[FanFic Kakumeki Valvrave]You are my light….

-

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.52 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  7,870 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 10.55 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

1) 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                การต่อสู้จบไปได้สามเดือนแล้ว.....

                กาลเวลาช่างผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เหล่านักเรียนของซากิโมริที่เหลืออยู่ได้กลับบ้านไปหาครอบครัวแม้จะมีเพียงส่วนน้อยที่รอดกลับมาก็ตาม ส่วนตัวเขาได้แต่อยู่ที่นี่เพราะไม่รู้ว่าตนเองควรกลับไปที่ไหนดี

                เขาทิ้งชื่อของตนเองไปนานแล้วมีแต่เพียงโค้ดเนมL-11หรือแอลเอลฟ์เท่านั้นซึ่งความจริงมันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากเท่าไรเพราะมันเป็นชื่อที่คนสำคัญอีกคนหนึ่งของเขาเรียก คิดแล้วแอลเอลฟ์ก็อดหัวเราะกับตนเองไม่ได้เมื่อตนกำลังนึกภาพของผู้ที่เรียกเขาแบบนั้น

                ภาพของโทคิชิมะ ฮารุโตะ....

                แอลเอลฟ์หลับตาลงแล้วนึกถึงวันนั้น  พิโน่บอกว่าฮารุโตะใช้รูนจนหมดเหมือนกับมาริเอะและกำลังจะมีชะตากรรมเดียวกับเธอ วินาทีนั้นเขาที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถร้องไห้เพื่อคนอื่นนอกจากลีเซล็อตเต้ได้ก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา

                ฮารุโตะลืมตาขึ้นโดยไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ เด็กหนุ่มจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ประกายความมีชีวิตชีวาที่เขาสัมผัสได้อยู่เสมอไม่มีอีกแล้ว เขารู้ว่าเปลวไฟแห่งชีวิตของฮารุโตะกำลังมอดดับลงโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย

            “คุณเป็นใคร...”

            คำถามที่ได้ยินราวกับเป็นมือของปีศาจที่ฉีกกระชากหัวใจของเขาออกและเมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็หลั่งน้ำตาออกมาแล้ว การจากลากำลังจะมาถึง ความเจ็บปวดของมันกำลังเล่นงานเขาเหมือนกับคราวของลีเซล็อตเต้ไม่มีผิด มีเพียงการตอบคำถามข้อนี้เท่านั้นที่เขาจะทำเพื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าได้

            “นายเป็นเพื่อนของฉัน”ได้ยินดังนั้นฮารุโตะก็เผยรอยยิ้มออกมา ในสายตาของเขามันเป็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าและบริสุทธิ์มากจนทำให้น้ำตายิ่งไหลออกมามากขึ้น มันช่างงดงามและโหดร้ายคล้ายกับจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น ฮารุโตะยิ้มให้เขาอย่างมีความสุขราวกับว่ารอคอยคำนี้มาตลอดทั้งที่ไม่มีความทรงจำใดๆ

                “งั้นเหรอ....”ฮารุโตะพูดทิ้งไว้เพียงแค่นั้นราวกับว่าหมดห่วงในทุกเรื่องแล้ว ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นปิดลงพร้อมกับเปลวไฟแห่งชีวิตที่มอดไหม้ไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงตัวเขาที่กอดร่างอันไร้ชีวิตไว้แล้วร้องไห้ออกมาเพียงลำพัง

                เหตุการณ์อันโหดร้ายที่เกิดกับลีเซล็อตเต้ทับซ้อนลงบนตัวตนของฮารุโตะในอ้อมกอดของเขาและเขาก็ทำเหมือนเมื่อครั้งลีเซล็อตเต้ เขาพยายามจำลองสถานการณ์ที่จะสามารถช่วยฮารุโตะ เขาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะไม่อยากสูญเสียอีกแล้วจนกระทั่งความหวังหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจของเขา

                พิโน่บอกว่ามาริเอะใช้รูนจนหมดถึงต้องตาย หากรูนคือชีวิต ความทรงจำและความรู้สึกแล้วละก็ถ้าเขาเติมมันให้กับฮารุโตะ อีกฝ่ายก็อาจจะลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งใช่ไหม

                แอลเอลฟ์ไม่เคยเชื่อเรื่องที่คนตายจะฟื้นขึ้นมาได้แต่ในคราวนี้เขาจะลองเชื่อมั่นดูสักครั้ง มันอาจจะเป็นเพียงความดื้อดึงและไม่ยอมรับความจริงในตัวเขาแต่กระนั้นเขาก็ยังคาดหวังถึงความหวังอันริบหรี่นั้น

                “แอลเอลฟ์ได้เวลาแล้วนะ”เสียงเรียกของอาจารย์คิบุคาวะดังขึ้นเบื้องหลังดึงเอาสติของเขากลับมาจากอดีต แอลเอลฟ์หันไปตามเสียงเรียกโดยไม่ตอบกลับอะไรซึ่งอาจารย์คิบุคาวะก็รู้ดีว่าเป็นนิสัยของเด็กหนุ่มตรงหน้าจึงไม่ได้ว่าอะไร

                “คราวนี้ก็เป็นครั้งที่12แล้วนะ”ชายหนุ่มพูดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นขณะที่เดินไปด้วยกัน แอลเอลฟ์ยังคงเงียบแต่แววตากลับทอประกายความหวังอย่างแรงกล้าจนอาจารย์หนุ่มต้องทอดถอนหายใจเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าได้เลือกเส้นทางที่อันตรายที่สุด

                คิบุคาวะยังจำได้ดีว่าในวันนั้นเมื่อสามเดือนก่อนแอลเอลฟ์ได้อุ้มร่างของฮารุโตะกลับมาด้วยความสิ้นหวังขนาดไหน เด็กหนุ่มที่เขาเคยคิดว่าเย็นชามาตลอดร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งขณะที่ตะโกนขอให้เขาช่วยฮารุโตะไม่ยอมหยุด

                โทคิชิมะ ฮารุโตะตายไปแล้วแต่แอลเอลฟ์ก็ยังยืนยันว่าจะช่วย เด็กหนุ่มที่เชื่อแต่ในผลการคำนวณซึ่งตั้งอยู่บนหลักความเป็นจริงกำลังตะโกนก้องด้วยความหวังอันริบหรี่กับสิ่งที่ตนค้นพบ เขาในเวลานั้นเองก็ไม่อาจใจแข็งพอจะปฏิเสธคำร้องขอของเด็กหนุ่มได้ ร่างของฮารุโตะถูกบรรจุลงในแคปซูลรักษาสภาพร่างกายพร้อมที่แอลเอลฟ์เสนอทฤษฎีของตนเองขึ้นมา

                “โทคิชิมะ ฮารุโตะใช้รูนจนหมดถึงต้องตายเพราะฉะนั้นถ้าเติมรูนเข้าไปในร่างเขาจะต้องฟื้นอย่างแน่นอน”เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆแต่มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย

                “เธอก็รู้ว่ารูนคือชีวิตมนุษย์ ถ้าอย่างนั้นเราจะไปหารูนที่ไหนกัน”เพราะเขารู้ดีว่าฮารุโตะไม่มีทางยินดีที่ต้องเอาชีวิตคนอื่นมาสละให้

                “อยู่ที่นี่ไงล่ะ”แอลเอลฟ์วางมือบนอกตัวเองก่อนตอบเสียงดังฟังชัด

                “ใช้รูนของฉันซะ นี่ไม่ใช่การเสียสละแต่ฉันกับโทคิชิมะ ฮารุโตะผูกสัมพันธ์กันด้วยคำสัญญาว่าจะแบกรับทุกอย่างคนละครึ่ง ดังนั้นฉันจะแบกรับความตายครึ่งหนึ่งของเขาและให้เขารับชีวิตครึ่งหนึ่งของฉันไป”ตอนแรกที่เขาได้ยินเขาถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก เขารู้ว่าโลกนี้มีคนที่ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่นได้แต่มันจะมีสักกี่คนกันที่ยอมทำและตอนนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็ได้กลายเป็นคนที่ว่าแล้ว

                ดวงตาของแอลเอลฟ์เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่สุด คิบุคาวะไม่รู้ว่าฮารุโตะมีความสำคัญกับแอลเอลฟ์มากแค่ไหนแต่เขาก็รับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างทั้งสองคน สายสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวแต่ก็บริสุทธิ์จนทำให้ดวงตาพร่าเลือนและมันก็ทำให้เขายอมตกลงทำการทดลองกับเด็กหนุ่ม

                เรื่องนี้มีแค่พวกเขาสองคนที่รู้ เรื่องที่อันตรายแบบนี้คนอื่นต้องห้ามอย่างแน่นอน ใจจริงเขาก็อยากจะห้ามแต่คิบุคาวะรู้ดีว่าต่อให้เขาไม่ทำแอลเอลฟ์ก็ต้องไปหาคนอื่นมาทำเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในสาเหตุของเรื่องนี้เขาก็จะรับผิดชอบมันให้ถึงที่สุด

                “พร้อมนะ”เขาถามกับเด็กหนุ่มที่นอนลงบนเตียงข้างแคปซูลของฮารุโตะ แอลเอลฟ์สวมอุปกรณ์ลงบนศีรษะแล้วนอนลงมองใบหน้าของฮารุโตะที่เหมือนกำลังหลับอยู่ แม้อายุจะเท่ากันแต่เพราะความอ่อนหัดจนแทบเรียกว่าไร้เดียงสาทำให้ฮารุโตะดูอ่อนเยาว์กว่าเขาอย่างน่าหัวเราะ

                แอลเอลฟ์วางมือลงบนแคปซูลเย็นชืดตรงบริเวณแก้มของฮารุโตะ ความจริงเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแต่เขาก็ไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียว

                “เพราะถ้าหากมันสามารถนำพานายกลับมาได้ละก็....”เด็กหนุ่มยิ้มก่อนที่ความเจ็บปวดจะเริ่มต้นขึ้น

                “อ๊าก!!!!!!!!!!!!!”ความเจ็บปวดที่เหมือนกับโดนดูดพลังและวิญญาณออกไปจากร่างส่งผลให้ทุกเซลล์ประสาทร่ำร้องอย่างทุกข์ทรมาน มือหยาบกร้านกำเตียงแน่นกัดฟันอดทนต่อทุกความเจ็บปวดขณะที่สติเริ่มเลือนรางเพราะรูนในร่างกายถูกดูดออกไป

                ในขณะที่สติใกล้จะหลุดลอยสิ่งที่เขาคิดถึงมีแต่เพียงความทรงจำที่ยังฝังแน่นอยู่ในหัว แม้รูนจะถูกดูดไปแต่เขาก็ยังจำวินาทีแรกที่ได้พบกันได้ คิดแล้วก็ช่างน่าขำเมื่อโทคิชิมะ ฮารุโตะคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยิงทิ้งได้อย่างไม่ลังเลและคิดแต่ว่าเป็นเพียงเครื่องมือกลับเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากขนาดนี้

                ทุกช่วงเวลาของเขามีฮารุโตะอยู่ร่วมด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในโรงเรียนซากิโมริ ช่วงเวลาที่ต่อสู้ร่วมกันหรือกระทั่งในเวลาที่เจ็บปวดที่สุดฮารุโตะก็ยังคงอยู่เคียงข้างเขา คนที่เขามอบคำสัญญาให้

                “พวกเราจะเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน...”เอ่ยถึงคำสัญญาที่มีให้กัน ความหนักอึ้งของมันคือสิงเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้

เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นความตายฉันก็จะไม่ยอมให้มันเอานายไปจากฉัน

 

            ช่วงค่ำอาไดร์เดินมาหยุดที่หน้าห้องของแอลเอลฟ์ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเมื่อเพื่อนของเขาไม่ได้มาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน พูดให้ถูกคือเขาไม่เห็นแอลเอลฟ์มาตั้งแต่หลังอาหารเที่ยงแล้ว

                หลังการต่อสู้จบลงแอลเอลฟ์ก็มีท่าทางแปลกไป แม้จะมีสีหน้านิ่งเฉยเหมือนปกติแต่แววตากลับหม่นหมองจนแทบไม่น่าเชื่อว่าคือคนเดียวกับที่คิดจะปฏิวัติประเทศของเขาซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงมาก

                “แอลเอลฟ์อยู่รึเปล่า”อาไดร์ร้องเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เวลานี้เขามั่นใจว่าแอลเอลฟ์จะต้องอยู่ในห้องนอนและอาจจะหลับอยู่ก็ได้ บางทีเขาคงมารบกวนหากแต่สัญชาตญาณบางอย่างในร่างกายกลับสั่งให้เขาเปิดประตูและน่าแปลกที่มันไม่ได้ล็อคเอาไว้

                วินาทีแรกที่ประตูเปิดออกอาไดร์ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเพื่อนของเขากำลังนอนทุรนทุรายอยู่บนเตียง ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันขณะที่กัดฟันแน่นคล้ายกับกำลังพยายามอดทนต่อทุกความเจ็บปวดที่รุมเร้าร่างกาย มือข้างหนึ่งกดลงบนหัวใจขณะที่อีกข้างขยับไปมาในอากาศเหมือนกำลังไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่าง

                “แอลเอลฟ์!”แม้เรียกแต่แอลเอลฟ์ก็ยังไม่ตื่น เพื่อนสนิทตรงหน้ากำลังทุกข์ทรมานด้วยสาเหตุที่เขาไม่รู้ทำให้อาไดร์ร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก

                “......”ริมฝีปากของคนตรงหน้าขยับพูดบางอย่างที่เขาไม่ได้ยิน อาไดร์จึงก้มหน้าลงพยายามจับใจความคำพูดนั้น

                “โทคิ...ชิ....มะ...ฮารุ...โตะ...”

                ฮารุโตะ?

                สิ่งที่ได้ยินคือชื่อของใครคนหนึ่งและเขาจำได้จากรายงานว่าคือคนขับวัลเวรฟเครื่องที่หนึ่งและเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าจำไม่ผิดเขาจะเคยพบกับฮารุโตะคนที่ว่ามาแล้ว ตอนนั้นแอลเอลฟ์บอกว่าฮารุโตะคือเครื่องมือของตนซึ่งเขาก็เชื่อว่ามันเป็นตามที่ว่าหากแต่ตอนนี้สิ่งที่เขาเชื่อกลับไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว

                มือของแอลเอลฟ์ที่ยื่นออกไปในความว่างเปล่าคงกำลังยื่นไปหาฮารุโตะที่ว่าประหนึ่งว่าอีกฝ่ายคือคนสำคัญไม่มีผิด ชั่ววินาทีนั้นอาไดร์รู้สึกว่าหัวใจของตนกระตุกวูบด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับสูญเสียสิ่งสำคัญไป แต่กระนั้นเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของแอลเอลฟ์แล้วเขาก็ได้แต่ยื่นมือออกไปกุมมือข้างนั้นเอาไว้เท่านั้น

                “แอลเอลฟ์”เขาทำได้แค่กุมมือเอาไว้แล้วร้องเรียกชื่อด้วยหัวใจที่ใกล้แตกเป็นเสี่ยงเอาไว้จนกระทั่งอีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้น

                เมื่อลืมตาตื่นขึ้นสิ่งที่แอลเอลฟ์สัมผัสได้เป็นสิ่งแรกคือความอบอุ่นของมือที่ถูกกุมเอาไว้พร้อมกับเสียงเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยที่สุดเสียงหนึ่ง

                “อาไดร์...”เขาเรียกด้วยเสียงอ่อนแรงขณะที่พยายามลุกขึ้นนั่งโดยมีอีกฝ่ายช่วยพยุง

                “นายเป็นอะไรรึเปล่า”คนที่พอจะเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทถามด้วยความเป็นห่วงซึ่งทำให้เขาเผลอหลบสายตาโดยไม่รู้ตัว

                “ไม่เป็นไรแค่ฝันร้ายนิดหน่อย”แม้แต่ตัวแอลเอลฟ์เองก็ยังรู้สึกว่าเหตุผลข้อนี้มันฟังไม่ขึ้นเลย อาไดร์หรี่ตาลงจ้องมองแอลเอลฟ์ด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อ

                “ตลอดสามเดือนมานี้นายแปลกไปมาก เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ที่สำคัญทำไมนายถึงมีท่าทางทรมานแบบนี้”เขาไม่อยากตอบเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้แต่มือของเขาถูกจับ้ว่แน่น แรงบีบของมือบอกเขาอย่างชัดเจนว่าถ้าไม่ยอมเล่าให้ฟังก็จะไม่ยอมปล่อย

                แอลเอลฟ์รู้จักอาไดร์ดีมากพอที่จะรู้ว่าต่อให้โกหกรอดไปได้แต่อาไดร์ก็จะตามสืบค้นจนรู้ด้วยตัวเองอยู่ดี เมื่อคิดคำนวณผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นสุดท้ายแล้วแอลเอลฟ์จึงเอ่ยปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังจนหมดตั้งแต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮารุโตะ ทั้งคำสัญญาและทุกสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

                “....เพราะฉะนั้นทุกสัปดาห์ฉันจะไปหาอาจารย์คิบุคาวะเพื่อถ่ายทอดรูนในร่างกายตัวเองให้กับโทคิชิมะ ฮารุโตะเพื่อทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง”ฟังจนจบอาไดร์มีสีหน้าโกรธขึงขึ้นมาทันที

                “นี่นายทำเรื่องอันตรายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ แบบนี้ชีวิตของนายก็สั้นลงไม่ใช่รึไง!”เรื่องนี้อาไดร์พูดถูก การมอบรูนให้ก็เหมือนบั่นทอนชีวิตตัวเอง เรื่องแบบนี้มีคนสติดีที่ไหนเขาทำกันซึ่งในอีกความหมายหนึ่งเขาคงเสียสติไปแล้วจริงๆ

                “ถูกของนายแต่ฉันตัดสินใจแล้วตั้งแต่เมื่อตอนที่แลกเปลี่ยนพันธะสัญญากัน ฉันกับโทคิชิมะ ฮารุโตะเราสองคนจะร่วมแบกรับทุกอย่างคนละครึ่งและเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นายจะเข้ามาก้าวก่ายได้”แอลเอลฟ์พูดจบก็จ้องมองอาไดร์ด้วยแววตามุ่งมั่นแน่วแน่แบบเดียวกับที่คิบุคาวะเคยเห็น แต่อาไดร์ไม่ใช่คิบุคาวะที่ได้ยินยอมทำตามที่แอลเอลฟ์ต้องการ

                อาไดร์ขยับตัวดึงแอลเอลฟ์เข้ามากอดไว้แน่นสร้างความตกตะลึงให้กับแอลเอลฟ์อย่างมากจนเขาลืมที่จะปัดป้องไปจนหมดสิ้น ร่างของทั้งคู่ล้มลงไปบนเตียงขณะที่อ้อมแขนแข็งแรงรัดเขาเอาไว้แน่นแต่ก็สั่นเทา

                “พอได้แล้ว ฉันขอร้องอย่าทิ้งชีวิตเพื่อคนที่ตายไปเลย นายยังมีฉันอยู่นะ”เสียงของอาไดร์นั้นสั่นพร่าราวกับจะร้องไห้แม้จะไม่มีน้ำตาให้เห็นแต่ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือคำพูดนั้นก็ไม่ต่างกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของอาไดร์เลยแม้แต่นิดเดียว

                อาไดร์ที่เข้มแข็งมาตลอดกำลังร้องไห้เพราะเขา...

                ก่อนหน้านี้นอกจากคำว่าผู้มีอุดมการณ์แบบเดียวกันแล้วแอลเอลฟ์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสายตาที่อาไดร์มองตนนั้นเป็นเช่นไร แต่ในตอนนี้เขาชักจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว อาไดร์เองก็เหมือนกับเขา เพราะไม่อยากสูญเสียจึงพยายามรั้งเขาไว้อย่างสุดความสามารถทั้งที่ไม่มีพลังใดๆ คิดได้ดังนั้นแอลเอลฟ์ก็ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาแล้วยกมือขึ้นกอดตอบอีกฝ่าย

                “นายกับฉันนี่เหมือนกันจริงๆ”ทั้งในอดีตและตอนนี้เขาสองคนก็เหมือนกันราวกับตัวตนอีกด้านหนึ่งซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก ไม่ว่าจะแนวคิด ความไร้พลังหรือกระทั่งความมุ่งมั่นที่จะเหนี่ยวรั้งคนสำคัญเอาไว้อย่างสุดชีวิต

                “เพราะฉะนั้นนายก็คงรู้ถึงคำตอบของฉันใช่ไหม”แม้จะไม่ต้องใช้การคำนวณใดๆมาคิดแต่อาไดร์ก็รู้จริงๆว่าหากเปลี่ยนฮารุโตะเป็นแอลเอลฟ์แล้วเขาก็คงทำแบบเดียวกัน เขาสองคนช่างเหมือนกันจนน่าหัวเราะจริงๆ

                อาไดร์ขยับตัวคลายอ้อมกอดเพื่อจะมองหน้าของแอลเอลฟ์ ดวงตาของเขาทั้งสองประสานกันก่อนที่แอลเอลฟ์จะหลับตาลงแล้วยินยอมให้อาไดร์ประทับริมฝีปากลงลงมา รสจูบที่แสนหอมหวานแต่ก็แฝงไปด้วยความขมขื่นชวนให้หยดน้ำตาไหลริน ความรู้สึกที่เหมือนกันหากแต่กลับไม่ได้มอบให้กันและกันนั้นคือคำตอบของบทสรุปที่มาถึงเมื่อจูบนี้สิ้นสุดลง

                “ขอโทษนะอาไดร์ที่ฉันให้นายได้แค่นี้”เขาจะไม่ตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายเพราะเข้าใจถึงความรู้สึกของตนเองแล้ว เพราะว่าความรู้สึกที่อาไดร์มีให้กับเขาคือความรู้สึกที่เขามีให้กับฮารุโตะเช่นเดียวกัน

                คนที่ทับเขาอยู่ยังคงไม่ยอมลุกออกไปและเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อคนตัวสูงกว่ากอดเขาแน่นขึ้น แอลเอลฟ์เองก็เพิ่มแรงกอดเพื่อใช้หัวไหล่ของอาไดร์หลบซ่อนใบหน้าของตนเองเพราะว่าเขาไม่อยากเห็นใบหน้าอันเศร้าสร้อยของคนที่กอดเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย

                เช้าวันต่อมาอาไดร์ก็เดินทางกลับดอร์เชียในทันทีเพราะยังมีเรื่องทีต้องทำอีกมากมายไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม ก่อนจะกลับอาไดร์มาหาเขาอีกครั้งแต่ไม่ใช่เพื่อกล่าวลา

                “แล้วพบกันใหม่นะ”ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มมาให้เขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ เขาสองคนจับมือกันและมองส่งกันและกันเดินไปในหนทางที่ต่างก็ได้เลือกแล้ว

                แม้ความรู้สึกจะไม่ได้รับการตอบสนองแต่มิตรภาพของเขาทั้งสองจะยังคงอยู่ตลอดไป...

                แอลเอลฟ์เงยหน้าขึ้นจ้องมองท้องฟ้ายามที่เครื่องโดยสารบินหายลับไปก่อนจะหันหลังเพื่อกลับไปทำในสิ่งที่เขาควรทำซึ่งก็คือการสร้างประเทศที่ฮารุโตะสามารถลืมตาตื่นขึ้นมามีชีวิตอยู่ได้อีกครั้งหนึ่ง

 

            หลายปีผ่านไปฮารุโตะก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาซึ่งนั่นก็ทำลายกำลังใจของแอลเอลฟ์ไปทีละน้อย เด็กหนุ่มที่บัดนี้กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวทาบมือลงบนแคปซูลที่บรรจุร่างซึ่งอยู่เหนือห้วงเวลาเอาไว้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

                ใบหน้าของฮารุโตะยังคงเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มวัย 17 ปีไม่ต่างจากเดิมจนทำให้รู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้นขึ้นทุกครั้งจนทำให้บางครั้งเขาก็คิดถึงใบหน้าอันหลากหลายของฮารุโตะขึ้นมา เขาคิดถึงตอนที่โต้เถียงกัน ความอ่อนหัดของอีกฝ่ายทำให้เขาปวดหัวมากพอดูและขณะเดียวกันความอ่อนโยนที่อยู่ภายในนั้นก็ทำให้เขาอยากปกป้องฮารุโตะขึ้นมา

                “โทคิชิมะ ฮารุโตะ...”เขาเอ่ยเรียกชื่อเพราะคิดจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอะไรดี ตลอดหลายปีมานี้การให้รูนของเขากับฮารุโตะทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด อาจารย์คิบุคาวะบอกว่าภูมิต้านทานในร่างกายของเขาลดลงซึ่งส่งผลให้เขาเริ่มป่วยบ่อยกว่าเมื่อก่อนแม้จะยังไม่มากแต่ถ้ายังทำต่อไปคงอันตรายถึงชีวิต

                ดังนั้นนอกจากการให้รูนกับฮารุโตะแล้วเขาจึงได้ขอร้องแกมบังคับให้คิบุคาวะทำการทดลองกับร่างกายเขาให้สภาพร่างกายของเขาเริ่มใกล้เคียงกับทุกคนในโรงเรียนซากินามิ ตอนแรกคิบุคาวะไม่ยอมตกลงแต่สุดท้ายก็ต้องยอมเมื่อเขาใช้คำพูดและสายตาแบบเดียวกับเมื่อครั้งที่ขอให้ช่วยฮารุโตะ

                เมื่อร่างกายของเขามีสภาพใกล้เคียงกับนักบินของวัลเวรฟ พิโน่ก็ยอมให้พลังของมากิอุสกับเขาแม้จะพร่ำบ่นตลอดว่ารสชาติรูนของเขานั้นไม่อร่อยเลยแค่พอกินได้เท่านั้นก็ตาม แอลเอลฟ์ไม่ได้รับความเป็นอมตะมาแต่พลังที่พิโน่มอบให้ก็ช่วยชะลอความเสื่อมถอยของร่างกายและทำให้เขามีชีวิตยืนยาวขึ้นเพื่อที่จะสามารถมอบรูนให้ฮารุโตะได้ต่อไปได้

                แม้ความหวังจะลดน้อยลงเรื่อยๆแต่เขาก็ไม่อยากยอมแพ้แล้วยอมรับว่าทุกอย่างที่ทำมาไม่มีความหมาย รูนของเขาถูกส่งไปให้ฮารุโตะทำให้ความทรงจำของเขาบางเรื่องเริ่มเลือนหายไป แอลเอลฟ์ยังจำเพื่อนทุกคนได้แต่กลับเริ่มลืมแล้วว่าเพื่อนแต่ละคนมีนิสัยเช่นไร

                บุคคลเพียงคนเดียวที่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาก็คือคนตรงหน้าที่ยังคงมีใบหน้าอ่อนเยาว์อยู่เช่นเดิม ในระยะหลังมานี้แอลเอลฟ์เริ่มพยายามทบทวนและท่องจำความทรงจำเก่าเพื่อบันทึกมันลงไปซ้ำอีกครั้งก่อนที่จะลืมเลือนซึ่งมันทำให้เขายังคงพอจดจำเรื่องเก่าๆได้แม้จะลืมไปบางส่วนแล้วก็ตาม

                “นี่คือความรู้สึกของนายใช่ไหม”เขาเอ่ยถามกับคนตรงหน้าที่เหมือนกับหลับใหลอยู่ เมื่อก่อนเขามองเรื่องที่นักบินต้องสูญเสียความทรงจำกับพลังชีวิตไปเป็นเพียงการจ่ายค่าตอบแทนกับพลังที่ได้รับมาและแทบไม่ได้นึกเห็นใจในเรื่องนี้เลย แต่ในวันนี้เขาเข้าใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากแค่ไหน

                ไม่ว่าใครก็ต้องมีเรื่องที่ไม่อยากลืม....กว่าเขาจะเข้าใจในเรื่องนี้ก็เมื่อตอนที่ได้ประสบกับตนเอง ความหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นคือศัตรูตัวฉกาจที่สุดซึ่งแฝงตัวอยู่ในความสิ้นหวัง แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาสามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้ว่ารูนของเขาส่งไปถึงฮารุโตะเช่นกัน

                แอลเอลฟ์ปล่อยให้มือที่วางอยู่บนแคปซูลตกลงมาข้างตัวเมื่อรับรู้ได้ถึงการมาของใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มหันกลับไปมองคิบุคาวะที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าทุกครั้งและมันก็ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล

                “แอลเอลฟ์....ฉันจะไม่ทำการส่งรูนของเธอให้กับฮารุโตะอีกแล้ว”วินาทีที่คิบุคาวะพูดประโยคนั้นออกมาเขาก็รู้สึกตัวชาประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาดไม่มีผิด คิบุคาวะขยับแว่นแล้วเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                “เราทำการทดลองมาหลายปีแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยซึ่งความจริงมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะว่าโทคิชิมะ ฮารุโตะน่ะตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว สิ่งที่เธอทำอยู่มันก็แค่การกระทำโง่เขลาเท่านั้น”ได้ยินดังนั้นแอลเอลฟ์ก็กัดฟันด้วยความโกรธที่เริ่มปะทุขึ้นมา

                ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่คิบุคาวะพูดมาตั้งแต่วันแรกที่ฮารุโตะจากไปแล้วแต่เพราะความโหยหาและอาลัยอาวรณ์ของเขาเองที่ทำให้เขาตัดใจไม่ได้ แต่เขายอมโง่เขลาต่อไปเพื่อความหวังที่แทบเป็นศูนย์เสียดีกว่าเชื่อในความเป็นจริงอันสิ้นหวัง

                “ฉันรู้แต่ว่าขอเพียงยังมีความหวังอยู่ฉันก็จะไม่ยอมตัดใจเด็ดขาด”ทั้งคำตอบและแววตาของแอลเอลฟ์ยังคงเหมือนเดิมซึ่งสร้างความหนักใจให้กับคิบุคาวะเป็นอย่างมาก อดีตอาจารย์หนุ่มถอนหายใจก่อนจะมองแอลเอลฟ์ด้วยแววตาเห็นใจ

                “ถ้างั้นฉันคงต้องทำให้มันจบลงเสียที”สิ้นเสียงนั้นแคปซูลที่บรรจุร่างของฮารุโตะก็เริ่มส่งเสียงที่เขาไม่ไว้ใจแม้แต่นิดเดียวขึ้นมา

                “คิดจะทำอะไร!”แอลเอลฟ์ตะโกนถามก่อนจะหันกลับไปมองแต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่คลาดสายตาจากคิบุคาวะมือของเขาทั้งสองข้างก็ถูกใครบางคนจับเอาไว้ พอหันกลับไปมองเขาก็ได้พบกับใบหน้าคุ้นเคยของอีกคนที่เรียกได้ว่าเข้าใจเขาดีที่สุด

                “อาไดร์....”

                “นายต้องหยุดได้แล้วแอลเอลฟ์ ให้ทุกอย่างมันจบลงเสียที ฉันจะไม่ปล่อยให้คนที่ฉันรักทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว”อาไดร์บอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆแต่ก็แน่วแน่ขณะที่จับเขาเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้เขาขัดขวางสิ่งที่เกิดขึ้น

                “ฉันจะหยุดเครื่องรักษาสภาพร่างกายแล้วเอาร่างของฮารุโตะมาทำลายแล้วจบเรื่องบ้าๆนี่เสียที”คำพูดจากปากของคิบุคาวะแทบจะบดขยี้หัวใจของเขาให้แหลกเป็นผุยผง แอลเอลฟ์ดิ้นรนพยายามจะหนีออกไปเพื่อหยุดสิ่งที่คิบุาวะคิดจะทำแต่เรี่ยวแรงของเขาหดหายไปมากทำให้สู้แรงของอาไดร์ไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางดิ้นรนของแอลเอลฟ์แล้วคิบุคาวะก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

                “ความจริงฉันไม่ควรรับปากจะช่วยเธอตั้งแต่แรกเลย เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยิ่งผูกพันกับฮารุโตะคุงมากเกินไปจนถึงกับทำเรื่องบ้าๆอย่างการนำยีนของตัวเองกับฮารุโตะมาโคลนนิ่งแบบนี้”คราวนี้คำพูดของคิบุคาวะก็ทำให้แอลเอลฟ์ถึงกับอึ้งเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องที่เขาแอบไปให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่นทำจะแพร่งพรายออกมา

                “เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ พอเห็นว่าร่างกายตัวเองเริ่มไม่ไหวก็คิดจะสร้างโคลนมาเพื่อนำรูนมาให้ฮารุโตะคุงงั้นเหรอ”นี่เป็นสิ่งที่คิบุคาวะคิดเมื่อสืบรู้ว่าแอลเอลฟ์ได้นำยีนของฮารุโตะกับตนเองมาผสมกันเพื่อสร้างโคลนขึ้นมา เขาไม่คิดว่าแอลเอลฟ์จะเป็นคนโหดเหี้ยมขนาดนั้นแต่ความยึดติดที่แอลเอลฟ์มีให้ฮารุโตะนั้นมากจนเขาอดคิดแบบนี้ไม่ได้และมันก็คือสาเหตุหลักที่เขาจะต้องยุติเรื่องนี้เสียที

                “ไม่ใช่! ฉันก็แค่....อยากจะให้มีคนสืบทอดเรื่องนี้ต่อไป”บางทีอาจเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบตอนที่รู้ว่าตัวเองเริ่มอ่อนแอลงเขาจึงเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถอยู่จนถึงตอนที่ฮารุโตะตื่นขึ้นมาได้ เขาจึงอยากได้ใครสักคนที่สามารถสานต่อเรื่องนี้ได้ นอกจากนั้นเด็กที่เกิดมาจะมียีนของเขากับฮารุโตะทำให้อย่างน้อยเขาก็รู้สึกเหมือนปลอบใจตัวเองที่จะได้เห็นผู้มีสายเลือดของฮารุโตะมีชีวิตอยู่ตรงหน้า

                ได้ยินดังนั้นคิบุคาวะก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยที่แอลเอลฟ์ไม่ได้คิดจะทำเรื่องที่เขาคาดเดาเอาไว้แต่กระนั้นการกระทำของแอลเอลฟ์ก็ยังคงยึดติดกับฮารุโตะมากเกินไปอยู่ดี เขาร่วมมือสร้างสิ่งที่ฆ่าคนขึ้นมาแล้วจึงไม่อยากจะทำลายชีวิตคนอื่นอีก

                “ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ฉันก็ต้องทำลายร่างของฮารุโตะอยู่ดี”พูดจบแอลเอลฟ์ก็ถูกอาไดร์ลากให้ถอยห่างออกมาจากแคปซูลในเวลาเดียวกับที่คิบุคาวะเดินมาที่เครื่องเพื่อหยุดการทำงาน

                “หยุดนะ! อย่า!”แอลเอลฟ์ตะโกนร้องห้ามอย่างเปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มได้แต่มองคิบุคาวะลงมือทำลายฮารุโตะต่อหน้าต่อตาด้วยความรู้สึกที่เหมือนหัวใจเขากำลังถูกฉีกกระชาก

                ไม่นานฝาแคปซูลก็ถูกเปิดออก ไอเย็นที่อยู่ภายในพุ่งออกมาทำให้หัวใจและร่างกายของเขารู้สึกเย็นยะเยือก มือของคิบุคาวะที่กำลังดึงเอาร่างของฮารุโตะออกมานั้นไม่ต่างกับมือของมัจจุราชที่กำลังจะคร่าชีวิตของเขาไปด้วยอีกคน

                โทคิชิมะ ฮารุโตะกำลังจะหายไปตลอดกาลโดยที่เขาได้ดูเพียงอย่างเดียว ทั้งที่พยายามมาขนาดนี้และถึงมันจะแทบไม่มีหวังเลยแต่การมอบรูนให้กับฮารุโตะก็เหมือนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังยึดเหนี่ยวเขากับโลกใบนี้เอาไว้

                “ไม่....”เขาได้แต่เอ่ยอย่างสิ้นหวังเพราะแค่จะยื่นมือไปหาก็ยังทำไม่ได้ ตลอดมาสิ่งที่เขาได้คือการร้องเรียกออกไปเท่านั้น

                “ฮ...ฮารุโตะ....ฮารุโตะ!!!!!!!!!!!!!!!”เสียงเรียกชื่อของแอลเอลฟ์ดังกึกก้องห้องสี่เหลี่ยมนี่จนบาดลึกลงไปในใจของอาไดร์กับคิบุคาวะ แต่กระนั้นเขาทั้งสองก็จะไม่หยุดการกระทำของตัวเอง

                ทว่าพริบตานั้นเองร่างของผู้ที่ควรตายไปแล้วกลับลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยสัญลักษณ์บางอย่างสีแดงบนใบหน้าพร้อมกับที่ริมฝีปากอ้าออกเพื่อที่จะฝังคมเขี้ยวลงไปบนเหยื่อเบื้องหน้าซึ่งก็คือคิบุคาวะ

                โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดใคร่ครวญคิบุคาวะรีบผละออกมาจากฮารุโตะทันที  ชายวัยกลางคนรีบถอยหนีมาให้เร็วที่สุด ฮารุโตะ...หรือสิ่งที่น่าจะเป็นฮารุโตะพยายามขยับมาหาคิบุคาวะแต่เพราะร่างกายที่ถูกแช่แข็งมานานยังไม่ฟื้นตัวดีจึงทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

                ริมฝีปากบางส่งเสียงออกมาคล้ายกับเสียงคำราม ทุกการเคลื่อนไหวของฮารุโตะนั้นดูราวกับสัตว์ร้ายที่เพิ่งตื่นจากการจำศีลไม่มีผิดและเรื่องยิ่งเลวร้ายขึ้นเมื่อร่างของฮารุโตะดูจะเคลื่อนไหวเร็วขึ้นทุกทีด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของรูนภายในร่างกาย

                ปัง!

                กระสุนหนึ่งนัดพุ่งตรงเข้าใส่น่องของฮารุโตะทันที ผู้ที่ลั่นไกคืออาไดร์ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกันด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก คนถูกยิงไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาสักนิด ร่างบางทำเพียงแค่หันมามองอาไดร์อย่างดุร้ายก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมายังชายหนุ่มแทน

                “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”อาไดร์สบถด้วยความหงุดหงิดเมื่อพบว่าแผลที่ขาของฮารุโตะเลือดหยุดไหลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นร่างที่ทำตัวเหมือนสัตว์ร้ายกำลังพุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมอ้าปากกว้างเพื่อเตรียมจะขย้ำเหยื่อด้วยความหิวโซ เมื่อเห็นดังนั้นอาไดร์ก็ปล่อยมือที่จับแอลเอลฟ์ทันทีแล้วเข้าไปสกัดฮารุโตะเอาไว้

                “ฮารุโตะ....”แอลเอลฟ์เอ่ยชื่อนี้ด้วยน้ำเสียงติดจะเลื่อนลอยขณะที่จับจ้องภาพเบื้องหน้าอย่างไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองได้

                โทคิชิมะ ฮารุโตะฟื้นขึ้นมาแล้วแต่กลับมีท่าทางคลุ้มคลั่งและขาดสติประหนึ่งสัตว์เดรัจฉานที่หิวโหย แม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่แอลเอลฟ์ก็รู้ได้ทันทีว่าฮารุโตะกำลังพยายามดูดกลืนรูนเข้าไปในร่างให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ฮารุโตะแต่เป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะฆ่าทุกคนเพื่อสนองความหิวของตัวเอง

                “นี่คือสิ่งที่ฉันทำมาตลอดงั้นเหรอ”พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายปลุกชีพสัตว์ร้ายขึ้นมาเพื่อฆ่าอาไดร์คนสำคัญของเขา นี่หรือคือสิ่งที่เขาต้องการ....

                “ไม่ใช่...มันไม่ใช่แบบนี้....”เขาก็แค่อยากพบฮารุโตะเท่านั้นเอง.....เพราะฉะนั้นหากนี่คือผลของการกระทำอันโง่เขลาของเขาละก็เขาก็จะต้องรับผิดชอบมันให้ถึงที่สุด

                แอลเอลฟ์ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วหยิบปืนออกมาปลดเซฟตี้แล้วจัดการยกมันขึ้นเล็งไปทางสิ่งที่เคยถูกเรียกว่าโทคิชิมะ ฮารุโตะ ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมกัดฟันแน่นก่อนที่ปลายนิ้วจะเหนี่ยวไกออกไป

                ปัง!

                เสียงของปืนที่ถูกลั่นไกเกิดขึ้นและตามด้วยเลือดที่พุ่งออกมาจากกลางอกของฮารุโตะซึ่งส่งผลให้ร่างบางหันกลับมายังแอลเอลฟ์ที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมในขณะที่อาไดร์มองแอลเอลฟ์อย่างไม่เชื่อสายตาว่าเพื่อนของตนจะกล้ายิงคนสำคัญของตัวเองได้ลงคอ

                “โทคิชิมะ ฮารุโตะ!”ชายหนุ่มตะโกนด้วยเสียงอันดังก่อนจะกระชากคอเสื้อตนเองจนกระดุมหลุดออกมาและก้าวเข้ามาหาฮารุโตะโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวบนใบหน้าและแววตา

                “อาหารของนายอยู่ตรงนี้ต่างหาก”พูดจบแอลเอลฟ์ก็กระชากคอเสื้ออีกครั้งจนเสื้อขาดเผยให้เห็นผิวเนื้อสีขาวซึ่งถูกซ่อนอยู่ราวกับจะยั่วยวนให้ฝังคมเขี้ยวลงไปทำให้วินาทีต่อมาฮารุโตะก็ได้พุ่งเข้าไปหาแอลเอลฟ์พร้อมกับฝังเขี้ยวลงไปทันทีท่ามกลางเสียงร้องเรียกของอาไดร์

                “แอลเอลฟ์!”

 

            ยามบ่ายในสวนกว้างมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งเล่าเรื่องให้กับร่างหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตากลมโตสีน้ำเงินสะท้อนไปด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวาตามประสาเด็กอยู่เต็มเปี่ยม ร่างเล็กจับถ้วยโกโก้ที่ดื่มอยู่แน่นด้วยท่าทางเหมือนกำลังลุ้นสุดชีวิต

                “แล้วเป็นยังไงต่อเหรอครับ”เด็กน้อยเอ่ยเร่งเมื่อคนเล่าอยู่ๆก็เงียบไปเสียอย่างนั้น ทางด้านผู้ที่เล่าเรื่องยิ้มให้กับท่าทางอยากรู้อยากเห็นด้วยความเอ็นดู

                “ใจเย็นๆก่อนสิ”ว่าแล้วก็ยื่นมือไปวางบนกลุ่มเส้นผมสีเงินนั้นแล้วขยี้ไปมาจนเด็กน้อยร้องโอดครวญเพราะเส้นผมที่เคยเรียบร้อยยุ่งฟูไปหมด

                “อย่าแกล้งกันสิครับ”ใบหน้าน่ารักบูดบึ้งทันทีจนทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่มักหน้าบูดบึ้งอยู่เสมอด้วยความรู้สึกที่ติดจะโหยหาเล็กน้อย ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นซึ่งยังคงติดตราตรึงอยู่ในใจของเขา

                “หลังจากนั้นนะ....”

               

                เสียงของอาไดร์ที่เรียกแอลเอลฟ์ซ้อนทับกับเสียงที่ลำคอถูกขย้ำ สีหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดขณะที่ถูกดูดกลืนทั้งเลือดและรูนอย่างหิวกระหายแต่กระนั้นมือแกร่งกลับโอบกอดร่างอันบอบบางนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย

                “อึก.....”แอลเอลฟ์กัดฟันทนกับความเจ็บปวดแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาไม่ได้หมดสติไป เขารู้ตัวว่าโทคิชิมะ ฮารุโตะยังคงดูดกลืนรูนของเขาไม่หยุดเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรและไม่ได้สนใจ ภาพอดีตของเขากำลังแตกสลายอยู่ในใจ ใบหน้าของผู้คนในอดีตกำลังถูกลบหายไปทีละนิดราวกับน้ำในแก้วที่แตกร้าว

                “ถ้าอยากได้ขนาดนั้นก็เอาไปเถอะเพราะนี่คือครึ่งหนึ่งของนาย”เหมือนกับที่นายเป็นครึ่งหนึ่งของฉัน......

                “หากนายจะเป็นสัตว์ร้ายก็ไม่เป็นไรเพราะฉันก็จะเป็นเหยื่อเพียงคนเดียวของนาย  บาปในการดูดกลืนชีวิตของนายฉันจะรับไว้เอง”เอ่ยอย่างนึกคิดถึงกับสิ่งที่ในอดีตเขาไม่เคยได้พูดออกมาเพราะความปากแข็งของตัวเอง แอลเอลฟ์คิดถึงอดีตที่ตนได้แต่ปล่อยให้สิ่งสำคัญหลุดมือไป ดังนั้นในวันนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด

                “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะไม่ยอมปล่อยมือจากนายอีกแล้ว”มือที่เคยทำสิ่งสำคัญหายในในวันวานตอนนี้กำลังถูกใช้เพื่อกอดเอาคนสำคัญไว้ด้วยแรงที่มี เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มมือทำให้เขาถึงกับลืมเลือนความเจ็บปวดและร่างกายที่เริ่มอุ่นขึ้นเพราะได้รูนของเขาไปก็ทำให้เขาสามารถลบล้างความสิ้นหวังไปจากใจ ริมฝีปากของชายหนุ่มหลุดรอยยิ้มอันแท้จริงออกมาก่อนกล่าวสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนเองออกมา

                “ฉันรักนาย ฮารุโตะ”คำบอกรักครั้งแรกและอาจเป็นครั้งสุดท้ายของเขาคือสิ่งที่เขาอยากบอกมาตลอดในวันที่ฮารุโตะลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่นี้เขาก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจอีกแล้ว....

                สติของเขากำลังจางหายไปพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มติดขัดแต่แอลเอลฟ์ก็ไม่สนใจในเมื่อความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อรอรับความตายแต่แล้วทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเมื่อเขี้ยวที่ฝังอยู่บนคอของเขาถูกถอนออกพร้อมกับที่เขาถูกผลักออกมา

                ฮารุโตะขยับถอยห่างไปจากแอลเอลฟ์ ดวงตาสีฟ้ากรอกไปมาจนน่ากลัวมือสองข้างขยับสะเปะสะปะไปมาก่อนจะเข้ากอบกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้

                “กรร...”เสียงร้องเหมือนกำลังอดกลั้นบางอย่างดังเล็ดรอดออกมาจากฟันที่ถูกขบเข้าหากันแน่นของฮารุโตะ ร่างบางกุมหัวของตัวเองแล้วดิ้นทุรนทุรายด้วยท่าทางทรมานก่อนจะคำรามออกมาเสียงดังแล้วล้มลงไปนอนกับพื้นคล้ายกับสูญสิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมดแล้วซึ่งส่งผลให้แอลเอลฟ์รีบขยับตัวเข้าไปหาแล้วกุมมือร่างนั้นไว้ทันที

                “ฮารุโตะลืมตาสิ! ฮารุโตะ!”เขาร้องเรียกแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับว่าฮารุโตะได้ตายลงอีกครั้งหนึ่ง อาไดร์กับคิบุคาวะเดินเข้ามาหาแล้วมองแอลเอลฟ์ที่ส่งเสียงเรียกร่างในอ้อมกอดด้วยความสะเทือนใจกับบทสรุปที่แสนสิ้นหวังนี้

                “สุดท้ายแล้วก็เป็นแบบนี้งั้นเหรอ”คิบุคาวะเอ่ยขึ้นกับภาพตรงหน้าที่เหมือนเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิดราวกับจะเย้ยหยันถึงการดิ้นรนอันเปล่าประโยชน์ของแอลเอลฟ์ คิบุคาวะหลับตาลงเพราะไม่อาจทนดูต่อไปได้ตรงข้ามกับอาไดร์ที่ยืนมองอยู่เงียบๆอย่างนึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ

                “ได้โปรดลืมตาเถอะ ฮารุโตะ...”แอลเอลฟ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเรียกว่าอ้อนวอน มือที่หยาบกร้านสัมผัสลงบนผิวแก้มที่ยังอบอุ่นอยู่ด้วยใจที่แทบแตกสลาย ฮารุโตะที่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่แต่ไม่ตอบอะไรกลับมากำลังทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังในวันนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งส่งผลให้หยดน้ำตาที่เคยเหือดแห้งไปแล้วครั้งหนึ่งไหลรินออกมา

                “ฮารุโตะ”ชายหนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้งก่อนจะหยดน้ำตาจะร่วงหล่นสู่ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นและราวกับการตอบรับเสียงเรียกเมื่อแพขนตาหนาเริ่มขยับเปิดขึ้นอย่างช้าๆ

                ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของแอลเอลฟ์สะท้อนเข้ามาในดวงตาสีฟ้าคู่โตที่กำลังจับจ้องคนที่อยู่ข้างหน้าตนเองอย่างไม่วางสายตา ริมฝีปากบางกำลังขยับและลำคอได้ส่งเสียงเรียกออกไป

                “แอล...เอลฟ์......”เสียงที่ได้ยินนั้นแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนอยู่ในใจของชายหนุ่มที่ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อคนในอ้อมกอดเขาได้ลืมตาตื่นขึ้นและเอ่ยเรียกชื่อของเขา มือเรียวบางถูกยกขึ้นวางลงบนใบหน้าของเขาเหมือนกำลังพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนได้เห็นนั้นคือความจริงใช่หรือไม่

                “นายร้องไห้งั้นเหรอ......”หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงปฏิเสธแล้วอ้างเหตุผลอะไรสักอย่างแต่ตัวเขาในวันนี้มีสิ่งเดียวที่ต้องทำคือรวบร่างบางเข้ามากอดเอาไว้เท่านั้น

                “ฮารุโตะ.....”แอลเอลฟ์เรียกชื่อพร้อมทั้งเพิ่มแรงกอดจนทำให้รู้สึกอึดอัดแต่ฮารุโตะก็ไม่ได้ผลักร่างของแอลเอลฟ์กอด ท่ามกลางความสับสนในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นฮารุโตะได้ยกมือขึ้นกอดร่างที่สูงใหญ่กว่าตนเอาไว้แนบแน่น

                “ทำไมกันนะ ทั้งที่ฉันนึกเรื่องอะไรไม่ออกแท้ๆแต่กลับมีเพียงนายเท่านั้นที่ยังอยู่ในความทรงจำของฉัน....”พูดจบฮารุโตะก็ร้องไห้ออกมาเช่นเดียวกัน

 

            “.....แล้วฮารุโตะก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจบลงอย่างมีความสุข”เมื่อคำพูดสุดท้ายหลุดออกไปจากปากเด็กน้อยตรงหน้าก็มีท่าทางตื่นเต้นเหมือนลุกขึ้นมาแสดงความยินดีแทนสองคนที่อยู่ในเรื่องเล่าทันที

                “ว้าวๆๆ ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้อยู่ด้วยกันใช่มั้ยครับ!”ชายหนุ่มพยักหน้ารับกับคำถามของเด็กน้อยตรงหน้าแล้วก็ส่งมือไปขยี้ศีรษะกลมนั้นอีกครั้งแต่คราวนี้คงเพราะกำลังปลาบปลื้มใจอยู่ร่างเล็กถึงได้ไม่มีท่าทีไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว

                “เอาล่ะนิทานจบแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาไปเรียนแล้วนะ”ชายหนุ่มพูดแล้วลุกขึ้นยืนเป็นการบ่งบอกว่านิทานจบลงแล้วจริงๆ เด็กน้อยเองก็ลุกขึ้นเดินมาหาขายหนุ่มแล้วให้อีกฝ่ายจูงไปอย่างว่าง่าย

                “แล้วเล่านิทานให้ผมฟังอีกนะครับท่านพ่ออาไดร์”พูดจบเด็กน้อยก็ส่งยิ้มสดใสมาให้เขาอีกครั้ง อาไดร์ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อลูกหนึ่งยิ้มบางๆแล้วค่อยพยักหน้ารับคำขอของลูกชายระหว่างทางที่เดินไปชายหนุ่มมองร่างเล็กที่ก้าวเดินอยู่ข้างๆพลางหวนคิดถึงครั้งแรกที่ได้พบกับเด็กน้อยเจ้าของดวงตาสีฟ้าคนนี้

                เขาได้พบกับเด็กคนนี้หลังจากที่โทคิชิมะ ฮารุโตะฟื้นขึ้นมาไม่นานที่ห้องทดลองหนึ่ง เด็กคนนี้คือโคลนซึ่งได้รับยีนของแอลเอลฟ์กับฮารุโตะ อันที่จริงจะเรียกว่าโคลนก็ไม่ถูกนักเพราะถึงวิธีเกิดจะผิดธรรมชาติไปไม่น้อยแต่ก็คล้ายกับการผสมเทียมมากกว่า

                ตอนแรกอาไดร์คิดว่าจะได้เจอภาพของมนุษย์ที่ถูกบรรจุไว้ในหลอดแก้วทดลองเสียอีกแต่เมื่อไปถึงสิ่งที่เขาได้พบคือห้องกว้างห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยของเล่นกับเตียงนอนแถมยังมีโต๊ะเขียนหนังสืออีกด้วย ภายในห้องนั้นมีร่างของเด็กตัวเล็กๆอายุประมาณ3-4ปีนั่งเล่นตัวต่อไม้อยู่คนเดียวด้วยท่าทางสนุกสนาน

                “นี่มัน....”อาไดร์มองภาพตรงหน้าอย่างไมเชื่อสายตาตัวเอง เด็กผู้ชายตรงหน้าเขามีเส้นผมสีเงินเหมือนกับแอลเอลฟ์แต่กลับมีดวงตาสีฟ้าเหมือนโทคิชิมะ ฮารุโตะกำลังพยายามต่อปราสาทของเล่นให้สูงขึ้นแต่สุดท้ายด้วยความที่มือไม่นิ่งพอปราสาทที่ทำจากตัวต่อไม้จึงถล่มลงมาส่งผลให้เด็กน้อยเบะปากน้ำตาซึมท่าทางเสียใจสุดขีดติดแค่ยังไม่ปล่อยโฮออกมาเท่านั้น

                ตัวต่อไม้ทรงกระบอกที่ตกลงบนพื้นกลิ้งมาทางอาไดร์ที่ยืนอึ้งอยู่ ชายหนุ่มก้มลงเก็บตัวต่อขึ้นมาแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาร่างเล็กเบื้องหน้า เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็ย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นข้างหนึ่งแล้วส่งของเล่นคืนให้

                “นี่ของเธอ”ดูท่าเด็กน้อยจะไม่กลัวคนแปลกหน้า ร่างเล็กเอียงคอมองคนแปลกหน้าด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเล็กๆเหมือนเด็กทั่วไป

                “คูณเป็นครายฮะ”สำเนียงที่ไม่ค่อยชัดตามประสาเด็กทำให้อาไดร์หลุดยิ้มออกมา อาไดร์ไม่ได้ตอบทันทีแต่กลับยื่นมือไปอุ้มร่างเล็กตรงหน้าขึ้นมา

                “เล่นคนเดียวไม่เหงาเหรอ”เขาถาม ร่างเล็กส่ายหัวก่อนตอบด้วยน้ำเสียงฉาดฉาน

                “ม่ายฮะ เพราะคูณพ่อแอลเอลฟ์มาเล่นด้วยทู้กวันเลย”เด็กน้อยที่อุ้มอยู่ยิ้มแป้นอย่างที่รู้ว่ามีความสุขให้ได้เห็นจนกลายเป็นอาไดร์เสียเองที่ทำหน้าไม่ถูก ชายหนุ่มมีสีหน้าลนลานเล็กน้อยเมื่อถูกดวงตาใสแจ๋วคู่โตของเด็กน้อยจับจ้องก่อนจะนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อของเด็กน้อยเลย

                “จริงสิ เธอชื่ออะไรงั้นเหรอ”

                “ผมชื่อ.....”

                “ท่านพ่ออาไดร์ฮะ”เมื่อโดนเรียกอาไดร์ก็ดึงตัวเองกลับสู่ปัจจุบันทันที ร่างสูงก้มลงมองเด็กน้อยที่สูงไม่ถึงเอวของเขาพลางถามเสียงอ่อนโยน

                “มีอะไรเหรอ”

                “ตอนนี้คุณพ่อแอลเอลฟ์กับคุณแม่ฮารุโตะไปไหนงั้นเหรอครับ”คำถามอันไร้เดียงสาส่งผลให้อาไดร์แทบหลุดขำออกมากับสรรพนามที่ได้ยิน จะว่าไปเขายังไม่ได้บอกสินะว่าความจริงแล้วโทคิชิมะ ฮารุโตะเป็นผู้ชายแต่คิดอีกทีให้ลูกชายบุญธรรมของเขาเข้าใจแบบนี้ต่อไปคงดีกว่า

                หลังจากที่โทคิชิมะ ฮารุโตะฟื้นขึ้นไม่กี่วันแอลเอลฟ์ก็ได้มาฝากฝังลูกชายกับเขาและออกเดินทางไปกับฮารุโตะเพียงสองคนเพราะว่าไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกแล้วในเมื่อเขากับซาชินามิ โชโกะและอีกหลายคนได้ร่วมมือกันรวมประเทศเป็นปึกแผ่นแล้ว

                ซาชินามิ โชโกะถอนตัวจากการเป็นผู้นำประเทศและยื่นเจตจำนงในการรับหน้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อนวัลเวรฟที่ 1 ด้วยตนเอง เขากับอีกหลายคนจึงรับหน้าที่บริหารประเทศแทน นอกจากนั้นทุกคนยังลงความเห็นให้ลูกชายบุญธรรมของเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นแห่งนี้

                เด็กคนนี้คือผู้สืบสายเลือดของวีรบุรุษทั้งสองผู้สร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมา.....คิดแล้วอาไดร์ก็มองเด็กน้อยหรือก็คือเจ้าชายตัวน้อยที่อนาคตจะเติบโตขึ้นเป็นกษัตริย์ซึ่งกำลังจ้องมองเขาอย่างรอคอยคำตอบ

                ชายหนุ่มหยุดเดินทำให้เด็กน้อยหยุดตาม แสงอาทิตย์ในยามบ่ายส่องสว่างเจิดจ้าจนแสบตาแต่เขาก็ไม่คิดจะหลบสายตาเพราะว่านี่คือแสงสว่างของดินแดนที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยมือของคนที่เขารัก อาไดร์หันกลับมามองลูกชายที่จูงมืออยู่ก่อนจะยิ้มแล้วตอบ

                “ป่านนี้ทั้งสองคนก็คงเดินทางกันอย่างสนุกสนานอยู่น่ะ มิคาอิล”

 

            ไกลออกไปที่ส่วนหนึ่งของผืนโลกอันกว้างใหญ่มีชายสองคนกำลังยืนมองทิวทัศน์แห่งหนึ่งจากเนินเขา คนหนึ่งคือชายหนุ่มร่างสูงคาดอายุประมาณยี่สิบปีกลางๆผู้มีเส้นผมสีเงินปลิวไสวมีสีหน้านิ่งเรียบแต่แววตาคมกริบคู่นั้นทำให้สีหน้าดูเหมือนคนที่เคร่งเครียดตลอดเวลาผิดกับอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังใช้ดวงตาสีฟ้ามองภาพเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น

                “โห ทะเลของจริงล่ะ”ชายที่ดูท่าทางอายุไม่เกินยี่สิบกล่าวออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนอยากจะวิ่งลงไปที่ชายหาดเสียเดี๋ยวนั้น

                “แรกสุดตอนที่เราลงมาที่โลกนายก็ได้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ”แอลเอลฟ์เอ่ยเสียงเรียบกับท่าทีตื่นเต้นเกินเหตุของคนข้างกาย ฮารุโตะหันกลับมามองด้วยสีหน้างุนงงทันที

                “จริงเหรอ ฉันไม่เห็นจำได้เลย”ได้ยินดังนั้นคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นทันทีอย่างเคร่งเครียดเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนหน้านี้

                คนข้างกายเขาฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์แต่กลับไร้ซึ่งความทรงจำใดๆยกเว้นแต่เพียงเรื่องของเขาเท่านั้น คิบุคาวะลงความเห็นว่าคงเพราะตอนที่ตายฮารุโตะไม่มีความทรงจำใดๆทั้งสิ้นและตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ได้รับแต่รูนของแอลเอลฟ์เพียงคนเดียวทำให้ความจำของทั้งคู่ที่มีร่วมกันถูกผสานลงไปในตัวของฮารุโตะ

                ร่างกายของฮารุโตะไม่ได้เป็นอมตะอีกต่อไป เมื่อได้รับบาดแผลแม้จะฟื้นตัวเร็วกว่าคนทั่วไปแต่ก็สามารถตายได้และจะอ่อนแอลงเรื่อยๆเมื่อไม่ได้รับรูนของเขาทำให้เขาทั้งคู่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเพื่อคอยเติมรูนให้กับฮารุโตะเท่ากับว่าเมื่อใดที่แอลเอลฟ์ตายวันนั้นก็คือวันตายของฮารุโตะเช่นกัน

                นอกจากนั้นความทรงจำของฮารุโตะเองก็ไม่ค่อยคงที่อีกด้วย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เปลี่ยนไปตลอดกาลแต่เขากลับรับรู้ว่าฮารุโตะหลงลืมเรื่องต่างๆได้ง่ายจนน่าเศร้า ทว่าเหมือนความโชคดีในความโชคร้ายเพราะตราบเท่าที่ฮารุโตะยังคงดื่มกินรูนของเขาอีกฝ่ายก็จะจดจำได้แต่เพียงเรื่องของเขาอย่างแม่นยำ

                หากเทียบกับเหล่านักบินคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่โทคิชิมะ ฮารุโตะก็ไม่ต่างกับของที่ชำรุดแล้วแต่สำหรับแอลเอลฟ์ชายหนุ่มรู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ได้หลุดพ้นจากคำสาปของวัลเวรฟเสียที

                “ช่างเถอะ ถ้านายอยากลงไปดูก็ไปกัน”ได้ยินดังนั้นร่างบางข้างกายก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แอลเอลฟ์ถอนหายใจกับท่าทีเริงร่าของฮารุโตะแล้วก็ก้มลงหยิบสัมภาระขึ้นมาถือเอาไว้

                ทางด้านฮารุโตะที่ยืนมองคนหน้าบูดตลอดกาลข้างๆก็นึกสนุกยื่นมือเข้าไปจับมือของชายหนุ่มไว้แล้วลากให้วิ่งไปด้วยกัน ถึงร่างกายจะไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยก่อนแต่แอลเอลฟ์ก็ไม่มีทางสะดุดหกล้มกับการโดนลากโดยไม่ทันตั้งตัวอยู่แล้ว ชายหนุ่มตวัดสายตาขุ่นเคืองไปหาคนที่ลากเขาวิ่งลงเนินอย่างเอาเรื่อง

                “คิดจะทำอะไร”

                “นายจะเข้มงวดเกินไปแล้วน่า กาแฟน่ะมันต้องมีทั้งขมและหวาน ผู้ชายขมๆแบบนายน่ะฉันจะเป็นน้ำตาลให้เอง”แล้วใบหน้ายิ้มแย้มของฮารุโตะก็ประทับเข้าสู่นัยน์ตาของเขาพร้อมกับคำพูดที่เคยได้ยินในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ถึงลักษณะนิสัยจะเปลี่ยนไปพอสมควรแต่โดยรวมแล้วก็ยังเป็นเจ้าน้ำตาลงี่เง่าจอมอ่อนหัดของเขาเหมือนเดิมแค่นี่ก็พอแล้ว

                “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนายก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ”ต่อให้ผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง สูญเสียความทรงจำและทุกอย่างไปจนหมดแต่คนข้างกายของเขาก็ยังเหมือนเดิม

                เขาไม่เคยบอกและคิดว่าฮารุโตะคงไม่มีทางรู้ตัว สำหรับเขาแล้วฮารุโตะเองก็เป็นเหมือนกับลีเซล็อตเต้คนที่สอง คือผู้ที่ฉุดให้เขาหลุดพ้นจากความสิ้นหวังและมอบแสงสว่างให้ในช่วงเวลาที่ต้องการมากที่สุด

                นายคือแสงสว่างของฉัน....คำพูดที่เขาไม่เคยพูดและไม่คิดจะพูดออกไปเพราะขืนพูดออกไปฮารุโตะคงคิดว่าเขาไข้ขึ้นแน่ๆ ดังนั้นปล่อยให้ฮารุโตะคิดว่าเขาเป็นกาแฟขมๆต่อไปดีกว่า

                ไม่นานเขาทั้งสองก็มาถึงชายหาดร้างไร้ผู้คนเพราะที่นี่เองก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวอยู่แล้วซึ่งถือว่าเหมาะกับเขาที่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ฮารุโตะถอดรองเท้าแล้วค่อยๆเดินย่ำลงไปบนทรายเปียกๆจนเม็ดทราบติดเต็มเท้าและชายกางเกงแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจเลย

                แสงแดดสาดส่องมาบนเส้นผมสีน้ำตาลทำให้เส้นผมเปล่งประกายระยิบระยับ เสียงหัวเราะของฮารุโตะลอยเข้ามาในโสตประสาทเมื่อมีลมทะเลพัดผ่าน พอเห็นท่าทางมีความสุขของฮารุโตะแล้วแอลเอลฟ์ก็ยิ้มออกมาน้อยๆก่อนเดินเข้ามาหาร่างบางที่ยืนกางแขนรับลมทะเลอันสดชื่นอยู่

                “ฮารุโตะ”เขาเอ่ยเรียกพลางกางแขนออกดึงร่างนั้นเข้ามาในอ้อมแขน ฮารุโตะดูจะงุนงงไม่น้อยที่โดนรวบกอด ใบหน้าหวานแดงซ่านและร้อนขึ้นเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของแอลเอลฟ์ใกล้เข้ามาทุกทีจนกระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน ฮารุโตะมีสีหน้าสับสนทำอะไรไม่ถูกแต่สัมผัสวาบหวามที่ได้รับก็ส่งผลให้แพขนตาปิดลงช้าๆพร้อมกับยกมือขึ้นสวมกอดคนตัวสูงกว่าเอาไว้แล้วเอียงคอรับสัมผัสให้มากขึ้นกว่าเดิม

                ในวันนี้ฮารุโตะยังคงไม่เข้าใจในความรู้สึกของตนเองแต่หัวใจของเขาก็ไม่ได้บอกว่ารังเกียจคนตรงหน้าเลยแต่เขากลับรับรู้ได้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเขาก็จะสามารถตอบรับความรู้สึกของคนตรงหน้าได้อย่างเต็มใจ ความผูกพันของเขาทั้งคู่ถูกสร้างขึ้นจากพันธะที่กลายเป็นคำสัญญาและตอนนี้มันก็เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ในการมีชีวิตอยู่ของเขาสองคน

                นายกับฉันเราสองคนจะร่วมแบ่งปันคนละครึ่งและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา