Just a Dream…หรือแค่ฝันไป
เขียนโดย koala
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
13) เกินความคาดหมาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงรถยนต์เคลื่อนตัวช้าๆบนลาดยางหยุดลงตรงหน้าสุสานขนาดใหญ่ที่จัดตามหลักฮวงจุ้ยทุกประการ
ประตูรถเปิดออกเผยให้เห็นโฉมหน้าของผู้มาใหม่
สายตาของผู้สูงวัยที่ดูแลสถานที่อันสงบประจำตระกูลนี้ค่อยๆปรับให้ชัดเพื่อมองใบหน้าของคนที่เพิ่งมาถึงก่อนจะเอ่ยทักทายคนคุ้นเคย “สวัสดีครับคุณโทโมะ วันนี้ลมอะไรหอบคุณมาครับเนี่ย”
หนุ่มหน้าหวานผู้มาใหม่โคลงหัวอ่อนๆพร้อมตอบคำถามแบบแก้เก้อไปว่า “พอดีผมผ่านมาแถวนี้ เลยแวะเข้ามาไหว้พวกท่านหน่อยครับ” ก่อนจะเดินไปหยิบธูปจุดตามธรรมเนียม
คนสูงวัยยืนรอว่ามีอะไรขาดเหลือเผื่อจะช่วยได้ แต่ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาก่อนที่คนวูงวัยจะถามอะไรเพิ่ม
“ลุงชาติมีอะไรก็ไปทำเถอะครับ ผมอยู่คนเดียวได้ ถ้ามีอะไรผมจะเรียกอีกที”
“ครับ ถ้างั้นลุงขอตัวก่อนนะ” ชายสูงวัยทำตามคำสั่งแต่โดยดี
หนุ่มหน้าหวานยืนนิ่งจ้องมองไปยังหินที่สลักชื่อบรรพบุรุษที่เคารพ ร่างโปร่งค่อยๆทรุดตัวลงคุกเข่าก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมมีเรื่องจะสารภาพครับ”
“รถของบริษัท ไม่สิรถของคุณแม่เกิดอุบัติเหตุครับ เป็นรถคันเก่าที่จอดทิ้งไว้ที่บริษัทไม่ได้มีคนใช้มานานแล้ว แต่วันนั้นผมก็ไม่ทราบว่ามีเหตุอะไรรถคันนั้นจึงถูกนำมาใช้ และคนที่ขับมันก็คือนายป๊อปปี้ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานบอกว่ามีชิ้นส่วนบางอย่างของเครื่องยนต์สูญหายไปซึ่งอาจเป็นเหตุให้รถเกิดอุบัติเหตุได้ เขาจึงจำเป็นต้องสืบหาผู้กระทำผิดและผู้ต้องสงสัยก็คงไม่พ้นผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของรถอย่างคุณแม่รวมทั้งตัวผมด้วย แต่ผมขอสาบานตรงนี้ต่อหน้าทุกคนเลยนะครับว่า ผมและคุณแม่ไม่มีทางทำอะไรป๊อปปี้แน่นอน ถ้าผมทำจริงขอให้ผมมีอันเป็นไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ส่วนคุณแม่ท่านอยากให้ผมขึ้นเป็นเสาหลักของบริษัทแทนเพราะตอนนี้ท่านคิดว่าป๊อปเหลวไหลหายตัวไปไหนไม่รู้ ทำให้บริษัทขาดผู้นำ ผมรับปากว่าจะช่วยเพียงชั่วคราว เพราะผมคงยังมีความหวังลึกๆอยู่มั้งครับว่านายป๊อปจะกลับมาบริหารพี.ซี.กรุ๊ปได้เหมือนเดิม” ชายหนุ่มทอดหายใจอ่อนๆอย่างคนปลงตกก่อนจะเล่าถึงอาการคนป่วย
“ผมลืมบอกอาการของนายป๊อปไป ตอนนี้ป๊อปปี้อยู่ในอาการโคม่านอนไม่ได้สติมาร่วมเดือน และยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นเลยสักนิด คุณหมอบอกว่าอาการเป็นตายเท่ากัน แต่ผมจำเป็นต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นและความมั่นคงของบริษัท รวมทั้งป้องกันผู้ไม่หวังดีที่กำลังจ้องจะทำลายบริษัทของเราอีก แต่ถ้าเหตุการณ์มันดำเนินไปอย่างนี้เรื่อยๆผมไม่รู้ว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้นานเท่าไหร่ ผมควรทำยังไงดีครับ” คำถามที่คงจะมีเพียงความเงียบสงัดเป็นคำตอบ
ใช่...เขาเพียงต้องการมาระบายความทุกข์ในใจและเรื่องบางเรื่องที่ไม่อาจจะบอกเล่าหรืออธิบายให้ใครฟังได้
เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้นที่ได้ปลดปล่อยมันออกมาแม้ทางที่จะไปต่อยังคงมืดมิดไม่เห็นแม้แต่แสงรำไรของทางออกก็ตาม
“คุณรับปากว่าจะช่วยแล้วทำไมไม่ทำถาวรเลยล่ะคะ” เสียงใสลอยมากระทบโสตประสาทของคนที่นั่งคุกเข่าสารภาพความจริง
ชายหนุ่มหันขวับกลับมามองที่ต้นเสียงแล้วอดแปลกใจไม่ได้ถึงคนที่ตามมา
สาวหน้าหวานยิ้มบางๆแทนการทักทายผู้ที่มาก่อน
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง คุณสะกดรอยตามผมมาหรอ คุณต้องการอะไร” เขาชันกายยืนขึ้นแล้วสาวเท้ามาทางต้นเสียงพร้อมยิงคำถามใส่เธออีกเป็นชุด
สาวที่ถูกยิงคำถามรัวยืนนิ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบคำถาม “เอาล่ะ ฉันจะตอบคำถามคุณทีละคำถาม”
“ฉันมาที่นี่ยังไง ตอบฉันขับรถมา นั่นไง” สาวหน้าหวานตอบแบบกวนอารมณ์คนฟังเล็กน้อย
“สองคุณกล่าวหาว่าฉันสะกดรอยตามคุณมา ฉันขอปฏิเสธ มีคนบอกทางฉันมาต่างหาก” เธอพูดพร้อมยักคิ้วให้คนฟังก่อนหลิ่วตามองคนนำทางตัวจริงที่ไม่มีใครเห็นที่ยืนอยู่เยื้องไปทางซ้ายของเธอหรือยืนอยู่ข้างคนตั้งคำถามนั่นแหละ
“สาม...” ยังไม่ทันที่คำตอบจะหลุดออกมาจากปากแพทย์สาวคนสวย เสียงของคนที่มาก่อนก็ขัดขึ้นมาพร้อมคำถามใหม่
“เดี๋ยว คุณบอกว่ามีคนบอกทางคุณ ใคร” สร้างความลังเลให้สาวผู้มาใหม่เล็กน้อย
“ผมว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ คุณบอกเขาไปเถอะ” เสียงหนุ่มล่องหนบอกให้สาวหน้าหวานเผยความจริง
“คนที่บอกทางฉันมาที่นี่ก็คือ คุณภาณุ น้องชายของคุณไงล่ะ” ข้อความที่ได้รับฟังทำให้ผู้ที่มาก่อนเกิดอาการสับสนอย่างหนัก
“ภาณุ นายป๊อปน่ะเหรอ เขาฟื้นแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มแสดงท่าทีดีใจและเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
สาวหน้าหวานสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนผ่อนลมหายใจออกช้าๆเพื่อเริ่มเล่าเรื่องราวที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นให้กับหนุ่มร่างโปร่งฟัง “เอาเป็นว่าถ้าฉันขอให้คุณฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าให้จบก่อนแล้วค่อยถามละกัน ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณ”
คนฟังพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“สิ่งที่ฉันจะบอกคุณมันอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากไปสักนิด เพราะฉันเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน”
จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวของหนุ่มล่องหนให้กับคนตรงหน้าฟัง
เรื่องเล่าของสาวหน้าหวานกลับทำให้คนฟังเริ่มสับสนและงุนงงมากขึ้น
นี่เราจะเชื่อคำพูดของเธอได้มากแค่ไหนกันนะ...
เขาคิดไตร่ตรองอีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งก่อนที่โรงพยาบาลรวมทั้งวันนี้อาจจะทำให้เขาต้องระวังในตัวเธอมากขึ้น
“ผมว่าโทโมะยังไม่เชื่อคุณเท่าไหร่นะ” หนุ่มร่างหนาเดินมากระซิบบอกหญิงสาวที่รัก
“แล้วป๊อปจะให้ฟางทำไงเล่า” เสียงหวานตอบกลับอย่างเคืองเล็กน้อยเพราะเธอก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว
“คุณคุยกับใครอยู่น่ะ มีคนมากับคุณใช่ไหม” คนที่ยืนนิ่งอยู่เมื่อครู่เริ่มสงสัยอาการผิดปกติของสาวร่างเล็ก
“ใช่ค่ะ แต่จะเรียกว่าคนก็ไม่เชิง” คำพูดของหญิงสาวยิ่งทำให้หนุ่มหน้าหวานเกิดคำถามมากขึ้นเป็นทวีคูณ
“คุณหมายความว่าไง”
“ก็เพราะว่าเขาไม่ใช่คนน่ะสิ” สาวหน้าวานตอบกลับ
“ไม่ใช่คน” คนฟังทวนความช้าๆก่อนจะได้สติและขนลุกเกรียวไปทั่วตัว “เฮ้ย...นี่คุณคุยกับผ...ผ...ผีเหรอ”
สาวหน้าหวานนึกขันกับอาการของหนุ่มหน้าหวานที่หลุดมาดอย่างผิดวิสัย “ไม่ใช่ผี แต่เป็นวิญญาณของคุณภาณุต่างหาก”
“ค...ค...คุณหมายความว่าน...น...นายป๊อปอยู่...อยู่ที่นี่เหรอ” เขาพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักพร้อมหันมองไปรอบๆอย่างเด็กน้อยที่กำลังหวาดกลัว
สาวหน้าหวานไม่แพ้ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันความถูกต้อง
“คุณไม่ต้องตกใจไป เขาไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงๆน่ะ” สาวหน้าหวานพูดคลายความกังวลแต่ก็ไม่วายจับผิดคนตรงหน้าอีก
“ผมบริสุทธิ์ใจ” คนตรงหน้าเธอยืนยันเสียงแข็ง
“ตอนนี้เขาอยู่ตรงไหน” หนุ่มหน้าหวานถามหาคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้
ร่างเล็กบุ้ยปากไปในทิศที่หนุ่มล่องหนยืนอยู่ก่อนที่ชายร่างโปร่งจะหันไปทางนั้น
“ป๊อป ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันยืนอยู่ตรงหน้าแกแล้วนะ ฉันดีใจที่แกยังไม่ตาย ทุกคนรอแกกลับไปทำงาน กลับไปนำพี.ซี.กรุ๊ปอีกครั้ง ไม่ว่าตอนนี้แกจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ตราบใดที่ลมหายใจยังไม่หมดสิ้นเราก็ยังมีความหวังไม่ใช่เหรอ ฉันเชื่อว่าแกจะต้องฟื้น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ฉันขอโทษถ้าทำอะไรผิดพลาดไป ขอโทษที่มีส่วนทำให้แกต้องเจ็บสาหัส ขอโทษที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่รับปากแกไว้ได้” ประโยคสุดท้ายสร้างความแปลกใจให้กับคนที่เล่าเหตุการณ์เมื่อครู่เล็กน้อยว่ายังคงมีเรื่องลับสุดยอดระหว่างพี่น้องตระกูลนี้อีก
“ฟางช่วยพูดตามที่ป๊อปพูดตอบเขาได้ไหม” วิญญาณหนุ่มหน้าเข้มขอร้องสาวร่างเล็กอีกครั้ง เธอพยักหน้าตอบด้วยความเต็มใจ
“เรื่องนั้นน่ะ ช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว ฉันไม่คิดอะไรแล้ว ถือว่าพิมพ์เขาไปสบาย มีแต่พวกเราที่ยังอยู่ในวงเวียนแห่งกรรมนี้ต่อไป ส่วนเรื่องที่ทำให้ฉันต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่เกี่ยวกับแกหรอก มันคงเป็นกรรมของฉันเองที่จะได้อยู่บนโลกใบนี้ได้แค่นี้” สาวร่างเล็กพูดตามคำพูดของชายหนุ่มทุกถ้อยคำ และก็อดสงสัยไม่ได้ว่าชื่อ “พิมพ์” ที่คนรักของเธอเอ่ยถึงนั้นคือใครกัน
ด้านหนุ่มหน้าหวานที่รับฟังเรื่องราวจากทายาทร่วมสายโลหิตผ่านปากของแพทย์สาวก็มั่นใจว่าหญิงสาวตรงหน้าคงจะไม่โกหกหลอกลวงเขาแต่อย่างใด ถึงเรื่องที่ของป๊อปปี้ที่เธอเล่าให้เขาฟังมันยากจะเชื่อไปหน่อยก็เถอะ แต่เรื่องที่เขาพูดไปเมื่อครู่ เรื่องของหญิงสาวอันเป็นที่รัก คงจะยืนยันได้ว่าทายาทคนสำคัญอยู่ที่นี่จริง เพราะมีเพียงเขาและป๊อปปี้เท่านั้นที่รับรู้เรื่องนี้
“แต่เดี๋ยวนะ แกหมายความว่ายังไงที่บอกว่าจะอยู่บนโลกได้แค่นี้” หนุ่มหน้าหวานเริ่มสะดุดกับประโยคสุดท้าย
วิญญาณหนุ่มพยักหน้าให้สาวหน้าหวานอย่างรู้กันว่าจะต้องทำอะไรต่อ
“ฉันมีเรื่องอยากจะให้แกสัญญาอีกเรื่องแทนเรื่องที่แกทำไม่ได้” หญิงสาวพูดตามคำบอกของหนุ่มล่องหนอีกครั้ง
“เรื่องอะไร” หนุ่มหน้าหวานถามอีกรอบ
“บริหารพี.ซี.กรุ๊ป” คนฟังมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีก่อนจะสวนกลับอย่างเคืองๆ
“แกจะบ้าเหรอ ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันไม่รับปากแกหรอก แกต้องกลับไปทำหน้าที่ประธานบริษัทของแกสิ ฉันขอยืนยันกับแกอีกครั้งนะไอ้ป๊อป คนที่จะบริหารพี.ซี.กรุ๊ปมีเพียงนายภาณุ จิระคุณคนเดียวเท่านั้น”
“ฉันไม่ได้บ้าแต่ฉันคงจะกลับไปทำหน้าที่นั้นไม่ได้แล้ว เวลาของฉันเหลืออีกไม่กี่วัน ถ้าฉันยังกลับเข้าร่างไม่ได้ แกเตรียมเป็นประธานพี.ซี.กรุ๊ปคนต่อไปได้เลย” ข้อความที่ได้ยินยิ่งทำให้หนุ่มหน้าหวานแทบช็อคก่อนจะเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง
“แกเหลือเวลาอีกเท่าไหร่นะ” หนุ่มหน้าหวานถามขึ้นพลางคิดหาหนทาง
“9 วัน” สาวหน้าหวานตอบแทนทายาทผู้ล่องหน
“งั้นเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้วล่ะ” เสียงโทโมะดูกระตือรือร้นเหมือนมีแผนการบางอย่างอยู่
“ผมเคยอ่านหนังสือมาเล่มหนึ่ง ตอนนั้นผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก อ่านแบบขำๆ ไม่รู้จะช่วยได้ไหม แต่มาถึงขั้นนี้เราไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยต่อ
โทโมะเล่าแผนการของเขาให้ทั้งสองฟังก่อนที่ทั้งหมดจะเริ่มดำเนินการ แม้จะไม่มีใครมั่นใจว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ไม่ลองก็คงไม่รู้...
ระหว่างที่หนุ่มสาวผู้มาทีหลังแยกตัวจากหนุ่มหน้าหวานเพื่อกลับมาขึ้นรถของตนเอง หนุ่มร่างหนาก็เริ่มสังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติไปของสาวคนรัก
“ฟางเป็นอะไรหรือเปล่า” สาวร่างเล็กส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมไม่พูดกับป๊อปล่ะ” คนถามเริ่มรู้สึกว่ามันผิดวิสัย
“ไม่มีอะไร” เธอตอบแบบเลี่ยงๆแต่ไม่บอกก็รู้ว่ามันต้องมีอะไร
ชายหนุ่มแกล้งกล่าวลอยๆบ้าง “ทำไมแฟนป๊อปถึงได้ขี้งอนอย่างนี้นะ”
“ใครแฟนนายไม่ทราบ” สาวหน้าหวานสวนกลับทันควัน
แบบนี้สิถึงเรียกว่าปกติ หนุ่มหน้าเข้มคิดในใจพร้อมกับตอบกลับไปบ้าง
“แฟนป็อปก็คนนี้ไง” ชายหนุ่มชี้นิ้วมาที่ตัวเธอ แก้มของสาวสวยเป็นสีแดงอมชมพูบ่งบอกถึงอาการเขินอาย
หนุ่มหน้าเข้มรีบชิงจังหวะถามต่อ “สรุปฟางโกรธอะไรป๊อปบอกได้ยังครับ”
“ไม่ได้โกรธ” สาวหน้าหวานยืนยันก่อนจะเปิดเผยความจริง “แค่สงสัยบางอย่าง”
“สงสัยอะไรเหรอครับ” คิ้วของหนุ่มหน้าเข้มเริ่มผูกโบว์
“คนที่ป๊อปกับคุณโทโมะพูดถึงคงจะสำคัญมากเลยสินะ” ชายหนุ่มนึกอยู่ชั่วครู่ว่าเขาพูดถึงใครที่ทำให้สาวหน้าหวานเฉยชาไปอย่างนั้นก่อนที่จะถึงบางอ้อ
โธ่เอ๋ย...ที่แท้ก็หึงนี่เอง ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างอย่างเริงร่า
.........................................................
หนุ่มหน้าหวานเดินสำรวจงานรอบตัวบ้านที่กำลังลงมือตกแต่งใหม่อย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดว่ามันจะสวยงามได้ถึงเพียงนี้ก่อนที่จะมาหยุดดูเจ้าของผลงานที่กำลังทำงานอย่างแข็งขัน เขาเผลออมยิ้มออกมา
“คุณหนูยิ้มอะไรอยู่หรือครับ” คนสวนคนสนิทของเขาถามด้วยความสงสัยก่อนจะตามสายตาของเจ้านายที่ทอดมองอยู่จึงเข้าใจ
“อะไรครับลุง ผมแค่ยิ้มชื่นชมผลงานเฉยๆ” เจ้านายรีบแก้ตัวแต่คนสูงวัยกลับยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“คุณแก้วนี่ขยันมากเลยนะครับ แถมน่ารักอีกต่างหาก” ผู้อาวุโสกว่ากล่าวชมต้นเหตุแห่งรอยยิ้มที่กำเนิดบนใบหน้าชายหนุ่ม
“จะทำอะไรก็รีบทำนะครับคุณหนู เดี๋ยวจะโดนตัดหน้าไปเสียก่อน” ผู้มีประสบการณ์กล่าวทิ้งท้ายก่อนไปทำงานต่อ
ชายหนุ่มหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะสลัดความคิดนั้นออกไปพร้อมก้าวไปหาเจ้าของผลงาน
“แก้วว่าเดี๋ยวตรงบันไดเราเอารูปนี้ไปแขวนไว้ด้วยดีกว่าค่ะลุง” เสียงสถาปนิกสาวออกคำสั่งแก่ลูกมือที่มาช่วย
“นี่คุณไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องบ้างหรือครับ” เจ้าของบ้านทักทายลูกจ้างสาวที่กำลังขะมักเขม้นทำงานอยู่
“ก็จวนแล้วล่ะค่ะ คิดว่าถ้าแก้ตรงนี้เสร็จฉันก็จะกลับแล้ว” สาวร่างสูงตอบกลับ
“แล้วคุณจะกลับยังไงล่ะ” หนุ่มหน้าหวานถามอย่างเป็นห่วง
“อ๋อ เดี๋ยวคงกลับแท็กซี่แหละค่ะ” เธอบอกไปตามตรง
“ดึกแล้วอันตราย เดี๋ยวผมไปส่งดีกว่า ห้ามปฏิเสธด้วยเพราะผมก็จะกลับบ้านเหมือนกัน” เจ้าของบ้านเสนอแกมบังคับ
“อย่างนี้เขาเรียกว่ามัดมือชกหรือเปล่าคะ” สถาปนิกสาวประชด
“จะคิดอย่างนั้นก็ได้ ผมคงไม่มีสิทธิ์ห้ามคุณอยู่แล้ว” นายจ้างยักไหล่กวนเล็กน้อย
“อะไรนะคะแม่ พรุ่งนี้เหรอคะ” น้ำเสียงตกใจจากสาวร่างสูงที่กำลังคุยโทรศัพท์ทำให้คนขับรถเสียสมาธิไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามเงี่ยหูตั้งใจฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เหมือนจะไม่เป็นผล
“ช่วงนี้แก้วไม่ว่างเลยค่ะแม่ เอาไว้แก้วว่างก่อนค่อยว่ากันอีกทีนะคะแม่” หญิงสาวพยายามตัดบทสนทนาเรื่องที่เธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับมารดา
“เออ...แม่คะว่าไงนะคะ...ฮัลโหล...แม่คะพอดีฝนตกสัญญาณมือถือไม่ค่อยดีเลย แค่นี้ก่อนละกันนะคะแม่” เธอรีบชิงกดวางสายก่อนที่คนปลายสายจะรู้ทันการเล่นละครของเธอ
“เล่นซะเนียนเลยนะคุณ” คนขับรถหน้าหวานแซวขึ้น
“ท่าทางจะเรื่องใหญ่นะเนี่ยถึงต้องชิ่งหนีก่อนแบบนี้” เขากล่าวอย่างรู้ทันเพราะคนอย่างเธอเป็นมักไม่ยอมใครพร้อมชนทุกสถานการณ์
คนฟังยังคงนั่งนิ่งชั่งใจว่าจะเล่าให้คนที่ขับรถอยู่ฟังดีหรือไม่
“ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรหรอกคุณ ถ้ามีปัญหาอะไรที่ผมพอช่วยได้ก็บอกแล้วกัน” เขาเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาของเธอ
หลังจากที่สาวร่างโปร่งนั่งคิดหาทางออกอยู่นานพอควรแต่ก็ยังไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้ เธอจึงตัดสินใจเปิดปากเล่าเรื่องบางส่วนให้หนุ่มหน้าหวานฟัง “คือว่าแม่ฉันจะนัดฉันไปดูตัว”
“ฮะ อะไรนะ ดูตัวเหรอ” คนฟังกล่าวอย่างขำๆ
“ฉันไม่ขำนะคุณ แม่ฉันจริงจังมาก” คนเล่ายังคงเครียดต่อ
“ก็เดี๋ยวนี้มันยังมีคลุมถุงชนกันอีกเหรอ ผมว่ามันล้าสมัยไปแล้ว หรือแม่คุณกลัวคุณขึ้นคานขนาดนั้นเลย” ที่ปรึกษายังไม่วายแซวต่อ
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ฉันขึ้นคานก็ดีกว่าโดนจับแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักนะ” หญิงสาวตอบกลับเสียงแข็ง
“คนคนนั้นเขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้นะ ไม่อย่างนั้นแม่คุณคงไม่เลือกให้มาแต่งงานกับคุณ” ชายหนุ่มพยายามพูดคลายกังวลให้กับคนเขาที่อาสาช่วย
“ดีไม่ดีฉันไม่รู้หรอกนะ แต่เรื่องของหัวใจเนี่ยฉันว่ามันบังคับกันไม่ได้จริงไหมคุณ” เธอถามกลับอย่างตรงใจคนฟังเป็นอย่างยิ่ง
นั่นสินะเรื่องของหัวใจบังคับกันไม่ได้...
เสียงรถยนต์คันหรูเคลื่อนมาจอดบริเวณหน้าบ้านสองชั้นขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะกับสาวทำงานยุคใหม่
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เจ้าของบ้านสาวเอ่ยคำขอบคุณแก่ผู้ว่าจ้างของเธอ
“ไม่เป็นไรครับ บ้านคุณน่ารักดีนะ ดูมีสไตล์ดี” เขากล่าวชมการจัดแต่งบ้านที่ดูจากภายนอก
เธอยิ้มรับแทนการขอบคุณคำชมพร้อมหันไปหยิบของที่วางด้านหลังรถ
“ของคุณเยอะเดี๋ยวผมช่วยถือไปส่งละกัน” คนมาส่งเอี้ยวตัวไปช่วยแต่กลับเป็นจังหวะที่สาวร่างโปร่งกำลังหันหน้ากลับมาพอดี หน้าของทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่เซนต์ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่าย เสียงหัวใจของหนุ่มสาวเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะ ความร้อนเริ่มปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ จนในที่สุดสาวร่างโปร่งก็เรียกสติที่เกือบจะหลุดลอยเบือนหน้าออกมาก่อน
“ขอบคุณนะคะ คุณก็ขับรถขับดีๆนะ” เธอเสหน้าไปอีกทางด้วยความเขินอายก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถไปทิ้งให้คนที่นั่งอยู่ในรถถามตัวเองว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นคืออะไรกันแน่
ฝั่งสาวที่เพิ่งลงจากรถรีบมาเปิดประตูบ้านก่อนจะต้องตกตะลึงเมื่อเธอพบว่ามารดาของเธอนั่งรออยู่บริเวณห้องรับแขก
“แม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” ลูกสาวแกล้งทำใจดีสู้เสือพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
“เมื่อเย็นนี้เองแหละจ๊ะ แล้วเราเป็นไงบ้างทำไมกลับซะดึกดื่นเลย” คนเป็นแม่ถามด้วยความห่วงใย
“พอดีมีงานเร่งนิดหน่อยน่ะค่ะแม่ เลยต้องอยู่เคลียร์นิดหน่อย” สาวร่างสูงตอบ
“เราน่ะมัวแต่ทำงาน แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานสักทีเล่า” มารดาแกล้งโยนหินถามทางว่าลูกสาวจะมีท่าทีอย่างไรบ้างแต่ก็ดูไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างที่คนสูงวัยต้องการ
“เรื่องนั้นแก้วว่าไว้ก่อนก็ได้มั้งคะแม่ ตอนนี้แก้วยังสนุกกับงานอยู่เลย” ลูกสาวเริ่มชิงตัดบท
“ไม่เอาน่า เราก็อายุอานามพอสมควรแล้วนะลูกไม่คิดจะมองๆใครไว้บ้างเหรอ” มารดายังคงซักไซ้ต่อ
“นี่แม่มีคนอยากแนะนำให้แก้วรู้จักนะ คนนี้แม่มั่นใจว่าแก้วต้องรู้จักดีเลยล่ะ” คนสูงวัยเสริมต่อแต่ลูกสาวจอมแก่นเริ่มทำสีหน้าบอกบุญไม่รับและพยายามจะหลบเลี่ยงแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะมารดาได้พาเขาคนนั้นมาถึงที่แล้ว
“นี่ไงจ๊ะ มาพอดีเลย” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หน้าเข้มคมสันเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมส่งยิ้มให้คนสูงวัยและสาวร่างสูง
“สวัสดีครับน้องแก้ว ไม่ได้เจอกันนานเลย ยิ่งโตยิ่งสวยนะเราเนี่ย” เขาเอ่ยชมเจ้าของบ้านอย่างเป็นมิตร
ลูกสาวจอมแก่นได้แต่ช็อคค้างอีกรอบกับชายหนุ่มที่มารดาพามาให้พบ
เขา...เป็นคนที่เธอรู้จักดี และคงไม่มีวันที่จะลืมผู้ชายที่ยืนตรงหน้าเธอคนนี้ไปได้
“พี่ป้อง สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ
==================================================
ไม่รู้จะสารภาพบาปยังไงดี แหะๆ พอดีช่วงนี้เนตไม่ค่อยเป็นใจซักเท่าไหร่ ขออภัยทุกท่าน (กราบรอบทิศ)
ยังไงก็จะพยายามอัพให้เร็วที่สุดนะคะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเนตจะนำพารึเปล่า T^T
ไปแล้ว คืนนี้ ฝันดีทุกคน ขอบคุณที่ติดตามนะคะ กราบรอบทิศอีกรอบ ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ