Just a Dream…หรือแค่ฝันไป
เขียนโดย koala
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
4) ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ...แค่อยากรู้ว่าเรื่องวันนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
เธอจึงพิมพ์ชื่อ...ภาณุ จิระคุณ
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลของผลการค้นหา
เธอตัดสินใจเลือกกดเปิดเข้าไปอ่านในเว็บไซด์หนึ่งซึ่งได้ความว่า...
‘เจ้าพ่อเฟอร์นิเจอร์สิ้นลม ผลัดใบ พี.ซี.กรุ๊ป’
ถ้าหากพูดถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านทุกคนคงจะรู้จักพื.ซี.เฟอร์นิเจอร์ของพี.ซี.กรุ๊ปกันเป็นอย่างดี เพราะสามารถครองตลาดกว่า 50% ของตลาดเฟอร์นิเจอร์ในประเทศมานานกว่าสิบปีและยังไม่นับรายได้จากสินค้าที่ส่งออกนอกประเทศ...
แต่หลังจากที่ภาคย์ จิระคุณ(นามสมมติ) ประธานกรรมการบริหารพี.ซี.กรุ๊ปถึงแก่กรรมอย่างกระทันหันด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเฟอร์นิเจอร์จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวเรือใหม่เพื่อนำพาบริษัทต่อสู้บนเส้นทางธุรกิจต่อไป ซึ่งมีแนวโน้มว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่ประธานกรรมการบริหารคนต่อไปนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว ‘ภาณุ จิระคุณ’ หนุ่มนักเรียนนอกวัย 25 ปีที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับมหาบัณฑิตด้านวิศวกรรมศาสตร์จากMassachusetts Institute of Technology(MIT) สถาบันชื่อดังแห่งสหรัฐอเมริกามาอย่างสดๆร้อนๆ
แต่อย่างไรก็ดีมีก็ยังมีอีกหนึ่งกระแสว่าผู้บริหารคนใหม่อาจจะยังไม่ใช่ทายาทโดยตรงอย่างภาณุ เพราะยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารเลยแม้แต่น้อย แต่อาจเป็นทายาททางสายเลือดอีกคนหนึ่ง ชื่อของหนุ่มหล่อไฟแรงที่หลายคนการันตีในความสามารถอย่าง ‘วิศว ไทยานนท์’ หลานชายคนสนิทของภาคย์ซึ่งในขณะนี้ทำหน้าที่รักษาการประธานกรรมการบริหารระหว่างรอผู้บริหารคนใหม่ จึงเข้าไปอยู่เป็นหนึ่งในโผของผู้บริหารคนล่าสุดด้วย เรียกได้ว่าเป็นศึกสายเลือดกันเลยทีเดียว ผู้บริหารคนต่อไปจะเป็นใคร และอนาคตของพี.ซี.กรุ๊ปจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป ซึ่งทางพี.ซีกรุ๊ปแจ้งว่าจะทำการเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ในเร็วๆนี้...
ช่วงท้ายข่าวมีการแสดงรูปภาพของว่าที่ผู้บริหารคนใหม่ทั้งสอง
คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าเรียวหวาน ดูไปดูมาจะสวยกว่าผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ มีการระบุชื่อใต้ภาพว่า วิศว ไทยานนท์
และอีกคน...
เพียงเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม เพียงเท่านี้อุณหภูมิในร่างกายก็เริ่มร้อนระอุ ขนเริ่มลุกชันไปทั่วร่าง
ใบหน้าคมเข้มที่เป็นต้นมาแห่งการค้นหาข้อมูลครั้งนี้
ใต้ภาพระบุชื่อชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาว่า...ภาณุ จิระคุณ
เธอเคยเห็นเขา เธอเคยพูดคุยกับเขา มันเป็นไปได้อย่างไรกัน...
นี่ฉันไม่ได้ฝันไปจริงๆใช่ไหมเนี่ย...
ตะวันเริ่มทอแสงอ่อนๆ เสียงนกร้องขับขาน เป็นสัญญาณเริ่มต้นของเช้าวันใหม่
ผู้คนเริ่มตื่นนอนออกมาปฏิบัติภารกิจในยามเช้า
เช่นเดียวกับสาวร่างเล็ก วันนี้เธอตื่นเช้ากว่าปกติ ไม่ใช่ตื่นสิ เมื่อคืนเธอยังไม่ได้นอนมากกว่า
เรื่องราวที่ได้รับรู้มันทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นและกังวลใจ จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่เธอสามารถติดต่อกับคนคนนั้นได้
เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มแสดงท่าทีแปลกใจที่ไม่มีใครรู้จักเขา ทั้งๆที่เขาเป็นถึงทายาทนักธุรกิจพันล้าน
หรือว่ามีคนจงใจที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ...
คำถามเกิดขึ้นมากมายจนสาวร่างเล็กรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดเธอจึงต้องมาวิตกกังวลกับเรื่องนี้นัก
“หลวงพ่อนิมนต์ค่ะ” และนี่แหละสิ่งที่เธอคิดว่าพอจะช่วยคลายความกังวลใจไปได้บ้างนั่นคือการทำบุญตักบาตร
สาวร่างเล็กทำบุญพร้อมอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรรวมถึงบุรุษหนุ่มที่ทำให้เธอใจหายใจคว่ำไปหลายรอบ
หลังจากการปรากฏตัวของเขา
“ฉันไม่รู้ว่าคุณจะได้รับสิ่งที่ฉันอธิษฐานให้คุณไปหรือเปล่า แต่หวังว่าคุณจะได้นะ” เธอเอ่ยกับตัวเองในใจ
“อ้าว สวัสดีครับคุณหมอ วันนี้มาทำงานแต่เช้าเลยนะครับ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทักทายพร้อมเปิดประตูให้แพทย์หญิงหน้าหวานเดินเข้าไปปฏิบัติงาน
เธอพยักหน้าน้อยๆพร้อมส่งยิ้มแทนคำทักทายและขอบคุณในคราวเดียวกัน
สาวร่างเล็กเดินมุ่งตรงไปยังหอผู้ป่วยที่เธอเข้าทำงานเป็นประจำ พร้อมตรงไปยังห้องของต้นเหตุที่ทำให้เธอไม่ได้นอนทั้งคืน
ร่างของชายหนุ่มยังคงนอนนิ่งไร้สติใส่ท่อช่วยหายใจตามเดิม แต่แปลกที่เธอรู้สึกว่าใบหน้าของเขาดูสดใสมากขึ้น
หรือว่าอาหารที่เธอบำรุงร่างกายของเขามันจะเริ่มได้ผลนะ
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องวันก่อนมันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน
ถ้าคุณคือ ‘ภาณุ จิระคุณ’ จริงๆ ฉันคิดว่าเราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกัน”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอพูดสิ่งที่เธอหวาดกลัวที่สุดออกไป หญิงสาวอยากจะตบปากตัวเองหลังจากพูดจบ
พูดอะไรไม่คิดเลยยัยฟางเอ๋ย...เสียงแพทย์สาวบ่นตัวเองอยู่ในใจ
ถ้าเจอเขาจริงๆ เธอเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะหลุดกรี๊ดหรือเป็นลมหมดสติไปหรือเปล่า
เสียงในห้องยังคงเงียบสงัด ได้ยินก็เพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ดังเป็นจังหวะ
ร่างเล็กของหญิงสาวถอนหายใจอ่อนๆ ก่อนจะเดินหมุนตัวหันหลังกลับไปยังประตูที่เธอเข้ามา
แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีเสียงจากมุมหนึ่งของห้องลอยเข้ามากระทบโสตประสาท
“ขอบคุณนะครับคุณหมอที่ทำบุญให้ผม ผมรู้สึกสดชื่นมีแรงขึ้นเยอะเลย”
แพทย์สาวค่อยๆหันกลับไปมองตามเสียงนั้น
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อเริ่มกลั่นตัวเป็นเม็ดไหลจากหน้าผากลงมาถึงใบหน้า
“ไหนบอกว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันไง คุณจะชิ่งผมไปอย่างนี้ได้ไงฮะ คุณหมอฟาง”
ร่างของชายหนุ่มที่เธอเห็นกล่าวต่อพร้อมส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง
ถ้านายเป็นคนฉันคงจะละลายไปแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่น่ะสิ
แต่น่าแปลกที่เธอรู้สึกกลัว ‘เขา’ น้อยลง
เธอสูดหายใจรวบรวมความกล้าลึกๆก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันแค่รู้สึกว่าเรื่องของคุณมันแปลก ที่ทำไมถึงไม่มีใครรู้ประวัติของคุณเลย เพราะคุณก็ไม่ใช่คนธรรมดา”
“แน่นอนที่คุณเห็นผมมันธรรมดาซะที่ไหนกันล่ะ” ชายหนุ่มเริ่มกวนต่อ
“นี่คุณภาณุ เรากำลังพูดเรื่องของคุณอยู่นะ ดีเหมือนกันปล่อยคุณเป็นวิญญาณล่องลอยไปอย่างนี้ก็ดี”
สาวร่างเล็กกำลังอารมณ์คุกรุ่น
“โธ่ ขอโทษครับ ผมล้อเล่นนะ ไม่คิดว่าคุณจะจริงจังนี่นา นอกจากตัวน้อยแล้วใจยังน้อยอีกนะเนี่ย”
เขาพยายามคลายสถานการณ์แต่ก็ไม่วายไปรวนแพทย์สาวต่อ
“นายภาณุ...”
แอ๊ด เสียงประตูห้องเปิดออกขัดจังหวะการสนทนา
“อุ้ย!! ขอโทษค่ะคุณหมอ ป้านึกว่าไม่มีใครอยู่ พอดีจะมาทำความสะอาดห้องน่ะค่ะ”
แม่บ้านสูงวัยกล่าวขอโทษที่เสียมารยาทเข้าห้องโดยไม่ได้เคาะประตูเข้ามาก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้า เชิญตามสบาย” แพทย์สาวตอบกลับอย่างเป็นมิตร
“เอ...เมื่อกี้คุณหมอคุยกับใครอยู่หรือเปล่าคะ” แม่บ้านแสดงความอยากรู้พร้อมมองไปทั่วๆห้อง
“อ้อ ไม่มีอะไรค่ะป้า พอดีคุยโทรศัพท์น่ะค่ะ” คนถูกถามพูดแก้ขัดพลางยกโทรศัพท์มือถือไอโฟนรุ่นล่าสุดให้คนอยากรู้ดู
คนอยากรู้พยักหน้าอย่างคล้อยตามพร้อมทำงานของเธอต่อไป
“โห...รุ่นล่าสุดเลยนะเนี่ย คุณทำบุญให้ผมซักเครื่องหน่อยสิ เดี๋ยวถ้าผมฟื้นแล้วจะจ่ายคืนให้”
ร่างที่อีกคนมองไม่เห็นกล่าวขึ้น
“แล้วคุณจะใช้ได้มั้ยล่ะตอนนี้น่ะ ฉันคงไม่เผาไอโฟนห้าส่งไปให้คุณหรอกนะ ไม่ใช่แบงค์กงเต็ก"
แพทย์สาวตอบโต้ทันควันโดยลืมไปว่าในห้องนี้ยังมีคนอยู่อีกคน
“เอ๋...คุณหมอพูดกับป้าอยู่หรอคะ” คนสูงวัยกล่าวอย่างสงสัย เพราะในห้องมีเพียงเธอกับแพทย์สาว
“อ้อ...พอดีนึกได้ว่าที่บ้านจะมีไหว้เจ้า ต้องเผาแบงค์กงเต็กน่ะค่ะคุณป้า หนูพูดลอยๆ ไม่มีอะไรค่ะ”
คนถูกสงสัยแก้ตัวพัลวัน
คนถามเริ่มแปลกใจกับอาการของคนตรงหน้าพร้อมมองไปรอบห้องอีกครั้ง เธอรีบทำงานแล้วออกจากห้องไป
ป้าต้องคิดว่าฉันบ้าแน่ๆ เพราะอีตานั่นคนเดียวทำฉันสติแตกเนี่ย
สาวหน้าหวานกุมขมับตัวเองพร้อมหันหน้าไปเอาเรื่องต้นเหตุที่ไม่มีใครมองเห็น
แต่คนตรงหน้าดันทำหน้ากวนปนอมยิ้มเจ้าเล่ห์แสดงอารมณ์ผู้มีชัย ทำให้เธอได้แต่กัดฟันกรอดๆอยู่ในใจ
“คุณอยากช่วยผมจริงๆเหรอ” คราวนี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มที่เริ่มบทเครียดบ้าง
“ถ้าคุณทำตัวดีๆ ไม่กวนประสาท ฉันก็จะช่วยคุณ” แพทย์สาวตอบกลับ
“ได้สิคร้าบบบ...แต่ก่อนอื่น คุณช่วยผมออกจากห้องนี้ได้มั้ย ผมเบื่อจะแย่แล้ว” ชายหนุ่มขอร้องบ้าง
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงมิทราบ” คนถูกขอร้องถามกลับ
“ไม่รู้แหละ คุณทำยังไงก็ได้ที่ช่วยให้ผมออกไปจากห้องนี้ซะที” ร่างที่ไม่มีใครเห็นออกคำสั่ง
“นี่ฉันไม่ใช่ลูกจ้างคุณนะที่จะมาออกคำสั่งน่ะ หน้าที่ก็ไม่ใช่ เงินก็ไม่ได้” แพทย์สาวร่างเล็กสวนกลับ
“เงินไม่ได้ แต่ได้ใจแทนไง” ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกันที่ทำให้เขาพูดไปแบบนั้น
คนตัวเล็กหันมาสบตาคนพูดอย่างอึ้งๆ แววตาที่เขามองเธอนั้นมันหมายความว่าอะไร
นายคิดอะไรกับฉันป่าวเนี่ย เอ้ย...ไม่ได้นะหมอนี่ไม่ใช่คนนะยัยฟาง เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว
ความคิดในหัวของสาวร่างเล็กเริ่มตีกันเอง ก่อนที่เธอจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“คุณบอกว่าคุณรู้สึกดีขึ้นที่ฉันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณใช่ไหม”
วิญญาณหนุ่มพยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ
“ฉันคิดออกแล้วว่าฉันจะช่วยคุณออกจากที่นี่ยังไง” สาวร่างเล็กพูดพลางฉีกยิ้มหวานอย่างมีเลศนัย
เขาทำหน้าสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะบอกแผนการของเธอ
ชายหนุ่มฟังแผนการของคนต้นคิดอย่างตั้งใจ เขารู้สึกปลาบปลื้มใจกับคนตรงหน้าไม่น้อย
เธอไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่คนรู้จัก ไม่ใช่คนรัก แต่เธอก็พยายามจะช่วยเขา แม้จะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ก็เถอะ
“นี่คุณภาณุ คุณฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า” คนต้นคิดส่งเสียงเรียกให้คนฟังตื่นจากภวังค์
“ฟังอยู่ครับ ไอเดียคุณนี่ใช้ได้เลยนะเนี่ย” คนถูกเรียกชมคนคิด
“แต่ผมบอกแล้วไงว่าเลิกเรียกผมว่าภาณุได้แล้ว มันดูทางการไงไม่รู้ เอ...ผมว่าผมแนะนำตัวไปแล้วนะว่าผมชื่อ...”
“ป๊อปปี้ ฉันจำได้น่า” คนสวยตรงหน้าตอบชื่อเขาถูกอย่างแม่นยำ
“อ้อ ดีๆ แสดงว่ายังไม่แก่ ใช้ได้นะคุณเนี่ย พูดรอบเดียวก็จำได้” เขายังคงกวนประสาทเธออีกรอบ
ร่างเล็กได้แต่บ่นกับตัวเองอีกครั้ง...ให้ตายเถอะ อีตาป๊อปปี้นี่กวนไม่เลิกจริงๆ คนสวยเพลียค่ะ เพลีย!!
.....................................................................
จดหมายหลายฉบับ รวมถึงเอกสารอีกหลายชุด กองอยู่บนโต๊ะทำงานของผู้บริหารโรงแรมห้าดาวชื่อดัง
หนุ่มร่างสูงค่อยๆจัดการเอกสารทีละชุดๆจนเกือบครบ ระหว่างพักสายตาจากเอกสารกองโต
เขาก็สะดุดกับจดหมายฉบับหนึ่ง ภายในซองจดหมายเป็นการ์ดเชิญสีชมพูหวานสลักด้วยตัวอักษรสีทองของว่าที่บ่าวสาว
ฝ่ายชายเป็นรุ่นพี่ที่สนิทเมื่อครั้งไปเรียนต่อต่างประเทศ ส่วนฝ่ายหญิงเป็นญาติสนิทฝั่งมารดาของเขาเอง
ภายในการ์ดระบุสถานที่ พร้อมวันเวลาของงานไว้อย่างละเอียด
ชายหนุ่มต้องตกใจอีกครั้ง ว่างานจะจัดขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ และสถานที่จัดนั้นไม่ได้ใกล้ประเทศไทยเลยสักนิด
ทำไมมันกระชั้นชิดอย่างนี้ล่ะ เฮ้อ..งานนี้ปฏิเสธไม่ได้ด้วยสินะ
หนุ่มร่างสูงกดโทรศัพท์ไปยังเลขาเพื่อยกเลิกนัดในช่วงนี้พร้อมให้จองตั๋วเครื่องบินไปอังกฤษ
ก่อนจะโทรไปเลื่อนนัดแฟนสาวคนล่าสุดถึงทริปในสุดสัปดาห์นี้
“โธ่ น้องจินพี่ขอโทษจริงๆนะคะ มันเป็นธุระด่วนจริงๆ ไว้พี่จะซื้อของมาฝากนะ อยากได้อะไรพี่ซื้อให้หมดเลย”
“ไม่ต้องเลย พี่เขื่อนก็ใช้มุขนี้ทุกทีอ่ะ” คนถูกเลื่อนนัดเริ่มเคือง
“ก็พี่ขอโทษแล้วไงคะ คราวหน้าพี่สัญญาว่าจะไม่เบี้ยวนัดอีก อยากไปไหนตามใจจินเลย โอเคไหมคะ”
ชายหนุ่มเริ่มง้อแฟนสาวต่อ
“ก็ได้ คราวหน้าถ้าเบี้ยวจินนี่อีกคอยดู” คนปลายสายขู่กลับอีก
“จ้า ไม่แน่นอน” คนหน้ายาวเอ่ยอย่างมั่นใจ
เขาก็รู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่เขาคบกับจินนี่ได้ค่อนข้างนานกว่าผู้หญิงคนอื่นๆที่ผ่านมา
เพราะเธอไม่ค่อยขี้หึง วีนแตก หรือตามทุกฝีก้าวเหมือนผู้หญิงคนอื่น อาจจะมีงอนง้อบ้างตามประสาคนรักกัน
หรือเขาจะหยุดอยู่ที่เธอจริงๆนะ
เครื่องบินลำใหญ่กำลังลดระดับการบินลงเรื่อยๆเพื่อลงจอดส่งผู้โดยสาร
ภาพทิวทัศน์ของสิ่งก่อสร้างรวมถึงพื้นดินเริ่มชัดเจนขึ้น...
เสียงประกาศจากแอร์โฮสเตสท์ผ่านลำโพงแจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่า ขณะนี้ท่านกำลังอยู่ที่สนามบินฮีทโธรว์(Heathrow Airport) ประเทศอังกฤษ
หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ตรวจรับกระเป๋าสัมภาระเสร็จเรียบร้อย
ชายหนุ่มร่างสูงก็เรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่มารดาจัดเตรียมไว้ให้
อาจจะไม่ใช่โรงแรมหรูระดับห้าดาวใจอย่างที่มารดาของเขาพักแต่ก็สะดวกสบายไม่น้อยทีเดียว
เขานำสัมภาระที่เตรียมมาจำนวนไม่มากนักมาเก็บไว้ในห้องพักส่วนตัว
พร้อมกดโทรศัพท์ส่งข้อความไปบอกสาวสูงวัยที่จองห้องนี้ไว้ให้ว่าเขาได้เดินทางมาถึงที่หมายแล้ว
เขาไม่อยากโทร.ไปรบกวนเวลางานของเธอมากนัก หลังจากส่งข้อความเป็นที่เรียบร้อย
คนตัวสูงมองดูนาฬิกาของตัวเอง ขณะนี้เวลาที่ลอนดอนประมาณ 11 โมงเช้า
เขามีเวลาอีกประมาณ 6 ชั่วโมงในการเดินเตร็ดเตร่ชมเมือง ก่อนที่จะไปรับประทานอาหารมื้อเย็นตามนัด
หลังจากเดินเที่ยวซึมซับบรรยากาศของกรุงลอนดอนมาหลายชั่วโมง เขาก็หยุดหน้าร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง
เป็นร้านขายโปสการ์ดสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆรวมไปถึงรูปสวยๆจากฝีมือช่างกล้องมือสมัครเล่นที่ถ่ายทำกันเอง
เขาค่อยๆเลือกดูภาพทีละภาพจนเจอภาพที่ถูกใจ มือหนาเอื้อมมือไปคว้าโปสการ์ดใบหนึ่งแต่มีมือบางของอีกคนที่คว้าโปสการ์ดใบนั้นพร้อมกัน
“Sorry” ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายซึ่งเป็นสาวร่างโปร่ง ถ้าดูจากใบหน้าของเธอแล้วน่าจะเป็นชาวเอเชีย
ไม่ญี่ปุ่นก็เกาหลีหรือไม่ก็จีนแหละมั้ง เขาคิดในใจ
รูปร่างของเธออาจจะดูตัวเล็กถ้าเทียบกับสาวยุโรปทั่วไปแต่ถ้าเป็นคนไทยหรือเอเชียแล้วต้องเรียกว่ากำลังดีเลยทีเดียว
“That’s alright” คนที่หยิบภาพเดียวกับเขากล่าวตอบพร้อมกับยิ้มให้
เฮ้ย น่ารักเป็นบ้าเลย คนถูกส่งยิ้มตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่...
“Do you like it?” เธอถามเขาเรื่องโปสการ์ดใบนั้น
“Arrr Yes,I think it’s so beautiful, and you?” คนตัวสูงถามกลับ
ร่างโปร่งยิ้มบางๆอย่างดีใจว่าเธอเป็นคนถ่ายภาพนี้ด้วยตัวเธอเองและดีใจที่คนตัวสูงชอบภาพของเธอ
“I’m glad to know that you’re interested in my photo, thank you very much”
สาวร่างโปร่งกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอจะดังขึ้น
เธอกดรับโทรศัพท์พร้อมกล่าวทักทายกับปลายสาย
“สวัสดีค่ะคุณอา”
คนตัวสูงถึงกับแปลกใจอีกครั้งว่าภาษาที่เธอพูดนั้นเป็นภาษาบ้านเกิดเมืองนอนที่เขาจากมาเมื่อวันก่อน
เขารอจนสาวร่างโปร่งพูดคุยธุระเสร็จจึงถามเธออีกครั้ง “คุณเป็นคนไทยเหรอครับเนี่ย”
“อ้าว คุณก็เป็นคนไทยเหมือนกันเหรอคะ แย่จังเลยเนอะ คุยกันเป็นภาษาอื่นตั้งนาน” เธอหัวเราะกับเรื่องเมื่อครู่
แต่ยังคุยได้ไม่ทันไรเธอก็โดนโทรศัพท์ตามตัวอีกครั้ง คราวนี้บทสนทนากลายเป็นภาษาอังกฤษตามเดิม
และดูจะเป็นเรื่องด่วนเสียด้วย เธอกล่าวอำลาเขา “ดีใจที่ได้เจอคุณนะคะ หวังว่าเราจะพบกันใหม่”
“ครับ เช่นกันครับ” คนตัวสูงอยากที่จะพูดมากกว่านั้นแต่ดันทำไม่ได้
น่าเสียดายจังเลยแฮะ ไม่ได้ถามชื่ออะไรเลย พลาดไปซะแล้วเสือเขื่อน
เมื่อเวลานัดรับประทานอาหารมื้อค่ำมาถึง
“สวัสดีครับคุณแม่” คนตัวสูงเข้าไปกอดพร้อมหอมแก้มสาวสูงวัย
“มาถึงก็อ้อนแม่เลยนะ เราน่ะ” คนเป็นแม่เอ่ยอย่างรู้ทัน
“อะไรครับก็ผมคิดถึงคุณแม่นี่นา” ลูกชายตัวดียังอ้อนต่อ
“จ๊ะ แม่รู้แล้ว”มารดาเอ่ยอย่างยิ้มๆ
ชายหนุ่มเพิ่งจะสังเกตว่านอกจากเขาและมารดาแล้วน่าจะมีสมาชิกมาร่วมโต๊ะอีกคน แต่น่าจะยังไม่มา
เขากำลังจะเอ่ยถามมารดาเรื่องที่เขาสงสัย คำเฉลยก็ออกมาพร้อมกับคำทักทายของสาวสูงวัย
“อ้าวหนูเฟย์มาพอดีเลย มานั่งนี่เลยลูก”
ซวยแล้ว...นี่แม่นัดยัยตัวแสบมาเหรอเนี่ย หนุ่มหน้ายาวพยายามหาทางหนีแต่ก็คงจะหนีไม่ได้
จึงจำต้องเผชิญหน้ากับความจริงต่อไป
เขาหันหลังกลับไปทักทายคนที่เพิ่งมาใหม่
และก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อ เธอ คือ ‘คนคนเดียว’ กับผู้หญิงไทยที่เขาได้พบเมื่อตอนกลางวัน
=======================================================
ไม่ได้อัพนานเลยขอโทษด้วยนะคะ พอดีช่วงนี้ยุ่งเหลือเกิน เฮ้อ...
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ