KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ
เขียนโดย nesugiso
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
15) วันที่พญาวิหคสะบัดปีก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"ย๊ากกกกกกกกกกกกก กกกกกกก กกกกกกก"
เสียงคำรามของรามูเนสดังสนั่นไปทั่ว พร้อมกับการเปิดฉากการห่ำหั่นกันระหว่างมิโนทอรัสและผู้กล้าสีน้ำเงินที่ในตอนนี้เขาพุ่งเข้าไปหาอสูรกายตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด กำปั้นอันหนักหน่วงของรามูเนสหวดเข้าไปที่ใบหน้าของมิโททอรัสที่สูงใหญ่บวกกับแรงกระโดดลอยตัวจากพื้นขึ้นมาทำให้แรงอัดของมันทวีคูณเป็นเท่าตัว ใบหน้าบูดเบี้ยวแสดงให้เห็นออกมาหลังจากที่ถูกกำปั้นของรามูเนสเข้าไป ด้วยพลังมหาสารนั้นทำให้ร่างอันใหญ่โตของมิโนทอรัสปลิ้วกระเด็นไปราวกับถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชนกับมันอย่างแรง ตึกที่ตั้งอยู่เด่นตระหง่านอยู่ทางหลังนั้นก็รับแรงกระแทกจากร่างของมิโนทอรัสที่พุ่งเข้ามาเข้าไปเต็มๆ เพราะความรุนแรงของพลังหมัดของรามูเนสและร่างอันใหญ่โตของมิโนทอรัสทำให้ตึกถล่มลงมากลบร่างของมิโนทอรัสไป
รามูเนสยืนดูผลงานของตัวเองตรงหน้านั้นแล้วพ่นลมหายใจของตัวเองแรงๆพร้อมกับใช้มือปัดฝุ่นที่พุ้งกระจายไปทั่วหลังจากที่ได้เกิดตึกถล่มขึ้นมา แต่ไม่นานเสียงคลืนๆที่คล้ายกับแผ่นดินไหวได้ดังขึ้นมา หลังจากนั้นกำปั้นใหญ่ได้โผล่ขึ้นมาเหนือกองซากตึกพวกนั้น ตามมาด้วยเสียงคำรามอันกึกก้องของมิโนทอรัสใต้ซากนั้น
ทันใดนั้นเองเศษซากตึกที่กองทับถมกันก็ได้กระเด็นกระดอนแตกกระจายออกมาจนเผยให้เห็นร่างของมิโนทอรัสอีกครั้ง พร้อมกับท่าทางที่ดูเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม มันไม่รอช้าเมื่อสายตาของมันเห็นว่าศัตรูขในชุดเกราะสีน้ำเงินกำลังยืนอยู่ตรงหน้า มือคู่ใหญ่ที่กำลังถือค้อนปอนขนาดมหึมาออกแรงเหวี่ยงมันไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทำให้เศษซากตึกกองโตที่กองอยู่ตรงหน้าของมันปลิวพุ่งไปยังรามูเนสที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นดั่งนั้นรามูเนสจึงคิดหาทางทำอะไรซักอย่างๆใจเย็น
เศษซากตึกหลายต่อหลายชิ้นพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีผลต่อรามูเนสเท่าไรนัก เขาใช้มือปัดออกไปราวกับว่ากำลังปัดของที่ไม่ต้องการออกไปให้ห่างตัวจนซากติดที่ลอยเข้ามากระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง และซากตึกก้อนขนาดใหญ่ที่กำลังลอยพุ่งเข้ามา รามูเนสก็ออกจากฝีเท่าเพื่อกระโดดขึ้นมาจากพื้นดิน และออกแรงง้างเท้าซัดเข้าไปที่ซากตึกขนาดที่ลอยเข้ามาให้กลับไปหามิโนทอรัสด้วยความเร็วและแรงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ซากตึกสีขาวขุ่นขนาดใหญ่พุ่งเข้าไปกระทบกับร่างของมิโนทอรัสอย่างแรงที่แม้แต่ร่างอันใหญ่โตของมันยังต้องเซถอยหลังไป
ในตอนนั้นเองที่รามูเนสกำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำเมื่อเห็นว่ามิโนทอรัสไม่รู้สึกสะทบสะท้านกับการสวนกลับของตัวเองซักเท่าไร สายฟ้าสีเหลืองกับลูกบอลพลังสีม่วงพุ่งเข้าไปมามิโนทอรัสอย่างรวดเร็ว ความรุนแรงของมันทำให้มิโนทอรัสถึงกับกระเด็นไปอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อสิ้นเสียงระเบิดจากสัตว์ยักษ์ตรงหน้าของรามูเนสนั้น ผู้กล้าอีกสองคนในชุดเกราะประจำตัวก็ลงมาปรากฏกายต่อหน้าของเขาจากฟากฟ้า
"ซิกฟรีด! แองเจโล่!" เมื่อเจ้าของชื่อทั้งสองได้ยินสหายของตัวเองเรียกก็รีบหันหลังมาหาแทนการตอบรับของพวกเขา
"นึกว่านายจะเสร็จมิโนทอรัสไปซะแล้วนะ" ซิกฟรีดพูดดูแคลนสหายของตัวเองที่พึ่งเข้ามาใหม่จนรามูเนสแอบฉุนเล็กน้อย แต่เขาก็ตั้งระงับอารมณ์ส่วนนั้นเอาไว้ก่อนเพื่อหาทางรับเมื่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
"ก็เกือบไปเหมือนกันนั่นแหละ" รามูเนสตอบแบบห้วนๆ "ไอ้ตัวนี้ร้ายกาจชะมัดยาก"
"มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ ดีแค่ไหนแล้วนะครับที่รับมือกับมิโนทอรัสตามลำพังแล้วยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้น่ะ" แองเจโล่หันมาต่อว่าซิกฟรีดที่ทำดูเหมือนจะพูดโดยที่ไม่ได้ดูสถานการณ์ในตอนนี้ซักเท่าไร ซึ่งซิกฟรีดเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในหัวของเขาตอนนี้กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่
"เอาเถอะ! ตอนนี้สนใจไอ้ตัวที่มันอยู่หน้าเราซะก่อนดีกว่า"
ซิกฟรีดพูดตัดบทเมื่อเห็นมิโนทอรัสที่เคยล้มลงไปแล้วกำลังลังลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับหยิบค้อนปอนขนาดยักษ์คู่ใจของมันขึ้นมาด้วย
"แองเจโล่! วิเคราะห์จุดอ่อนของมันให้ที!" ซิกฟรีดสั่งพร้อมกับตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ เมื่อแองเจโล่ได้ยินคำสั่งดั่งนั้นก็หันกลับมาในทันทีเพื่อที่จะบอกแผนการต่อไป
"ค้อนอันนั้นน่ะ!... ถ้าลองทำลายอาวุธประจำตัวของมันแล้ว มันน่าหมดพิษสงลงไปบ้างนะ" แองเจโล่ตอบพร้อมกับหยิบมีดคู่ของตัวเองที่แนบอยู่ข้างลำตัวขึ้นมา
"งั้นเอาตามนั้น!" ซิกฟรีดพูดขึ้น "รามูเนส เบนความสนใจมันที"
"อย่ามาสั่งฉันนะเจ้าบ้า!!" รามูเนสหันมาตวาดด้วยความไม่พอใจ แต่ทว่าคนที่ถูกตวาดก็บินออกจากตรงนั้นไปซะก่อนหน้านั้นแล้ว ทำให้รามูเนสเห็นว่าถึงหัวเสียต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงต้องรีบทำบินออกมาจากตรงนั้นและตามที่ซิกฟรีดบอกโดนทันที
รามูเนสบินตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าของมิโนทอรัส และมันได้ผล มันเริ่มเหวี่ยงค้อนปอนไปรอบๆตัวที่รามูเนสบินหลอกล่อ แม้ค้อนปอนจะใหญ่จนสามารถที่จะกวาดสิ่งกีดขวางรอบๆตัวไปอย่างง่ายดาย แต่ด้วยความเร็วในการบินของรามูเนสที่เนือกว่ามากๆบวกกับการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของมิโนทอรัสทำให้เหมือนกับว่ามันแค่เหวี่ยงค้อนของมันเล่นไปมากลางอากาศเท่านั้น
รามูเนสยังคงบินวนไปรอบๆและปล่อยพลังหมัดยั่วโมโหมันไปบ้างเพื่อเบนความสนใจมิโนทอรัสที่กำลังโกรธอยู่นี้ให้อยู่หมัด เพื่อให้เป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้ ซิกฟรีดและแองเจโล่ที่บินอ้อมไปทางด้านหลังแล้วก็เริ่มรวมพลังกันขึ้นมา รอคอยจังหวะดีๆในการใช้พลังนี้
ออร่าแสงสีเหลืองและสีม่วงส่องสว่างไปทั่วพื้นที่แห่งนั้น และช่วงที่มิโนทอรัสเหวี่ยงค้อนปอนพลาดหวังที่จะทุบรามูเนสให้แบนติดไปกับพื้นดิน แต่กลับเป็นว่าสิ่งที่มันได้ทำลายของไปเป็นแค่พื้นถนนที่ว่างเปล่าเท่านั้น ด้วยความรุนแรงบวกกับขนาดของค้อนปอนขนาดใหญ่ทำให้ค้อนจมลงไปในพื้นถนนจนมันเอาออกมาไม่ได้ ทำให้ซิกฟรีดและแองเจโล่คิดว่านี่เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
- ฟาววว วววว เปรี่ยง!!!!! ตูม!!!!!!! -
ลูกบอลพลังสองลูกถูกปล่อยออกไปจากฝ่ามือของผู้กล้าทั้งสอง ลูกบอลพุ่งลงไปยังค้อนปอนที่อยู่ด้านล่างกระทบกับมันจนเกิดเป็นแสงสว่างจ้าขึ้นมา และตามมาด้วยเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพื้นที่แถวนั้น
ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่แห่งนั้นจนรามูเนสที่กำลังยืนอยู่ต้องใช้มือปัดฝุ่นที่ฟุ้งเข้าจมูกของเขาไปมากลางอากาศ แต่ทว่าสิ่งที่น่าตกใจสำหรับเขานั้นกำลังจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า เมื่อหลังจากที่ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่นั้นค่อยๆจางหายไป ก็ปรากฏร่างของมิโนทอรัส กับอาวุธคู่ใจของมันอยู่ในมือดั่งเดิม สร้างความประหลาดใจให้กับผู้กล้าทั้งสามเป็นอย่างมาก
นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นสะท้อนร่างของอสูรกายที่กำลังเหวี่ยงค้อนปอนมาหาเขาด้วยความรวดเร็วจนได้ยินเสียงแหวกผ่านอากาศเข้ามา แต่รามูเนสรู้สึกตัวอีกทีร่างกายของเขาก็ถูกซัดปลิวไปจากตรงนั้นแล้ว รุนแรงอันมหาสารทำให้ร่างของรามูเนสพุ่งเร็วดุจจรวดตรงไปยังซากคอนกรีตกองโต และตามมาด้วยเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้งจากแผ่นหลังของเขาที่กระทบกับกองคอนกรีตนั้น
เมื่อซิกฟรีดและแองเจโล่เห็นว่าเพื่อนของเขากำลังจะเสียท่าให้กับมิโนทอรัสที่ในตอนนี้มันกำลังย่างสามขุมเข้าไปหารามูเนส ที่กำลังนอนอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาได้กลางรูโบ๋ขนาดใหญ่ที่เกินจากแรงปะทะของเขา เขาทั้งสองจึงรีบบินถลาลงมาหวังที่จะไปช่วยให้ทันท่วงที แต่ทว่าก่อนหน้านั้นกลับถูกฝนลูกธนูที่ยิงขึ้นมาจากด้านล่างจากพวกยักษ์ธนูที่อยู่ตามถนนและตามด่านฟ้าของตึกต่างๆ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องเบี่ยงตัวหลบลูกธนูมากมายนับร้อยที่ยิงขึ้นมานั้น จนรู้สึกตัวอีกทีเมื่อหลบลูกธนูชุดแรกได้หมด สายตาของพวกเขาทั้งสองก็เห็นมิโนทอรัสยืนหยุดอยู่ตรงหน้าของรามูเนสแล้ว
รามูเนสค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะอาการจุกท้องที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขา สิ่งแรกที่เขาเห็นในทันทีที่ลืมตาขึ้นมาได้นั่นก็คือ ค้อนปอนขนาดใหญ่ที่ในตอนนี้มีรอยร้าวอยู่เล็กน้อยและถัดมาก็คือใบหน้าของมิโนทอรัสที่กำลังเกรี้ยวกราด ดวงตาอันดุร้ายของมันจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ลดละ และความรู้สึกของรามูเนสก็กำลังบอกว่ามันกำลังจะลงมือสังหารเขาในตอนนี้แล้ว
นัยน์ตาของรามูเนสเบิกกว้าง เขาพยายามจะลุกขึ้นหนีไปจากตรงนั้น แต่ทว่าร่างกายที่มันหนักอึ้งนั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกนอกจากทนนอนดูภาพที่แสนน่ากลัวอยู่ตรงนั้น เสียงคำรามดังกึงก้องขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงแหวกอากาศของค้อนปอนขนาดยักษ์ลงมายังร่างของคนที่กำลังนอนอยู่ สายตาของผู้กล้าอีกสองคนเบิกกว้าง หัวใจหล่นวูป พวกเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกนอกจากดูอยู่เฉยๆอยู่บนฟ้านั้น
- ฟาววววว วววววว ววว เปรี้ยง!!!!!!! -
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้มันกลับแตกต่างกับเสียงที่พวกเขาเคยได้ยินเมื่อครั้งก่อนๆ รามูเนสที่ยกมือมาบังใบหน้าของตัวเองด้วยความกลัวกลับรู้สึกอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป เพราะว่าเขารู้สึกว่าตัวเองน่าจะสมควรถูกบี้แบนเป็นขนมปังไปได้แล้วหลังจากที่ได้ยินเสียงนั้น ด้วยความประหลาดใจเขาจึงรีบลดมือลงอย่างรวดเร็วและสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขานั่นแล้ว
แสดงสว่างสีเขียวกำลังเจิดจ้าอยู่ตรงหน้าของเขานั้น เมื่อเขาเพ่งสายตาดูดีๆก็พบกับร่างของผู้กล้าอีกคนหนึ่ง ในตอนนั้นหมัดขวาที่เต็มไปด้วยออร่าสีเขียวของเขานั้นกำลังรับกับค้อนปอนของมิโนทอรัสตัวนั้นอยู่ และทันทีที่เขาออกแรงยกหมัดขึ้นมา เสียงคำรามของสัตว์ในตำนานก็ได้ดังขึ้นมา
- หมัดมังกรเหิน โลกันต์!!!!!!!!!! -
เสียงระเบิดคำรามดังขึ้นมาพร้อมร่างของมังกรสีเขียวที่เลื้อยขึ้นมาจากพื้นดิน ทะละผ่านค้อนปอนและร่างอันใหญ่ยักษ์ของมิโนทอรัสไปจนร่างกายอันใหญ่โตของมันลอยกระเด็นถอยไปด้านหลัง ค้อนปอนที่เคยอยู่กับมือใหญ่ยักษ์ของมันไม่ห่างก็หลุดลอยไปอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะแตกสลายและระเบิดไปในที่สุด ชิ้นส่วนของค้อนปอนกระจัดกระจายไปทั่ว รามูเนสที่นั่งดูอยู่มองภาพเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยความประหลาดในจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงผ้าคลุมสะบัดและมองตามเสียงนั้นไป
ชายหนุ่มผมสีเขียวกับชุดเกราะชุดคลุมยาวลายมังกรนั้น ทั้งรูปร่างและใบหน้าค่าตาของเขาคนนั้น เป็นคนที่รามูเนสรู้จักเป็นอย่างดี
"อคิลลิส!!!" ชายชุดเกราะสีเขียวหันมาหารามูเนสมองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วงและยื่นมือให้กับรามูเนสพร้อมกับดึงเขาขึ้นมา ซิกฟรีดและแองเจโล่บินลงมาสมทบด้วยสีหน้าที่แสดงความดีใจออกมา
"อคิลลิสหายดีแล้วเหรอ!" ซิกฟรีดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ "ก็เมื่อกี้ฉันยังเห็นนายกำลังนอนบาดเจ็บอยู่เลยนี่น่า"
"เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ!" อคิลลิสรีบพูดตัดบทเมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นกำลังเคลื่อนไหวอีกครั้ง
มิโนทอรัสที่ถูกหมัดของเขาเข้าไปนั้นในตอนนี้กลับมายืนขึ้นได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว และมันก็ทวีความโกรธเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพราะว่าความอาวุธคู่ใจสุดหวงแหนของมันถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของผู้กล้าสีเขียว ในตอนนี้ดวงตาแสนอาฆาตของมันจ้องมองแต่อคิลลิสที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านั้น และมันเริ่มเร่งฝีเท้าที่หนักอึ้งของมันวิ่งเข้ามาหาเหล่าผู้กล้าทั้งสี่อย่างไม่เกรงกลัว เมื่อผู้กล้าเห็นดั่งนั้นก็รีบตื่นตัวและตั้งท่าต่อสู้ขึ้นมาอีกครั้ง
"จัดการมันเลยพวกเรา!!"
"โอ๊ส!!!!"
เมื่อสิ้นเสียงของอคิลลิสเขาก็ระเบิดพลังขึ้นมาอีกครั้ง ออร่าสีเขียวที่กำลังรายล้อมร่างกายของเขานั้นกำลังพาตัวเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า ซิกฟรีดเองก็ไม่รอช้ายิงพลังหมัดใส่ร่างของมิโนทอรัสไปชุดใหญ่เพื่อชะลอความเร็วของมันลง เช่นเดียวกันกับรามูเนสที่เริ่มร่ายรำวิชาที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมาเพื่อเรียกพลังภายใน ไม่นานนักเสือเขี้ยวดาบก็ค่อยปรากฏกายขึ้นมาและเดินวนรอบตัวของรามูเนสนั้น และทันทีที่รามูเนสปล่อยหมัดออกไปมันก็วิ่งกระโจนออกจากตรงนั้นไป เมื่อปลายเท้าของมันสะกิดพื้นถนนร่างของมันก็สลายลงไปกลายเป็นน้ำแข็งทางยาวที่ครอบคลุมพื้นที่ตรงนั้น และในช่วงเวลาต่อมารามูเนสก็ใช้เท้าพุ่งตัวไถลไปตามทางน้ำแข็งนั้นแล้วไปหยุดอยู่ที่เท้าทั้งสองข้างของมิโนทอรัสนั้น
นัยต์ตาสีน้ำตาลของรามูเนสเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินโดยฉับพลันพร้อมกับออร่าน้ำเงินที่ส่องสว่างขึ้นมาหลังจากนั้น พลังมากมายมหาสารถูกส่องผ่านร่างกายไปยังฝ่ามือทั้งสองข้างของรามูเนส เพียงไม่กี่อึดใจเกร็ดน้ำแข็งที่แสนเยือกเย็นก็ได้เริ่มเกาะกุมขาทั้งสองข้างของมิโนทอรัสและเริ่มลามไปเรื่อยๆ
เพราะเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นทำให้สร้างความโกรธให้กับมิโนทอรัสขึ้นอีกเป็นอย่างมาก มันจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะดึ้นหลุดออกไปจากตรงนั้นให้ได้ มันเริ่มทำร้ายรามูเนสโดยการใช้กำปั้นใหญ่ของมันทุบลงไปที่หลังของรามูเนส จนรามูเนสรู้สึกเจ็บจนเกร็ดน้ำแข็งที่เริ่มขยายตัวชะลอช้าลง เมื่อเห็นดังนั้นซิกฟรีดก็ยิงพลังใส่ไปที่ร่างของมิโนทอรัสอีกชุดใหญ่จนมันทำอะไรไม่ได้อีก
พวกยักษ์ที่เหลืออยู่เห็นว่ามิโนทอรัสกำลังตกอยู่ในอันตรายจะรีบเข้าไปช่วยโดยการยิงธนูลงมาจากยอดตึก แต่ทว่าก่อนที่พวกมันจะปล่อยคันศรของมันออกไปนั้นพวกมันกลับถูกของมีคมปาดคอไปซะก่อน เมื่อยักษ์ที่เหลือหันมาด้านหลังของพวกมัน ก็ปรากฏผู้กล้าสีเหลืองที่กำลังจับมีดคู่เอาไว้ ปลายมีดของเขามีรอยเลือดสีดำสกปรกแสดงหลักฐานว่าพวกยักษ์ที่ตายไปก่อนหน้านั้นเป็นฝีมือของเขา และแองเจโล่ก็ไม่รอช้ารีบปามีดออกไปแต่ทว่ามีดคู่นั้นพุ่งและควงเบี่ยงร่างของพวกมันไป จนพวกมันมองตามไปเพราะอยากรู้ว่ามีดคู่นั้นไปไหน แต่ก็ไม่ทันได้รู้คำตอบพวกก็ถูกจัดการโดยหมัดของแองเจโล่ซะก่อน แสงสีเหลืองกระพริบพร้อมกับเสียงสปาร์คของกระแสไฟฟ้าและตามมาด้วยร่างของพวกยักษ์นับสิบที่ลอยตกลงมาจากยอดตึกนั้น และตึกตรงข้ามกัน มีดสั้นที่เขาได้ปาออกไปนั้นก็บินไปปาดคอและร่างกายของพวกยักษ์ธนูที่กำลังซุ่มอยู่นั้น และแองเจโล่ก็รีบพุ่งทยานออกมาจากยอดตึกตามมีดของตัวเองที่กำลังควงบินไปทางที่มิโนทอรัสกำลังอยู่ตรงนั้น
ซิกฟรีดรวบรวมลูกบอลพลังสีม่วงลูกใหญ่ไว้ที่ปลายฝ่ามือทั้งสอง พลังของมันมหาสารมากชนิดที่ลูกบอลเกิดประจุไฟฟ้ารอบๆได้ เมื่อพลังพุ่งถึงขีดแล้วซิกฟรีดก็ไม่รอช้ารีบปล่อยพลังนั้นออกมา ลูกบอลพุ่งเข้าไปหามิโนทอรัสด้วยความเร็วสูงและเมื่อมันกระทบกับร่างกายของมันก็เกิดระเบิดขึ้น เมื่อควันที่ฟุ้งกระจายไปทั่วหายไปก็ได้เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยไหม้ที่เกิดจากการระเบิดนั้น แต่ทว่าแม้ร่างกายจะดูอ่อนแรงลงไปบ้างแต่ก็ยังคงมีแรงเหลือไว้ให้อาละวาดได้อีก
เสียงควงมีดแหวกผ่านอากาศมาจนมาจบอยู่ภายใต้ฝ่ามือของแองเจโล่ผู้เป็นเจ้าของๆมันที่เขาเหาะตามมารับ เมื่อมองลงไปด้านล่างก็ได้เห็นแผ่นหลังขนาดมหึมาของมิโนทอรัส และเขาก็ไม่รอช้ารีบปามีดคู่ใจทั้งสองลงไปที่แผ่นหลังนั้นด้วยความรุนแรง ที่แม้แต่มิโนทอรัสที่ตัวใหญ่ก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อมีดสองเล่มนั้นปักลึกลงเข้าไปในผิวหนังของมัน ไม่เพียงแค่นั้น แองเจโล่พุ่งทะยานลงมาพร้อมกับชาตพลังสายฟ้าเอาไว้ที่หมัดของตัวเองและเหวี่ยงหมัดเข้าไปซ้ำที่มีดทั้งสองที่ปักอยู่จนมันจมหายเข้าไปในร่างกายของมิโนทอรัส กระแสไฟฟ้าช็อตเข้าไปไม่เพียงแค่ภายนอกร่างกาย แต่รวมไปถึงภายในร่างกายของมันอีกด้วย
เสียงคำรามของมังกรที่อยู่บนท้องฟ้าดังสนั่นไปทั่วผืนฟ้า อคิลลิสที่รวมรวบพลังจนถึงขีดสุดแล้วก็เริ่มม้วนตัวกลางอากาศเช่นเดียวกันกับมังกรที่เลื้อยไปรอบๆตัวของเขาระหว่างที่เขาม้วนตัวจนมาหยุดที่อคิลลิสอยู่ตรงหน้าของมังกร ราวกับว่ากำลังจะให้มังกรผลักเขาลงไปด้านล่าง และวินาทีต่อมาอคิลลิสก็ยกเท้าขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงระเบิดที่ดังสนั่นผืนฟ้า ร่างของผู้กล้าสีเขียวที่กำลังเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้าพุ่งลงมาพร้อมกับมังกร ปลายเท้าพุ่งตรงไปหาร่างของมิโนทอรัสที่อยู่ตรงหน้าและพุ่งเข้าไปกระทบกับร่างของมิโนทอรัสอย่างแรงที่แม้แต่เกร็ดน้ำแข็งของรามูเนสที่เคยแช่แข็งมันเอาไว้แตกละเอียด ความรุ่นแรงทำให้ร่างของมันกระเด็นไปพุ่งตรงไปยังตึกที่อยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เปรวเพลิงที่เกิดจากการระเบิดนั้นกลายเป็นพายุหมุนสีดำ และควันสีดำพุ่งตรงไปยังบนฟ้า
เหล่าผู้กล้าบินมารวมตัวกันที่ถนนอีกครั้งหนึ่งท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่ายักษ์อย่างเสียขวัญ ที่อสูรกายสุดแข็งแกร่งของพวกมันถูกโค่นลงได้แล้ว พวกเขาหันหลังชนกันและเตรียมตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง แต่ทว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก เพราะว่าพวกยักษ์กลับต่างพากันวิ่งหนีกลับไป และเส้นทางนั้นมันตรงไปยังประตูมิติที่กำลังเปิดออกอยู่ แสงพลังจากกล่องแห่งอาคาช่านั้นยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บนท้องฟ้าไกลๆฝั่งตรงข้ามนั้นแม่น้ำนั้น
"เกิดอะไรขึ้นกับพวกมันกันเนี่ย?" ซิกฟรีดพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
"ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ จัดการแม่ทัพของพวกมันได้ทำให้พวกมันเสียขวัญไปตั้งเยอะเลย ก็เห็นแล้วนิ" รามูเนสพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกดีใจ สายตาของแองเจโล่ชายตามองไปยังพฤติกรรมที่น่าสงสัยของอคิลลิส เขาแอบเอาอะไรยัดใส่ปากก่อนที่จะกลืนมันลงไปแล้วหันหลังมาหาพวกเขาและทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ไม่ใช่หรอก.. มิโนทอรัสตัวนั้นเป็นหมากแนวหน้าตัวนึงเท่านั้นล่ะ" อคิลลิสพูดสวนขึ้นมา
"ฉันก็คิดแบบเดียวกันกับอคิลลิสนั่นแหละ ก็ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วล่ะนะ ฉันว่าการต่อสู้ในครั้งนี้มันมีอะไรแปลกๆอยู่" แองเจโล่พูดเสริมพร้อมกับตบบ่าของอคิลลิสเบาๆ พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วงเพื่อนคนนี้
"นี่ ถ้าร่างกายนายไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ"
"ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า" อคิลลิสเบนหน้าหนีแองเจโล่เพื่อปกปิดสีหน้าที่ดูมีพิรุจของเขา
- ตูม!!!!!! เปรี่ยง!!!!!! -
จู่ๆได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นมาซึ่งจากทิศทางที่มาของเสียงนั้น มาจากทางที่กล่องอาคาช่าอยู่ ในตอนนั้นเองผู้กล้าทั้งสี่ได้มองไปตามเสียงนั้น แต่ทว่าภาพเหตุการณ์ตรงหน้าของพวกเขานั้นกลับมีสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
"อะไรน่ะ!!!" ผู้กล้าทั้งห้าต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ท่ามกลางฟากฟ้านั้น
ที่ปลายท้องฟ้าในตอนนี้นั้นไม่ได้มีเพียงสายพลังสีน้ำเงินที่ออกมาจากกล่องแห่งอาคาช่าเท่านั้น แต่ยังมีสายพลังสีแดงอีกเส้นหนึ่งที่พุ่งตรงลงมาจากฟากฟ้ากระทบลงพื้นดินตรงหน้าของเหล่าไนติงเกลและกองทัพยักษ์ของอันดูริลส่วนหนึ่ง พวกมันมองดูเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้านั้นด้วยความสงสัยและอยากรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นมาหลังจากนี้ ภายใต้ฟุ้งกระจายอยู่นั้น ก็ได้บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกโชนขึ้นมา มันเริ่มปลิวไหวไปตามสายลมที่กำลังโหมเข้ามาในตอนนั้น เปลวเพลิงเริ่มเคลื่อนไหวจนในที่สุดมันก็ได้แปรเปลี่ยนจากเป็นเปลวเพลิงแห่งพายุหมุนขนาดใหญ่ สะเก็ดไฟนั้นปลิวว่อนไปทั่วจนแม้แต่ยักษ์หรือไนติงเกลต้องเอาผ้าคลุมของตัวเองหรือแขนขึ้นมาป้องกัน
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!"
แม่ทัพแห่งกองทัพอันดูริล แอลแกนดาล พูดขึ้นมาเมื่อสายตาของพวกเขาเริ่มสังเกตุเห็นอะไรบางอย่างตรงหน้า ภายใต้เปลวเพลิงกำลังที่ลุกโชนอยู่นั้นได้ปรากฏแสงประหลาดที่ปรากฏออกมากลางวงล้อมของเปลวเพลิง แสงเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างของคน และพายุหมุนเปลวเพลิงนั้นก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่างไปตามสายลมที่กำลังพัดโบก เปลวเพลิงเริ่มก่อตัวเป็นปีก เป็นหางสามหาง และเมื่อสิ้นเสียงคำรามของวิหคเพลิงในตำนาน นกฟินิกซ์ขนาดยักษ์ก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้ากองทัพอันดูริลและกลุ่มไนติงเกล เสียงอุทานของพวกเขาดังออกมาเป็นระยะๆ
"หรือว่า! นั่นมัน!"
"ไม่จริงน่ะ!"
เสียงผ้าคลุมสีแดงโบกสะบัด ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงเงินค่อยๆเดินออกมาจากเปลวเพลิงอันร้อนระอุอย่างสง่าผ่าเผย ชุดเกราะที่ดูน่าเกรงขามของเขานั้นแสดงให้เห็นถึงเห็นลวดลายที่แสนวิจิตบรรจงของชุดเกราะส่วนหน้าอกเป็นรูปนกฟินิกซ์ของเขาได้อย่างเด่นชัด ผ้าคลุมสีแดงที่โบกสะบัดไปตามสายลมนั้นปลิวไสวประดุจเปลวเพลิงที่ร้อนระอุ เสียงฝีเท้าของชุดเกราะเหล็กกระทบกันดังขึ้นเป็นระยะๆ ดวงตาสีดำขลับชายตาไปยังพวกยักษ์ที่อยู่รอบๆตัวของเขานั้น
ณ ยอดเขาแห่งไฮฮ๊อกก้า
ภายในห้องโถงห้องหนึ่งในวิหารไฮคิงตอนนี้ที่ศิลาส่องพิภพกำลังฉายภาพของผู้กล้าสีแดงแห่งไนท์เบลดอยู่ สายตาของเหล่านักบวชสีเท่าจ้องมองไปที่ภาพต้องหน้าของพวกเขาอย่างรู้สึกคาดไม่ถึงในการมาของผู้กล้าของพวกเขาในตอนนี้
นักบวจสีเทาคนหนึ่งรีบวิ่งไปที่ห้องโถ่งใหญ่ ที่ภายในกลางห้องนั้นมีแสงสว่างจากบนเพดานส่องลงมาพังพื้นที่เป็นหินข้างล่างนั่น และที่นั่นก็มีนักบวจที่ชื่อ ผู้เฒ่าอิจิส อยู่ ซึ่งในตอนนี้เขากำลังเงยหน้าขึ้นประหนึ่งว่าเขากำลังจ้องอะไรบางอย่าง
"ท่านผู้เฒ่า!!! ท่านผู้เฒ่าอิจิสครับ!!!" นักบวชคนหนึ่งรีบวิ่งมาหาผู้เฒ่าด้วยความร้อนรน
"อื้ม... ข้ารู้แล้วล่ะ"
ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของนักบวชสีเท่าคนนั้นแต่ท่านผู้เฒ่าอิจิสก็ตอบสวนขึ้นมาในทันที สายตาของนักบวชสีเทามองตามสายตาของผู้เฒ่าอิจิสไปยังพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งเมื่อเขาลองนึกดูแล้วแต่เดิมที่ตรงนั้นมันเคยเป็นที่ประจำของรูปปั้นนักรบไนท์เบลดในตำนาน แต่ทว่ารูปปั้นนั้นกลับหายไปเหลือเพียงแต่พื้นที่ว่างเปล่านั้น
ผู้เฒ่าอิจิสค่อยดูดยาสูบจากไปร์ยที่ทำมาจากไม้เฮื้อกใหญ่ แล้วค่อยๆพ่นควันมันออกมา
"ใช้ประตูมิติของพวกนั้นเป็นทางผ่านเพื่อไปยังเมืองไนท์เบลดสินะ ฉลาดไม่เบาเลยผู้กล้าของเรา" ผู้เฒ่าอิจิสหันมายิ้มให้กับนักบวชสีเทาคนนั้น
... กี่ปีกันนะที่เจ้าใช้เวลาอยู่ภายในนั้นก่อนที่เจ้าจะออกมาได้ 3 ปี 5 ปี หรือ 9 ปี แต่ว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะ ตอนนี้ปีกนกอมตะของเจ้าคงแข็งแกร่งพอที่จะโบยบินแล้วสินะ เรย์ ...
ทันทีที่เข้ายกมือขึ้นมาเหนือหัวและสะบัดมือลงไป นกฟินิกซ์ขนาดยักษ์ที่ตามเขาอยู่มาตั้งนานก็กระพือปีกและเริ่มบินอย่างชะวัดชะเวียงไปยังกลุ่มกองทัพอันดูริลที่อยู่ตรงหน้านั้น มันบินวนไปมารอบๆพื้นที่ที่ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่และทันทีที่นกฟินิกซ์ตัวนั้นบินผ่าน เหล่ายักษ์ทั้งหลายก็ถูกเปลวเพลิงจากร่างกายของมันเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าลีไปในช่วงพริบตา และเมื่อนกฟินิกซ์ย้อนกลับมาหาชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงคนนั้น ราวกับว่าร่างอันมหึมาของมันถูกดูดเข้าไปที่ฝ่ามือของเขา ทันทีที่เขาปล่อยหมัดออกไป สายพลังอันมหึมาก็ออกจากหมัดของเขา พลังอันมหาสารที่ขนาดทำให้พื้นดินแตกออกเป็นทางยาวตรงไปยังด้านหน้าที่เหล่ากองทัพอันดูริลอยู่ และเพียงชั่วพริบตา ของทัพอันดูริลที่เคยมีอยู่อย่างแน่นขนัดก็หายไป ทิ้งเอาไว้แต่เสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วผืนฟ้ากับร่องรอยแห่งการทำลายล้างที่เป็นหลุมวงกว้างขนาดใหญ่กับการหายไปของภูเขาที่เคยมีอยู่ทางด้านหลังนั้น
แอลแกนดาลมองดูชายหนุ่มชุดเกราะสีแดงอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่นิ่งเฉยแม้กว่ากองทัพของเขาจะหายไปหมด เพียงแค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขาก็ตาม แต่ผิดกับกลุ่มไนติงเกลในตอนนี้ที่ทุกคนต่างยืนอึ้งอย่างรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แม่ทัพร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาประจันหน้ากับเขาอย่างห้าวหาญ
"หึ... ฉันคาดการเอาไว้ไม่ผิดจริงๆด้วย ไอ้คนซื่อๆอย่างเรามันก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างสินะ" เขาคนนั้นพูดกับตัวเองตามลำพังก่อนที่จะชายตามองไปยังแอลแกนดาลที่กำลังย่างก้าวเข้ามาหาเขา
"นี่เจ้า เป็นใครกัน?" แอลแกนดาลถามขึ้นมา
"ฉันคือฟินิกซ์ คนที่แกแค่ดูก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ?..." เมื่อนั้นเขาก็พลิกฝ่ามืออย่างช้าๆ และสิ่งที่เขากำลังแสดงให้เหล่าศัตรูตรงหน้าของพวกเขาได้เห็นนั้นก็คือ แหวนสีแดง ที่ในตอนนี้กำลังส่องแสงระยิบระยับรับกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนรอบๆพื้นที่แห่งนั้น
"และฉันก็คือ คนที่กำลังครอบครองสิ่งที่พวกแกกำลังตามหามันอยู่ยังไงเล่า!!!" เสียงของผู้กล้าสีแดงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว เขย่าขวัญเหล่าไนติงเกลที่อยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างมาก
"...ผู้กล้าสีแดงอย่างงั้นเหรอเหรอ?!..."
สายตาของหมายเลขสิบสี่จ้องมองมาที่ผู้กล้าสีแดงคนนั้นอย่างตกใจอย่างที่ตัวเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ถึงขนาดที่เขาแอบก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้กล้าสีแดงคนนั้น
... ทำไมกัน! ทำไมไอ้หมอนี่ถึงได้เป็น! ทำไมไอ้หมอนี่ถึงสวมแหวนวงนั้นได้ล่ะ!! ...
"ฉันได้ฟังเรื่องมาจากผู้เฒ่าอิจิสแห่งไฮฮ๊อกก้ามาแล้ว แอลแกนดาล... และฉันก็ไม่มีความรู้สึกว่าหวาดกลัวแก่เลยซักนิด" เขาพูดสวนขึ้นมา ก่อนที่แอลแกนดาลจะพูดจบดั่งคนที่รู้เรื่องราวมาก่อนหน้านั้นแล้ว แอลแกนดาลยิ้มเยาะกับคำพูดนั้น
"คืนกล่องแห่งอาคาช่ามา! แล้วยกกองท้พน่าเกลียดๆของพวกแกกลับไปซะ! ก่อนที่ฉันจะทำลายพวกมันทั้งหมดด้วยมือคู่นี้ของฉันเอง!" ชายหนุ่มส่งคำขู่ไปยังศัตรูของเขาตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวแม้จะมีคนมากกว่า แต่คำพูดของเขานั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าขำขันของแม่ทัพแอลแกนดาลไปได้จนตนหัวเราะขึ้นมาในลำคอเบาๆ
"ปากเก่งเหมือนกันนะ เจ้าคิดว่าจะทำอย่างที่เจ้าพูดอย่างนั้นได้รึ?"
"ว่าไงนะ!"
และผู้กล้าสีแดงก็เริ่มเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างขึ้นมากับแม่ทัพฝ่ายศัตรูตรงหน้าของเขา รอบๆตัวเองแอลแกนดาลเริ่มที่กระแสไฟฟ้ารวนเวียนอยู่รอบกายกับเปลวหมอกสีดำทมิฬที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากการเรียกหาของแอลแกนดาล ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม แผ่นฟ้าเริ่มสั่นคลอนไปด้วยเสียงกระทบกันของก้อนเมฆสีดำทำให้ที่นั่นเต็มไปด้วยความมืดมิด บรรยากาศชวนขุนลุกสำหรับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก แต่ทว่าภาพเหล่านั้นกลับไม่สงผลกระทบต่อจิตใจของผู้กล้าสีแดงแม้แต่น้อย
"หึ นั่นก็คงเป็นคำตอบของแกสินะ!"
ผู้กล้าสีแดงตั้งท่าพร้อมสู้หลังจากสิ้นเสียงของเขาไป
สิ้นแสงจากสายฟ้าฟาดลงมาแม่ทัพแอลแกนดาลก็เริ่มเปิดฉากจากต่อสู้ในทันที โดยที่เขาเริ่มใช้พลังจิตอันมหาสารระเบิดพื้นดินตรงนั้นให้แตกกลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่และทำให้มันลอยขึ้นเหนืออากาศ แล้วเวลาต่อมาแค่เพียงเขาขยับผ้าคลุมที่ติดอยู่ที่หลัง ร่างกายของเขาก็พุ่งลงมาจากฟ้าตรงมาหาผู้กล้าสีแดงด้วยความเร็วสูง เมื่อเห็นดังนั้นผู้กล้าสีแดงจึงไม่รอช้ารีบทะยานขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน ราวกับเป็นเครื่องบินไอพ่นความเร็วสูงเพราะเมื่อเขาถีบตัวจากพื้นดินแล้วบินตรงไปยังเป้าหมาย เขาก็ปล่อยเสียงอุลตร้าโซนิลออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะความเร็วเหนือมนุษย์ของเขานั่นแล
เมื่อทั้งสองเขาปะทะกันก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการปล่อยหมัดใส่กันอันดูเดือดอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่กำลังค่อยๆลอยลงมาสู่พื้น เพลงหมัดนับร้อยถูกปล่อยออกมาจากชายทั้งสอง ความเร็วของการเคลื่อนที่เข้าปะทะกันนั้นเป็นความเร็วที่สายตาของมนุษย์ทั่วไปยากที่จะมองเห็นได้ แม้แต่กลุ่มไนติงเกลที่กำลังยืนดูอยู่ด้านล่าง ต่างก็เห็นแค่เพียงเงาสุดท้ายของทั้งสองคนที่กำลังปล่อยหมัดนับร้อยเข้าใส่กันไปอยู่ตรงมุมนู้นบ้าง ตรงมุมนั้นบ้าง แต่ทว่าทุกครั้งที่พวกเขาได้มีการเคลื่อนไหว ก้อนหินที่กำลังลอยอยู่นั้นกลับเกิดร่องรอยการถูกทำลาย ก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าแตกไปตามความเร็วในการบินของทั้งสองคน
จนกระทั่งสุดท้ายแล้วพวกเขาก็แยกจากกันและหยุดต่อสู้ ทั้งสองมาประจันหน้ากันกลางอากาศท่ามกลางเสียงการก้อนหินที่ถูกทำลายลงไป ทั้งๆที่ผ่านการต่อสู้ที่แสนดุเดือดมา แต่ทั้งสองก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลงไปเลยแม้ต่อน้อย มิหน่ำซ้ำความกดดันอันมหาสารของทั้งคู่ยังส่งผ่านออกมายังสายตาของทั้งสองคน จนคนที่กำลังยืนดูอยู่ด้านล่างนั้นยังรู้สึกได้ว่ายังไง การต่อสู้ก็ยังคงมีอยู่ต่อไป และมันกำลังจะทวีความดุเดือนเลือดพล่านขึ้น
และก็เป็นดั่งที่กลุ่มไนติงเกลคาดการณ์เอาไว้เมื่อแอลแกนดาลเริ่มจะทำอะไรบางอย่างกับกลุ่มก้อนหินนับร้อย ที่เขาสั่งให้พวกมันลอยอยู่บนฟ้าตั้งแต่ตอนแรกนั้น ก้อนหินทั้งหมดเริ่มมารวมตัวกันพร้อมกับเสียงสูดลมหายใจของแอลแกนดาล และเมื่อแอลแกนดาลผลักมือออกไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังก้องกังวาน เหล่าก้อนหินที่เขากำลังบัญชาอยู่นั้นก็พุ่งไปยังผู้กล้าสีแดงที่อยู่ตรงหน้านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้กล้าสีแดงหวั่นวิตกเลยแม้แต่น้อย เขาสอดส่ายสายตาไปรอบก่อนที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เสียงก้อนหินแหวกอากาศเข้ามาผู้กล้าสีแดงเบี่ยงตัวหลบไปสองครั้ง และหมุนตัวหลบไปอีกหนึ่งครั้งเพื่อหลบลูกโตที่ลอยเข้ามาหา และเขาตัดสินใจบินถอยออกไปทางด้านหลังเพื่อหลบฝูงลูกเล็กที่กำลังลอยเข้ามาอย่างรวดเร็วและบินหมุนตัวไปสามสี่รอบเพื่อหลบก้อนหินพวกนั้น ก่อนที่จะหันกลับมาตั้งลำและชาดพลังเอาไว้ที่ปลายหมัดขวาของเขา และทันทีที่เขาเหวี่ยงหมัดออกไป พลังสีแดงอันมหาสารก็พุ่งออกไปจากหมัดของเขาผ่านก้อนหินพวกนั้นทำให้ก้อนหินนับร้อยแหลกสลายไปในพริบตา
แอลแกนดาลกำหมัดและกัดฟันกรามอย่างแน่นด้วยความไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นว่าผู้กล้าสีแดงยังคงมีชีวิตอยู่ และตอนนั้นเองแอลแกนดาลก็เริ่มระเบิดพลังของตัวเองกลายเป็นกระแสไฟฟ้าออกมาที่ฝ่ามือทั้งสองและรวบรวมมันเอาไว้ที่หน้าอก และเมื่อถึงขีดสุดสายฟ้าที่เข้ามารวมตัวกันนั้นก็พุ่งตรงไปหาผู้กล้าสีแดงอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้กล้าสีแดงต้องยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมากันเอาไว้ ด้วยความรุ่นแรงของมันทำให้ตัวของผู้กล้าสีแดงถูกผลักกระเด็นถอยหลังออกมาหลายเมตรราวกับว่าเขาได้ถูกอะไรบางอย่างผลักออกมา แรงกดดันจากพลังอันมหาสารอยู่ระหว่างหนึ่งฝ่ามือของผู้กล้าสีแดงคนนี้ และในทันทีที่เขาตัดสินใจสลายพลังทั้งหมด ผู้กล้าสีแดงก็แหวกพลังนั้นออกเหมือนคนกำลังฉีกกระดาษอะไรซักอย่างจนขาดเป็นเสี่ยงๆ และพลังที่ถูกฉีกขาดไปนั้นก็ลอยไปกระทบกับพื้นที่ใกล้เคียงแถวนั้น ทั้งพื้นดิน ป่าไม้ รวมไปถึงตัวตึกบางดึกในเมือง ทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ
เหล่าผู้กล้าทั้งสี่ที่บินตามเสียงระเบิดมาจากในเมืองจู่ก็พวกเขาก็ต้องบินหลบสะเก็ดกระแสไฟฟ้าที่พึ่งลอยผ่านหน้าของพวกเขาไป สายตาของพวกเขามองตามกระแสไฟนั่นที่ลอยเข้าไปในเมือง และเมื่อมันกระทบกับพื้นถนนก็ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมา สร้างความตกใจให้พวกเขาทั้งสี่เป็นอย่างมาก เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้พวกเขานึกได้ว่าจะช้าอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องรีบบินตรงไปยังที่ๆสายพลังสีน้ำเงินที่กำลังพุ่งขึ้นไปสู่ปลายฟ้านั้นอยู่ เพื่อหยุดยั้งศึกในครั้งนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะไม่ได้เห็นเมืองๆนี้อีกเป็นครั้งที่สอง
แอลแกนดาลและผู้กล้าสีแดงค่อยๆลอยตัวลงมาจากฟ้า สายตาของทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยังคงจ้องเขม่งไปที่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่กระพริบตา ผิดกับกลุ่มไนติงเกลที่ต่างคนต่างมองดูผลงานของทั้งสองที่ทำเอาไว้กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ พื้นดินที่แตกละเอียดหลายจุดมีให้เห็นอยู่เต็มไปหมด รวมไปถึงหลุมบ่อที่เกิดจากการระเบิดของพลังจากแอลแกนดาลที่ปล่อยใส่ผู้กล้าสีแดงมีให้เห็นอยู่ไปทั่ว พื้นดินรอบๆป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นเครื่องสังเวยของการต่อสู้ในครั้งนี้ไปแล้ว
แอลแกนดาลยิ้มออกมาเล็กน้อย ผู้กล้าสีแดงมองดูศัตรูตรงหน้าของตัวเองอย่างสงสัย
"หึ พลังสูงกว่าที่ข้าคาดการเอาไว้ซะอีกนะ" น้ำเสียงอันเย้ยหยิ่งดังขึ้นมาจากแอลแกนดาล "สงสัยข้าจะดูถูกพลังของเจ้ามากเกินไป เพราะก่อนหน้านี้ผู้กล้าแห่งไนท์เบลดคนก่อนมันฝีมือไม่เอาไหนซะเลย"
"อย่างงั้นหรอกเหรอ" คำพูดแบบขอไปทีถูกส่งออกมาจากผู้กล้าสีแดงที่อยู่ตรงหน้าของแอลแกนดาล
"สงสัยข้าคนนี้จะต้องเอาจริงกับแกซะแล้วล่ะ ยินดีด้วยนะ ที่แกจะได้ฟังการบรรเลงบทเพลงแห่งความพ่านแพ้สำหรับแก"
ทันทีที่แอลแกนดาลชักดาบออกจากฝักที่อยู่ข้างเอวของเขานั้น ก็ได้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นมารอบๆตัวของเขาอีกครั้งหนึ่ง แอลแกนดาลควงดาบผ่านอากาศไปสองสามรอบและทุกๆรอบที่ได้ควงดาบนั้น สายฟ้าก็ได้ผ่าลงบนพื้นดินที่อยู่ตรงหน้านั้นไปตามการควงดาบของแอลแกนดาล และเขาก็ไม่รอช้ารีบเปิดศึกครั้งที่สองระหว่างแม่ทัพแห่งกองทัพทมิฬและผู้กล้าแห่งไนท์เบลดสีแดง
แอลแกนดาลชิงลงมือก่อนโดยการกวาดดาบอย่างรวดเร็วหวังจะเอาชีวิตของผู้กล้าตรงหน้านั้นให้ได้ แต่ฝ่ายผู้กล้าสีแดงเองก็ไม่ยอมรีบหลบดาบนั้นที่กำลังผ่าเข้ามาอย่างไม่ยำเกรง เขาต้องหลบดาบไปอีกสองครั้งและแอลแกนดาลไม่มีทีท่าว่าจะหยุดระรานเขาง่าย เมื่อคิดเช่นนั้นผู้กล้าสีแดงจึงต้องหาทางสวนกลับไปบ้างโดยการปล่อยหมัดที่แสงแข็งแกร่งและเร่าร้อนประดุจเพลิงออกไปบ้างหวังจะโตตอบ แต่ว่าหมัดของเขาหลายต่อหลายหมัดก็ถูกกันได้จนหมดจากดาบของแอลแกนดาลจนทำให้เขาอึ้งไป และในที่สุดผู้กล้าสีแดงก็ถูกฟันเข้าไปที่บริเวณหน้าอกของชุดเกราะของเขาจนได้จากในจังหวะที่เขากำลังยืนอึ้งกับฝีมือดาบอันร้ายกาจของแอลแกนดาล
ผู้กล้าสีแดงถอยเชไปด้านหลังหลายต่อหลายก้าว ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมา สายของเขาก้มลงไปดูผลงานที่แอลแกนดาลฝากเอาไว้ที่ชุดเกราะของเขา รุปตัวของนกฟินิกซ์บริเวณหน้าอกของชุดเกราะนั้นถูกฟันเป็นทางยาว และรอยฟันนั้นก็ยังมีแสงสีดำเงาจันทร์และกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไป ยังไม่ทันได้พักหายใจผู้กล้าสีแดงต้องหลบคมดาบชองศัตรูตรงหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่ง ผู้กล้าสีแดงตอบโต้ด้วยหมัดไปสองสามหมัดแต่ก็ยังถูกกันได้อยู่ แอลแกนดาลเหวี่ยงดาบไปมาบนอากาศอีกครั้ง ผู้กล้าสีแดงทำได้แค่หลบคมดาบของเขาเท่านั้น และแอลแกนดาลก็คงฟันคมดาบนั้นโดนผู้กล้าแค่เชี่ยวๆผิวหนังของท่อนแขนส่วนบนที่ไม่ได้มีส่วนของชุดเกราะมาป้องกันเอาไว้ จนในที่สุดการปะทะกันอันแสนดุเดือดก็หยุดชะงักลงเมื่อผู้กล้าสีแดงใช้ท่อนแขนที่เป็นส่วนของชุดเกราะของเขานั้นรับดาบเอาไว้
กลุ่มไนติงเกลเริ่มมีรอยยิ้มแสดงออกมาบนใบหน้าของพวกเขา เพราะว่าเหตุการณ์ตรงหน้าของพวกเขานั้นฝ่ายของพวกเขาได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับมือฝีมือดาบของแม่ทัพแอลแกนดาลได้หรอก"
"แกแพ้แล้วล่ะอัศวินไนท์เบลดเอ๋ยยย"
รอยยิ้มเกิดขึ้นมาบนใบหน้าของกลุ่มไนติงเกลทุกคน ยกเว้นแต่ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่เท่านั้น ที่ตอนนี้แม้จะมีหน้ากากมาปกปิดใบหน้าก็ตามแต่ก็ยังแสดงออกให้เห็นถึงความกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
... ไม่ใช่! ไม่ใช่หรอก! ไอ้เจ้าหมอนั่นมันยังใช้พลังในการต่อสู้ไปไม่เท่าไรเอง! ...
ท่อนแขนของชุดเกราะเสียดสีกับดาบใหญ่ของแอลแกนดาลเป็นสะเก็ดไฟอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้น สายตาของผู้กล้าสีแดงยังคงมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง แรงต้านทานอันมหาสารส่งผลให้เห็นออกมาทางท่อนแขนที่สั่นระริกอยู่นั้น รอยยิ้มอันเย้ยหยั๋นของแอลแกนดาลยังคงมีให้เห็นบนใบหน้าที่ปกปิดด้วยหมวกของชุดเกราะนั้น
"นึกว่าจะเก่งสักแค่ไหน ที่แท้ก็ไม่ต่างจากผู้กล้าคนก่อนๆที่ข้าเคยเจอมา" คำพูดดูถูกของแอลแกนดาลถูกส่งออกมาให้ผู้กล้าที่อยู่ตรงหน้านั้น "หลังจากนี้ข้าจะส่งแกไปลงนรกที่น่าชื่นชมพร้อมกับสหายของเจ้า"
"...อย่ามาพูดว่าแกรู้จักนรกดี ถ้าแกไม่เคยเจอกับนรกของจริง!!"
เมื่อสิ้นเสียงของผู้กล้าสีแดงนั้น ดวงตาที่ดำที่แอลแกนดาลกำลังจ้องมองอยู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงโดยฉับพลันในทันที ท่อนขาที่มีพละกำลังมหาสารถูกเตะกวาดไปทีลำตัวของแอลแกนดาลจนกระเด็นถอยหลังออกมา ด้วยแรงพลังอันมหาสารนั้นทำให้ชุดเกราะของแอลแกนดาลมีรอยบุบอย่างเห็นได้ชัด สร้างความประหลาดใจให้กับไนติงเกลที่กำลังดูการต่อสู้อันดุเดือดนี้อยู่ แต่ผู้ที่มีความประหลาดใจมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นตัวแอลแกนดาลเอง เพราะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าพลังในการต่อสู้ของผู้กล้าสีแดงนั้นเป็นอย่างไร จากเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีคู่คี่มาอยู่ช่วงหนึ่ง กลับกลายมาเป็นคนที่มีพลังมากกว่าแอลแกนดาลในตอนนี้หลายต่อหลายเท่านัก
... อะไรกันเจ้านี่! มันเอาพลังมหาสารขนาดนี้มาจากไหน!! แล้วที่เราต่อสู้เมื่อกี้นี่มันคืออะไรกัน! ...
แอลแกนดาลมองสีหน้าของคนตรงหน้า ที่ตอนนั้นใบหน้าของเขาเต็มที่ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะเอาชนะฝ่ายตรงกันข้ามที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ให้ได้ ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดกับดวงตาสีแดงจ้องมองมาที่แอลแกนดาลอย่างไม่กระพริบตา ภาพที่กำลังอยู่ตรงหน้าสร้างความหวาดกลัวให้กับแอลแกนดาลเล็กน้อย เป็นความรู้สึกที่เขาเองไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แต่ทว่าเหตุการณ์ที่จะสร้างความน่ากลัวให้กับแอลแกนดาลยังไม่หมดลงแค่นั้น เมื่อผู้กล้าสีแดงเริ่มกำหมัดและเกร็งกล้าเนื้อเพื่อเค้นพลังภายในร่างกายออกมา ทันใดนั้นเองแผ่นดินที่เคยนิ่งสงบก็เริ่มเคลื่อนไหวตึง ก้อนหินที่เคยอยู่นิ่งไม่ขยับไปไหนก็เริ่มร่วงหล่นลงมาหรือพังทลายลงมา แผ่นดินไหวอย่างไม่หยุดหย่อนจนพวกไนติงเกลต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวเอาไว้เพราะการเคลื่อนไหวของแผ่นดินนั้นมันช่างรุนแรงมากเหลือเกิน เสียงแผ่นดินไหวดังออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง แอลแกนดาลมองภาพเหล่านั่นด้วยความหวาดวิตก
"อะไรกัน เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!!"
เสียงสายฟ้าฟาดดังออกมาเป็นระยะๆพร้อมกับออร่าที่ค่อยๆส่องแสงสว่างขึ้นมา และเมื่อผู้กล้าสีแดงคำรามจนสุดเสียง แผ่นดินตรงหน้าของเขาก็แตกกระจายไปเพราะพลังที่มหาสารของเขาเอง หินแทบเท้าของเขากระจัดกระจายไปทั่วเช่นเดียวกันกับฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศตรงหน้านั้น แอลแกนดาลมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ไหวติง และเมื่อกลุ่มควันที่ค่อยๆลอยห่างออกไปนั่นแล้ว ภาพตรงหน้าของเขาก็คือผู้กล้าสีแดงแห่งไนท์เบลดกับออร่าสีแดงเพลิงที่กำลังส่องสว่าง เส้นผมสีดำที่ยาวสยายเคลื่อนไหวไปตามออร่าที่กำลังร้อนระอุอยู่นั้น นัยน์ตาสีแดงจ้องมองมาที่คนตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา
แอลแกนดาลยืนนิ่งไปกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้านั้น
"เป็นอะไรไปแอลแกนดาล" คนที่ถูกเรียกชื่อตกใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของคนตรงหน้านั้น "เกิดปอดแหกขึ้นมารึยังไง?"
เหมือนเป็นหนามทิ่มแทงใจคำของแอลแกนดาลเมื่อได้ยินคำนั้น แอลแกนดาลไม่รอช้าปล่อยพลังออกมาด้วยความบ้าคลั่ง สายฟ้าออกมาจากฝ่ามือของเขาตามอารมณ์และเสียงคำรามด้วยความโกรธของเขาในตอนนี้ เสียงระเบิดดังสนั่นถี่ขึ้นจนฟังไม่ได้ศัพท์ ควันสีดำลอยขึ้นมาพร้อมกับเปลวไฟที่ร้อนระอุและร่างของผู้กล้าสีแดงก็ค่อยๆหายไปจากควันสีดำนั้น
แอลแกนดาลเหนื่อยหอบเพราะพลังที่ตัวเองปล่อยออกไปนั้นค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่มันก็ทำให้เขายิ้มได้ออกมาเมื่อเห็นว่าผู้กล้าที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขานั้นไดหายไปในกลุ่มควันและเปลวเพลิงที่กำลังลุงโชนอยู่ตรงหน้านั้น
แต่ทว่ารอยยิ้มที่พึ่งเกิดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาที่ต้องหุบลงไปหลังควันไฟสีดำลอยขึ้นไปบนฟ้าจนหมด ภายใต้เปลวเพลิงที่ลุกโชนกับพื้นดินที่แตกเป็นวงกว้างนั้น ยังคงเหลือให้เห็นเงาร่างของชายหนุ่มหลังม่านเปลวเพลิงนั้น และไม่กี่วินาทีต่อมา ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงก็พุ่งทะยานออกมาพร้อมกับแหวกม่านเปลวเพลิงที่กำลังขวางทางของเขาออกไป วินาทีที่แอลแกนดาลกำลังจะตั้งตัวนั้นเมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกหมัดของผู้กล้าสีแดงชกเข้าไปที่ใบหน้าของเขาอย่างสุดแรง ทำให้ร่างกายอันสูงใหญ่ของแอลแกนดาลกระเด็นพุ่งออกจากที่ตรงนั้น ราวกับว่าเขาถูกรถบรรทุกชนจนปลิวไปไกลหลายต่อหลายเมตร ร่างของแอลแกนดาลล้มลงหลังกระแทกพื้นแต่ก็ยังคงไถลไปตามทางเป็นแนวยาวอย่างไม่อาจจะหยุดความรุนแรงของหมัดผู้กล้าสีแดงลงไปได้ มิหนำซ้ำเมื่อร่างของแอลแกนดาลถูกก้อนหินก้อนใหญ่สะกิดเพียงนิดทำให้ร่างของเขาลอยสูงขึ้นไปอีก ร่างของแอลแกนดาลก็พุ่งตรงไปยังภูเขาที่อยู่ตรงหน้าแล้วพุ่งชนอย่างแรงจนทำให้ภูเขาที่ดูแข็งแกร่งกลับพังทลายลงมาอย่างง่ายดาย
เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้เหล่าไนติงเกลที่กำลังยืนดูอยู่เป็นเสียขวัญเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าผลลัพธ์ที่พวกเขาคาดการเอาไว้ตั้งแต่เมื่อกี้มันจะกลับตาละปัดออกมาจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนั้น เสียงอุทานอย่างเสียงขวัญและกำลังใจส่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย
แต่ทว่าเสียงที่คล้ายกับแผ่นดินไหวได้ดังขึ้นมาจากกองภูเขาลูกใหญ่ที่พังทลายอยู่นั้น และทันทีที่กองก้อนหินกระเด็นออกมา ร่างของแอลแกนดาลก็ปรากฏให้เห็นขึ้นอีกครั้ง ผู้กล้าสีแดงค่อยหันหน้าไปทางที่แอลแกนดาลอยู่แล้วสูดหายใจเข้าไปลึกๆพร้อมกับหลับตาลงเพื่อเรียกกำลังของตัวเอง เมื่อเขาคิดได้ว่าการต่อสู้อันแสนดุเดือดกำลังจะดำเนินต่อจากนี้
ร่างของแอลกานดาลพุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับปล่อยหมัดใส่ผู้กล้าสีแดงอย่างไม่หยั้งมือ แต่ทว่าผู้กล้าสีแดงก็ใช้เพียงท่อนแขนข้างเดียวของตัวเองรับหมัดที่หวดเข้ามาอย่างบ้างคลั่งของแอลแกนดาลอย่างดูใจเย็นจนทำให้่แอลแกนดาลหัวเสีย เขาจึงประกบมือทั้งสองเอาไว้ด้วยกันเพื่อที่จะทุบลงไปยังศีรษะของผู้กล้าสีแดง แต่ยังกำปั้นทั้งสองที่ประกบกันยั้งไม่ทันเข้าถึงตัวของผู้กล้าตรงหน้า เขาก็ถูกหมัดที่แสนหนักหน่วงของผู้กล้าสีแดงสวนกลับเข้าไปที่ท้องของเขาเองจนร่างกายอันใหญ่โตของเขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด รวมไปถึงอาการจุกอันมหาสารที่มันอยู่ที่ท้อง แอลแกนดาลผู้ทรนงกลับต้องนั่งคุกเข่าด้วยความเจ็บปวดเพียงเพราะหมัดที่เล็กกว่าหมัดของเขาเพียงครั้งเดียว
สายตาที่นิ่งเฉยมองไปลงไปที่แอลแกนดาล แต่ความรู้สึกที่แอลแกนดาลได้มองสายตาของผู้กล้าสีแดงนั้น มันเป็นสายตาที่ดูน่าสมเพชอย่างมาก เมื่อคิดเช่นนั้นมันก็ทำให้แอลแกนดาลทนไม่ได้จึงต้องลุกฝีนลุกขึ้นยืนมาแล้ววิ่งเข้าไป แต่ทว่าเมื่อผู้กล้าสีแดงถีบตัวขึ้นมาเหนืออากาศ ลูกเตะนับสิบก็พุ่งเข้าไปที่ร่างของแอลแกนดาลจนคนที่พึ่งวิ่งเข้ามากระเด็นถอยหลังกลับไปอีก แต่แอลแกนดาลก็ยังไม่ยอมแพ้ยังคงใช้แรงที่เหลือยันตัวพุ่งเข้าไปหาผู้กล้าสีแดง เมื่อเห็นดังนั้นผู้กล้าสีแดงจึงออกแรงกระโดดขึ้นมาเหนือพื้นดิน ระเบิดพลังภายในร่างกายแล้วรวบรวมไปที่ปลายเท้าขวา และลูกเตะเปลวเพลิงความเร็วสูงก็พุ่งลงมาจากฟ้าตรงมาหาร่างของแอลแกนดาล ลูกเตะแรงอันที่แสนรุนแรงเมื่อกระทบกับร่างของแอลแกนดาลก็เกิดระเบิดขึ้นมาจนเกิดเปลวเพลิงที่ลุกโชนเพราะแรงระเบิดนั้น
ร่างของแอลแกนดาลไถลออกไปหลายเมตรจนล้มกลิ้งเมื่อมาถึงพื้นดินแต่ก็ยังคงยืนขึ้นมาไหวอยู่ ร่างที่เต็มไปด้วยควันโขมงที่ส่งกลิ่นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว เมื่อเห็นดังนั้นผู้กล้าสีแดงจึงคิดว่าให้การต่อสู้นี้มันจบลงเสียที
"จบกันแค่นี้แหละ!!!!!"
ผู้กล้าสีแดงระเบิดพลังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในขณะนั้นเองเปลวเพลิงที่เคยลุกไหม้ยังที่ต่างๆรอบๆนั้นค่อยๆลอยมารวมตัวกันที่ร่างของผู้กล้าสีแดง และบัดนั้นเปลวเพลงเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างของนกฟินิกซ์ขนาดใหญ่อยู่เหนือหัวของผู้กล้าสีแดงตรงหน้า
ผู้กล้าสีแดงเตรียมง้างหมัดทำท่าเหมือนกับกำลังจะปล่อยมันที่แสนทรงพลังนี้ออกมา ราวกับพญาวิหคที่กำลังจะโผลบิน ร่างของนกฟินิกซ์ที่เคยปรากฏตัวให้เห็นนั้นก็เริ่มหายเข้าไปยังหมัดของผู้กล้าสีแดงคนนั้น แหวนสีแดงที่อยู่ตรงหมัดขวาส่องแสงสีแดงเป็นประกายออกมา
- ฟินิกซ์ เร็กซิ่ง เฟรม!!!!!!!! !!!!!! -
ทันทีที่ปล่อยหมัด เสียงคำรามที่เหมือนกับท้องฟ้ากำลังจะทะลายก็ดังขึ้นมา นกฟินิกซ์ที่เคยหายไปก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งพร้อมกับพลังอันมหาสารที่ถูกกปล่อยออกมาจากหมัดขวา นกฟินิกซ์โผบินตรงไปยังแอลแกนดาลด้วยความเร็วสูงพร้อมกับพุ่งชนกับร่างกายอันใหญ่โตนั้นจนแม้แต่ชุดเกราะที่ดูแข็งแกร่งชุดนั้นยังแตกสลายไปพร้อมกับร่างของนกฟินิกซ์ที่โผบินพัดผ่าน ร่างของแม่ทัพอันดูริลนั้นค่อยๆจางหายไปภายใต้สายพลังสีแดงอันมหาสารนั้น สายพลังพุ่งตรงไปไม่รู้จุดหมายไกลแสนไกลไปบนท้องฟ้าที่ยากที่จะคาดเดาได้ เสียงร้องอันโหยหวนของแอลแกนดาลร้องออกมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนที่ร่างของเขาจะสลายและหายไปพร้อมกับสายพลังสีแดงที่ค่อยจางหาย
เมื่อเสียงทุกอย่างสงบลง ก็ได้เผยภาพตรงหน้าที่มีแต่รอบควันจากการลุกไหม้ด้วยความร้อนสูง และพื้นดินที่แตกออกเป็นทางยาวทอดไกลออกไปไม่รู้จบ แม่ทัพแอลแกนดาลในตอนนี้ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ทิ้งเอาไว้แต่เสียงอุทานด้วยความตกใจของฝ่ายตรงข้ามที่เหลืออยู่ หน้าปากประตูมิตินั้น
กลุ่มไนติงเกลตอนนี้รู้สึกเสียขวัญเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขานั้น
ผู้กล้าสีแดงค่อยๆหลับตาและถอนหายใจออกมา และทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมา หางตาของเขาก็จ้องมองไปที่กลุ่มไนติงเกลที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของประตูมิติที่กำลังถูกเปิดออก เพียงแค่เขาขยับตัว การเคลื่อนไหวที่เร็วเหนือมนุษย์ตัวไปก็ได้แสดงออกมาจากผู้กล้าแห่งไนท์เบลดสีแดง เสียงอุลตร้าโซนิคถูกปล่อยออกมาอีกครั้งหลังการพุ่งทะยานของผู้กล้าสีแดงที่ตรงเข้าไปหากลุ่มไนติงเกลที่อยู่ตรงหน้า
นัยน์ตาของไนติงเกลหมายเลขสิบสี่เบิกกว้างเมื่อรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น
"อาจารย์ค๊า!! ระวัง!!!!" แม้เสียงของหมายเลขสิบสี่จะดังขึ้นมาเตือนให้กับเนโครมอนเซอร์ผู้เป็นอาจารย์ของเขา แต่ทว่าดูเหมือนจะช้าไปมากเมื่อเทียบกับความเร็วของผู้กล้าสีแดง
- ฟาวววว วววววว ปลั๊ค!!!! -
"อาจารย์!!!!!!!!!!!"
แม้จะอยู่ถัดไปไม่ห่างจากตัวมากนักแต่หมายเลขสิบสี่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เมื่อภาพตรงหน้าของเขานั้นกลายเป็นภาพของผู้กล้าสีแดงที่ง้างหมัดขวาเข้าใส่เนโครมอนเซอร์อย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของเนโครมอนเซอร์ปลิวกระเด็นและหายไปหลังม่านพลังสีน้ำเงินของประตูมิตินั้น หมายเลขสิบสี่ทำได้แต่เพียงมองร่างผู้เป็นอาจารย์ของตัวเองหายไป
ผู้กล้าสีแดงค่อยๆเดินย่างก้าวเข้าไปหวังที่จะไปทำลายไม้เท้าที่เนโครมอนเซอร์ปักเอาไว้เพื่อเปิดประตูมิติและนำกล่องแห่งอาคาช่ากลับมา แต่ทว่าก่อนที่จะถึงไม้เท้าที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นกลุ่มไนติงเกลที่เหลืออยู่นับสิบคนรีบวิ่งเข้ามายืนขวางทางเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผู้กล้าสีแดงย่างก้าวเข้าไปไกล้ไม้เท้าที่เป็นอุปกรณ์ไว้ใช้สำหรับการเปิดประตูมิติไปมากกว่านี้
"หลีกไปซะ!! ฉันไม่อยากจะสู้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว!! การต่อสู้ในวันนี้มันรู้ผลไปแล้วนะ!!!" ผู้กล้าสีแดงตวาดลั่น น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะทำอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว
"หนวกหู!! เพราะแกทำกับอาจารย์ของเราแบบนั้น ขอเอาคืนแทนอาจารย์ของเราหน่อยเถอะ!!! ย๊ากกกกก กกกก" กลุ่มไนติงเกลพร้อมใจกันวิ่งกรูเข้าไปหาผู้กล้าสีแดงที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดอีกต่อไป
"หึ้ย! ไอ้พวกโง่เอ้ย!!!!!"
- เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆ -
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก กกกกก"
ผู้กล้าสีแดงไม่มีทางเลือก จำใจที่จะต้องปล่อยหมัดพลังออกไปใส่กลุ่มไนติงเกลที่กำลังวิ่งเข้ามา สายพลังพุ่งตรงผ่านร่างของกลุ่มไนติงเกลนับสิบจนร่างกายพวกเข้าลอยกระเด็นขึ้นไปเหนืออากาศ และตกลงมาสู่พื้นอย่างแรง
สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มใจชายมองไปรอบร่างของไนติงเกลที่นอนแนบนิ่งสนิดอยู่บนพื้นดินตรงหน้านั้น ผู้กล้าสีแดงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายและค่อยๆเดินไปยังไม้เท้าที่กำลังเปิดประตูมิติอยู่ตรงหน้านั้น แต่ทว่าก่อนที่เขาจะได้เข้าไปถึงกล่องแห่งอาคาช่าที่กำลังลอยอยู่บนฟ้านั้นโสตประสาทหูของเขาก็รับรู้ได้ถึงเสียงแหวกอากาศเข้ามา ก่อนที่จะได้เห็นร่างของไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ที่กำลังยืนขวางทางเข้าอยู่ตรงหน้านั้น
"โถ่เว้ย! ลีกไปเซ่!"
ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ในตอนนี้ขบฟันแน่นด้วยความโกรธ แม้จะมีหน้ากากบดบังใบหน้าอยู่ก็ตามแต่ผู้กล้าสีแดงตรงหน้าก็รู้ดีว่าตอนนี้คนตรงหน้ากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ หมายเลขสิบสี่ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้ามาหาผู้กล้าสีแดงอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้กล้าสีแดงจึงตอบรับไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ด้วยการสวนหมัดของเขาไป และพลังหมัดที่มีพลังรุ่นแรงของทั้งสองคนก็ปะทะกันกลางอากาศอยู่ตรงนั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ