ความทรงจำสีจาง
เขียนโดย TTTTTT
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 09.36 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 22.27 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1) เปิดคดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความณ กองปราบปรามยาเสพติด ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณร้อยตารางวาในเขตปริมณฑลห่างจากกรุงเทพฯ พอสมควร เป็นอาคารสำนักงานย่อยที่แยกตัวออกมาเพื่อตั้งกองกำลังลับในการทำภารกิจครั้งใหญ่ของกรม อาคารเป็นเพียงตึกสูงสี่ชั้นธรรมดาไม่หรูหราเหมือนสำนักงานใหญ่ในตัวเมือง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสถานที่ทำงานกับแน่นแฟ้นเสียยิ่งกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน มิตรภาพกับคำว่าเพื่อนของทุกคนที่นี่มีมากกว่าการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เพราะทุกคนทำงานกันเป็นทีมผลงานถึงได้ออกมาดีและเป็นที่น่าพอใจเข้าตาผู้บังคับบัญชา พวกเขาทั้งหมดสามสิบกว่าชีวิตจึงได้รับเลือกให้มาปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้
โดยหน่วยงานลับนี้มีชื่อว่า "dragoon" เป็นการปราบปรามโดยใช้กำลังทหาร และหัวหน้าผู้รับผิดชอบงานนี้คือ..ผู้กองเฟรนด์ ซึ่งทุกคนเห็นด้วยที่เขาได้รับตำแหน่งนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง หน่วยงานลับนี้ก่อตั้งขึ้นมาแล้วประมาณสามเดือนก่อนหน้าที่พวกเขาจะได้รับภารกิจ แต่ข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ถือว่ามีมากพอสมควรในระดับหนึ่งของการเริ่มต้น แล้วในวันนี้เองพวกเขาได้เข้าร่วมประชุมกันอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปหาข้อมูลเพิ่มเติมของแต่ละส่วนมา เพื่อแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์เพื่อหาตัวการใหญ่ของเรื่องนี้
"ผู้กองครับ ทีมของผมเมื่อวันก่อนได้ข้อมูลการค้ายาจากสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ มาว่าตอนนี้พวกมันกำลังผลิตสินค้าล็อตใหญ่ เพื่อส่งข้ามชายแดนตอนสิ้นเดือนนี้ครับ" ดาบสิน นายตำรวจวัยสามสิบต้นๆ คนสนิทมือขวาของผู้กองเฟรนด์บอกความคืบหน้าในส่วนของเขาให้เจ้านายรับทราบ
"ส่วนทีมผมได้สถานที่ส่งยาจากอีกพวกหนึ่งครับเป็นกลุ่มเล็กของมันอีกที เที่ยงคืนของวันนี้ที่ท่าเรือจังหวัดระยองครับ" ดาบเคียง นายตำรวจอีกคนหนึ่งที่สนิทกับผู้กองเฟรนด์มากพอๆ กับดาบสิน เขาไม่รอช้าที่จะรายงานความคืบหน้าในงานส่วนของเขาให้เจ้านายได้รับทราบบ้าง
"ขอบคุณดาบทั้งสองคนมากครับ เรื่องของดาบสินเอาไว้เราจะวางแผนไปทลายพวกมันอีกทีเมื่อมีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ตอนนี้เรามาวางแผนเรื่องของดาบเคียงกันก่อนดีกว่าครับ เนื่องจากว่างานครั้งนี้เราต้องไปถึงต่างจังหวัด ผมคิดว่าเราควรจะติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในท้องที่นั้นก่อน เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินพวกเขาจะได้ช่วยเหลือเราทันเวลา ผมจะติดต่อกับเพื่อนผมที่นู่นให้เตรียมพร้อมสำหรับทุกคนนะครับไม่ต้องเป็นห่วง ดาบเคียงครับ..ผมรบกวนให้ทีมของคุณคอยติดตามพวกมันตั้งแต่ตอนนี้แล้วรายงานให้ผมทราบเป็นระยะนะครับ"
"รับทราบ" ดาบเคียงกับทีมของเขาอีกสองคนลุกขึ้นยืนตัวตรงและรับทราบภารกิจที่ได้มอบหมายก่อนจะโค้งคำนับให้ผู้เป็นนาย ซึ่งพวกเขาเองก็ได้รับการโค้งคำนับจากผู้กองเฟรนด์ด้วยเช่นกัน จากนั้นพวกเขาจึงขอตัวออกไปทำตามหน้าที่ทันที
"จ่าอุงครับ..ผมจะให้ทีมของคุณคอยประกบทีมดาบเคียงเอาไว้นะครับ เผื่อดาบเคียงต้องการอะไรคุณจะได้ช่วยเขาได้"
"รับทราบ" จ่าอุงพร้อมกับทีมของเขาลุกขึ้นยืนและทำแบบเดียวกับทีมของดาบเคียงแล้วขอตัวไปอีกหนึ่งกลุ่ม
"ส่วนที่เหลือแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองได้เลยครับ ขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาในวันนี้ครับ" ผู้กองเฟรนด์บอกจบการประชุม และไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมาทุกคนแยกย้ายหายออกจากห้องไปกันจนหมด เหลือเพียงแต่เขาและดาบสินเท่านั้น เขานั้นรู้ดีว่าดาบสินต้องการจะพูดอะไรกับเขา เขาจึงพูดขึ้นดักคอลูกน้องของตนไว้ก่อน
"งานนี้ดาบสินผักผ่อนก่อนเถอะครับ เก็บแรงไว้ซัดกับตัวการใหญ่กับผมดีกว่า ถึงตอนนั้นผมจะไม่ห้ามคุณเลย" ผู้กองเฟรนด์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ใบหน้าของเขานั้นยิ้มแสดงออกถึงความจริงใจ ไม่ใช่เพราะกีดกันความก้าวหน้าทางหน้าที่ดารงานของลูกน้องหรืออะไรแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสุขภาพของดาบสินเองที่ช่วงหลังมานี้เขาสังเกตเห็นอาการป่วยที่เจ้าตัวพยายามเก็บซ้อนไว้ไม่ให้เขารู้นั้นกำเริบหนักขึ้นจนเขาเป็นห่วง เนื่องจากตัวเขาเองนับถือดาบสินเหมือนเป็นพี่ชายและบางสถานการณ์ลูกน้องของเขาคนนี้เปรียบเสมือนพ่อ เป็นคนในครอบครัวของเขา ไม่แปลกอะไรที่เขาจะเป็นห่วงโดยการแสดงออกในแบบฉบับของเขา ซึ่งเรื่องนี้ดาบสินเข้าใจในตัวเขาดี
"ผู้กองนี้รู้ทันผมอีกแล้วนะครับ ฮะๆ ผมไม่เชื่อผู้กองแล้วจะไปเชื่อใครได้ล่ะครับจริงไหม? โชคดีนะครับผู้กองผมจะรอฟังข่าวดี แล้วเรามาแลกเรื่องดีๆ กันนะครับ" ดาบสินอยากจะดื้อค้านหัวชนฝากับเจ้านายของเขาอยู่เหมือนกัน แต่เพราะมันไม่เคยสำเร็จสักครั้งเดียวเขาจึงไม่คิดจะทำแบบนั้นอีก เขาตอบรับคำปฏิเสธของผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้มที่จริงใจเช่นเดียวกัน ทั้งสองกอดกันเหมือนเช่นทุกครั้งที่ไม่ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ด้วยกันเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกันก่อนที่โทโมะนั้นจะเป็นคนเดินออกจากห้องก่อน
"กลาส..พร้อมไหม" กล้า ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีถามเรียกความสนใจจากน้องสาว หมายจะให้เธอพักสมองจากความคิดบ้าง แต่ดูเหมือนยิ่งจะทำให้เธอจมลงลึกเข้าไปอีก ด้วยสีหน้าและแววตาของเธอบ่งบอกความรู้สึกของเธอได้ดี
"อืม" เธอตอบรับพี่ชายไปสั้นๆ ในขณะที่ดวงตากลมเหม่อลอยมองออกไปนอกรถชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้กลับมามองมันอีก ในใจเธอคิดแบบนั้นอยู่ตลอดเวลาและทุกครั้งที่เธอต้องทำงานให้กับคนที่เกือบจะฆ่าเธอตายทั้งเป็น
รถกระบะสี่ประตูเคลื่อนตัวมาเรื่อยๆ ตามทางลัดหลบเลี่ยงด่านตรวจของตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของท้องที่ เพื่อให้สินค้าที่อยู่ใต้เบาะนั่งของรถนั้นไปถึงยังที่หมายโดยปลอดภัย และในอีกยี่สิบนาทีต่อมารถมาจอดอยู่ที่หน้าทางเข้าท่าเรือ ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างกำยำสองคนที่ติดรถมาด้วยใช้สายตาและท่าทางสั่งเชิงบังคับให้สองพี่น้องกล้าและแก้วลงจากรถ โดยไม่ลืมที่จะส่งของให้กับทั้งสองคนด้วย
"อย่าให้พลาดนะมึง!" ชายหนุ่มคนหนึ่งผิวคล้ำค่อนข้างแดงบอกกับสองพี่น้องก่อนจะหันไปพยักเพยิดหน้าบอกเพื่อนอีกคนหนึ่งให้ออกรถไปยังที่ซ่อนตัวห่างจากจุดนัดพบไปอีกหลายเมตร
"ไปกันเถอะ" กล้าหยิบของในมือของน้องสาวมาถือไว้เองแล้วจูงมือเธอให้เดินตามตนไป
เรือหลายชนิดหลายขนาดมากมายจอดเรียงรายอยู่ตรงท่าเทียบเรือ ละลานตาจนสองพี่น้องเดินไปไหนแทบไม่ถูก และด้วยความมืดยิ่งทำให้พวกเขามองไม่ค่อยเห็นอะไรมากนัก อีกทั้งยังพวกซื้อยาที่นัดบอกเพียงแต่เป็นท่าเรือแห่งนี้แต่ไม่ได้บอกจุดที่แน่นอน ทำให้การทำงานครั้งนี้ยากมากขึ้นไปอีก และในขณะที่ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เสียงมีอำนาจ ดุดันและทรงพลังจนทั้งสองรับรู้ได้ว่าบุคคลนั้นเป็นใครโดยไม่ต้องรอฟังคำต่อไปได้เลย
"หยุด!! ยกมือขึ้น" ผู้กองเฟรนด์ร้องบอกสองพี่น้องและขยับเคลื่อนตนเองเข้าไปใกล้พวกเขาช้าๆ
"อย่าขยับไม่อย่างนั้นฉันยิงพวกแกแน่" เป็นเสียงของเขาอีกครั้งที่ร้องขู่ผู้ต้องหาเมื่อทั้งสองพยายามจะวิ่งหนี
"คุณตำรวจครับจับพวกเราทำไมครับพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ" กล้าแก้ตัวพัลวัน เขารนรานเสียยิ่งกว่าตอนจะถูฆ่าตายเมื่อหลายปีก่อนเสียอีก ผิดกับน้องสาวของเขาที่ยืนนิ่งไม่ขัดขืนใดๆ เธอแทบจะยื่นมือไปให้เจ้าหน้าที่คล้องกุญแจเลยด้วยซ้ำ
"ยังจะปากแข็งอีก แล้วนี่อะไรฮะ!!" โทโมะตะโกนลั่นใส่หน้ากล้าผู้ต้องหาของเขาในวันนี้อย่างลืมตัว หลัักฐานต่ำตาจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้แล้วเขายังมีหน้ามาปฏิเสธความผิดอีก
"ไม่ใช่นะครับไม่ใช่ของผมผมไม่รู้เรื่อง" กล้าส่ายหัวและบอกปัดความผิด พร้อมกับพยายามพาตนเองให้หลุดออกจากการจับกุม
"เอาตัวไปที่เซฟเฮ้าส์ของเราก่อน" โทโมะเห็นความนิ่งของหญิงสาวข้างกายแล้วเหมือนเขาคิดอะไรได้บางอย่างจึงออกคำสั่งไปแบบนั้น แทนที่จะพาตัวผู้ต้องหาไปมอบตัว
***ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงเหตุการณ์สมมติ ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด
รีดเดอร์ทั้งหลายสามารถอ่านและจิ้นตามกันไปกับเนื้อเรื่องได้ แต่อย่าคิดจริงจังนะเจ้าค่ะ
ชอบฟิคชั่นเรื่องนี้ กดโหวต ไลค์ แชร์กันได้ตามใจเลยจร้า
แต่อย่าอ่านแล้วกดออกไปโดยไม่เม้นให้กันนะเจ้าค่ะ
ไรเตอร์จะตามไปหลอนถึงบ้านเลยเจ้าค่าาา***
ปล.แนะนำ ติ ชมกันได้เต็มที่เลยจร้า ติ! น่ะจ่ะ ไม่ใช่ด่า คริคริ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ