valued friend เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักกัน
เขียนโดย Milkcake
วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.25 น.
แก้ไขเมื่อ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 21.57 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
6) นายพ่อมด/ยัยแม่มด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 6 แล้วค่า~ มาอัพตามคำเรียกร้อง(รึป่าว) แต่ก็ชั่งเถอะค่ะขอให้มีคนอ่านก็พอ อิอิ
ตอนนี้เหมือนจะเป็นตอนของ TK อีกแล้วนะคะ ย้อนไปในอดีตหน่อย งั้นก็ไปอ่านเล้ย
“ฮือๆๆ.. อึก.. ฮือๆ พะ.. ฮือ. .พ่อค่ะ ฮือ” เสียงเด็กหญิงสาวนั่งกอดเข้าร้องไห้พูดกับตัวเองออกมาแทบจะไม่เป็นคำนํ้าตาที่เอ่อหล้นออกมาจากดวงตาคู่สวยนั้น เธอนั่งอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ขนาดใหญ่แถวชายทะเล หลังจากที่เธอฟื้นและได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแต่กลับพ่อของเธอนั้นหมอยังไม่อนุมัติให้ออกเพราะต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด เธอไม่รู้สาเหตุว่าพ่อของเธอเป็นอะไรแต่เธอรู้แค่เพียงว่าเธอคิดเพียงว่าเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายต่างๆ จากที่ครอบครัวของเธอวางแผนกันมาพักร้อนกลับต้องพังเพราะเธอ เธอทำให้แม่ของเธอแอบไปร้องไห้และเป็นลมไปหลายครั้ง หนำซ้ำยังทำให้พ่อของเธอต้องเข้าโรงพยาบาลนอนแน่นิ่งมาสามวันยังไปฟื้นเลย ทั้งหมดนี่เธอคิดว่าเป็นความผิดเธอเพียงผู้เดียว
Tulip Talk~
“เธอ .. ร้องไห้ทำไมหรอ” เสียงของใครบางคนดังขึ้น ฉันได้แค่เงยหน้าขึ้นมาทั้งนํ้าตาคู่กับดวงตาบวมบูดจมูกแดงหลังจากการร้องไห้
“เฮ้~ ฉันแค่ถามเฉยๆน่ะ ไม่ต้องทำหน้าจะร้องไห้อย่างนั้นก็ได้ขอโทษแล้วกันนะที่มากวน” เด็กผู้ชายคนนั้นทำท่าทางตกใจมากเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นแล้วพร้อมจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
หมับ พรึบ
ฉันคว้าตัวเค้าเข้าไปสวมกอดเป็นจังหวะที่เด็กคนนั้นกำลังจะเดินหันหลังกลับทำให้เราสองคนเสียหลักไปนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทรายนุ่มขาวราวกับสำลี ในท่าที่ฉันนอนกอดคอนอนทับเขาอยู่ หน้าได้ซุกอยู่ที่บริเวณไหล่ของเค้า
เขาที่นอนรับนํ้าหนักของฉันอยู่ได้แค่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เพราะตอนนี้เค้าอยากจะปล่อยให้ฉันนอนร้องไห้ต่อไปจนกว่าจะพอใจ มือของเค้าที่วางอยู่ข้างลำตัวได้ยกขึ้นมากอดและตบหลังฉันเบาๆอย่างปลอบโยน
“ร้องออกมาเถอะนะ ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นอะไร แต่ถ้าการร้องไห้ออกมามันจะช่วยให้ดีขึ้นก็ร้องออกมาเหอะ”
เด็กผู้ชายคนนี้เป็นใคร .... ฉันไม่รู้
เด็กผู้ชายคนนี้เค้ามายังไง....ฉันคงคาดการณ์ไม่ได้
แต่เค้ากลับมาปรากฏตัวตรงหน้าฉันในเวลาที่ฉันเจ็บที่สุด พร้อมกับอ้อมกอดที่อบอุ่นเช่นนี้ ฉันจะจดจำอ้อมกอดนี้แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักผู้ทีมอบความอ่อนโยนและอบอุ่นนี้ให้ก็ตาม
“อ่ะนี่ ..” วัตถุสีขาวใสสองชิ้นมีรูปร่างเป็นเสี้ยวที่ประกอบกันแล้วกลายเป็นรูปหัวใจอยู่บนฝ่ามือของเด็กชายถูกยื่นมาให้ฉัน ฉันได้แต่มองวัตถุสองสิ่งสลับกับใบหน้าอย่างเขาอย่างงงๆ หลังจากที่ฉันนอนกอดเค้าร้องไห้อยู่นานแสนนานซึ่งทำให้เสื้อของเค้าเต็มไปด้วยคราบนํ้าตา
“เธอเอาเสี้ยวอีกครึ่งหนึ่งไปแล้วกัน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งฉันจะเก็บไว้” ฉันได้แต่ยื่นมือไปรับสิ่งที่เค้ายื่นให้มาอย่างไม่เข้าใจ
“มันเรืองแสงในตอนกลางคืนด้วยนะ สวยใช่มั๊ยล่ะ มันอาจจะไม่มีค่าอะไรมากมาย แต่ก็เก็บไว้เป็นความทรงจำแล้วกันนะฉันกับเธออาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้ ถือว่านี่เป็นหลักฐานแล้วกันเมื่อเราเจอกันอีกครั้ง มันจะคอยอยู่ดูแลและคุ้มครองเธอ ถ้าไปไว้ใต้หมอนก็จะทำให้ฝันดีด้วยแหละ” จะบอกยังไงดีล่ะมันสวยมากจริงๆ แต่ฉันก็อดขำไม่ได้นะ บุคลิกนิ่งๆแบบนี้จะทำอะไรน่ารักๆแบบนี้ด้วย
“ใครบอกว่าไม่มีค่าล่ะ มันมีค่าสุดๆสำหรับฉันเลยต่างหาก ^^ ” ฉันฉักยิ้มหวานออกมาให้เข้าอย่างเป็นมิตร ทำให้เขาส่ายหน้าน้อยๆแล้วยิ้มออกมา
“ทำไมถึงมีค่าล่ะ”
“ก็เพราะมันทำให้ฉันได้เจอนายไง นายพ่อมด ^^” ฉันตอบคำถามเค้าออกมาอย่างร่าเริง
จุ๊บ
ฉันจุ๊บที่ปากเค้าในเวลารวดเร็วจนเจ้าตัวถึงกับอึ้งและพูดไปออกถึงมันจะเป็นเพียงการแตะเพียงเฉียดของริมฝีปากระหว่างเราสองคน แต่มันกับทำให้สิ่งมีชีวิตในร่างกายฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งเด็กน้อยอย่างฉันก็ยังไม่มีวันเข้าใจ
“ขอบคุณนะ ^^ ” ฉัน
“ทำไมอยู่ดีๆถึงทำแบบนี้ล่ะ O_O” หลังจากสติเค้าหลุดลอยแต่ยังคงเก็บไว้ไม่หมดพูดออกมาอย่างอำๆอึ้งๆ
“ทำไมล่ะ ฉันเห็นคุณพ่อกับคุณแม่ทำแบบนี้ออกจะบ่อย ถึงจะไม่เข้าใจก็เหอะนะ” ฉันพูดทั้งนึกภาพคุณพ่อคุณแม่ทำแบบนี้กันทุกเช้าและท่านทั้งสองก็จะมาจุ๊บแก้มฉันมันเป็นภาพที่น่ารักมากถึงฉันจะไม่รู้ความหมายก็เหอะนะ
“เธอนี่นะ ทำแบบนี้ทั้งที่ยังไม่รู้ความหมายแถมยังเด็กอยู่แท้ๆ ขี้โกงมากเลย” เค้าทำเสียงอิดออดกับคำสุกท้ายและส่ายหน้าเหมือนผิดหวังอยู่นิดๆ
“พูดยังกับตัวเองไม่เด็กอย่างนั้นแหละ แบร่ :P ” ฉันแลบลิ้นเหมือนเด็กน้อยล้อกลับพูดอย่างกับตัวเป็นผู้ใหญ่ตัวก็เด็กเหมือนกันแหละแค่สูกว่าเค้าไม่กี่เซนเอง
“ถึงตัวจะเด็กแต่ความคิดฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ไม่เหมือนเธอหรอกแค่นั้นก็ไม่รู้ความหมาย” เขาเบื้อนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจฉัน ชิส์
หมับ
ฉันจับหน้าที่เบื้อนหนีให้หันกลับมาจองที่ดวงตาฉัน
“งั้นถ้าโตขึ้นนายก็ช่วยมาบอกความหมายฉันด้วยแล้วกันนะ” เค้ามองตาฉันนิ่งก่อนที่จะเอามือมายิกแก้มทั้งสองข้างของฉันอย่างมีความสุข
“เธอนี่นะ ^^ จะบอกอะไรให้นะฉันไม่แค่จะบอกความหมายหรอกแต่ฉันจะกระทำเลยแหละ ยัยแม่มด!” บุคลิกนิ่งๆกลับแปรผันเป็นเจ้าเล่ห์อย่างทันตาเลยผู้ชายแบบนี้น่ากลัวแหะ แต่ฉันอยากรู้ความหมายเร็วๆจังฉันอยากรู้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องถามใคร เมื่อไหร่จะโตน้า .. แล้วฉันจะยังได้เจอพ่อมดเงียบขรึมแอบเจ้าเล่ห์ผู้นี้อีกรึป่าว
“เฮ้ย! ทิวเร็วๆหน่อยสิวะ ชักช้าหน่า นี่ฉันอุส่าห์รีบมารับแกก่อนไอ้ริคมันนะ ถ้าแกช้าอยู่อย่างนี้เดี๋ยวมันก็มาก่อนหรอกฉันไม่ยอมนะโว้ย” เสียงไอ้พี่ญาติตัวแสบที่มีนามว่าเอิร์ทขวัญใจสาวๆ หล่อ น่ารัก สุภาพบุรุษ แหวะ! อยากอ้วกทุกคำที่พ่นออกมาก็เพราะว่าจริงๆแล้วตรงข้ามหมดนะสิ ต่อหน้าสาวๆนะก็เป็นอย่างที่พูดเมื่อกี้แต่ต่อหน้าญาติพี่น้องเพื่อนและตัวฉันกลับเป็นตรงกันข้ามหมด เฮ้อ! ผู้ชายนี่น่ากลัวชะมัดเลยอย่างนาริคนี่หล่อขรึมแต่ต่อหน้าฉันเค้ามักเจ้าเล่ห์เสมอ
“ไม่ทันแล้วมั้งครับคุณพี่” เสียงของใครบ้างคนได้สวนขึ้น หน้าหล่อๆค่อยๆปรากฏตัวให้ฉันกับพี่เอิร์ทได้เป็นอย่างตาค้าง
“เพราะผมอยู่ที่นี่ทั้งคืน” นาริคพูดพร้อมกระตุกยิ้มที่มุมปากด้วยความเหนือกว่า หน้าตาร้ายกาจมาก!
“แกหมายความว่ายังไง ไอ้ริคมันค้างอยู่กับแกหรอ o_O” พี่เอิร์มเหลือกตาโตด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่แค่นอนค้างนะ แต่นอนด้วยกันเลยแหละ ^^” นาริคตอบแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เฮ้! นี่เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ถึงได้โกหกแบบนี้
“นอนด้วยกัน OoO” ไอ้พี่นี้ก็บ้าเชื่อเขาแหะ เอากันเข้าไป!
“ช่ายๆ ตัวทิวลิปทั้งนิ่มทั้งหอมแหละ ^^” นาริคไม่เพียงเพ้อเจออย่างเดียวเขายังเดินมาข้างฉันแล้วโอบเอวเหมือนของรักของหวง จมูกก้มลงมาฟุตฟิตๆแถวซอกคอ ฮึ่ย! จักกี๋
“พอได้แล้วน่าริค เลิกเพ้อเจอซักที” ฉันดันหน้าเค้าออกเพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายของหัวใจที่เต้นดังอย่างไม่เป็นจังหวะอย่างนี้
“เพ้อเจ้อ!? =[ ]= ” เอิร์ท
“เฮ้อพี่อย่าบอกนะว่าพี่เชื่อเค้า - -*”ฉันได้แต่พูดออกไปด้วยสีหน้าที่เอือมระอา นี่เค้าเห็นฉันเป็นคนแบบไหนแน่ คิดว่าฉันจะริอาจนอนกับชายงั้นรึ!
“พี่ว่าแล้ว น้องพี่ไม่ใช่คนแบบนั้น” พี่เอิร์มพูดออกมาได้น่าตาที่มุ่งมั่นและภูมิใจ เหอะ! แน่ใจหรอว่าคิดแบบนี้ตั้งแต่แรก
“นี่แล้วเมื่อไหร่ทิวจะได้ไปเรียนเนี่ย”
“งั้นก็ไปรถฉัน/งั้นไปรถพี่” น่ะเอาแล้วไงแล้วฉันจะได้ไปโรงเรียนตอนไหนเนี่ย เฮ้อ!
Stamp Talk~
“วันนี้ไม่ต้องไปคอนโดทราสน์นะคะ เลยไปโรงเรียนเลย” ฉันบอกคุณลุงคนขับรถที่มีหน้าที่ไปส่งฉันที่คอนโดทราสน์อยู่ทุกวัน และก็เคยเอ่ยคำแรกออกไปทำให้คุณลุงต้องหันกลับมา
“อ้าวทำไมล่ะครับคุณหนูปกติก็ไปทุกวันหนิครับ” คุณลุงถามข้อสงสัยออกมา ก็ใช่น่ะสิฉันไปหาทราน์ทุกวันแทบจะไปมีวันไหนเลยที่ไม่ไปวันหยุดก็ไป ไปทำอะไรน่ะหรอ ไปนั่งเล่นดูทีวีกินแอร์เขาไปวันๆมั้ง หรือถ้าวันไหนฉันไม่ไปทราสน์ก็จะมาหาฉันที่บ้านมันก็แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่เราจะไม่ได้เจอกัน แต่วันนี้ฉันขอพูดคำว่า ไม่ไป!
“หรือว่าทะเลาะกันครับ ก็เป็นอย่างนี้แหละครับวัยหนุ่มสาวอาจมีผิดใจกันบ้าง ลุงคิดว่าใจเย็นและค่อยใช้เหตุผลพูดกันนะครับ คุณทราสน์อาจจะเป็นคนที่เราเข้าใจยากหน่อย แต่ผมเชื่อว่าคุณหนูจะปรับตัวเข้าหาได้อย่างแน่นอนครับ”
“ทำไมลุงพูดเหมือนหนูกับทราสน์เป็นแฟนกันล่ะคะ” สิ่งที่ฉันพูดออกไปได้ทำให้รอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนรอยหน้าของคุณลุง เฮ้ๆๆ นี่เค้าคิดอะไรเนี่ย
“ป่าวครับลุงไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” ปากก็บอกว่าไม่ได้คิด แต่ยิ้มเนี้ยไม่หุบเลยนะคะคุณลุง
“ชั่งมันเถอะค่ะเอาเป็นว่าแตมป์ยังไม่อยากไปหาคนเอาแต่ใจตอนนี่” ฉันนั่งกอดอกอย่างหนักแน่นเพื่อให้คุณลุงแน่ใจว่าฉันจะไม่ไปจริงๆ
“โอเคครับ เดี๋ยวลุงจะขับไปส่งที่โรงเรียนเลย” เมื่อคุณลุงเห็นความแน่วแน่ของฉันเค้าก็ได้ขับเครื่อนรถออกจากตัวบ้านทันที
“เฮ้อ .. ” ฉันนั่งเท้าคางมองออกไปนอกกระจกรถ
ไม่ไปหาแหละดีแล้วคนอะไรเอาแต่ใจที่สุด เมื่อวานฉันขึ้นไปหาเสื้อผ้าให้พิชไปกี่นาทีเองพอลงมากลับเจอแต่ทราสาน์ที่นั่งไขว่ห้างขาสั่นนิ้วดิกๆอยู่ พอถามว่าเห็นพิชมั๊ย มันก็บอกว่าคลานกลับบ้านแล้ว สองคนนี้ต้องรู้จักกันแน่ๆไม่งั้นก็คงจะไม่ทำสีหน้าหงุดหงิดตลอดเวลาแล้วก็ค่อยแต่พูดไม่ใช่สิขู่มากกว่าว่าไม่ให้ไปยุ่งกับพิช อะไรเนี่ยเค้าเป็นพ่อฉันรึไงถึงได้มาสั่งให้ฉันไม่ต้องคบคนนั้นทีคนนู้ที พิชเค้าก็ไม่ใช่คนอันตรายซักหน่อยแล้วก็ชอบพูดสอดเสียดฉันตลอดเลย แค่ตอนกินข้าวเมื่อวานยังกินไม่ลงดีนะที่แม่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยไม่งั้นฝ่าพระบาทจะยัดเข้าปากไอ้ทราสน์แทนข้าวแน่ แต่ยังไงก็คงจะหนีมันไม่พ้นเหมือนเดิม ทำไมน่ะหรอก็วันนี้เป็นวันนัดสังสรรค์ของครอบครัวฉันและทราสน์ไงล่ะ เฮ้อหนีไม่พ้นหน้ามันจริงๆ
“กรี๊ด !!” เสียงกรี๊ดของยัยพายแผ่ซ้านไปท่วมห้อง ไอ้เพื่อนผู้ชายที่นั่งหมุนบาสเล่นต้องสะดุ้งด้วยเสียงแปดปรอทของพายจนทำลูกบาสตกหน้าต่างไป พวกกลุ่มยัยหวายที่พากันแต่งเติมรสชาติให้สีหน้าให้มีรสจัดถึงกับต้องเผอปาดลิปสติกสีแดงแป๊ดตกขอบปากจนเลอะใบหน้า ยัยหวายหันมาขวางตาใส่พายแต่ยัยนี้ก็ไม่รู้สึกเลยสักนิด พอหันมาเห็นหน้าชัดๆแล้ว ฮ่ะๆๆ ขำชะมัด เหมือนยักษ์ขมูขีเล้ย
“อะไรของแกเนี่ย วันนี้กินนกหวีดเป็นอาหารเช้ารึไง” ฉันพูดออกไปด้วยท่าทางที่เหนื่อยหน่าย
ปึ่ง
“แก ฮือๆๆ อกจะแตกสลาย” ยัยผายร้องคร่ำครวญ วางแผ่นกระดาษลงโต๊ะฉันซะเสียงดังเลย กระดาษแผ่นนี้ฉันมองผ่านตอนเข้ามาในโรงเรียนแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก มันถูกติดอยู่แถวๆบริเวณบอร์ดข่าวสารไร้สาระของโรงเรียนจะไม่ให้ไร้สาระได้ไงล่ะ มันไม่ใช่ข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโรงเรียนหรอกแต่มันเป็นข่าวพวกคนดังๆตัวเด่นๆในโรงเรียนน่ะสิ จะไปไหนทำอะไรรายงานหมดใครเป็นหรือจะอะไรก็ชั่งมันก็ไร้สาระอยู่ดีเพราะพวกกลุ่มไอ้ทราสน์ก็ถูกมักติดเป็นประจำ ฉันมองลงไปดังภาพที่ปรากฏในกระดาษแผ่นนั้นมันเป็นรูปจริงหรือมุมกล้องก็บอกไปถูก สองบุคคลในภาพนี้คงจะโดนแอบถ่ายในรถ เมื่อฉันมองดูรูปอีกทีแนก็พอจะรู้ว่าบุคคลในภาพเป็นใคร
“นาริคหนิ แล้วผู้หญิงคนนี้ เออ .. ทา ..ทา ” ฉันมั้นใจแน่นอน่าคนในภาพคือนาริคอีกคนจำชื่อไม่ได้อ่า
“ทิวลิปย่ะ ไม่ไช่ทาทายัง - - * ”พายช่วยตอบชื่อคลายความสงสัยฉัน แล้วแกจะมาให้ฉันดูทำไมเนี่ย
“อืมแล้วไง” ฉัน
“แล้วไงหรอแกไมเข้าใจฉันหรอกฮือๆ แกดูนี่สิภาพมันชั่งบาดตาบาดใจเหลือเกิด ยังกะจะจูบกันแหนะยังนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นแฟนกัน อกจะแตกยิ่งไม่มีอยู่ T^T ”
“เฮ้อแกนี่น้า เลิกคร่ำครวญได้แล้วก่อนที่แกจะโดนยัดลิปสติกสีแดงสดเข้าปากแก” ฉันพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงให้พายรู้ว่าหวายกำลังมองตาเขม็งแกอยู่ถ้าแกไม่หุบปาก
“ไอ้หวายนี่น่ากลัวเนอะ” พายเปลี่ยนจากโหมดคร่ำครวญมาเป็นโหมดกลัวหัวหดหลบอยู่หลังฉัน - -*
Tulip Talk~
เฮ้อตอนนี้ฉันได้แต่นั่งฟุบโต๊ะทำเป็นหลับเพราะไม่อยากตอบคำถามใคร ใครมันถ่ายวะฉันอยากจะรู้จริงๆแม่จะจับมาเชือดแล้วหั่นจิ้มซอสซีฟู้ดซะเลยกำลังเปรี้ยวปากอยู่พอดี - -* ลืมบอกไปเลยว่าฉันมาโรงเรียนได้ยังไง คำตอบสุดท้ายคือ .. คือ ‘รถเมย์’ - -“ ก็ไอ้สองคนนั้นมันมั่วแต่ยืนทะเลาะกันว่าให้ฉันนั่งรถเค้า ฉันเลยแอบเพ่นมาก่อน พอมาถึงโรงเรียนก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากสายตาที่แต่ละคนมองมามันแฝงไปด้วยหลายความหมายแต่พวกเค้าก็ไม่ได้มาต่อต้านอะไร ข่าวแพร่สะพรั่งไปทั่วแม้กระทั่งโรงเรียนที่นาริคอยู่ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนดังแล้ว ดังจนกลบรัสมีไอ้พี่เอิร์ทเลย
“ทิวลิปแกเนี่ยน้าฉันล่ะอิจฉาแกจริงๆเลย ได้แฟนหล่อๆขนาดนี้แถมไม่ธรรมดาด้วย” มีนเพื่อนของฉันพูดขึ้นด้วยท่าทางเพ้อฝันมือทั้งสองข้างกุมกัน
“ไม่ธรรมดายังไง?”
“เฮ้อแกเนี่ย นาริคเค้าสนใจผู้หญิงที่ไหน แกควรจะดีใจนะที่เค้าเลือกผู้หญิงแบบแก”
“ผู้หญิงแบบฉันทำไมฮะ” ยัยมีนแกเริ่มจะพูดจากวนประสาทแล้วนะ
“ก็ผู้หญิงแบบแกสวยซะเปล่าแต่ไม่มีความเป็นกุลสตรีเล้ย”
“ก็ฉันเป็นของฉันแบบนี้ แกจะให้ฉันทำเป็นแอ๊บแบ๊วสตอเหมือนยัยพวกนั้นน่ะนะ” ฉันชี้ไปยังรุ่นน้องที่ตอนนี้หื่นเต็มที่ทำปากจู๋พร้อมจะจูบรูปนาริคที่ติดอยู่เต็มบอร์ด
“เฮ้ย! ฉันก็ไม่ได้ให้แกทำกระหรี่ขนาดยัยพวกนั้น”
“จะยังไงก็ชั่ง ชั่งมันเหอะเพราะตอนนี้ฉันต้องนอนแล้วล่ะยัยพวกนั้นกำลังยกโขยงกู่มาหาฉันแล้ว ต้องมาเซาะถามแน่แกช่วยกันไว้ด้วยบอกว่าฉันไม่สบาย เป็นไม่เกรน มะเร็งในปอด กำลังสำรอกคราบ หรืออะไรก็ได้” ฉันพูดจบก็ฟุบโต๊ะทันที เฮ้อตอนนี้ทุกคนก็รับรู้แล้วสินะว่าฉันกับนาริคคบกับอยู่ แต่สิ่งที่ฉันยังไม่รู้ตอนนี้คือความรู้สึกของตัวเองเค้ามีความสำคัญยังไงกับฉันนะ แล้วเค้าล่ะรู้สึกยังไงกับฉันกันนะ
-------------------------------------------
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ ปกติอัพทุกวันแต่ตอนต่อไปขออีก 3 วันค่อยอัพนะคะ คือพอดีว่างานเยอะมากต้องมานั่งแปลอังกฤษแล้วก็อ่านหนังสือสอบด้วย วันพุธนะคะจะมาอัพแน่นอน
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ