมแพ้ ‘เขาคงจะถามเราอีกที’ มินาโกะคิดก่อนจะหันไปสบตาชายหนุ่มเส้นผมพระอาทิตย์ซึ่งเอ่ยถามเธอ
“ใครกำลังมา?”
หญิงสาวมองดวงตาสีฟ้าอยู่ครู่ก็ตอบ “พวกทหาร” นำ้เสียงเธอราบเรียบราวกับว่าการที่มีทหารกลุ่มใหญ่มุ่งมายังพวกเขานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ต่างกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเจ้าของคำถามที่สีหน้าแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าสถานการไม่ดีสักเท่าไร่ตรงกันข้ามกับปากที่ฉีกยิ้ม ในขนะที่ชายหนุ่มร่างเล็กใส่แว่นก็ทำหน้าตื่นกลัวสุดขีด
“เราจะทำยังไงกันดีครับ ถ้าพวกเขารู้ว่าเป็นพวกเราที่ก่อเรื่องละก็...” นายแว่นพูดเสียงสั่น
“ไม่ทันแล้วละ” หญิงสาวคนเดียวในที่นั้นเอ่ยจบทหารก็ล้อมรอบพวกเขาไว้หมดแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ