(FANFIC) THE HUNGER GAME EVOLUTION
เขียนโดย JOMTUP
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.49 น.
แก้ไขเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2557 08.20 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
4) ฝึกซ้อม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความศูนย์ฝึกซ้อมมีหอคอยที่ออกแบบมาเฉพาะบรรณากรและทีมงานนี่จะเป็นบ้านของเราจนกว่าเกมจะเปิดม่านที่พักของฉันใหญ่โตโอ่อ่าหรูหรายิ่งกว่าบ้านของฉันเสียอีก ลำพังแค่ในห้องก็มีปุ่มนับร้อยให้กดไม่ว่าจะเป็น ปุ่มดูทิวทัศน์รอบๆเมือง สั่งอาหาร เลือกเสื้อผ้า ทุกอย่างที่ฉันจะจินตนาการถึง ฉันอาบน้ำและไปที่ห้องอาหารไม่มีใครอยู่นอกจาก แคตนิส เพียงแค่เห็นหน้าเธอฉันก็นึกถึงพริม ถึงแม่ เรากอดกันโดยไม่พูดอะไร
“ฉันเสียใจ แวนด้า เสียใจเหลือเกิน” นั่นคือทั้งหมดที่เธอพูด เราไม่ค่อยได้พูดอะไรทำนองนี้ใส่กันมากนัก เราแยกจากันตอนคนอื่นๆมาถึง ฉันตักอาหารของตัวเองและมานั่งที่โต๊ะ ทุกคนพูดคุยกันตามมารยาทส่วนฉันกับปีเตอร์ พุ่งความสนใจไปยังอาหาร ซุปไก่ เนื้อสเต็กอย่างดี กับ สตูเนื้อนุ่ม ตอนที่เค้กถูกยกมาเสิร์ฟ ฉันนั้น แทบจะไม่เหลือที่ว่างในท้องให้ยัดแต่ฉันก็ยัดลงไปจนหมด
จากนั้นเราย้ายไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อดูเทปบันทึกภาพการเปิดตัวของเรา คู่จากเขต4ดูน่าประทับไม่น้อยเหมือนกัน ฉันจำเขาได้ เจสัน เขาดูดีและสง่ามาก แต่เมื่อมาถึงคู่ของเราไม่มีใครเทียบติด “เธอสองคนคิดเองหรือเปล่าที่ชูมือขึ้นแบบนั้น” พีต้าถาม
“ฉันเอง” ปีเตอร์ตอบ “ฉลาดเหมือนกันนะ” พีต้าชม
“ฉันได้สมองส่วนนายได้หน้าตาไง” คำแหย่ของปีเตอร์ ทำเอาเราทุกคนหัวเราะ เรานั่งดูพิธีการกล่าวต้อนรับของประธานาธิบดีที่น่าขยะแขยง เสร็จ
“พรุ่งนี้เช้ามาเจอฉันที่ห้องอาหาร ส่วนเธอสองคน แคตนิส พีต้า ไปนอนด้วยพรุ่งนี้เธอมีสัมภาษณ์และถ่าบแบบชุด” เฮย์มิตต์สั่งและไล่เราสี่คนไปนนอนอีกเช่นเคย
ตอนเราเดินออกมามานั้นแทนที่เราสี่คนจะเข้าห้องนอนแต่เรากลับมานั่งอยู่บนดาดฟ้าแทน เท้าเย็นเฉียบของฉันแตะอยุ่ที่พื้นขณะมองลงไปข้างล่างมองผู้คนตัวเล็กจิ๋วและแสงสีวูบวาบ ถ้าเป็นเวลานี้คนส่วนใหญ่ในเขต12คงเข้านอนกันหมด ไฟฟ้าในเขต12ก็ติดๆดับๆแต่ที่นี่ไม่ขาดแคลนไม่มีเลย “อยากเล่นเกมไหม” พีต้าถามออกมา เราเล่นเกมโดยเราแบ่งเป็นสองฝ่าย ฉันกับปีเตอร์ แคตนิสกับพีต้าเราจะโยน ลูกแอปเปิ้ลลงไปที่สนามพลังแล้วมันจะเด้งกลับมาให้อีกฝ่ายรับให้ได้ ในชีวิตฉันไม่ค่อยได้ทำอะไรสนุกแบบนี้มากนัก เราเล่นกับได้ประมาณสามสี่ตา ตอนที่เฮย์มิตต์มาไล่เราเข้าห้อง เราแยกย้ายกันทั้งที่ยังหัวเราะคิกคัก
การที่เล่นอะไรสนุกสนานบนดาดฟ้าไม่ได้นำฉันไปสู่ฝันที่ดีเลยแม้แต่น้อย ในฝันฉันพยายามวิ่งหนีฝูงมัตต์ ในขณะที่ขาสองข้างแทบไม่มีแรงวิ่งตอนที่มันมาถึงตัวฉันและตะครุบไว้ฉันกรีดร้องลั่นตื่นขึ้นมาเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฉันหายใจหอบพักใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกและเข้าไปยืนใต้ฝักบัว ล้างตัวออกจากเหงื่อเหนียวเหนอะ แสงรุ่งอรุณส่องผ่านหน้าต่างบอกว่าเป็นเวลาเช้าแล้วที่ฉันตื่น เมื่ออาบน้ำเสร็จฉันเจอเสื้อผ้าวางอยู่บนเตียงเป็นชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีดำลายแดงกับกางเกงขางยาวและร้องเท้าหนัง ฉันแต่งตัวมัดรวบผมไปด้านหลังแล้วมองตัวเองในกระจก ฉันดูใบหน้าเข้ารูปกับตาสีเขียวผมสีบอลนด์อ่อนๆ ตอนที่มีคนมาเคาะประตูฉันถึงรู้ว่าฉันสาย
เมื่อไปถึง เฮย์มิตต์กับปีเตอร์รออยู่แล้วฉันทักทายก่อนเดินไปตักอาหารของตัวเอง ฉันตื่นเต้นเรื่องการฝึกซ้อม ทุกคนมีเวลาฝึกซ้อมสามวันและวันสุดท้ายของการฝึก แต่ละคนจะมีโอกาสได้แสดงฝีมือต่อหน้าผู้คุมเกม แค่คิดถึงวันนั้นท้องไส้ฉันก็ปั่นป่วนไปหมด
เฮย์มิตต์ผลักจานออกหลังฟาดสตูกับสเต็กมาหลายจานและดื่นไวน์ที่วางอยู่บนโต๊ะอึกใหญ่ก่อนจะวางแก้วลง “เอาล่ะ ขอถามก่อนนะฉันจะสอนแยกกันถ้าเธอไม่ขัดข้อง” ฉันกับปีเตอร์มองหน้ากับก่อนที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด เราสองคนรอดได้แค่คนเดียว ดังนั้น ตอนนี้เราก็คือ ศัตตรูคู่อาฆาตกัน แต่ฉันไม่มีวันคิดแบบนั้นใส่ปีเตอร์ได้แน่
“ไม่ขัดข้องครับ” ตอนที่ปีเตอร์พูดออกไปนั้น ฉันถึงกับสะดุ้ง “อะไรนะ” ฉันถาม
“ฉันว่าคงดีกว่าถ้าเราสอนแยกกันอีกอย่าง เราจะฝึกได้รัดกุมกว่านะถ้าแยกกัน” คำพูดนั้นดูเหมือนแนะนำแต่กลับทำให้ฉันโกรธ ฝึกได้รัดกุมกว่าหรือนี่เขากลัวฉันเป็นตัวถ่วงเขาหรือเปล่า แล้วฉันก็ตระหนักถึงสิ่งที่ปีเตอร์พูดออกมาเราชนะเกมร่วมกันไม่ได้ ทำไมฉันไม่คิดก่อนหน้านี้นะว่าเราสองคนชนะร่วมกันไม่ได้ เราสองคนคนใดคนหนึ่งต้องตายหรือไม่ก็เราทั้งคู่ความคิดนี้ทำเอาฉันโกรธ ปีเตอร์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเขารู้ตัวอยู่แล้วแต่กลับไม่เคยแม้แต่จะแสดงออกถึงสิ่งที่เขาคิดทั้งที่มันอยู่ในหัวเขามาตลอด
“นาย กลัวว่าฉันจะฆ่านายละสิ” คำพูดไปไวกว่าความคิดฉันตอนที่พูดออกไป “ฉันไม่ได้กลัวและฉันก็จัดการเธอได้ไม่ยากด้วย ” ปีเตอร์ตอบ ฉันการฉันได้ไม่ยาก?
“แล้วทำไมต้องสอนแยกล่ะ อีกอย่างฉันรู้ว่านายมีความสามารถอะไรพอๆกับที่นายรู้ ที่สำคัญนายแน่ใจเหรอว่าจะจัดการฉันได้!” ฉันเถียงกลับ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะมองฉันแบบนี้ความคิดนั้นทำให้ฉันยอมรับไม่ได้กับความคิดนั้น
“เธอไม่มีวันฆ่าฉัน ฉันรู้” ปีตอบ “แต่ฉันอาจเปลี่ยนใจจากสิ่งที่นายพูดเมื่อกี้ก็ได้!” ฉันตะคอก
“เอาหละ ฉันว่าคู่เธอน่าปวดหัวกว่าญาติๆของเธอเสียอีก” เฮย์มิตต์พูดก่อนที่จะปรามเรา “ตกลงฉันจะสอนแยกให้เธอสองคนดูหนึ่งวันและอีกวันฉันจะสอนรวมกัน โอเคไหม?” เอย์มิตต์เสนอ
ฉันได้แต่พยักหน้าตกลงไม่มีทางเลือกมากนัก ก่อนที่จะปล่อยให้เฮย์มิตต์พูดต่อ “ทีนี้ฉันจะพูดกับ แวนด้าก่อนตกลงไหม นายออกไปรอข้างนอก” เมื่อปีเตอร์เดินจากไปความรู้สึกแรกที่แวบเข้ามาคือรู้สึกผิดที่พูดใส่เขาอย่างนั้น ฉันจะฆ่าเขาได้จริงหรือ? ไม่ ไม่แน่ๆ แค่ความคิดที่จะง้างสายธนูใส่เขาก็ทำเอาฉันผงะและสะอิดสะเอียดจนต้องรีบสะบัดหัวไล่มันไป
“ทีนี้ แวนด้า ฉันรู้แล้วว่าเธอพอจะยิงธนูได้บ้าง ฉันอยากรู้ว่าเธอยิงเก่งแค่ไหน” เฮยย์มิตต์ถามฉัน ฉันยิงเก่งแค่ไหนหรือ แค่คำถามแรกก็ทำเอาฉันสะดุด ฉันยิงได้ไวกว่าแคตนิส แต่แคตนิสแม่นกว่า น่าจะเป็นแบบนั้นใช่ไหม หรือแท้จริงไม่ใช่
“อืม ไม่แน่ใจ ก็พอใช้ได้ค่ะ” ฉันตอบพึมพำ
“นั่นดีกว่าทำอะไรไม่เป็นเลย เธอใช้มีดเป็นไหม” ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ บางครั้งเวลาล่าสัตว์ฉันจะขว้างมีดไปสำทับก่อนที่จะถึงตัวมัน “เอาล่ะ แผนของเธอก็คือ เธอต้องแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่เคยจับอาวุธสองชนิดนี้มาก่อนเลย ให้พวกเขาสอนเธอให้หมด และอย่างลืมทักษะการผูกเงื่อน หาอาหารและ ก่อกองไฟเป็นสำคัญ เธอจะต้องแบ่งเวลาฝึกเป็น ทักษะต่อสู้ครึ่งวัน ทักษะการอยู่รอดอีก ครึ่งวัน นั่นน่าจะพอดี แต่อย่าเผลอแสดงฝีมือการยิงธนูให้ทุกคนเห็นเด็ดขาด อ้อเวลาพักเที่ยงเธอต้องนั่งอยู่กับปีเตอร์ห้ามนั่งคนเดียวเด็ดขาด เข้าใจไหม แต่ตอนฝึกเธอแยกย้ายกันได้ เอาละ ออกไปได้แล้วมาเจอกันตอนสิบโมงเพื่อเริ่มฝึกซ้อม”
ฉันเดินก้าวฉับๆออกมาเจอปีเตอร์นั่งอยู่หน้าประตูความรู้สึกผิดแวบเข้ามาในอกทันทีนึกถึงสิ่งที่ฉันพูดและตะโกนใส่เขา เขามองหน้าฉันเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็รีบเดินเข้าไปก่อนที่ฉันจะทันได้ขอโทษเขา ฉันนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงตอนที่ปีเตอร์เดินออกมา พร้อมเเอฟฟี่ เธอพาเราไปยังลิฟต์เพื่อลงไปศูนย์ฝึกซ้อมที่อยู่ใต้ดิน ตอนลงไปนั้นมีบรรณาการอย่างน้อยครึ่งนึงรออยู่ บรรณาการทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมดเรารีบเดินไปเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม เมื่อสิบโมงบรรณาการคนอื่นๆมาครบ อะตะลาหัวหน้าผู้คุมการฝึกซ้อมเริ่มอธิบายและแนะนำสถานีต่างๆก่อนจะปล่อยเราแยกย้ายกัน เราสองคนยังยืนอยู่ที่เดิมตอนที่ปีเตอร์พูดขึ้น
“แวนด้า คือ ฉันอยากขอโทษเรื่อง…” ฉันตัดบท “ไม่ต้องหรอก ฉันน่าจะขอโทษมากกว่า เรื่อง….” ฉันพูดไม่ทันจบตอนที่ปีเตอร์ก้มลงมาจูบที่ปากอย่างอย่างแผ่วเบา ฉันผงะตกใจ กับสิ่งที่เขาทำไม่เคยมีเรื่องโรแมนติกระหว่างเรามาก่อน “บางทีเราจะฝึกด้วยกันก็ได้นะ” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะดึงฉันไปสถานีก่อกองไฟรู้สึกได้ว่าเราถูกมองจากบรรณาการส่วนใหญ่กับผู้คุมเกม สถานีก่อกองไฟร้างผู้คนผู้ฝึกสอนยินดีที่มีนักเรียน เรานั่งช่วยกันก่อกองไฟในขณะที่หัวฉันยังคิดถึงเรื่องจูบเมื่อกี้ เราเรียนการก่อกองไฟด้วยไม้ขีดกับหิน และไฟแช็ค ฉันฝึกร่วมช่วยโมงในที่สุดก็สามารถก่อกองไฟโดยใช้หินสองก้อนกระทบกันเพียงแค่ไม่กี่นาที จากนั้นก็ไปที่สถานียิงธนูฉันพยายามแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยยิงมาก่อนซึ่งคิดว่าคงได้ผลดีไม่น้อยเพราะธนูดอกแรกที่ฉันยิงฉันเล็งไปที่ข้างๆของเป้าวงกลมเรียกเสียงหัวเราะและเย้ยหยันจากพวกมืออาชีพที่กวัดแกว่งอาวุธอย่างคล่องแคล่ว เราฝึกอยู่ประมาณสองชั่วโมงตอนที่ เจสันโผล่มา
“หวัดดี เจอกันอีกแล้วนะ แวนด้า” เขาทักทายฉันโดยไม่สนใจปีเตอร์ที่ยืนอยู่กับฉัน ปีเตอร์มองด้วยสายตาประหลาดใจก่อนจะพูดออกไป “เราไม่มีเวลามาหาเพื่อนนักหรอกแต่ถ้าอยากได้เพื่อนมากนัก พวกนั้นน่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ” ปีเตอร์ชี้ไปทางพวกมือออาชีพ เจสันส่ายหน้าน้อยๆ “ แต่ฉันว่าฉันชอบพวกนายมากกว่า” ตอนที่พูดฉันไม่ได้คิดไปเองว่าเขามองมาทางฉันทำเอาสันเสียวสันหลังวูบ สุดท้ายฉันกับปีเตอร์ก็ได้แต่จำใจฝึกยิงธนูกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ฉันได้ความรู้ใหม่ๆจากผู้ฝึกสอนทำให้ฉันยิงเป้าได้แม่นขึ้น ตอนที่เราอยู่ในสถานีฝึกดาบนั้น ปีเตอร์แสดงความเก่งกาจให้เห็นด้วยการล้มคู่ต่อสู้สามคนให้เห็น ส่วนเจสัน ที่ดูเหมือนจะติดหนึบไม่ยอมไปไหนจากเราเสียทีนั้น ถือเป็นเพื่อนไม่เลว เขาสอนเราทุกอย่างเท่าที่เขารู้ดูไม่เหมือนกับตอนแรกที่เข้ามาหาเรา เขาถือเป็นมืออาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะเขาดูคล่องแคล่วว่องไว ขว้างหอกได้แม่นยำในระยะเกือบสิบห้าหลาและการใช้มันในระยะประชิดตัวได้คล่องแคล่ว ฉันสอนเรื่องการหาพืชผักผลไม้ที่กินได้เป็นการตอบแทนส่วนปีเตอร์สอนการขว้างมีดกับใช้ดาบให้ ฉันไม่ยักรู้มาก่อนว่าปีเตอร์เก่งขนาดนี้ เขาขว้างมีดได้แม่นยำและยังใช้ดาบได้คล่องแคล่ว พอฉันถามเขาถึงเรื่องนี้ ตอนที่เราอยู่ที่สถานีผูกเงื่อน
“ฉันคิดว่าอย่างน้อยเราก็น่าจะเตรียมพร้อมมาบ้างก่อนเข้าสู่เกม” เขาตอบแล้วก้มลงผูกเงื่อนต่อ
“ที่เขตฉันจะมีศูนย์ฝึกแบบเป็นทางการมากกว่า เราจะเรียนรู้วิธีใช้อาวุธหลายอย่างที่นั่น” เจสันแทรกขึ้นคำพูดนั้นทำให้ฉันกับปีเตอร์มองหน้ากัน ก่อนที่จะตระหนักว่าการทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกที่ลงโทษแต่กลับเป็นสิ่งที่ใครๆยกย่องและทำกัน “ขอบใจที่ตอกย้ำ” ปีเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เขาไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากผ่านพ้นวันแรกของการฝึก เฮย์มิตต์กับเอฟฟี่ซักอย่างละเอียด เราเล่าเรื่องของเจสันให้ฟังแทนที่เฮย์มิตต์จะบอกให้เราห่างเขาเอาไว้กลับสั่งกำชับว่าให้พยายามผูกมิตรแทนดังนั้นอีกวันของการฝึกเราพยายามพูดคุยผูกมิตรกับเขามากขึ้นพอตอนฝึกภาคบ่ายเขาพาบรรณาการหญิงอีกคนชื่อ เจน่า จากเขตของเขามาร่วมวงกับเราด้วย ตอนเราแยกกันฝึกนั้นฉันฝึกกับเธอ เจน่าถือเป็นเพื่อนที่ดีเลยทีเดียวเราสองคนแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆและเล่าเรื่องขำขันที่เคยเจอมาพอมารู้สึกอีกทีฉันก็นับเธอเป็นเพื่อนไปแล้ว
“ฉันคิดว่าเจสัน คงจะชอบเธอไม่น้อยเลยนะ” เจน่าพูดตอนที่เรากำลังเรียนการผูกเงื่อนฉันสงสัย “ทำไมเธอคิดแบบนั้นล่ะ” ฉันถาม รู้สึกหน้าร้อนผ่าว
“ฉันดูแววตาที่เขามองเธอ เอ่อ….ฉันไม่เคยเห็นเขามองใครแบบนั้นมาก่อน” คำพูดนั้นทำเอาฉันสะดุ้ง เจสันชอบฉันหรือบางทีเขาอาจจะชอบในแบบเพื่อนไม่ก็อยากเป็นมิตรแต่ฉันไม่ควรคิดเรื่องนั้นจากสถานการณ์ตอนนี้ “แล้วเธอชอบเขาไหม” ฉันลองหยั่งเชิง “ไม่หรอกเราเป็นญาติกัน” เจน่าตอบก่อนจะหัดไปสนใจกับเงื่อนต่อ
เมื่อเราฝึกเสร็จเฮย์มิตต์กับเอฟฟี่จะซักเราอย่างละเอียดและยังดูสนใจเรื่อง เจสันกับเจน่า เป็นพิเศษพรุ่งนี้เป็นวันซ้อมส่วนตัวเฮย์มิตต์จึงไล่ฉันกับปีเตอร์ไปนอน พอฉันถามถึงแคตนิส เขาตอบห้วนๆว่าตอนนี้เธอกำลังยุ่ง ฉันกลับเข้าห้องนอนพยายามข่มตาให้หลับแต่เปลือกตายังรู้สึกแข็งฉันนอนกระสับกระส่ายอยู่อีกไม่นานสุดท้ายฉันยอมแพ้ฉันลุกออกจากเตียงคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะออกจากห้องไปสูดอากาศที่ดาดฟ้าเมื่อไปถึงฉันพบว่าไม่ได้อยู่คนเดี่ยวใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างฉันเห็นปีเตอร์ยืนอยู่ตรงนั้นกำลังโยนลูกแอปเปิ้ลลงไปแล้วรอรับอยู่
“นอนไม่หลับเหรอ” ฉันถามนำไปก่อนเขาสะดุ้งปล่อยแอปเปิ้ลหลุดออกจากมือฉันก้มเก็บก่อนจะกัดใส่ปากหนึ่งคำ “เธอล่ะ” เขาถามกลับ
“สงสัยเป็นเพราะกาแฟที่ดื่มตอนกลางวัน” ฉันบอกเพราะตอนกลางวันฉันรู้สึกง่วงจึงดื่มกาแฟตอนมื้อกลางวัน “มานี่สิฉันจะทำอะไรให้ดู” ปีเตอร์พูดพร้อมยิ้ม ฉันเดินตามเขาไปอีกฝั่งหนึ่งของสวนเป็นดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานสวยงามละลานตาไปหมด
“หลับตาสิ” เขาบอก ฉันหลับตาตามที่ปีเตอร์สั่งฉันได้ยินเสียงเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบไปตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะเล่นซ่อนหาหรืออย่างอื่น “เอาล่ะลืมตาได้แล้ว” เมื่อลืมตาเขาก็ยื่นบางอย่างให้ฉันเป็นมงกุฎดอกไม้กับแหวนดอกไม้ที่ประดับจากดอกไม้หลากสี “สวยจัง นายทำได้ยังไง” ฉันไม่คิดว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้จากทั้งชีวิตที่เขาขลุกอยู่กับขนมปัง
“เวลาว่างๆฉันกับพีต้าชอบวาดรูปไม่ก็ทำอะไรที่เกี่ยวกับศิลปะนะ” เขาตอบก่อนจะสวมมงกุฎไว้ที่หัวฉัน ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรตอนที่ปีเตอร์คว้ามือซ้ายฉันขึ้นก่อนจะสวมแหวนนั้นให้ที่นิ้วนางเรามองหน้ากันซักพักตอนแรกฉันคิดว่าเขาคงกำลังคิดว่าจะถักดอกไม้เป็นรูปอะไรก่อนเขาจะพูด “ฉันชอบเธอ แวนด้า”
ฉันสะดุ้งรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปถึงทรวงอกตอนที่เขาพูดประโยคนั้น ปีเตอร์ชอบฉันหรือ? คำพูดนั้นทำเอาฉันผงะและรู้สึกสับสนไปหมดทั้งความรู้สึกตัวเอง……แล้วฉันชอบเขาหรือเปล่า?คำถามนั้นผุดขึ้นในใจถ้าฉันชอบเขานี่น่าจะเป็นโอกาสที่จะบอกแต่ถ้าฉันคิดกับเขาแค่เพื่อนละแบบนั้นจะทำร้ายเขาหรือเปล่า ฉันพยายามนึกภาพต่างๆที่เรารู้จักกันมา แต่ก็คิดหาคำตอบไม่ได้ ฉันแค่ไม่อยากหาเขาไปหาคนอื่น อยากให้เขาอยู่ใกล้ๆคอยปลอบใจตอนที่ฉันเศร้าคอยช่วยเหลือครอบครัวเรา หรือ อะไรอีก…ฉันคิดไม่ออก หากแค่นั้นสามารถอธิบายได้ฉันอาจจะชอบเขาจริงๆเหมือนกัน แต่กลับในสถานการณ์ตอนนี้ที่เราสองคำกำลังจะตาย ความรู้สึกแตกต่างออกไป
“ทำไมนาย เพิ่งมาบอกตอนนี้ล่ะ” คำถามนั้นทำเอาฉันเจ็บแปลบในอกอย่างแปลกประหลาด ปีเตอร์หยักคิ้วก่อนจะพูด “ฉันไม่รู้สิบางทีฉันอาจไม่มีโอกาสได้บอกเธอ” สีหน้าและแววตาเขาฉายแววเจ็บปวดออกมาชัดเจนแม้จะไม่มีน้ำตาคลอดแต่ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำร้ายเขาหากฉันบอกออกไป แต่ทำไมฉันจะบอกไม่ได้ล่ะในเมื่อฉันก็กำลังจะตาย
“ฉันก็…” ฉันพูดไม่จบเพราะปีเตอร์เอานิ้วปิดปากฉันก่อน “อย่าพูด ได้โปรด” เขาอ้อนวอน ฉันเลยโอบร้อบคอเขาก่อนจะดึงเขาเข้ามาจูบ เขาจูบตอบความรู้สึกหวาบหวามแผ่เข้ามาในอกพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดเราจูบกันอยู่เนิ่นนานตอนที่ฉันรู้สึกถึงหยดน้ำในตาของตัวเองกำลังไหลออกมา ปีเตอร์เช็ดออกให้อย่างแผ่วเบา เขามองหน้าฉันด้วยแววตาอบอุ่นในแบบที่ฉันโหยหามาตลอด
ฉันตื่นตอนฟ้าสางพบว่าตัวเองกำลังหนุนแขนปีเตอร์อยู่แต่เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งในแบบที่ใครหลายคนคิด ฉันจ้องหน้าปีเตอร์เขายังหลับตาพริ้มฉันพิจารณาใบหน้าที่คมคายได้สัดส่วนจมูกโด่งและริมฝีปากบางยากจะบอกได้ว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่งในโรงเรียนเราเลยก็ได้เขาสะดุ้งตื่นตอนที่ฉันขยับตัวเล็กน้อย เขายิ้มให้ฉันและเอามือฉันแนบกันริมฝีปากฉันยิ้ม
“ฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ เจอกับที่ห้องอาหาร” ปีเตอร์พยักหน้ารับฉันกลับมาที่ห้องของตัวเองถอดชุดที่ใส่เมื่อคืนทิ้งไว้ที่อ่างล้างหน้าและยืนอาบน้ำนานสองนานก่อนจะแต่งตัวไปที่ห้องอาหารปีเตอร์รอฉันอยู่ก่อนแล้วเขากำลังเล็มขนมปังอย่างช้า เราพยักหน้าให้กันก่อนฉันจะไปตักอาหารส่วนของตัวเอเรานั่งกินกันเงียบๆ อยู่ๆฉันก็คิดถึงเรื่องดาดฟ้าเมื่อคืนทำเอาหน้าร้อนผ่าวในขณะเดียวกันมันก็มาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบในอกที่พุ่งเข้ามาฉันรีบสะบัดความคิดนั้นทิ้ง
“คิดเรื่องเมื่อคืนอยู่สินะ” ปีเตอร์พูดทำเอาฉันสะดุ้ง “เปล่า” ฉันตอบแบบสั้นๆและเบือนหน้าหนีไม่อยากสบตาเขาตรงๆ
“ที่จริง…..ฉันคิดว่ามันคงไม่เหมาะที่จะบอกเธอหรือผูกมัดเธอ แต่..ฉันก็แค่อยากบอกเธอ” ปีเตอร์เงียบไม่พูดอะไรต่อฉันรอให้เขาพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่เขาก็ไม่นอกจากก้มหน้าหลบ
“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉัน…..” ฉันไม่กล้าพูดออกไปหากฉันพูดออกไปมันจะทำร้ายเราสองคนล่ะเพราะไม่ว่ายังไงเราก็ไม่มีทางได้เจอกันหรือเรื่อแบบนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นได้ฉันควรบอกเขาแบบนั้นหรือเปล่าแต่สิ่งที่ฉันพูดออกไปมีเพียงแค่ “เราเป็นเพื่อนกันแบบเดิมเถอะ” ฉันรู้สึกเหมือนเสียงแหบไปในคำท้ายๆ
ฉันรอปีเตอร์ตอบแต่เขากลับเงียบฉันคิดว่าเขาคงไม่พูดอะไรอีก “ก็ได้” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนเจ็บปวดแต่ฉันไม่มีทางเลือกฉันพยายามไม่มองหน้าเขาโดยตรงกลัวว่าหากมองหน้าเขาแล้วฉันจะร้องไห้ออกมาแต่เมื่อสายตาเราสบกันโดยบังเอิญกลับมีเพียงความโล่งอกที่ผุดขึ้น
“อย่างน้อยๆเราก็ยังเป็นเพื่อน เพื่อนที่ดีต่อกัน” ปีเตอร์พูดก่อนจะส่งยิ้มเจือนๆให้ฉัน ฉันได้แต่พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก เราไม่ได้พูดอะไรอีกตอนที่เฮย์มิตต์มาถึงเขาไม่ตักอาหารแต่มานั่งที่โต๊ะเราทันทีก่อนจะพูด
“เอาล่ะ วันนี้วันสุดท้ายของการฝึกพวกเองยังจำกลยุทธ์ที่ฉันสั่งได้ใช่ไหม” เราพยักหน้ารับเฮย์มิตต์จึงพูดต่อ “เธอได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเพิ่มเติมจากความสามารถนั้นวันนี้จงนำมันมาใช้ งานนี้ฉันแนะนำได้อย่างเดียวว่า ทำให้แน่ใจว่า พวกเขาจดจำพวกเธอได้แน่นอน”
เมื่อเวลาฝึกมาถึงเราทุกคนได้มีเวลาฝึกซ้อมกับผู้คุมอีกแค่ครึ่งวันก่อนที่จะไปรวมตัวกันที่ห้องอาหารเพื่อรอการขานเรียกชื่อทีละเขตเรียงกันไปเริ่มที่บรรณาการชายก่อน เรานั่งกับเจสันและเจน่าแต่ไม่ได้พูดอะไรกันจนกระทั่งพวกเขาสองคนออกไปเรื่อยๆจนเหลือแค่ฉันปีเตอร์สองคนเราไม่พูดอะไรกันนอกจากจับมือกันไว้แน่นจนกระทั่งที่พวกเขาเรียกชื่อปีเตอร์ เขาคลายมืออกฉันพยักหน้าให้กำลังใจก่อนที่เขาจะเดินออกไป
หลังผ่านไปราวยี่สิบนาทีพวกเขาก็เรียกฉันฉันลุกขึ้นลูบผมจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางและเดินเข้าไปในโรงยิมเมื่อเข้าไปฉันก็พบกับสายตานับสิบของพวกผู้คุมเกมที่กำลังคุยหัวเราะชอบออกชอบใจก่อนจะมองมาทางฉัน นี่ฉันทำอะไรผิดหรือ?ฉันได้แต่คิดแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตรงยังสถานียิงธนูฉันเลือกคันธนูอยู่สักพักก่อนจะหยิบคันธนูสีดำสลับเงินขึ้นมาเพราะมันเป็นอันที่ฉันใช้ฝึกบ่อยที่สุดในสถานีและหยิบกระบอกใส่ลูกธนูขึ้นสะพายหลัง
ฉันมองไปที่สนามซ้อมยิงทั้งเป้าวงกลมมาตรฐานและเป้ารูปเงาคน ฉันเดินไปที่เป้ารูปเงาคนเป็นเป้าหมายแรกดึงสายขึ้นเล็งไปยังตำแหน่งหัวใจก่อนจะส่งลูกธนูเข้าเป้าอย่างแม่นยำ เสียงปรบมือจากผู้คุมเกมเริ่มทำให้ฉันใจชื้นขึ้นฉันดึงลูกธนูอีกดออกก่อนจะเล็งและพุ่งเข้าปักตรงกลางของแผ่นไม่สองแผ่นที่ใช้สำหรับสถานีก่อกองไฟก่อนจะรีบเดินไปกดตั้งค่าระบบสุ่มของหุ่นหากตัวใดเรืองแสงเราจะต้องยิงให้เข้าเป้าภายในเวลาสามสิบวิ ฉันส่งธนูดอกแรกใส่ทะลุหัวหุ่นจำลองที่เรืองแสงตามด้วยดอกที่สองและสามตามไปติดๆใส่หุ่นตัวที่สองและสามก่อนจะจบลงที่หุ่นตัวสุดท้ายที่อยู่ไกลสุดแต่ฉันก็ยังสามารถส่งลูกธนูเข้าไปได้อย่างแม่นยำ เสียงปรบมือของผู้คุมเกมบอกให้รู้ว่าฉันทำได้ดีพอสมควรฉันโค้งคำนับตามมารยาทก่อนจะเก็บธนูและลูกเสร็จฉันจึงเดินออกไป
ฉันเดินกลับไปที่ห้องด้วยอารมณ์เบิกบานใจเมื่อขึ้นก็พบว่าทุกคนรออยู่ก่อนคนแรกที่ฉันโผเข้าหาคือแคตนิสฉันกอดเธอและหัวเราะคิกฉันทำแบบนี้เสมอเวลาเรามีเรื่องอะไรดีๆ “เป็นไงบ้างพวกเขาสนใจเธอไหม” แคตนิสถามฉันพยักหน้าและยิ้มอย่างร่าเริงก่อนจะเล่าอย่างออกรส “เธอน่าจะได้เห็นตอนที่ฉันยิงใส่ร่องไม้สองแผ่นนั้นผู้คุมคนหนึ่งถึงกลับอ้าปากค้างจนน้ำลายแทบจะยืดออกมาอยู่รอมร่อ” ฉันพูดจบตามด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งห้อง ปีเตอร์เล่าในส่วนของตัวเองว่าเขาใช้ดาบในการแสดงทักษะแถมหัวของหุ่นจำลองที่เขาฟันจนขาดยังกระเด็นใส่ผู้คุมเกม เราพูดคุยกันจนอาหารมื้อเย็นสิ้นสุดเราทุกคนโยกย้ายกันไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อดูสรุปผลคะแนนเริ่มแรกพวกเขาจะฉายรูปบรรณาการก่อนและซีซาร์ ฟลิกเกอร์แมนจะบอกคะแนนตามหลังบรรณาการมืออาชีพได้คะแนนตั้งแต่หกถึงแปด เอฟฟี่พูดอย่างออกรสว่าปีที่แล้วพวกนี้ได้คะแนนมากกว่านี้ เจสันกับเจน่าได้มาคนละแปดคะแนนไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเขตสิบสอง รูปปีเตอร์ปรากฏขึ้นก่อนที่ซีซาร์จะประกาศผลคะแนนเก้าคะแนน ปีเตอร์ได้คะแนนมากกว่าพวกมืออาชีพ!เราทุกคนดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นก่อนภาพฉันจะฉายขึ้นฉันจับมือปีเตอร์ไว้แน่นก่อนที่ซีซาร์จะประกาศผลคะแนนสิบคะแนน!!
คราวนี้เอฟฟี่ลุกขึ้นร้องเสียงหลงแคตนิสยิ้มให้ฉันอย่างเริงร่าฉันได้สิบคะแนน!ฉันได้คะแนนมากที่สุดในการตัดสินฉันกับปีเตอร์จับมือกันไว้แน่นและหัวเราะ
“เอาล่ะพวกเธอไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้พวกเธอมีซ้อมการให้สัมภาษณ์” ฉันลากแคตนิสมานอนเป็นเพื่อนเราคุยกันอยากออกรสในห้องจนกระทั่งเฮย์มิตต์มาทุบประตูเราหัวเราะคิกคักก่อนจะปิดไฟเข้านอนเลขสิบยังคงกระพริบและวนเวียนอยู่ในหัว
เมื่อฟ้าสางฉันนอนอยู่คนเดียวบนเตียงแคตนิสคงลุกออกไปให้สัมภาษณ์เรื่องการแต่งงานของเธอกับพีต้าเรื่องนี้ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะแต่งงานกันจริงๆแต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่คงเลี่ยงไม่ได้กับปีนี้ที่เธอเป็นพี่เลี้ยงฝึกหัดทุกปีหลังการแข่งขันสิ้นสุดหากเขตใดชนะบรรณาการคนนั้นจะต้องเป็นพี่เลี้ยงโดยในปีถัดมาเขาหรือเธอคนนั้นจะรับหน้าที่พี่เลี้ยงฝึกหัดโดยมีผู้พิชิตคนอื่นคอยฝึกสอนไปด้วย แต่ปีนี้ดูเหมือนแคตนิสกับพีต้าจะไม่ค่อยได้ทำหน้าที่นั้นเท่าไหร่เนื่องจากพวกเขากำลังจะแต่งงานจึงมีทั้งการสัมภาษณ์ถ่ายแบบชุดแต่งงานในรูปแบบต่างๆหรือโหวตชุดแต่งงาน ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะลงเอยอย่างไรกับตอนนี้ที่มีเกลอยู่ฉันว่าแคตนิสคงสับสนน่าดู
เสียงเคาะประตูจากเอฟฟี่ฉันลึกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและไปที่ห้องอาหารสิ่งที่ทำให้ฉันแปลกใจคือ เจสันกับเจน่าและพี่เลี้ยงของเขาฟินนิค โอแดร์ และเนโมซิส เฮคกิ้ง พี่เลี้ยงของพวกเขานั่งอยู่ด้วยฉันยืนนิ่งมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจจนเฮย์มิตต์เรียกฉันไปร่วมวงทันทีที่ฉันนั่งลง
“เอาหละ ไม่ต้องแปลกใจที่ฉันเรียกพวกเขามาปกติมืออาชีพก็ทำกันแบบนี้” เฮย์มิตต์อธิบาย ปกติพวกเขาทำแบบนี้หรือเรียกทุกคนมาเพื่อประชุม ว่าแต่พวกเรามาประชุมเรื่องอะไรล่ะ
“แล้วไงต่อคะ” ฉันถาม “คืองี้ ฉันรู้ว่าแว่วๆว่าพวกเธอสี่คนดูสนิทกันเหมือนเป็นเพื่อนดังนั้นถ้าเราร่วมมือกันย่อมเป็นเรื่องดี” ฟินนิคตอบแทนเฮย์มิตต์ ร่วมมือกันหรือหมายความว่าเราจะทำแบบมืออาชีพ
“แล้วถ้าตอนท้ายเราต้องฆ่ากันเองล่ะ” ปีเตอร์ถามขึ้นส่งผลให้บรรยากาศในห้องดูอึมครึ้มไปถนัดตาเราเงียบอยู่สักพักก่อน เจสันจะพูดขึ้น
“ถ้าเรารอดไปถึงแปดคนสุดท้ายเมื่อไหร่เราจะแยกกัน” คำพูดนั้นดูเหมือนเป็นเอกฉันท์เพราะไม่มีใครแย้งพวกเขาปรึกษาหารือกันก่อนจะจัดตารางให้ฉันฝึกกับเอฟฟี่เพื่อเรียนเรื่องการนำเสนอตัวเองฉันนึกไม่ออกว่าเอฟฟี่จะมีอะไรสอนแต่พอไปถึงเธอก็ลองให้ฉันสวมรองเท้าส้นสูงไม่ใช่คู่ที่ฉันจะใส่จริงจากนั้นสอนเรื่องการเดินฉันได้เดินพอใช้ได้กับรองเท้าส้นสูงแต่ทันทีที่สวมกันชุดราตรียาวก็เกิดปัญหาเพราะมันเอาแต่จะพันรอบขาและทำให้ฉันเหยีบชายกระโปรงล้มทุกครั้งฉันตัดสินใจถกมันขึ้นเอฟฟี่ปรี่เข้ามาฟาดมือลงบนมือฉันพร้อมสั่งกำชับว่า ห้ามขึ้นมาเหนือข้อเท้า ฉันฝึกร่วมชั่วโมงก่อนจะเดินได้พอเดินได้เธอก็สอนการนั่งทั้งการโพสท่าการวางมือ การสบตา รวมถึงการยิ้ม ปัญหาที่พบคือฉันมักจะนั่งเอามือวางไว้กับเข่าแทนที่จะวางไว้แบบสุภาพสตรีและการสบตาฉันชอบหลบตาหรือทำตาวอกแวกไปมาเวลาพูดอาจเป็นเพราะฉันไม่ชินกับการจ้องมองหน้าคนอื่นมากจนเกินไปเอฟฟี่ต้องเตือนหลายรอบให้ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาไม่ให้สายตาวอกแวกเวลาพูดแต่ฉันก็ทำไม่ได้ด้วยความเคยชินหรืออะไรเรื่องนั้นฉันไม่รู้สุดท้ายเมื่อเวลาจบลง เอฟฟี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ…แวนด้าฉันทำดีที่สุดแล้วนะเธอจะเอาแต่ทำสายตาวอกแวกแบบนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขามองว่าเธอเป็นพวกตื่นกลัวและอาจมีผลต่อสปอนเซอร์นะ” เอฟฟี่ว่า
“แล้วจะให้ฉันยังไงล่ะ!” ฉันเถียงอย่างรำคาญ
“งั้นก็มองแต่หน้าคนให้สัมภาษณ์ละกัน ฉันแนะนำได้เท่านี้แหละ” เอฟฟี่พูดเสียงเรียบๆโดยไม่สนใจเสียงตำหนิของฉัน
“ฉันไปทานมื้อเที่ยงละ” ฉันบอกก่อนจะเปลื้องชุดราตรีนี่ออกโดยไม่อายและหยิบเอาชุดในศูนย์ฝึกมาใส่แทนและเดินออกไป
เมื่อไปถึงเจสันกับปีเตอร์นั่งพูดอะไรสักอย่างกันอยุ่อย่างอารมณ์ดีฉันแปลกใจที่เจสันมาอยู่ที่นี่แทนที่เขาจะต้องไปฝึกการนำเสนอตัวเองที่ชั้นของเขา ฉันไม่แปลกใจที่เขากับปีเตอร์คุยกันแต่แปลกใจตรงที่เขาดูเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่าแต่ฉันถามออกไปแค่
“นายมานั่งทำไมอยู่ตรงนี้” ฉันถามแบบห้วนๆ ปีเตอร์และเจสันมองหน้าฉัน
“ไม่มีอะไรหรอกฉันแค่มาคุยตามประสา ผู้ชายเท่านั้น” เจสันตอบก่อนจะมองหน้าปีเตอร์และหัวเราะขึ้นมา ฉันเดาว่าพวกเขาคงดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปมาเกินจนเสียสติฉันได้แต่ส่ายหน้าเบาหลังมื้อเที่ยงฉันไปรอเฮย์มิตต์เกือบสิบนาทีที่ห้องก่อนเขาจะเข้ามาดูเหมือนเขาอารมณ์ดีไม่น้อยจากที่เขาเดินเข้าและฮัมเพลงเบาๆฉันดูเขาอย่างประหลาดใจ ฉันว่าเฮย์มิตต์ตอนที่เขายังหนุ่มกว่านี้อาจจะสักสิบเจ็สิบแปดเขาคงหน้าตาดีกว่านี้สักเกตุจากโครงหน้าเขาและจมูกที่โด่งฉันเลิกคิดเรื่องนั้นตอนที่เฮย์มิตต์เริ่มสอน แต่เขาพูดอะไรแปลกออกมา
“หวังว่าเธอคงไม่ทำให้ฉันปวดหัวแบบแคตนิสนะ” คำพูดนั่นน่าฉงนดีแท้ฉันกำลังจะแย้งออกไปตอนที่เขาตัดบท
“เอาหละ ทีนี้ฉันขอให้เธอเดินไปรอบๆห้องซิ” คำสั่งเขาทำเอาฉันชะงัก
“อะไรนะ” ฉันถาม “ไม่ต้องถามทำตามที่ฉันสั่ง” เฮย์มิตต์ย้ำ ฉันเลยลุกขึ้นและเดินไปรอบๆห้องอยู่สองสามครั้งก่อนจะหยุดมองหน้าเขาพร้อมส่งสายตาประหลาดใจ
“อืม ฉันว่าเธอก็ดูไม่เลวดูมีเนื้อมีนวลฉันน่าจะเสนอความเซ็กซี่เธอไปได้บ้าง” ความคิดนั้นทำเอาฉันนึกถึงชุดราตรีบางตัวที่ฉันเห็นในห้องเอฟฟี่ ทั้งชุดที่ส่วนหน้าอกเว้าจนแทบไม่มีที่ให้ปิดหรือกระทั่งชุดเกาะอกดันทรง ความคิดแบบนั้นทำเอาฉันผวา
“ไม่ใช่แบบที่เธอคิดหรอกน่า” เฮย์มิตต์ตอบแบบรู้ทันก่อนเขาจะพูดต่อ
“ทีนี้ แวนด้า ฉันจะลองสัมภาษณ์เธอดูฉันอยากให้เธอตอบฉันในแบบที่ดูเป็นเด็กสาวน่ารักและขี้อ้อนพอทำได้ไหม” เฮย์มิตต์ถาม น่ารักขี้ อ้อน ฉันนึกถึงเจ้าบัตเตอร์คัพที่ชอบออดอ้อนพริมซึ่งฉันเป็นคนเปิดน้ำใส่ถังให้แคตนิสจับมันโยนลงไป
“คุณหมายถึงอยากให้ฉันทำตัวแบบประจบประแจงหรือ” ฉันถามกลับ
“เดี๋ยวก็รู้” เฮย์มิตต์ตอบ
หลังผ่านคำถามมาแค่สิบข้อเฮย์มิตต์ต้องหยุดทันทีจากการที่ฉันพยายาม ฉันพยายามแล้วแต่ฉันทำไม่ได้คำถามต่างๆนั้นงี่เง่าเกินกว่าจะตอบแบบนั้นได้ ฉันได้แต่สวนกลับคำถามเหล่านั้นอย่างเจ็บแสบ
“เอาหละ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่รอดกับบทนี้ งั้นลองเปลี่ยนเป็นคนถ่อมตัวสิ”
“ถ่อมตัว?” ฉันถาม
“ประมาณว่าเธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเธอจะทำได้ดีถึงเพียงนี้ การแต่งการจากฝีมือซินน่าที่นี่น่าทึ่งเสียกระไร อะไรประมาณนี้ทำได้ไหม” เฮย์มิตต์ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่แน่ใจ
“ก็น่าจะ” หลังจากนั้นคือช่วงเวลาแห่งความทรมานฉันถ่อมตัวหรือคุยยอใครไม่เป็นถ้าจะให้ฉันทำได้ดีคือตอนพูดถึงซินน่าแต่หลังจากนั้น ฉันก็เอาแต่ก่นด่า แคปิตอลทั้งความไม่ยุติธรรมไม่ก็ว่าพวกเขาเป็นแค่โดนัทหรือดอกไม้พลาสติกที่แต่งแต้มไร้ความเป็นธรรมาชาติที่พรั่งพรูออกจากปากจนเฮย์มิตต์รีบห้าม
“โอเค พอๆ” เฮย์มิตต์ปราบก่อนจะพูดต่อ
“ทีนี้ฉันถามเอว่า เธออยากนำเสนอตัวเองแบบไหน” คำถามจากเฮย์มิตต์ทำเอาฉันชะงัก ฉันอยากนำเสนอตัวเองแบบไหนหรือ
“แบบตัวฉันเอง!” ฉันตอบก่อนทันได้คิด
“แบบตัวเธอ ที่ก่นด่าคนอื่นไปทั่วเนี่ยนะ เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนล่ะ” คำถามทำให้ฉันตระหนักถึงตัวตนฉันแล้วฉันเป็นแบบไหนล่ะ คำถามนั้นผุดขึ้นในใจ ฉันฉลาดหรือเปล่า? หรือไม่ก็เป็นคนร่าเริง นั่นไม่ใช่ตัวฉันสักนิด
“ก็แบบ…..เป็นห่วงเป็นใย…หรือไม่ก็…แต่มันเห็นจะเกี่ยวกันนี่ฉันไม่ทนที่จะต้องมาปั้นหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ตัวเองแบบนั้นฉันทำไม่ได้หรอก!” ฉันโวย
“แต่นี่มันไม่เหมือนกัน แวนด้า นี่มันคือรายการโทรทัศน์เธอจะไม่มี สปอนเซอร์สักรายหากเธอไม่ปรุงแต่งตัวเอง!” เฮย์มิตต์ตะคอกใส่ฉัน
“ฉันไม่แคร์! ตกลงไหม” ฉันตอกกลับก่อนจะเดินออกจากห้องโดยที่เขาไม่อนุญาต ฉันเดินไปเรื่อยๆก่อนจะวิ่งฉันไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งนานแค่ไหนเพราะรู้ตัวอีกทีฉันก็มานั่งอยู่ที่ดาดฟ้ามือฉันกำลังเด็ดหญ้าที่ปลูกไว้สวยงามเสียหายแต่ฉันไม่สนใจ ฉันนั่งเงียบไม่พูดไม่คิดอะไรนอกจากเรื่องที่ตะคอกใส่เฮย์มิตต์ป่านนี้เขาคงเอาชื่อฉันขึ้นบัญชีดำไปเรียบร้อยฉันเสียงฝีกเท้าของใครบางคนมาหยุดอยู่ข้างหลังฉันเป็นเฮย์มิตต์แน่
“ไปให้พ้น ไม่ต้องมาเทศนาฉัน!” ฉันตะโกนไล่
“ฉันไม่ได้มาเทศนาหรอก” เสียงนั่นไม่ใช่ของเฮย์มิตต์เมื่อหันกลับไปมอง เจสัน เขายืนดูท่าทางสบายๆ เขามาทำอะไรที่นี่
“แล้วมาทำอะไรล่ะ” ฉันถามแบบห้วนๆ
“ก็ เห็นเธออารมณ์เสียอยู่ก็แค่จะมานั่งเป็นเพื่อน” เขาตอบ แล้วนั่งลงข้างๆฉัน
“แล้วนายไม่ไปฝึกซ้อมวันพรุ่งนี้เหรอ” ฉันถาม เจสันพยักไหล่
“ฉันซ้อมเสร็จแล้ว” เขาว่า “นี่ฉันจะทำอะไรให้ดู” เจสันบอกก่อนจะดึงมือฉันให้ลุกขึ้น แวบแรกฉันนึกถึงปีเตอร์เรื่องของเราบนดาดฟ้าแต่มันไม่มีวันเกิดขึ้นดังนั้นฉันจึงสลัดความคิดนั้นทิ้งและตามเจสันไป เขาพาฉันมาที่มุมดอกไม้ก่อนจะเด็ดดอกทิวลิปออกมาสองดอก เขาเอาวางไว้ในมือ
“ดูนะ” เขาว่าฉันดูดอกไม้สองดอกในมือเขาเจสันเอามือทั้งสองข้างไว้เขาเอามือไขว้กันอย่างรวดเร็วก่อนจะแบมืออกมาหนึ่งข้างพบว่าดอกทิวลิปหายไปแล้ว ฉันยังไม่ทันได้ถามว่ามันหายไปไหนตอนที่เขายื่นมืออีข้างออกมาพบว่ามันอยู่ในมืออีกข้าง
“นาย ทำได้ยังไง” ฉันถามด้วยความประหลาดใจ เจสันยิ้ม
“ถ้าบอกก็ไม่ใช่มายากลสิ” เขาหัวเราะก่อนที่ฉันจะพบว่าตัวเองก็หัวเราะด้วยความโกรธที่มีหายวับไปเขาต้องเป็นเพื่อนที่ดีมากแน่ๆหากเราอยู่ในเขตเดียวกันฉันอดที่จะนึกถึงนิสัยของพีต้าไม่ได้ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกเหมือนเขามีความหนักแน่นอยู่ในตัวแบบเกลด้วย
เมื่อกลับเข้ามาไม่มีใครอยู่ในห้องสักคนเจสันขอตัวกลับห้องส่วนฉันตัดสินใจไม่ไปกินอาหารเย็นเลยมุ่งหน้าเข้าห้องและล้มตัวลงนอน
ในตอนเช้าฉันถูกปลุกให้ตื่นโดยทีมแต่งตัวบทเรียนของฉันกับเอฟฟี่และเฮย์มิตต์จบลงแล้วฉันได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในคืนนี้ทีมแต่งตัวขัดสีฉวีวรรณฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าขัดผิวฉันให้นุ่มลื่นราวกับเป็นประกายราวกับผ้าซาตินย้อมผมเป็นสีน้ำตาลอ่อนแซมสีแดงแต่งหน้าฉันด้วยสีชมพูอ่อนก่อนจะทับสีแดงอ่อนตามลงไประบายนิ้วมือฉันเป็นรูปสะเก็ดไฟที่ดูเปล่งประกายอย่างประหลาดก่อนจะเทแป้งใส่ทั่วตัวจนทำให้ผิวฉันเปล่งประกายเป็นเงินและทองระยิบระยับ
ซินน่าเขามาพร้อมกับห่อผ้าใบใหญ่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นชุดของฉันเมื่อแกะออกมาก็เป็นชุดสีเหลืองเปล่งประกายประดับด้วยอัญมณีสีทองและสีเงินวิบวับ มันสวยงามจริงๆฉันนึกภาพตัวเองใส่ชุดแบบนี้ไม่ออกทีมแต่งตัวช่วยฉันแต่งตัวด้วยชุดที่เปล่งประกายนี้ก่อนจะใส่ทั้งต่างหูและสร้อยคอรูปนกม็อกกิ้งเจย์ของฉันเองซึ่งมันดูเข้ากันอย่างประหลาดกับชุดที่ฉันสวมเมื่อฉันมองดูตัวเองในกระจก
สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือหญิงสาวที่ดูเปล่งประกายเรืองแสงดูเหมือนแสงดวงอาทิตย์ยามเช้าที่จุดประกายความหวังก็ไม่ปานเมื่อขยับตัวฉันจะดูเหมือนกำลังเปล่งรัศมีออกมา ดวงตาเขียวนั้นถูกเขียนให้ดูเปล่งประกายออกมา ริมฝีปากถูกทาด้วยลิปสติกสีชมพูดอ่อนผมสีน้ำตาลถูกมัดรวบและปล่อยลงมาทางไหล่ซ้ายฉันหันไปทางซินน่าเขายิ้มอย่างพอใจ
“หมุนตัวหน่อยสิ” เขาบอก “ต้องหมุนด้วยหรือค่ะ” ฉันถาม
“ใช่ ลองหมุนหน่อยฉันอยากเห็น” ซินน่าพูดเหมือนอยากเห็นใจจะขาด ฉันตัดสินใจนับหนึ่งถึงสามในใจก่อนจะหมุนตัวรองเท้าส้นสูงไม่เป็นปัญหาทีมแต่งตัวหวีดร้องด้วยความตื่นเต้น
ซินน่าบอกให้ทุกคนออกไปแล้วคุยกับฉันเขาคงรู้ว่าเรื่องเมื่อวานเลวร้ายแค่ไหนฉันพยายามฝืนยิ้มให้เขาแต่ดูเหมือนเขารู้อยู่แล้ว
“พร้อมจะให้สัมภาษณ์รึเปล่า” ซินน่าถามแบบอ่อนโยน
“ฉัน…ฉันแย่มาก ฉันไม่อยากเป็นคนที่แฮย์มิตต์กำหนดให้เป็นฉันอยากเป็นตัวของตัวเองแต่….เฮย์มิตต์บอกว่าฉันชอบก่นด่าคนอื่นไปทั่ว” ฉันตอบตะกุกตะกักตอนแรกของจะพรั่งพรูคำพูดออกไป
“ฉันไม่เห็นเธอเป็นแบบที่เขาว่าเลย” ซินน่าบอก
“ใช่แต่…” ซินน่าจะนิ้วชีแตะปากฉันให้เงียบ
“ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นเด็กสาวที่ กล้าหาญ ทีมแต่งตัวชื่นชมเธอไม่แพ้พี่สาวเลยส่วนชาวแคปิตอลพวกเขาก็พูดถึงเธอไม่หยุดปาก” ซินน่าว่าชื่นชมฉัน?แล้วฉันมีอะไรที่สู้แคตนิสได้ด้วยหรือ? ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันนับถือแคตนิสมาตลอดทั้งความสวย ความฉลาดและฝีมือที่เก่งกาจฉันคิดว่าฉันคงไม่มีวันเทียบเธอได้ ฉันนับถือเธอมาตลอดจนกระทั่งได้ยินจากปากซินน่าแล้วที่ว่าฉันเป็นคนกล้าหาญล่ะหมายความว่าอย่างไร
“ฉันไม่รู้สิ….ฉันไม่เหมือนแคตนิส แล้ว….” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“เธอเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด แวนด้า” ซินน่าบีบมือฉันไว้แน่น
เมื่อเวลาที่ต้องไปมาถึงการสัมภาษณ์จะถูกจัดขึ้นหน้าศูนย์ฝึกซ้อมเมื่อฉันออกจากห้องก็เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีที่ฉันต้องออกไปเจอกับฝูงชนแต่ฉันกลับไม่พบความกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลย เราไปรวมกับคนอื่นๆในลิฟต์ปีเตอร์ดูสง่างามมากในชุดสูทย์สีดำตรงขอบเสื้อทุกส่วนมีลายสีแดงแซมอยู่
“เธอดูสวยนะ”ปีเตอร์ว่าฉันยิ้ม
“นายก็ดูดีเหมือนกัน” ฉันบอก
เรากุมมือกันไว้แน่นก่อนจะเดินออกจากประตูลิฟต์บรรณาการคนอื่นๆกำลังยืนต่อแถวกันอยู่เราจะขึ้นไปให้สัมภาษณ์ทีละคนเรียงจากบรรณาการชายไปบรรณาการหญิงดังนั้นฉันจึงเป็นคนสุดท้ายความกลัวที่ไม่เคยมีในตอนแรกเริ่มแทรกเข้ามาจะเป็นอย่างไรถ้าฉันทำได้ไม่ดีพอหากฉันก่นด่าทุกคนล่ะแค่คิดก็ทำเอาฉันเวียนหัวหากฉันไม่ได้จับมือปีเตอร์ไว้ฉันคงล้มเป็นแน่การที่เราจับมือกันไว้แบบนี้ทำให้เราดูโดดเด่นพอๆกับชุดที่เราใส่ดูเข้ากันอย่างประหลาดแต่ฉันไม่สนใจการสัมภาษณ์เริ่มขึ้นแล้ว
ฉันยืนดูผ่านหน้าจอที่พวกเขาตั้งไว้ตรงกำแพงขนาดใหญ่ทุกคนพยายามอวดทุกอย่างในตัว เด็กหนุ่มจากเขต1แสดงความหยิ่งจองหองและป่าวประกาศว่าเขาจะชนะแน่นอน เด็กสาวจากเขต2ปามีดเข้าเป้าไม่เคยพลาด พอมาถึงเขต4ซึ่งเป็นเจสันเขาดูดีมากในชุดเสื้อคลุมแขนกุดสีฟ้าน้ำทะเลยดูกลมกลืนกับตาเขา เจสันดูจะดึงดูดผู้ชมได้ดีเขารับลูกเล่นและให้สัมภาษณ์ถึงความสามารถอันโดดเด่น จนมาถึงคำถามที่ว่าเขามีคนพิเศษรออยู่หรือไม่ เจสันยิ้มเศร้า
“หนุ่มหล่ออย่างคุณคงไม่มีใครหักอกหรือปฏิเสธแน่” ซีซาร์แหย่
เจสันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมมีคนที่แอบชอบอยู่เหมือนกันครับแต่พบเพิ่งรู้ว่าตัวเองชอบเธอหลังวันเก็บเกี่ยวผมเจอเธอที่นี่ในแคปิตอลครับแต่ก็รู้ว่าไม่มีโอกาศ” เขาตอบเขาสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
ซีซาร์ถามต่อ “คุณหมายความว่ายังไงครับ ในแคปิลตอล? และไม่มีโอกาส เธอคือใคร?”
“ผม…..” เจสันหน้าแดงก่ำก่อนจะหยุดพูดไปสักพักแล้วพูดต่อ
“ผมชอบ แวนด้า เอฟเวอร์ดีนบรรณาการหญิงจากเขต12ครับ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ