i'm not&you don't [Yaoi NC18+] END หนังสือถามได้คะ

9.2

เขียนโดย Pierre

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 02.28 น.

  49 chapter
  69 วิจารณ์
  260.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559 22.56 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

28) 24 - Space between us

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

24 - Space between us

 

ผมตัดสินใจกลับไปหามะม๊าและปะป๊าในวันต่อมา บ้านหลังเดิมที่อบอุ่น ครอบครัวผมไม่ได้รวย แต่ก็ไม่ได้จน อย่างที่เคยบอกไป ขอแค่ไม่มีหนี้พวกเราก็สุขใจแล้วครับ

 

“สุดสวยยยยยยยยยย” ผมทิ้งกระเป๋า วิ่งโร่เข้าหาคุณแม่สุดที่รัก ดูม๊าผมตกใจมากที่จู่ๆผมก็โผล่มาแบบไม่บอกล่วงหน้า

“สุดหล่ออออออออออ” นี้ถ้าเป็นภาพสโลว์ ก็คงเหมือนนางเอกกับพระเอกพลัดพรากจากกันมาเป็น10ๆปีแหละครับ ฮ่าๆๆๆๆ เรา2แม่ลูกสวมกอดกันให้หายคิดถึง “จะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน?”

“จะมาเซอไพรซ์ไงครับ อิอิ”

“จ้า แหมมม มาๆ เข้ามาก่อน กินไรรึยัง หิวอะไรมั้ย?”

“อยากกินไข่เจียวฝีมือม๊าที่สุด”

“ได้เลย สุดสวยจัดให้ เอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะ”

“โอเคคร้าบบบบ”

 

ผมเดินขึ้นชั้น2 ตรงไปยังห้องนอนที่นอนมาตั้งแต่ประถม มันยังเหมือนเดิม มะม๊าผมไม่เคยย้ายที่สิ่งของที่ผมวางไว้ เพราะถ้าย้าย ผมจะโวยวายเพราะหาของไม่เจอ

 

กะว่าจะกลับหอวันเปิดเรียนซึ่งเป็นวันจันทร์ มีเวลาค้างหนึ่งคืน ผมไม่ได้หนีปัญหา แค่อยากมาพึ่งพิงคนที่รักผมมากที่สุดและผมก็รักมากที่สุดเช่นกัน

 

นอนกลิ้งเกลือกให้หายคิดถึงเตียงเน่าๆนี้สักพัก ผมก็ลงไปข้างล่าง กลิ่นข้าวไข่เจียวหอมฉุยมาแต่ไกล นั่นไง มันวางอยู่ตรงหน้าทีวี ที่ประจำผม

 

“สอบเสร็จแล้วเหรอครับคนเก่ง?” มะม๊าถามขณะที่ผมนั่งลงกับเก้าอี้

“เสร็จแล้วคร้าบบบ” พูดจบก็เคี้ยวตุ้ยๆ

 

อื้มมมมม อร่อยที่สุด เค็มๆหวานๆกำลังดี แบบนี้แหละที่ผมชอบ

 

มะม๊าเป็นคนที่น่ารัก ดูได้จากการพูดจากับผม อิอิ อายุก็ปาไป40ปลายๆแต่หน้ายังเด้งสวยเช้ง เพียงแต่หุ่น...เอ่อ ก็เป็นไปตามวัยที่ต้องมีไขมันมาเกาะสะสม แต่นั่นก็เป็นข้อดี เพราะผมชอบกอดหุ่นนิ่มๆท้วมๆแบบนี้

 

“แล้วปะป๊าไปไหนอะม๊า”

“ไปส่งไม้ให้ลูกค้าน่ะ เดี๋ยวเย็นๆคงกลับ” ม๊าตอบ “แล้วจะกลับหอเมื่อไหร่ละครับ?”

“กลับวันอาทิตย์ดึกๆอ่า...ไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับม๊า” ผมทำสายตาเศร้า เขี่ยข้าวในจานไปมา มะม๊าเห็นผมเป็นแบบนั้นเลยลูบหัว

 

อยู่คนเดียวมันเหงาจริงๆนะครับ อุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่แทบไม่มีอะไร ได้แต่เล่นคอม เปิดทีวี ให้เสียงมันดังๆ กลบความเงียบ ทำอะไรก็ต้องทำคนเดียว ซักผ้า ล้างจาน กินข้าว แต่ถ้าถามว่าทำไมผมไม่หารูมเมทล่ะ? คำตอบคือผมไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าน่ะครับ มันไม่คุ้นไม่สนิทใจยังไงก็ไม่รู้ แล้วถ้าให้ไปอยู่กับไอ้ทัช ไอ้เต็ง ผมก็เกรงใจมันอีกแหละ พวกมันคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า

 

“แกรนด์เก่งอยู่แล้วครับ ถ้าเหงาก็โทรหาม๊าบ่อยๆสิ เอ...รึว่าคุยแต่กับสาวๆจนลืมม๊าไปแล้ว?”

“โหยยยยย ไม่มีเลยครับ มีสุดสวยคนเดียวในใจไม่มีใครมาแทนที่ได้”

“คร้าบบบบ แหม ลูกคนนี้ปากหวานจริง...ว่าแต่แกรนด์ยังไม่มีแฟนอีกเหรอ?”

 

สะอึกเลยคำถามนี้

 

“ง่า ไม่มีครับ”

“แน่ใจ๊?”

“ที่สุด”

“แต่ทำไมม๊ารู้สึกเหมือนแกรนด์มีอะไรในใจยังไงก็ไม่รู้” มะม๊าทำท่าครุ่นคิด “อกหักมาเหรอครับ?”

“เง้อออ ไปกันใหญ่แล้วม๊า” ผมรีบโบกมือเป็นพัลวัน

“งั้น...มีคนมาแอบชอบแกรนด์แต่แกรนด์ไม่รู้จะทำยังไงดี?”

“เอ่อ...”

“ใช่มั้ย บอกม๊ามาซะดีๆ”

“เอ่อ คือ ก็ มันไม่ใช่...ทำนองนั้น เอ่อ ยังไงดีละครับ? ผมก็อธิบายไม่ถูก”

 

จะให้บอกคุณแม่บังเกิดเกล้าได้ยังไงว่าผมเสียเอกราชให้กับผู้ชายด้วยกันไปแล้ว แถมยังถูกเอาฟรีเหมือนกะหรี่ข้างทาง ไม่มีสถานะอะไรที่มันเหมาะสมไปมากกว่านี้เลย เหอะๆ คิดแล้วก็สมเพชตัวเอง

 

“จ้า เอาเถอะ ม๊าไม่ถามคาดคั้นไรมากหรอก เอาเป็นว่าม๊าอยากให้แกรนด์คิดทบทวนดูดีๆ ทำตามที่ใจคิด อย่าทำตามที่สมองสั่ง..บางครั้งความรักก็ไม่ได้ต้องการเหตุผลนะจ๊ะสุดหล่อ” แล้วม๊าก็ยิ้มให้ผม นั่นทำให้ผมยิ้มกลับ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ดีแบบนี้

 

แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกมะม๊าหรอกครับว่า ไอ้คนที่ทำให้ผมเป็นแบบเนี้ย มันคือผู้ชาย เพศเดียวกับผม

.

.

 

.

 

 

.

 

ในตอนเย็น ปะป๊ากลับมาแล้ว เรากินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา รู้สึกมีความสุข ครอบครัวและบ้านเป็นที่ที่ปลอดภัย รู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง ไม่เหมือนที่อื่น เพราะยังไงบ้านก็ต้อนรับเราเสมอไม่ว่าเราจะท้อแท้สิ้นหวังหรือกลับมาพร้อมปัญหาบานตะไท

 

“ไปอยู่หอเป็นไงบ้างล่ะ?” ป๊าถาม

“ก็ดีครับป๊า .. แล้วปะป๊ากับมะม๊าละครับ ทำงานเหนื่อยมั้ย?”

“เรื่อยๆแหละ” ก็ยังคงเป็นป๊าที่ตอบ ความจริงคือผมสนิทกับม๊ามากกว่านะ แต่กับป๊านี่ก็ในระดับหนึ่ง เอาเป็นว่าคุยได้ไม่บาดหมางหรือมีข้อขุ่นใจละกัน

“แกรนด์ก็รีบจบแล้วรีบทำงานหาเงินแล้วป๊ากับม๊าสิ”

“โหยย...จะจบรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลยเนี่ยยย” ผมโอดครวญ เรียกเสียงหัวเราะจากป๊ากับม๊าได้

“เออน่ะ รีบๆจบแล้วมาช่วยป๊าได้แล้ว อย่านอกลู่นอกทางละ” ป๊าจะเป็นคนที่จริงจัง และพูดเสียงดังตามประสาคนจีน นั่นคงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยสนิทกับป๊ามากนัก

 

พอกินเสร็จผมก็ล้างจานให้ ม๊าไปปอกผลไม้ ส่วนป๊านั่งดูข่าว เรา3คนนั่งดูละครหลังข่าวจนจบ มีคำถามมาเป็นระลอกๆจากปากผม และเสียงวิจารณ์จากปะป๊า ละครจบป๊ากับม๊าก็ขึ้นไปนอน ส่วนผมนั่งดูหนังต่อ

 

มีสิ่งนึงที่กวนใจผมทั้งวัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ...

ไอโฟนนอนแน่นิ่ง ไม่มีเสียงเตือนจากไลน์หรือโทรเรียกเข้าเลย

 

 

 

 

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมนอนตื่น10โมง อาบน้ำแต่งตัว ลงไปกินข้าว นอนกลิ้งเกลือกเล่นทั้งวัน คุยกับป๊าม๊าบ้าง เนื่องจากวันนี้ป๊าหยุดแต่ม๊ายังคงนั่งเฝ้าแผงหนังสือ ผมไปช่วยขายบ้าง ก็ขายได้เรื่อยๆนะ จนสักเย็นๆม๊าก็ไล่ผมให้ไปเก็บของ เตรียมตัวกลับหอ

 

เห้ออออ ไม่อยากกลับเลยอะ ยิ่งรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปมหาลัยแล้วด้วย

 

“ดูแลตัวเองดีๆนะครับสุดหล่อ”

“คร้าบบบบ”

“มีไรก็โทรหามาไม่ก็กลับมาบ้านเราเลยนะลูก” ม๊ายืนลูบหัวผม

“ตั้งใจเรียนล่ะ” คำลาสั้นๆจากป๊า

 

ผมไหว้ผู้มีพระคุณทั้งคู่ก่อนจะขึ้นแท็กซี่ โบกมือบ๊ายบายจนลัยสายตาไป

.

.

 

.

 

 

.

 

“กูดูอนาคตให้มึงได้นะ” จู่ๆไอ้แทนก็ถามนังส้ม ตอนนี้พวกผมนั่งกันที่ซุ้มรอเรียนตอนบ่ายเหมือนเดิมครับ

“ยังไงวะ” คนถูกถามทำหน้างง

“หลับตาดิ”

“จะแกล้งไรกูปะเนี่ย?” ส้มโอยังคงหวาดระแวง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจไอ้แทน

“ไม่แกล้งๆให้ไอ้แกนเป็นพยานก็ได้” มันพยักเพยิดมาทางผม

 

อ่าวเกี่ยวไรกะกูวะเชี่ยแทน

 

“หลับตาดิ” แล้วส้มโอมันก็หลับตาครับ “เห็นอะไรมั้ย?”

“ไม่เห็นวะ มืดๆ”

“นั่นละอนาคตมึง 55555555+”

“สาดแทนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน อนาคตมึงจะดับก็วันนี้แหละ ตายซะเถอะ!” แล้วคนถูกดูอนาคตให้ก็วิ่งไล่เตะไอ้แทนรอบโต๊ะ “แม่งงง หน้าอย่างกูอนาคตต้องผัวหล่อรวยเท่านั้นโว๊ยยยยย”

 

ประเด็นที่มาในการดูอนาคตของนายแทนนั้นคือคะแนนสอบนั่นเอง ผมเองก็หวั่นๆว่าจะต้องดรอปตัวไหนรึเปล่า

 

“ผมแย่แน่ๆ” ไอ้เมฆนั่งกุมขมับ

“แย่อะไรเหรอเมฆ” กิ๊งถาม

“ผมเพิ่งนึกได้ว่าคำนวณผิดไปข้อนึงอ่า...”

 

โธ่เอ๊ยยยยยยยยยยยย กูคิดผิดแถมกามั่วไปตั้งหลายข้อยังไม่มานั่งกังวลแบบมึงเลยไอ้เมฆ            

 

“มึงจะเอาเกียรตินิยมเร๊อะ?” ไอ้ทัชหันมาทำตาโตใส่

“เปล่าครับ เทอมนี้ผมขอแค่2.5ขึ้นก็ดีใจแล้วครับ”

 

ห่าเมฆ ถ้ามึงได้2.5แล้วพวกกูไม่ต้องเหลือ1เลยเรอะ!?

 

 

เมื่อถึงเวลาเรียนพวกผมก็เข้าไปเรียนตามปกติ ฟังบ้างจดบ้างหลับบ้าง จนเลิกเรียนนั่นแหละไอ้ความง่วงหงาวหาวนอนกลายเป็นความกระตือรือร้น เก็บข้าวของภายใน10วินาที

 

ผมกลับถึงหอประมาณทุ่มกว่าๆเพราะมัวแต่เสียเวลาอยู่กับร้านเกมตั้งนาน ไอ้ทัชมันบังคับผมให้ไปเล่นพร้อมมันครับ เห็นว่าไม่ได้พร้อมกันนานแล้ว แต่นั่นก็เพราะมันอยู่กับทิวาตลอดไม่ใช่รึไง

 

 

เป็นแบบนี้มาตลอด3วันที่ผ่านมา ตื่นสาย ไปเรียน กินข้าวเที่ยง คุยเล่นกับเพื่อน ตกเย็นก็กลับหอ ชีวิตดูราบเรียบจนไม่มีอะไร ต่างกับเมื่อก่อนที่มีใครบางคนคอยลากผมให้ไปโน่นนี่หรือไม่ก็ไปนอนคอนโดมัน

 

ตั้งแต่วันที่ผมออกมาจากคอนโดมันจนถึงวันนี้ผมไม่ได้เห็นหน้ามันมา5วันแล้วครับ ถามว่ารู้สึกอะไรมั้ย?...ก็นิดหน่อยนะ แต่ผมเตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ คนอย่างมันหยุดอยู่กับที่ไม่ได้หรอกครับ ก็เหมือนผมนั่นแหละ

 

“แกรนด์ๆ นั่นใช่พี่พอสปี3เจอร์เดียวกับแกรนด์รึเปล่าอะ?” หญิงสาวที่เดินเคียงคู่กับผมถาม พลางชี้ไปยังจุดๆหนึ่ง ผมมองตาม ก็พบกับใครสักคนที่คุ้นเคย

 

เธอคนนี้ชื่อ ‘อิง’ คุยกันได้สักพักแล้วครับ ปีเดียวกับผมแต่อยู่คณะมนุษยศาสตร์ นิสัยดีใช้ได้ หน้าตาน่ารัก แต่ผมยังไม่ได้มีอะไรกับเธอหรอกนะ อิงชวนผมมาดูหนังกินข้าว ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ

 

“เดินกับใครหว่า?...พี่เจนน่าแน่ๆเลย” อิงพูดเจื้อยแจ้วต่อไป ประสาทผมรับรู้ถึงภาพที่เห็น หูก็ฟังที่อิงพูด ในอกบีบเค้น ตัวชาวาบ

 

ทั้งคู่หายไปจากจุดนั้นแล้ว

 

ผมก้าวเดินต่อ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วระหว่างความสัมพันธ์ของมันและผม ควรจะหยุดความคิดทั้งภาพและเสียง มันไม่มีอีกแล้ว

 

มันจบลงแล้ว

.

.

 

.

 

 

.

“เห้ยไอ้แกน เห็นพี่พอสบ้างปะวะ?”

“นั่นดิ กูเป็นหลานรหัสยังไม่เจอหน้าตั้งแต่หลังสอบเลย”

 

ผมไม่ตอบ ทำทีว่าฉลากข้างๆขวดชาเขียวนั้นมันน่าสนใจมาก

 

“มึงเป็นเมีย...”

 

“หุบปากไปเลยไอ้เหี้ย!!!” ผมตะโกนขัดสิ่งที่ไอ้แทนกำลังจะพูด มัน2ตัวถึงกับนิ่ง พอผมรู้ตัวว่าตะโกนใส่เพื่อนก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “กูจะไปรู้เหรอสัด มึงอยากเจอก็ไปถามเพื่อนพี่เค้าสิวะ มาถามไรกู”

 

“มึงเป็นไรเนี้ย? เมนไม่มา?”

“ตลกมากปะสัด” ผมเหวี่ยง ผมรู้ตัว แต่มันเสือกอยากปากหมาใส่ผมก่อนทำไม

“จะว่าไปหมู่นี้พี่พอสไม่ค่อยมาป้วนเปี้ยนกะมึงเลยวะ แถมมึงก็กลับหอทุกวัน ไม่ได้มีสารถีรูปหล่อเจ้าของคอนโดสุดหรูมารับทุกวันเหมือนเคย” ไอ้ทัชวิเคราะห์ นั่นช่วยตอกย้ำว่าผมใช้ชีวิตปกติโดยไม่มีมัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย หรือนั่งนอนคิดแต่เรื่องมันจนไม่เป็นอันทำอะไร

 

ก็แค่ไม่มีมัน

 

ไม่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่มีร่างสูงใหญ่ให้อิจฉา ไม่มีเสียงกวนตีนๆ และที่สำคัญไม่โดนทะลวงตูด .. เห็นมะ ดีจะตาย อิสระก็กลับคืนมา ได้ไปเที่ยวกับหญิง ได้คุยเล่นกะคนอื่นบ้าง

 

จะว่าไปแล้วเย็นนี้มีนัดกับ เตย คณะบริหารสินะ

 

“มึงทะเลาะกับพี่พอส?”

“เปล่านิ กูไปก่อนนะ มีนัดวะ” ผมรีบเผ่นก่อนที่จะโดนซักไปมากกว่านี้

 

“เดี๋ยวไอ้แกน พรุ่งนี้8โมง แต่งชุดพิธีการนะโว๊ย เอาเสื้อช๊อปมาด้วย” ไอ้ทัชตะโกนตามหลัง นั่นทำให้ผมหยุดชะงักหันกลับมาถามมันว่า

 

“พรุ่งนี้มีไรวะ?”

 

“พิธี ‘ปลดไทด์ ใส่ช๊อป’ ไงละโว๊ยยยยยย”

.

.

 

.

 

 

.

ผมกินข้าวดูหนังกับเตย ผู้หญิงคนล่าสุดที่ผมคุยด้วยแล้วรู้สึกถูกชะตา เธอคุยเก่งครับ หน้าตาไม่ได้สวยอะไรมากมาย เพียงแต่มีเสน่ห์ รู้จักเทคแคร์คู่สนทนา สามารถทำให้ผมลืมเรื่องของใครบางคนไปชั่วขณะ

 

ไอ้ตอนดูหนังน่ะ ก็มีจับมือบ้างอะไรบ้างครับ แต่ก็ได้แค่นั้นแหละผม รู้สึกว่ามันเกินเลยไปมากกว่านี้ไม่ได้ แต่คุณเธอดันเข้าใจผิด บอกว่าผมให้เกียรติผู้หญิงซะงั้น ฮ่าๆ

 

กว่าจะออกจากโรงหนัง กลับถึงบ้านก็ปาไป5ทุ่มแล้วครับ ผมต้องไปส่งเตย ไม่อยากให้กลับคนเดียว รู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่มีรถก็คราวนี้แหละ อาศัยแท็กซี่วนไปมา เปลืองเงินโคตรๆ

ในวันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้า โดยมีเตยโทรมาปลุก (ผมบอกให้เธอโทรปลุกเองแหละ แหะๆ ไม่งั้นมีหวังผมไม่ได้ไปเข้าร่วมพิธีพอดี) จัดการอาบน้ำแต่งตัว ไม่ลืมที่จะคว้าเสื้อช๊อปสีเลือดหมูมาด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ใส่มันให้สมกับที่เรียนวิศวะ ผมจะได้แต่งหล่อแล้ว หลังจากทนอึดอัดกับเนคไทด์มาแรมเดือน

 

ผมโทรหาไอ้ทัชถามว่าให้เจอกันที่ไหน มันก็บอกว่าให้เจอกันที่อาคารจัดงานเลย ไม่นานนักก็เดินมาถึง เด็กวิศวะเต็มไปหมด ปี1จะแต่งตัวถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่พวกรุ่นพี่ที่มาในงานนี้จะใส่ช๊อปกันมาเลย ผมกวาดสายตาหาพวกเพื่อนๆก็เจอพวกมันอยู่ตรงทางเข้า เดินเข้าไปสมทบ

 

ไม่นานนักพวกพี่สโมก็บอกให้จัดแถว เป็นภาควิชาไป เมื่อเรียบร้อยก็ทำการสแกนบัตรนิสิตเพื่อเอาชั่วโมงกิจกรรม จากนั้นก็เข้าสู่ตัวอาคาร

 

ภาพที่เห็นทำเอาผมตะลึง ภายในอาคารเต็มไปด้วยรุ่นพี่แต่ละภาควิชาที่ยืนเรียงอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือถือเส้นด้ายสีขาวไว้ บนเวทีก็จัดเหมือนงานพิธีการทั่วๆไป เพียงแต่มีบายศรีที่ทำด้วยใบตองเป็นชั้นๆเรียงขึ้นสูง กลีบเรียงประณีต มีทั้งดอกดาวเรือง ดอกรัก มะลิตูม ตกแต่งอย่างสวยงาม ยอดเป็นกรวยมีพวงมาลัยคล้องไว้

 

ผมเดินตามหลังไอ้ทัชไปเป็นแถวอย่างเรียบร้อย คนนำหน้าสุดหยุดตรงกับรุ่นพี่ปี2 หยุดมาเรื่อยๆจนถึงผม ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่าอะไร ผมยืนตรงกับพี่วอร์ม พี่รหัสสุดหล่อของผมเอง พี่แกยิ้มมาให้ ทักทายด้วยเสียงโหดเหมือนเคย

 

“ไงมึง จะได้หล่อแล้วสิ”

“หล่ออยู่แล้วเถอะ” ผมตอบกลับไป

 

ข้างๆพี่วอร์มเป็นพี่รอยกับพี่โกเม่ แต่บางคนก็ไม่คุ้นหน้า คงเป็นปี3ไม่ก็ปี4ละมั้ง ผมมองทอดยาวไปจนสุดแถว

 

ไอ้พอส...

 

ถึงแม้จะไม่ได้เห็นมาเป็นเวลาหลายวัน แต่ผมก็ยังจำมันได้ รัศมีโดดเด่นเตะตาคนอื่นแบบนั้นมีมันคนเดียว คนที่ยืนปลายแถวพูดคุยกับรุ่นน้องผู้หญิงในเจอร์ผมที่ยืนตรงข้ามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มันยังหัวเราะ ทำตัวเป็นปกติได้เหมือนเดิม

 

ก็แหงละ มันจะมาเศร้าโศกเสียใจเรื่องอะไร?

 

“มองหาใคร” ไอ้พี่วอร์มทัก เล่นเอาผมสะดุ้ง

“เปล่าพี่” ผมรีบหันหน้ากลับมามองคนตรงข้ามเหมือนเดิม ปล่อยให้คนยืนปลายแถวเห็นแค่เพียงหางตา

“คะแนนออกมั้งยังมึง?”

“ออกแล้วบางตัว”

“เป็นไงวะ”

“ไม่ต่ำกว่ามีนก็ดีใจแล้วพี่”

“เออดีละ” พี่รหัสถามผมแค่นั้นก่อนจะเงียบไป แต่คอมันชะเง้อสูงขึ้น สายตากวาดไปทั่วงาน ผมอดสงสัยถามไม่ได้

“มองหาใครอะพี่”

“เปล่า” ไอ้พี่วอร์มรีบหันมาตอบผม “กูแค่มองหาเพื่อน”

 

เมื่อถึงเวลา รุ่นพี่ก็หันหน้ากลับไปยังเวที ประธานในพิธีก็กล่าวเปิดงาน ไม่ใช่ใครที่ไหน อธิการบดีนั่นเอง กล่าวตามบทสคริปที่วางตรงหน้า ซึ่งผมก็ไม่ได้ฟังหรอก เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพียงแต่ต้องนั่งเงียบๆ คุยกับใครไม่ได้เท่านั้น

 

ต่อมาก็ถึงเวลาร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัยและเพลงประจำคณะ เสียงกึกก้องพร้อมเพรียงจนขนลุก ทุกคนดูมีความตั้งใจแน่วแน่ แสดงถึงความสำคัญของพิธีนี้

 

จากนั้นเพลงบรรเลงดนตรีไทยก็ค่อยๆดังขึ้น พิธีกรของงานนี้ก็บอกให้รุ่นพี่หันหน้าเข้าหารุ่นน้อง ตั้งจิตอธิษฐานและอวยพรให้น้องๆ ผูกข้อมือ ใส่เสื้อช๊อปให้

 

ผมยื่นข้อมือให้พี่วอร์มผูกเส้นด้ายสีขาวให้ พี่รหัสผมทำการจับปลายทั้ง2 เกลี่ยเส้นด้ายในทำนองออกจากตัวพร้อมกับพูดว่า

 

“ขอให้น้องเรียนจบ ไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้น หรือถ้าหากมีก็ขอให้ผ่านพ้นไปด้วยดี เป็นน้องที่ดีแบบนี้ตลอดไป อย่าหาเรื่องใส่ตัวเองด้วย การเข้ามาเรียนที่นี่ว่ายากแล้ว แต่เรียนให้จบมันยากกว่า มีแต่สิ่งดีๆเข้ามา สิ่งชั่วร้ายจงออกไป” ตลอดการพูดผมไม่ได้มองหน้าพี่วอร์มเลย มันเหมือนน้ำตาจะปริ่มๆยังไงก็ไม่รู้ เอาแต่ก้มหน้า เพ่งจ้องเส้นด้ายสีขาวๆ อาจเป็นเพราะการพูดที่ไม่เหมือนเดิม พี่วอร์มคงไม่อยากพูดคำหยาบในพิธีศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

 

“ขอให้น้องตั้งใจ ประสบความสำเร็จในอนาคต มีเพื่อนที่ดี คอยช่วยเหลือกัน เรื่องไหนมันหนักก็ปล่อยวางบ้าง อย่าเก็บมาคิด หรือไม่ก็แบ่งมาให้พี่คิดบ้างก็ได้ ยังไงพี่ก็อยู่ข้างน้องเสมอ...” พี่วอร์มหยุดการเกลี่ย จับปลายเส้นด้ายทั้ง2ข้างมัดเข้าหากัน และพูดจบประโยคว่า

 

“สุดท้ายนี้ พี่อยากจะบอกน้องว่า ‘อย่าเอาความรักที่ไม่ชัด มาผูกมัดใจเรา’ นะ” สิ้นเสียง พี่วอร์มก็มัดให้ผมเสร็จพอดี ผมไม่รู้ว่าประโยคสุดท้ายนั่นหมายถึงอะไร แต่...มันโดนมากๆ ตรงใจผมตอนนี้เลย

 

พี่วอร์มเอื้อมมือมาที่ปลายคาง ผมตกใจ ผละออกเล็กน้อย

 

“เห้ย พี่แค่จะถอดเนคไทค์เฉยๆ ทำไมต้องทำท่ากลัวขนาดนั้น?”

 

ฟู่วววว

 

“ก็คนมันตกใจนี่หว่า” ผมบ่นงึมงำ พี่แกหัวเราะ ก่อนจะทำการถอดเนคไทด์ให้ ไม่มีการแตะอั๋ง ละลาบละล้วงอะไรทั้งนั้น บางทีผมเองนี่แหละที่ชั่ว ความคิดเลวๆเข้ามาในสมอง ยังไงคนตรงหน้าก็คือพี่รหัสที่คอยช่วยเหลือมึงมาตลอดนะไอ้แกรนด์

 

พี่วอร์มหยิบเสื้อช๊อปใหม่เอี่ยมอ่องขึ้นมา คลี่ออกจากกัน ช่วยผมสวมเสื้อสีเลือดหมู สอดแขนทีละข้าง จนเสร็จสิ้น

 

ความรู้สึกที่เหมือนพี่วอร์มจะคิดอะไรกับผมนั้นไม่หลงเหลือแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่านี่แหละ ‘พี่รหัส-น้องรหัส’

 

“ขอบคุณครับ” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม

 

พี่วอร์มคงเจอคนที่ใช่แล้ว หึหึ รอลุ้นกันละว่าคนนั้นคือใคร แล้วพี่วอร์มจะเปิดตัวเมื่อไหร่

 

ผมหันไปมองรอบๆตัว บรรยากาศเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น พิธีกรประกาศต่อว่าให้รุ่นพี่นั้นนั่งอยู่เฉยๆ แต่ให้น้องปี1ลุกขึ้นไปหารุ่นพี่ที่ตัวเองอยากให้ผูกข้อมือให้ ทันใดนั้นความอลหม่านก็เกิดขึ้นทันที

 

“ลุกออกไปได้ละสัด เห็นมั้ยข้างหลังมึงมีคนต่อจะให้กูผูกข้อมือให้เต็มเลย” ไอ้พี่วอร์ม ไอ้สาดดดดดด บรรยากาศพี่รหัสน้องรหัสเมื่อกี้หายไปไหนหมดวะ? ผมหันหลังไปมองตามที่มันบอก ปรากฏว่าเพื่อนๆผมทั้งในเจอร์และต่างเจอร์มาต่อหลังผมเต็มเลยครับ

 

เออ กูลุกก็ได้วะ แม่งงงงงงงงง

 

ว่าแต่...ไปให้ใครผูกให้ดีวะเนี่ย?

ผมเสมองข้างๆ พี่รอยกับพี่โกเม่ก่อนแล้วกัน และเมื่อผูกเสร็จ ผมก็หันรีหันขวาง กะว่าจะถามไอ้ทัชไอ้แทนว่ามันให้ใครผูกแล้วบ้าง แต่ปรากฏว่าไอ้2ตัวนั้นมันต่อแถวอยู่ปลายสุดนู้นเลยอะดิ

 

เจ้าของแถวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...ลุงรหัสไอ้แทนไง

 

แถวนั้นยาวมาก ยาวที่สุดในบรรดารุ่นพี่ทุกคนเลยมั้ง เหอๆๆๆ ผมสังเกตว่ารุ่นน้องทุกคนที่ได้รับการผูกจากมันจะเป็นด้ายสีขาวสลับเลือดหมู เป็นเส้นด้ายใหญ่ๆพันเกลียวเข้าด้วยกัน ให้รู้ว่าด้ายเส้นนี้น่ะ ของพี่พอส ปี3 ภาคเครื่องนะจ๊ะ แต่เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ยิ่งหมั่นไส้ ทั้งๆที่รุ่นพี่บางคนเลือกใช้ด้ายสีเขียว สีชมพู สีเหลือง มีลูกปัด เป็นโบว์ อะไรก็ว่ากันไป (ส่วนใหญ่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิงอะนะ ผู้ชายคงไม่หวานแหววขนาดนี้)

 

ผมเลือกที่จะไปต่อแถวรุ่นพี่ในเจอร์ที่แถวสั้นๆ รอไม่นานมาก ข้อมือผมเต็มไปด้วยด้ายสีขาว ผมเดินไปโยกับเพื่อนอีก2-3คนที่ยืนอยู่ตรงมุมประตู แต่แล้วก็มีรุ่นพี่ผู้หญิง ที่ผมไม่รู้จัก มาขอผูกข้อมือให้ผม ได้แต่ตอบรับแบบงงๆไป

 

เออดีเนอะ ไม่ต้องเดินไปหา แต่กลับมาหาเองถึงที่ มันสลับกันแปลกๆป่าวหว่า?

 

“ไอ้แกรนด์แม่งเสน่ห์แรงเว้ย” ไอ้โยแซวครับ

“แน่นอน หล่อๆแบบกู ฮ่าๆๆ...ว่าแต่ถอดได้เมื่อไหร่วะ กูชักคันแล้วอะ” ผมชูข้อมือข้างที่เต็มไปด้วยเส้นด้ายให้พวกมันดู

“ไม่รู้วะ”

 

ในงานเริ่มมีคนยืนเฉยๆแบบพวกผม ไม่ได้ไปเข้าแถวเพื่อให้รุ่นพี่ผูก สายตาเหลือบไปเห็นแถวพี่วอร์ม ... ก็ยังเยอะอยู่ ห่างจากแถวพี่วอร์มไม่มาก เป็นรุ่นพี่ปี3นามว่าพอส แถวของมันไม่ได้สั้นลงเลย ซ้ำยังจะยาวต่อไปเรื่อยๆด้วยซ้ำ มันยิ้มให้รุ่นน้องทุกคน ทำเอาผู้หญิงแต่ละคนเคลิ้มหรือไม่ก็หน้าแดงไปตามๆกัน

 

2Tคู่หูเดินตรงมายังผม ข้อมือมันทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยเส้นด้ายไม่แพ้ผม แต่เส้นที่เด่นที่สุดเห็นจะไม่พ้นเส้นหนาๆพันเกลียวด้วยสีขาวและสีแดงเลือดหมู

 

“เห้ยไอ้แกน มึงไม่ไปให้พี่พอสผูกเหรอวะ” ไอ้ทัชทัก นี่มึงแกล่งโง่หรือโง่จริงวะ ก็เห็นๆอยู่ว่าเมื่อวานเย็นกูหงุดหงิดที่ได้ยินชื่อมันแค่ไหน

“ไม่!!” ผมตอบเสียงดัง

“ไม่ก็ไม่สิวะ ทำไมต้องตะคอกด้วย ห่า” ไอ้ทัชด่าผม ก็สมควรแหละครับ อยู่ดีๆไปตะโกนใส่มัน ทั้งๆที่มันถามดีๆ

“ไอ้แกน มึงหงุดหงิดไรเนี้ย?”

“ไม่มีไร โทษทีวะ”

“เออๆ หาไรกินกัน กูหิวละ”

 

พวกผมพากันอพยพออกจากตัวอาคาร เพราะไม่มีอะไรแล้ว คนอื่นๆก็ทยอยออกเช่นกัน ขณะที่เดินนั้น มีผู้หญิง2คนเดินคุยกันว่า

 

“เสียดายอะ อยากให้พี่พอสผูกให้”

“นั่นดิ ด้ายดันหมดก่อน แถมคนยังต่อยาวเป็นพรืด”

 

เอาเหอะ จะฮอต จะป๊อปปูล่าแค่ไหนก็เรื่องของมึง

.

.

 

.

 

 

.

 

ตกบ่ายก็เรียนตามปกติ ไอ้ทัชไอ้แทนและเพื่อนในเจอร์อีกหลายๆคนชวนกันไปสังสรรค์กับรุ่นพี่ เนื่องในโอกาสที่ได้ใส่ช๊อปอย่างเต็มตัวแล้ว งานนี้ไปกันเยอะอยู่ครับเพราะไม่เสียสักบาท เห็นว่านัดกันที่ร้านเหล้าแถวๆม. เจ้าของร้านเรียนจบวิศวะ จะปิดเลี้ยงเพื่อน้องปี1โดยเฉพาะ

 

ผมกลับหอมาเปลี่ยนชุดก่อน ไม่แต่งอะไรมาก เอาแค่กระเป๋าตังค์ ไอโฟน และกุญแจห้องติดตัวไปด้วยเท่านั้น พอถึงร้านก็พบว่าคิดผิดจริงๆครับที่ไปเปลี่ยนชุด เพราะแต่ละคนยังไม่ถอดช๊อปกันเลย ซดเหล้าเป็นว่าเล่น

 

เดินตรงไปยังโต๊ะที่มีไอ้ทัชไอ้แทนและเพื่อนอีกหลายๆคนชงเหล้ารออยู่ก่อนแล้ว สภาพยังโอเค

 

“เปลี่ยนชุดทำห่าไรวะ”

“เอ้า กูไม่รู้นิสัด” ผมตอบไอ้แทนพลางยกแก้วที่เพิ่งชงเสร็จขึ้นดื่ม

 

ข้อดีของงานนี้คือเหล้าฟรี แต่ข้อเสียคือกูแทบไม่ได้พักยก เดี๋ยวรุ่นพี่คนนั้นมาชน เดี๋ยวรุ่นพี่คนนี้รู้จักก็ขอชน แนะนำตัวกันไป ไอ้เจ้าของร้านแม่งใจปล้ำเกิ๊นนนน

 

แต่ทำไมไม่รู้ ผมไม่อยากเมา เลยได้แต่บอกไปว่า

 

“หมดแก้วไม่ไหววะพี่ จะอ้วก” ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมไม่เคยอ้วกเพราะการกินเหล้าเลยสักครั้ง ผลที่ได้กลับมาคือโดนด่าครับ

 

“อ่อนสาดดดดดดดด”

“ตอแหล แดกให้หมดเชี่ยแกรนด์”

 

บางคนเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ต้องหมดแก้วแหละ ไม่ได้มีแต่รุ่นพี่ผู้ชาย รุ่นพี่ผู้หญิงก็ใช่ย่อยนะครับ ชนเอาๆ คอทองแดงยิ่งกว่าผมอีก ทำเอาอายไปเลย เหอๆๆๆ

 

“แกรนด์ จำพี่ได้เปล่า?” จู่ๆก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนนึงมาสะกิดผม หันกลับไปมอง...

“เอ่อ...จำไม่ได้อะครับ” ไม่คุ้นหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว

“ฮ่าๆๆๆ ไม่แปลกหรอก เพราะเราเคยคุยกันในแชทเฟซบุค ไม่เคยคุยตัวเป็นๆซะหน่อย”

 

แล้วมาถามกูทำไมว่าจำได้มั้ย?...

 

ผมได้แต่ยิ้ม ไม่กล้าพูดความในใจออกไปหรอกครับ

 

“พี่ชื่อตุ๊กตานะจ๊ะ อย่าลืมอีกละ ไว้เดี๋ยวจะทักในแชทเฟซไป...ชนหน่อยๆ”

 

แกร๊งงงง

 

แล้วพี่ตุ๊กตาก็เดินไปโต๊ะอื่น

 

“หมั่นไส้ไอแกนน้อยโว๊ยยยยยยยยยย ทำไมสาวๆแม่งเยอะจังวะห๊ะ!” จู่ไอ้ส้มก็โวยวาย หน้าแดงนิดๆ

“ก็คนมันหล่อ ทำไงได้”

“ถุย!” สัดทัช เมียไม่มาได้ทีใหญ่เลยนะมึง กูเห็นนะว่ามึงเหล่สาวโต๊ะนู้น เดี๋ยวเถอะๆๆๆ กูจะเอาไปฟ้องทิวา

“ถ้ามึงหล่อก็ไม่มีใครขี้เหร่แล้วละ”

 

 

เบื่อคนขี้อิจฉาจริงๆครับ

 

 

กินมาเรื่อยๆ ยิ่งดึกยิ่งคึก คนยิ่งเยอะ มั่วกันทั้งร้านแล้วครับ แต่ผมกับไอ้ทัชยังครองสติไว้ได้ บอกแล้วว่าผมกับมันพวกคอทองแดง เหล้าเด็กๆแค่นี้ทำไรไม่ได้หรอก

 

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่บางคนก็ไม่ยอมเลิก มีจะไปต่อกันอีก ประมาณตี1 ผมกับไอ้ทัชลากไอ้แทน เมฆ และนังส้มโอทยอยส่งตามที่พักของแต่ละคน สุดท้ายไอ้ทัชก็มาส่งผมที่หอเหมือนเดิมครับ

 

“ขับรถกลับดีๆนะมึง ระวังเจอด่านด้วย”

 

ผมบอกลามันก่อนจะขึ้นห้อง เดินเอื่อยๆ ก้มหน้ามองกระเบื้องสีฟ้าที่ปูตามทางเดิน

 

เอ๊ะ! เท้าใครวะ

 

ผมค่อยๆไล่สายตาจากรองเท้า ขายาวๆ แผ่นอก และ...

 

“กว่าจะกลับ ให้กูรอตั้งนาน”

 

ก็ว่าทำไมไม่เห็นมันที่ร้านเหล้า เสือกมาหลบอยู่หน้าห้องกูนี่เอง

ว่าแต่...มันมาทำไมวะ?

 

“ไม่เข้าห้อง?”

“ก็หลบสิวะ!”

 

 

สาดดดดดดดดดดดดด ยืนขวางประตูแบบนี้แล้วกูจะไขกุญแจได้มั้ย?

 

“ใจคอจะไม่ให้กูเข้าห้องเลย?”

 

คือมึงจะพูดประชดกูทำซากไรวะครับไอ้เหี้ยพอส ในเมื่อตัวมึงกว่าครึ่งก็เข้ามาในอาณาเขตห้องกูละห่า!

 

ผมหันหน้ามาเผชิญมัน มือวางกุญแจไว้บนตู้เย็น รู้สึกเหมือนมือไม้มันเกะกะไปหมด ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน แม้ใจจะเต้นแรง แต่ผมก็ทำราวกับว่าไม่รู้สึกอะไร

 

ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก ทั้งอยากไล่ไปให้พ้น แต่ก็อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุยกับมัน แต่พอโดนกวนตีนเข้าก็อดหลุดปากพูดออกไปไม่ได้

 

ผมเว้นระยะห่างจากมัน ไม่อยากให้ใกล้กันไปมากกว่านี้ แต่คนตรงหน้ากลับลดช่องว่างนั้นด้วยการเขยิบเข้ามาใกล้ ผมเลยต้องเดินถอยหลัง จนขาชนกับเตียง ไอ้พอสมันรู้ว่าผมถอยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันเดินเข้ามาใกล้

 

“มีไรก็ว่ามา กูจะนอน” ผมรีบเบรกมัน

 

“กูหาสถานะให้มึงได้แล้ว...”

 

ผมเงียบ ไม่เข้าใจกับสิ่งที่มันพูด มันขยายความต่อ

 

 

“ที่มึงถามกูไงว่าให้มึงอยู่ข้างๆกูในฐานะอะไร...”

 

 

 

 

Talk

nc=need comments

 

plsssssssss

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา