KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ

9.7

เขียนโดย nesugiso

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.

  20 ตอน
  12 วิจารณ์
  26.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

9) คำทำนายแห่งองค์กษัตริย์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
         หิมะขาวบริสุทธิ์ปกคลุมไปทั่วยอดเขาแห่งไฮฮ็อกก้า สายลมแห่งความหนาวเย็นพัดผ่านพื้นที่โล่งแจ้งสีขาวทำให้ใบไม้ปลิวไสวไปตามแรงลม เสาศิลาทรงสี่เหลี่ยมเตี้ยๆทั้งสี่ปักอยู่มุมข้างทางแยกสี่ทางอย่างเป็นระเบียบ แต่ว่าภาพเหล่านั้นก็คงจะไม่ได้มีผลอะไรกับคนบางกลุ่มในตอนนี้ 
         เสียงของการต่อสู้ดังก้องไปทั่วพื้นที่นั้นยามค่ำคืนที่แสนเงียบสะงัดกับเสียงลมที่แผ่วเบาตามขุนเขาแห่งไฮฮ็อกก้า เหล่านักบวชสีเทาและเด็กหนุ่มชาวไนท์เบลดกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมพื้นที่นั้น
 

         เรย์เด็กหนุ่มชาวไนท์เบลดที่ตอนนี้กำลังตั้งท่าต่อสู้อย่างเข้มแข็งอยู่ท่ามกลางเหล่านักบวชทั้งสิบสองคนที่กำลังยืนล้อมเขาเอาไว้ หมัดทั้งสองถูกยกขึ้นมาเพื่อเตรียมพร้อม เขาสาดส่องด้วยหางตาไปมาเพื่อที่จะมองหาผู้ที่จะฉวยโอกาสเข้ามาโจมตี และก็เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิดไว้ไม่ผิด ไม่นานนักนักบวชคนหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีจากทางด้านหลังจนเขาต้องหันหลังไปแล้วใช้แขนรับหมัดของนักบวชเอาไว้ได้ทันท่วงที แล้วสวนกลับไปด้วยหมัดขวาที่ว่างอยู่เข้าไปที่ส่วนหัวของนักบวช จนนักบวชปลิวกระเด็นไป หิมะแตกกระกายตามแรงที่เขาไถลไป เรย์แอบเฉลียวใจว่าเขาออกแรงมากเกินไปหรือเปล่าจนเกือบลืมไปว่าคนที่เหลือกำลังรอซ้ำเขาอยู่ทุกๆด้าน
 

         เหล่านักบวชไม่ปล่อยให้เรย์มีช่องว่าง พวกเขารีบรุกเขาไปยังคนตรงหน้าของพวกเขา แต่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าบวกกับพลังแฝงภายในที่ถูกดึงขึ้นมา ทำให้เรย์หลบได้อย่างไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร โดยเขากระโดดขึ้นไปบนฟ้าผ่านหัวเหล่านักบวชไปแล้วม้วนตัวหนึ่งรอบเพื่อการร่อนลง เมื่อถึงพื้นได้สำเร็จก็ไม่รอช้าสวนพวก 
นักบวชนั้นกลับไปด้วยหมัดและเท้าของเขาคนละทีสองที จนพวกเขากระเด็นไปคนละทิศคนละทางอย่างไม่เป็นท่า ผู้เฒ่าอิจิสที่กำลังยืนกอดอกมองดูการฝึกฝนของเรย์ใต้ตนสนที่สูงใหญ่อยู่นั้น เมื่อเห็นผลงานของคนตรงหน้าแล้วก็พยักหน้าอย่างช้าๆแสดงความพอใจของตัวเอง
 
 
 
           
         บทฝึกบทต่อไปของเรย์คือการเรียนรู้วิถีแห่งพลัง ในครั้งนี้เขาจะต้องเปิดคัมภีร์ที่พึ่งได้มาเพื่อศึกษาไปด้วยโดยมีผู้เฒ่าอิจิสเป็นคนให้อ่านและคำแนะนำอยู่ข้างๆ ซึ่งเรย์ในตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางสายลมแรงที่พัดผ่านมาพร้อมกับเกร็ดหิมะจากยอดเขา ออร่าสีแดงฉานที่กำลังเปล่งประกายออกมาจากกำลังภายในร่างกาย  
การเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อเบ่งพลังทำให้แขนทั้งสองข้างของเขานั้นสั่นระริกไปหมด และด้วยพลังมหาสารของเขาทำให้สายลมที่พัดเอาเกร็ดหิมะที่ผ่านมานั้น ไม่สามารถจะพัดผ่านออร่าสีแดงนั้นไปได้ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของผู้เฒ่าอิจิสที่กำลังเดินไปรอบๆตัวของเรย์นั้นเห็นว่าลมมันสะท้อนออกไปตามแนวออร่าของเรย์ที่นั่งอยู่ด้วย
 
         "บทเรียนต่อไปเจ้าอาจจะเข้าใจมันยากซักเล็กน้อย แต่เจ้าจะต้องตั้งใจฟังให้ดี..." ผู้เฒ่าอิจิสพูดขึ้นมา เรย์เงยหน้ามองพร้อมกับใบหน้าที่ตึงเครียด ฟันกรามของ 
เขาขบกันแน่นเพราะกำลังเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อเรียกพลังภายในออกมาอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้เฒ่าอิจิสสนใจเขามากกว่าตัวหนังสือในคัมภีร์แต่อย่างใด
 
         "สิ่งที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี่เรียกว่า ปราณเทวะ... ปราณเทวะนั้นเป็นการรวบรวมพลังภายในทั้งหมด โดยการสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง จึงจะเกิดเป็นพลังปราณเทวะขึ้นมา ซึ่งปราณเทวะเป็นนั้นคือพลังที่อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ทั่วไป"
 
         "อยู่ในร่างกายของมนุษย์ทั่วไป... งั้นก็แปลว่านอกจากผู้กล้าแห่งแหวนแล้ว คนอื่นๆก็ยังมีปราณเทวะได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?" เรย์เกิดคำถามขึ้นมาทำให้ผู้เฒ่าอิจิสละสายตาจากคัมภีร์มาสนใจเขาได้
 
         "...ถูก และผิด" ผู้เฒ่าอิจิสส่ายหน้าตอบทำให้เรย์ต้องคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
 
 
 
         "พลังปราณเทวะนั้นเป็นพลังมหาสารมาก เมื่อมีพลังนี้จะทำให้ร่างกายมีพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวนัก บางครั้งพลังของมันมหาสารมากเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์จะเก็บมันไว้ได้... แต่ก็ใช่ว่าจะมีไม่ได้ทุกคนเสมอไปอันนี้ข้าเติมเอง... พลังมันมากมายมหาสารจนทำให้มีพลังส่วนเกินออกมาให้เห็น ยกตัวอย่างในที่นี้ก็คงจะเป็นออร่าสีแดงที่กำลังเปล่งประกายเพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ไปให้ถึงขีดสุด และดวงตาของท่าน ดวงตาที่เปลี่ยนสีทุกครั้งเมื่อท่านต้องการจะใช้พลังเมื่อเกิดการต่อสู้ เป็นต้น..."
 


         เมื่อจบประโยคของผู้เฒ่าอิจิสเขาก็กำลังก้มไปอ่านคัมภีร์ต่อโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังนั่งเปล่งพลังอยู่ตรงหน้าของเขา เรย์เลยลองหลับตาสำรวมจิตให้เป็นหนึ่งเพื่อลองทำให้ดวงตาของตัวเองเปลี่ยนสีตามที่ผู้เฒ่าอิจิสบอก เมื่อคนที่ถือคัมภีร์รู้สึกแปลกๆจากคนที่นั่งอยู่จึงละสายตาจากคัมภีร์ที่อยู่ในมือของเขาอีกครั้ง 
         ผู้เฒ่าอิจิสหันมามองเรย์พร้อมกับทำหน้าคิ้วขมวดชวนสงสัยว่าคนตรงหน้าของเขากำลังทำอะไรอยู่ ไม่นานเมื่อคนตรงหน้าของเขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นได้ว่าดวงตาของคนที่กำลังนั่งอยู่นั้นเปลี่ยนสีไปแล้ว มุมปากของผู้เฒ่าเบ้ขึ้นมาจนชนกับจมูกใหญ่ๆของเขาก่อนที่จะหันไปอ่านคัมภีร์ที่อยู่ในมือของเขาต่อประหนึ่งว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
 

         "อืม... ถึงแม้ว่าพลังส่วนเกินนั้นจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถต่างๆของเขาที่เพิ่มขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ในบางครั้งเพิ่มถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่านั่นก็ยังไม่ใช่ปราณเทวะที่แท้จริง" ผู้เฒ่าอิจิสเน้นประโยคหลังพร้อมกับส่งสายตามาทางเรย์ ทำให้เรย์เลิกคิวขึ้นมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆอย่างกวนๆ
 
         "พลังปราณเทวะสามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในบางครั้งพวกเขาเชื่อกันว่าพลังปราณเทวะนั้นเพิ่มได้อย่างมากมายมหาสาร จนสามารถที่จะทำลายดวงดาวดวงหนึ่งได้อย่างสบายๆ"
 
          สิ้นประโยคของผู้เฒ่าอิจิสนั้นเรย์ก็ทำตาถล่นขึ้นมาทันที เมื่อเขากำลังนึกถึงพลังของตัวเอกในการ์ตูนที่เขาเคยได้อ่านซึ่งเป็นตัวอย่างง่ายๆในการเปรียบเทียบกับคำพูดจากบทในคัมภีร์นกฟินิกซ์นั้น
 
         "แล้วที่ผ่านมาเคยมีใคร เอ่อ เข้าถึงพลังนั่นขนานนั้นไหม?" เรย์ถามด้วยความสงสัย
 
         "แน่นอน..." ผู้เฒ่าอิจิสหันมาตอบพร้อมกับพลิกกระดาษไปแผ่นต่อไปในคัมภีร์อย่างใจเย็น  "...ก็ต้องไม่มีอยู่แล้ว"
 
 
 
         เมื่อเรย์ลองนึกถึงประโยคสุดท้ายที่ผู้เฒ่าอิจิสบอกเอาไว้ในคัมภีร์นกฟินิกซ์ เขาจึงตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่เพื่อสำรวมจิตให้เป็นหนึ่งแล้วลองเบ่งพลังที่อยู่ในตัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้แสงจากออร่าสีแดงที่กำลังเปล่งประกายอยู่นั้นเจิดจ้าขึ้นไปอีกเท่าตัว สายลมแรงดั่งพายุกำลังพัดออกมาจากออร่าที่กำลังรายล้อมตัวของเขาและกำลังแผ่ขยายออกไปอีก

         ผู้เฒ่าอิจิสที่กำลังมองคนตรงหน้าเริ่มรู้สึกว่าสายลมที่กำลังพัดโหมกระหน่ำอยู่นั้นเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเขาต้องยกมือขึ้นมากันลมหรือหิมะที่กำลังปลิวออกมาจะเข้าตา เช่นเดียวกับนักบวชสีเทาทั้งหลายที่ยืนดูอยู่อย่างห่างๆก็กำลังใช้มือจับหมวกฮู้ดที่ปิดบังใบหน้าของพวกเขาเอาไว้ แสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้น และมากขึ้นไปอีก จนกระทั่งคนที่กำลังเร่งพลังจนถึงขีดสุดเริ่มผ่อนกำลังลง แสงสว่างก็ค่อยๆริบหรี่ลงจนมันค่อยๆจางหายไปทีละน้อย
 

         ผู้เฒ่าอิจิสเริ่มลดมือลงเมื่อเขารู้สึกว่าแสงนั้นเริ่มริบหรี่ลง และลมที่เคยโหมกระหน่ำก็เริ่มเบาบางลงจนมันกลับสู่สภาพปกติ เมื่อบรรยากาศกลับมาเป็นอย่างเดิมพวกเขาทั้งหลายต่างก็มองไปยังจุดๆเดียว คือเด็กหนุ่มที่กำลังค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆตรงหน้าของพวกเขา ผู้เฒ่าอิจิสพยักหน้าอย่างช้าๆพร้อมกับยิ้มเล็กๆด้วยความพอใจ
 
         "อื้ม... แต่ว่า นี่ก็เป็นพลังที่มหาสารอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะ ฮ่าๆ" ผู้เฒ่าอิจิสหัวเราะร่าขึ้นมาจนทำให้เห็นฟันขาวๆที่ไม่มีอะไรมาเจือปนเลย เรย์เงยหน้าแล้วยิ้มออกมาตามเสียงหัวเราะที่ผู้เฒ่าอิจิส
 
         "...ยังครับ แค่นี้ยังไม่พอ"
 
 
 
 
 
         บทเรียนต่อไปคือการฝึกใช้พลังให้เป็นดั่งที่ใจคิด บทเรียนที่อาจจะทำให้คนที่กำลังรับการฝึกอยู่นั้นคิดว่านี่อาจจะเป็นบทเรียนที่แสนเหนื่อยที่สุด และอันตรายที่สุด ในตอนนี้เรย์กำลังรวบรวมพลังเอาไว้ที่แขนขวาที่กำลังกำหมัดแน่น กระแสไฟฟ้าสีแดงรายล้อมไปทั่วแขนกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนไปทั่วทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดในพื้นที่แห่งนั้น

         เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะควบคุมพลังของตัวเองที่มีมากเกินไปของตัวเองไม่อยู่ เพราะพลังที่พลั่งพูนออกมาจนทำให้เสี่ยวหนึ่งของพลังกระเด็นออกไป เสี้ยวของพลังตกลงกับพื้นทำให้เกิดการระเบิดเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยแต่เมื่อเทียบกับพลังที่เรย์กำลังรวบรวมอยู่ มันก็มหาสารพอที่จะทำให้พื้นที่ตรงนั้นแหลกเป็นจุลได้ 
 
         เมื่อผู้เฒ่าอิจิสที่มองอยู่ห่างๆอย่างเป็นห่วงคนตรงหน้ากลัวว่าพลังที่เขาควบคุมไม่อยู่ อาจจะทำให้เกิดการระเบิดและจะทำให้เขาล้มเหลวในการฝึกครั้งนี้หรือตลอดไป เขารีบปิดหนังสือแล้วเดินเข้าไปหาเรย์อย่างรีบเร่งพร้อมๆกับคอยหลบระวังเสี้ยวพลังที่กระเด็นออกมาด้วย
 
         "...สำรวมจิตของท่านให้เป็นสมาธิ อย่าฝืนพลังของมัน จงเชื่อมัน แล้วท่านจะทำได้อย่างใจท่านคิด!" ผู้เฒ่าอิจิสพูดอย่างหนักแน่น เรย์หันมารับฟังอย่างตั้งใจแล้วกลับไประเบิดพลังของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
 


         "ถ้างั้นก็... ไม่เกรงใจแล้วนะ!!! ฮึ้ยยยยยยยยย ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก"
 
         พลังของหมัดพุ่งสุงถึงขีดสุดในทันใด เรย์เหวี่ยงหมัดที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงพร้อมกับเสียงคำรามออกไปในทันที สายพลังสีแดงพุ่งตรงเป็นทางยาวไปยังภูเขาที่อยู่ข้างล่าง พลังมันมหาสารมากเพราะเมื่อหมัดที่ปล่อยออกมาไปกระทบกับภูเขา ทำให้ภูเขาลูกนั้นระเบิดหายไปในพริบตาอย่างไม่เหลือซาก เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้า ควันสีเทาจากการระเบิดปรากฏขึ้นมาจากพื้นที่นั้นตามสายตาของเรย์ที่กำลังมองเห็น
         เสียงอุทานของเหล่านักบวชดังออกมาเมื่อเห็นภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจตรงหน้าของพวกเขา เรย์ชายหนุ่มเจ้าของผลงานการปล่อยหมัดระเบิดภูเขาหอบแห่กๆอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะหมดเรี่ยวของจากการรวบรวมพลังไปมากและรวมไปถึงอะไรหลายๆอย่างก่อนที่เขาจะได้ขึ้นมาบนยอดเขาได้สำเร็จ ผู้เฒ่าอิจิสหัวเราะร่าอย่างพออกพอใจอย่างมาก พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาจนปิดบังดวงตาสีฟ้าอ่อนของเขาเอง
 
         "เยี่ยมจริงๆเลย พลังมหาสารกว่าที่ข้าคาดคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย"
 
         "แฮ่กๆ เหนื่อยจังเลย... ขอพักก่อนนะ" เรย์พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแล้วหันหลังไปนั่งที่หินใต้ต้นต้นข้างหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง
 
         "ได้เลย... วันนี้พอแค่นี้"

         เมื่อสิ้นเสียงของผู้เฒ่าอิจิสเหล่านักบวชทั้งสิบสองก็พยักหน้าตอบ แล้วต่างแยกย้ายกันเดินเข้าประตูเพื่อเข้าไปภายในวิหารไฮคิงโดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมาอีก ทิ้งเอาไว้แต่ผู้เฒ่าอิจิสและเรย์ที่อยู่ใต้ต้นส้นที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆใกล้กับพื้นที่ของการฝึกนั้น
 

         "อ่ะนี่ดื่มนี่ก่อน มันช่วยเจ้าได้ ช่วยได้ดี" ผู้เฒ่าอิจิสยื่นขวดน้ำให้เรย์แล้วเดินมานั่งข้างๆเขา เสียงหายใจหืดหอบจากอาการเหนื่อยล้ายังคงแสดงออกมาอย่างไม่ขาดสาย เรย์สูดอาการที่เต็มไปด้วยความเย็นเขาไปก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมา
 
         "ผมไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดตอนที่สู้กับพวกอคิลลิสหรือพวกผู้พิทักษ์ทางขึ้นเขาพวกนั้นก็ยังไม่เห็นเหนื่อยขนาดนี้เลย" เรย์พูดด้วยเสียงที่แหบแห้งอีกครั้งแล้ว เขาก็ใช้มือเปิดฝาของขวดน้ำที่อยู่ในมือแต่ก็ยังไม่ได้ยกดื่มเลยแต่อย่างใด
 
         "ท่านอาจจะยังไม่ชินกับพลังปราณเทวะก็ได้... พลังปราณเทวะนั้นเป็นพลังที่เพิ่มพลังในการต่อสู้และพลังอื่นๆอีกหลายๆอย่างในร่างกายก็จริง แต่ผลในทางตรงกันข้ามมันจะบั่นทอนร่างกายไปด้วย สำหรับเจ้าที่เป็นเด็กฝึกหัดที่ยังไม่ชินกับพลังอันมหาสารนั้นก็ต้องเหนื่อยหอบอย่างตอนนี้เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว"
 
         "จริงด้วยสินะ..." เรย์พูดพลางจิบน้ำในขวดนั้นเข้าไป ลิ้นของเขาสัมผัสได้ว่าน้ำในขวดนั้นมีรสชาติที่หวานพอประมาณ เขารู้สึกว่าร่างกายของเขานั้นกระชุ่มกระชวยขึ้นมาในทันใด ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะกระดกดื่มเข้าไปอีกสองสามอึกใหญ่ๆ
 
 
 
          ในระหว่างที่เรย์กำลังยกกระดกน้ำดื่มที่อยู่ในมืออย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น สายตาของเขาได้ไปสะดุดกับอะไรบางอย่างถัดจากหอคอยหิน กับลานที่มีกองไฟกำลังโหมไหม้อยู่ในเตาหิน ตามบันไดขึ้นไปบนเนินหิมะสูงที่มีประตูหินและรูปปั้นเป็นรูปหัวมังกรอยู่บนประตู เขาเห็นว่ามันไม่เห็นทางที่จะไปต่อหลังช่องประตูนั้น ข้างหลังถัดจากทางเข้าของประตูเห็นแต่เพียงออร่าบางๆกับหมอกควันจางๆเท่านั้น ประหนึ่งเป็นการอำพลางของศาสตร์อะไรสักอย่าง เมื่อเขาคิดเช่นนั้นจึงลอยเอ่ยปากถามผู้เฒ่าที่น่าจะให้คำตอบของคำถามนี้ได้
 
         "ท่านผู้เฒ่า นั่นมันอะไรเหรอ" เรย์ถามขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตูนั้น แต่ผู้เฒ่าอิจิสที่ยังไม่ทันได้มองเขาก็ตอบสวนคำถามของเรย์ได้ในทันที
 
         "...เขตหวงห้าม..." เมื่อเรย์ได้ยินคำตอบก็ทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัย ผู้เฒ่าอิจิสหันหน้ามาพร้อมกับพยักหน้าเมื่อมองหน้าเรย์ เหมือนเขากำลังจะบอกว่าสิ่งที่เรย์กำลังคิดในใจอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ
 
         "เป็นสถานที่ที่ข้าหรือแม้แต่พรรคพวกของข้าก็ไม่อาจจะกล้าย่างก้าวเข้าไปในนั้น ไม่อาจจะอนุมานได้ว่าหลังประตูนั้นมีอะไรรออยู่ ว่ากันทางเข้านั้นเป็นหนทางสู่อีกมิติหนึ่งที่เราไม่รู้จัก และผู้ที่เคยได้ก้าวเข้าไปไม่เคยมีใครได้กลับออกมา" 
         
         "แสดงว่าเคยมีคนเข้าไปแล้วเหรอ?" เรย์ถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ผู้เฒ่าอิจิสทำหน้าเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา
 
         "...มันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักหรอก ฮ่าๆ"
 
 
          เรย์เลิกคิ้วขึ้นมาพร้อมกับยกน้ำดื่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งสุดท้ายเขาก็ไม่ได้อะไรจากคำตอบจากคนข้างๆเขามากนัก จู่ๆในใจของเขานั้นก็คิดเรื่องเรื่องขึ้นมาอย่าง บางเรื่องที่เป็นเหตุผลที่นำเขามาสู่ยอดเขาแห่งนี้ เรย์ก้มลงมองแหวนตัวเองแล้วนึกถึงคำถาม คำถามที่ยังคงข้างคาใจเขามาตลอดทางแห่งการต่อสู้ เพื่อมายังยอดเขาลูกนี้ได้สำเร็จ
 
         "ผมถามข้อนึงได้ไหม..." ผู้เฒ่าอิจิสหันมามองสลับกับแหวนและใบหน้าของเรย์ที่กำลังก้มดูแหวนของตัวเอง
 
         "แค่ข้อเดียวเหรอ" ผู้เฒ่าพูดพร้อมเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย เรย์ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นมา
 
         "....ทำไมถึงเป็นผม...." เรย์หันมาด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล เมื่อผู้เฒ่าอิจิสได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
 
 
 
 

         ภายในห้องเล็กๆแห่งวิหารไฮคิงที่ดูจะไม่โอกโถงนัก ไฟสลัวๆจากเตาผิงที่กำลังลุกอยู่ทำให้บรรยากาศภายในห้องนั้นดูอบอุ่นแม้จะมีความหนาวเย็นอยู่บ้างประปลาย เรย์นั่งทรุดตัวลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีนวมสีเขียวรองนั่งด้วยความเหนื่อยถึงแม้ว่าจะทุเลาลงบ้างแล้ว สายตาของเขาไม่ยอมอยู่เฉยๆเหมือนกับร่างกายที่ดูสงบเสงียมตอนนี้ เขามองไปทางผู้เฒ่าอิจิสที่กำลังค้นหนังสือจากชั้นหนังสือไม้ขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด 
 
         เรย์มองไปรอบๆห้องนั้นอย่างสนอกสนใจจนสายตาของเขาเลื่อนมาจนสะดุดหยุดกับสัญลักษณ์บางอย่าง ที่อยู่บนหนังสือเล่มหนึ่งจากกองหนังสือขนาดย่อมๆที่อยู่บนโต๊ะไม้สักตรงหน้าของเขาเอง พื้นหนังสือสีดำกับรูปร่างคล้ายกับมังกรสีเงินที่กำลังโผบินภายในกรอปสี่เหลี่ยมรูปเพชร เขารู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ดูน่าสนใจชวนให้มือที่กำลังวางอยู่บนหน้าตักนั้นเอื้อมมือไปเปิดอ่าน แต่เมื่อเรย์กำลังเอื้อมมือจะไปหยิบหนังสือเล่มนั้น เสียงของท่านผู้เฒ่าที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้เขาต้องชะงักมือลงไป 
 
         "หัวใจหลักของคำถามนั้นก็คงจะมีข้อนี้ข้อเดียว..." ผู้เฒ่าอิจิสนั่งลงเบาๆพร้อมกับวางหนังสือที่เขาถือมาด้วย เรย์มองไปยังหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าของเขา ปกหนังสือเขียนว่า ' ตำนานสงครามจากยุคมืด '
 
         "นี่เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน แน่นนอนมันมีอายุมากกว่าเจ้าหลายเท่านัก" เรย์ยังฟังผู้เฒ่าพูดไม่จบเขาก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือขึ้นมาแล้ว
 
         "...ระวังหน่อย" แม้ผู้เฒ่าจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่เนื้อเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่ค่อยไว้ใจคนตรงหน้าของเขาซักเท่าไร บวกกับสายตาที่ดูหวั่นๆที่ของมาหาคนที่กำลังจะหยิบหนังสือ ทำให้เรย์ที่จะหยิบมันขึ้นมานั้นต้องทำอย่างระวัดระวังอย่างแบบไม่ค่อยกล้าแตะต้องซักเท่าไรนัก
 
 
         เรย์ค่อยๆเปิดหนังสือเล่มเก่าๆนั้นอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เขาค่อยๆพลิกหน้ากระดาษที่ค่อยข้างเก่าคล่ำเคอะจนสีของมันกลายเป็นสีขุ่นมัว สายตาของเขาไล่ดูตัวหนังสือที่เรียงรายอยู่บนกระดาษอย่างเป็นระเบียบแล้วค่อยๆวางมันลงพร้อมกับเกาหัวไปสองสามที เมื่อเขาเห็นว่าภาษาที่หนังสือใช้เขียนนั้นเป็นภาษาอังกฤษซะส่วนใหญ่ ซึ่งคนอย่างเขาค่อนข้างจะใช้เวลานานและขี้เกียจอ่านมันแล้วแปลความหมายไปด้วย
 
         "เมื่อหลายพันปีก่อนหลายคนมักจะลืมไปว่าประเทศของเราเกิดขึ้นได้เพราะใคร..." 
 
         ผู้เฒ่าอิจิสเริ่มเล่าสิ่งที่อยู่ในหนังสือเมื่อเห็นใบหน้าของเรย์ที่ดูตะไม่สู้ดีนักเมื่อเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้น ซึ่งเรย์เองก็กำลังคิดว่าถ้าฟังจากปากของคนตรงหน้า น่าจะเข้าใจได้ง่ายมากกว่าที่เขาจะอ่านแล้วแปลความหมายในหนังสือนั่นเอง เขาปิดหนังสือบนมือแล้ววางมันลงบนโต๊ะเตี้ยๆตรงหน้าของเขาทันที
 
        "เมื่อสงครามครั้งอดีตกาลจบลง พวกเราชาวไนท์เบลดหมดเรี่ยวแรง กระจอก จนในที่สุดดินแดนแห่งเอกราชก็เริ่มจะระส่ำระสายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็โผล่มาพร้อมกับแสนยานุภาพ ธงโบกสะบัด" เมื่อเขาผู้จบเสียงพลิกหนังสือก็ดังขึ้นด้วยมือของคนตรงหน้าของเรย์ที่เขาไม่ทันได้ดูว่าคนตรงหน้านั้นเอามันไปตั้งแต่เมื่อไร
 
         "ผู้คนขนานนามเขาว่า จอมราชัน... เอริเดี้ยน
 
 
         เมื่อผู้เฒ่าอิจิสพูดจบเขาก็หันหัวหนังสือให้เรย์ดูรูปที่อยู่ในหนังสือนั้น เป็นรูปที่เขียนด้วยหมึกสีดำซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะว่าแม้จะเวลาจะผ่านไปหลายพันปีตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าอิจิส แต่ว่ารูปนี้ยังคงดูเหมือนใหม่แม้จะมีร่องลอยของความเก่าของกระดาษไปบ้างก็ตาม 
 
         เรย์กำลังจ้องที่อยู่ตรงหน้าอย่างสนใจ รูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไว้เคราเล็กน้อยที่ปลายคาง ผมยาวประบ่าหยักศก สวมชุดเกราะที่มีตราสัญลักษณ์ของไนท์เบลดและผ้าคลุมที่กำลังโบกสะบัด เขามองดูรูปสลับกับมองดูชุดนักเรียนของเขาเอง เขากำลังพิจารณาว่าชุดของเกราะของคนๆนี้มันแลดูคล้ายกับชุดนักเรียนของเขานัก เพิ่มเติมแต่เกราะเกร็ดมังกรรอบๆแขนไปถึงหัวไหล่ กับส่วนลำตัวที่คล้ายกับกล้ามเนื้อและผ้าคลุมที่เพิ่มเข้ามา 
 
        เขามองลึกลงไปยังใบหน้าและสายตาที่ดูโหดดิบๆของคนในรูป ซึ่งในความคิดของเรย์ตอนนี้เหมือนกับว่าคนๆนี้กำลังจ้องมองเขาอยู่ เรย์ดูรูปไปก็พลางคิดไปด้วยว่าชายคนนี้คุ้นหน้านัก เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นคนนี้จากที่ไหนมาก่อน
       และเมื่อเขานึกไปถึงตอนที่ก่อนที่จะเข้ามาภายในวิหารไฮคิงแห่งนี้ รูปปั้นสูงตระหง่านภายนอกวิหารนั้น แท้ที่จริงแล้วคนในรูปปั้นนั้น ก็คือคนในรูปนี้เอง
 

         "เอริเดี้ยนเป็นนักรบที่เก่งฉกาจ เขาเป็นแนวหน้าในการทำศึกสงคราม เป็นหนึ่งในหัวหอกของกองทัพไนท์เบลดที่จะขาดไปไม่ได้ และแน่นอนจากตามตำนานที่เล่าขาลกันมาหลายชั่วอายุคน ประเทศนี้เป็นประเทศเอกราชได้ก็เพราะผู้กล้าแห่งแหวนวิเศษ และเขาก็คือหนึ่งในผู้กล้าแห่งแหวน ซึ่งพลังของเขามีมากมาย มากที่สุดกว่าเหล่าผู้กล้าแห่งแหวนคนอื่นๆและทั้งหมด แหวนที่เขาเป็นผู้ถูกเลือกให้สวมใส่นั้นก็คือ..."
 

         เมื่อสิ้นประโยคของผู้เฒ่าอิจิสเขาก็ชี้นิ้วเรียวๆที่ดูเหี่ยวๆตามสภาพอายุมายังเรย์ ทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นมา เมื่อสายตาของเขามองลงไปที่แหวนสีแดงที่อยู่ที่นิ้วกลางนั้น...
 
         "แหวนอัคคีพญาวิหค... แหวนของท่าน"
 
         เรย์เงยหน้าขึ้นมามองผู้เฒ่าอิจิสด้วยความตกใจก่อนที่จะก้มลงไปมองรูปในหนังสือนั้น คนในรูปภาพนี้เองหรือคือผู้กล้าแห่งแหวนสีแดงคนแรก สายตาของเรย์มองดูรูปของบรรพบุรุษที่เคยกอบกู้แผ่นดินอย่างไม่ละสายตา มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกสำหรับเขาในตอนนี้ เขาบอกไม่ได้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นหรือหวาดกลัวคนนี้กันแน่
 
         ผู้เฒ่าอิจิสสูดหายใจเข้าไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ
 
         "เอริเดี้ยนเป็นคนที่มีนิสัยทะเยอทะยาน รักการต่อสู้ เขากับอันดูริลคลั่งไคล้ในสิ่งเดียวกันคือพลังอำนาจกับตำนานเทพปกรณัม เอริเดี้ยนเชื่ออย่างฝังหัวว่าพลังแห่งแหวนนี้จะทำให้เขามีพลังดุจเทพเจ้าและมีอำนาจเหนือทุกๆสิ่งบนโลกใบนี้ได้ พอเขาคิดได้เช่นนั้นเขาก็เริ่มรวบรวมเหล่าสาวกเพื่อจัดตั้งกองทัพขึ้นมา และมันเหมือนเป็นเวลาที่เหมาะเจาะด้วยเมื่อประเทศเอกราชที่รวมตัวกันได้นี้เริ่มระสำระสายตอนนั้น..."
 
           "จัดตั้งกองทัพขึ้นมา เพื่ออะไร?!" เรย์ถามสวนขึ้นมาทันทีด้วยสีหน้าที่คิ้วขมวดเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเริ่มมีความรู้สึกดูแคลนคนในรูปนี้ขึ้นมา "สงครามมันก็จบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ..."
 
         ".....การปฏิวัติ และยึดครอง...." ผู้เฒ่าอิจิสพูดแทรกขึ้นมา
 
 
         เป็นเวลาเดียวกันที่ในตอนนี้หน้าหนังสือนั้นค่อยๆพลิกหน้าไปตามสายลมที่พัดผ่านออกมาจากปล่องควันตรงเตาผิงนั้น สายตาของเรย์ก้มลงไปมองประโยคๆหนึ่งในหน้าหนังสือนั้น ที่ได้บันทึกเอาไว้ว่า
 


       วันที่สิบเจ็ด เดือนสี่ ปีที่ดาวแห่งความกล้าเคลื่อนผ่านมาปรากฏยังบนนภา ในวันที่ดวงดาราพลายรายล้อมฟ้ายังไม่เคลื่อนคล้อยหายไปจาท้องฟ้ายามราตรี ในวันที่ไฟสงครามเริ่มปะทุเผาไหม้ผู้อ่อนแอ ในวันที่โลกนี้เรียกร้องหาความยุติธรรมสีแดง เมื่อนั้นผู้กล้าที่แท้จริงจะถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อมาปัดเป่าความชั่วร้ายที่มีอยู่ให้หมดไปจากแผ่นดิน 



         "นี่ท่านผู้เฒ่า" เรย์ยกหนังสือขึ้นมาดูใกล้ๆ สายตาของเขาเบิกกว้าง ซึ่งผู้เฒ่าเมื่อเห็นท่าทีของเรย์แล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยประหนึ่งกับว่าเขาอยากให้คนตรงหน้าได้รับรู้เรื่องนี้
 
         "วันที่สิบเจ็ดเดือนสี่ นี่มันวัดเกิดผมนี่..."
 
         "...คำทำนายแห่งองค์กษัตริย์" ผู้เฒ่าพูดขึ้นมา เรย์หันหน้ามามองทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น 
 

         "กอนดอร์ เป็นกษัตริย์องค์แรกของไนท์เบลดที่เกรียงไกร จอมทัพของไนท์เบลดในครั้งที่ต่อสู้กับกองทัพอัลดูริลจนในที่สุดเขาก็สามารถชนะศึกและรวมประเทศนี้ได้ เขาค่อนข้างที่จะเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ หมอดูและคำทำนาย เมื่อครั้งสุดท้ายที่กอนดอร์มีอำนาจ เขาได้ทำนายเอาไว้ว่าหลังจากนี้ อีกสองพันปีข้างหน้าโลกจะถึงยุคที่อ่อนแอ จนทำให้ความมืดและความชั่วร้ายกลับมามีอำนาจอีกครั้ง เขาเลยได้ฝากฝังให้กับคนรุ่นหลัง คนในคำทำนายของเขา"
 

         "...แล้วพวกวันที่นี้ล่ะ มันเกี่ยวอะไรกับคำทำนายเหรอ" เรย์ยังคงสงสัยในคำทำนายที่ยังคงดูคลุมเครืออยู่ในใจของเขา
 
         "วันที่เจ้าเห็นอยู่นั้นเป็นวันเริ่มต้นอยู่ยุคใหม่ของสงคราม ยุดที่ชาวไนท์เบลดจะต้องลุกขึ้นต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง เป็นวันที่ดาวแห่งความกล้าดวงใหม่จะปรากฏตัวขึ้น ดาวดวงเดียวที่จะเป็นผู้สืบทอดตำนาน คนๆเดียวที่คู่ควรกับคำว่า ผู้กล้า คนเดียวที่แหวนจะเลือกเขา... คือ คนๆเดียวที่เกิดวันเดียวกับผู้กล้าสีแดง ใช่แล้ว มันคือวันเกิดของเจ้า" 
 
         เรย์ถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของผู้เฒ่า เขาอ้าปากข้างและทำตัวไม่ถูกอย่างที่ตัวเองไม่เคยรู้สึกมาก่อน
 
         "ไม่จริงน่ะ!!!" แววตาของเรย์สั่นระรึกด้วยความตกใจ "งั้นผม... ผมก็เป็นคนๆนั้นจริงๆ ผมคือคนในคำทำนายของไนท์เบลด..."
 
         "...ผมอาจจะเป็นเหมือนเขา"


         เรย์ยกมือสองข้างขึ้นมาอย่างหนักอึ้ง มืออีกข้างค่อยๆหันด้านที่มีแหวนออกมา อัญมณีสีแดงกระทบกับแสงไฟจากเตาผิงสะท้อนให้เห็นแววตาของเรย์ในตอนนี้ เขากำลังวิตกว่าภายหลังจากนี้นั้นเขาจะเป็นเหมือนคนๆนี้หรือเปล่า คนที่เขาทะเยอทะยาน คนที่เขากระหายอำนาจ... คนที่เขาทรยศ
 
         "มีอยู่หลายเหตุผลที่อาจจะเป็นไปได้ หลายเหตุผลที่เจ้าคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนี้ เหตุผลที่เจ้าถูกเลือก... เจ้าอาจจะเป็นเหมือนเขา แต่สำหรับข้าคิดว่ามันมีต้องเหตุผลมากกว่านั้นแน่..." ผู้เฒ่าอิจิสเน้นประโยคหลังและพูดออกมาอย่างมั่นใจมากๆ
 
 
         "เอริเดี้ยนต้องการเป็นหนึ่งเหนือทุกๆคนในใต้หล้า เขาปรารถนาที่จะเป็นผู้คืนสันติสุขสู่ประเทศชาติด้วยกำลัง การมีอำนาจนั้นเป็นวิธีเดียวที่เขาจะทำได้ซึ่ง.. ซึ่งข้าก็ค่อนข้างที่จะเข้าใจนะในข้อนั้น แต่ทว่าแก่นแท้ของเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องการชิงอำนาจของเขา แต่เป็นพลัง..."
 
         "...พลังเหรอ?" เรย์พูดขึ้นมา
 
         "ถูกต้อง... แหวนแห่งพลังทุกวงนั้นมีอำนาจในตัวของมันแตกต่างกันออกไป ความสามารถของแหวนแต่ล่ะวงนั้นสามารถเหลื่อมล้ำกันได้ แต่ที่ทุกวงมีเหมือนก็คือพลังจะเข้าไปขยายทุกด้านที่อยู่ในตัว แต่ที่สำคัญที่สุด อยู่ที่คน พลังนั้นจะเข้าไปเพิ่มพลังทำให้... ดี ขยายเป็นเยี่ยม แย่ ขยายเป็นร้าย..."
 
         เรย์ค่อยๆก้มหน้างุดลงไปด้วยความสับสน
 
         "นี่อาจเป็นเหตุผลที่เจ้าถูกเลือก..." ผู้เฒ่าพูดอย่างหนักแน่น เรย์เหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้อยและตั้งใจฟังด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
 
 
         "เพราะคนที่แข็งแกร่ง อยู่กับการมีพละกำลังมาตลอดอาจจะละเลยความสำคัญของมัน แต่คนอ่อนแอ..." ผู้เฒ่าอิจิสเน้นคำหลังและมองลึกลงไปยังนัยน์ตาสีดำของเรย์ที่กำลังสั่นระริกตามการเคลื่อนไหวของเปลวไฟในเตาผิงนั้น 
 
          "จะตระหนักคุณค่าของพลัง.... และยังเข้าใจผู้ทนทุกข์"
 
 
        ผู้เฒ่าสูดหายใจขึ้นเล็กน้อยหลังพูดจบ เรย์นั้นก็ค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏออกมาบนใบหน้าของเขา 
 
         "รับปากกับข้าข้อนึงได้ไหม..." ผู้เฒ่าอิจิสถามไปยังคนตรงหน้า
 
         "แค่ข้อเดียวหรอครับ" เรย์ถาม ผู้เฒ่าอิจิสพยักหน้าเป็นเชิงคำตอบ
 
         "....ไม่ว่าหลังจากนี้เจ้าจะเป็นยังไง เจ้าจะยังเป็นคนเดิม" เรย์มองผู้เฒ่าอิจิสที่สูดหายใจเข้าไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดต่อ
 
         "....ไม่ใช่นักรบอหังการ์ แต่เป็นคนที่จิตใจดีงาม..."
 
         ผู้เฒ่าอิจิสมองลึกลงไปยังดวงตาของเรย์พร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย หัวใจที่สับสนมาตลอดของเรย์ ในตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะมีความเชื่อมั่นอย่างมากมายขึ้นมาข้างในจิตใจ เรย์พยักหน้าตอบอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏออกมาบนใบหน้าของเขา ผู้เฒ่าอิจิสก็ไม่ต่างกันเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้าเขาก็ยิ้มออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
 
         และค่ำคืนอันแสนหฤโหดของเรย์ก็จบลงไปด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางแสงไฟจากเปลวเพลิง เสียงหัวเราะดังก้องหยอกล้อกับดวงดาราและแสงจันทร์ยามค่ำคืนของยอดเขาในตำนาน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา