Rumor เหมือนเป็นข่าวลือ
เขียนโดย StrawberryTKCuTe
วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20.21 น.
แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2557 22.21 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
31) ความในใจของแก้ว FFK...1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ความในใจของแก้ว FFK…1
“โทโมะ...อย่าให้มันมากไปกว่านี้ หยุดได้แล้ว” ฉันผลักร่างสูงออกและพยายามย้ำเตือนถึงสถานะระหว่างเราในตอนนี้ ถึงแม้จะเจ็บปวดในใจแค่ไหนก็ตาม
“แก้วนั่นแหละหยุดได้แล้ว! เลิกคิดถึงเรื่องของผู้หญิงคนนั้นซะทีต่อให้แก้วพยายามจะผลักไสให้โทโมะไปหมั้น ไปรัก ไปอะไรๆกับเขาก็ตาม...ขอบอกว่าไม่ได้ผล”
“ไม่คิดจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองหน่อยหรือไงคนโลเล...”
“ไม่สักนิด” ผู้ชายนิสัยไม่ดีตอบกลับได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่ลังเลสักนิดในคำตอบของตัวเอง เหอะ...เขามันงี่เง่าที่สุดโนสามโลกเลยจริงๆ
“ไม่อยากจะพูดด้วยแล้วนะ ทำแผลเสร็จแล้ว...กลับไปเถอะ แก้วอยากพักผ่อน เหนื่อย!”
“ก็บอกสิ...ว่าเราจะเป็นเหมือนเดิม”
“...”
“ได้มั้ย...” น้ำเสียงนุ่มละมุนนั่นเอ่ยขึ้นแกมขอร้องฉัน แววตาของเขาทอดมองฉันอย่างอ่อนโยนจนฉันรู้สึกได้ จะให้พูดยังไงดีละ...โทโมะเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันรักเลยก็ว่าได้นะ มันบอกไม่ถูกจริงๆว่าทำไมฉันถึงรู้สึกกับเขาแบบนี้ไม่เลิกราเสียที
ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน...พวกเราได้มารวมตัวกันร้องเพลงและเล่นดนตรีในนามของค่ายเพลงวัยรุ่นชื่อดังของประเทศไทยอย่างกามิกาเซ่ ฉันได้พบเจอเพื่อนใหม่นับหลายสิบชีวิต ได้กิน นอน ร้องเพลงและทำกิจกรรมร่วมกันจนกลายเป็นว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปแล้ว
ฉันได้ร่วมงานกับเฟย์และฟางสองพี่น้องในนามของวง เฟย์ ฟาง แก้ว และนอกเหนือจากนั้นก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆวงอื่นมากขึ้น ส่วนเรื่องระหว่างฉันกับเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่นะเหรอ...มันคงยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด ฉันรู้ดีว่าเขาเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งนักและตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าไปพูดคุยกับเขาก่อน หลายคนคงมองว่าฉันเป็นผู้หญิงก๋ากั่นที่เข้าไปทำความรู้จักกับผู้ชายก่อนแบบนั้น...
แต่เปล่าเลย...ตอนนั้นฉันยังเด็กแล้วก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่นให้ปวดหัวนอกเสียจากอยากทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่ในอนาคตเราอาจต้องร่วมงานกัน แน่ล่ะ! เราอยู่บ้านหลังเดียวกันนี่นา เพราะงั้นฉันจึงต้องผูกมิตรเอาไว้ดีกว่าทำตัวเย่อหยิ่งไม่ใช่เหรอ?
“หวัดดี นาย...” นั่นเป็นประโยคแรกที่ฉันทักเขาไปหลังจากที่ฉันเห็นเขาหลบมานั่งอยู่คนเดียวในส่วนของห้องพักศิลปิน
ใบหน้าอ่อนใสของผู้ชายลูกครึ่งผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีดำเหลือบน้ำตาลซอยรากไทรตามแบบฉบับนักร้องวัยรุ่นสุดเท่เงยขึ้นมองฉันด้วยแววตานิ่งเฉย ถึงแม้จะเป็นผู้ชายแต่ใบหน้าของเขาดูหวานเกินจนฉันคิดว่าผู้หญิงหลายๆคนคงต้องอิจฉาไม่เว้นแม้กระทั่งฉัน ก็ตอนนั้นน่ะฉันค่อนเหมือนผู้หญิงซะที่ไหนกัน...
เพื่อนๆหลายคนยังมองว่าฉันเป็นทอมเลยด้วย ไม่อยากจะบอก! แต่ช่างเถอะ แก้ตัวไปพวกนั้นก็คงไม่เชื่อหรอก แต่โทโมะ ‘น่ารัก’ จริงๆนะ ฉันรู้มาว่าเขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นด้วยล่ะ ถึงจะดูผอมบางไปนิด...ยังไงซะองค์ประกอบโดยรวมทั้งหน้าตาและความสามารถก็กินขาดอยู่แล้ว
“นี่ๆ ฉันว่าถ้านายออกกำลังกายสักนิดนะ...หุ่นนายต้องแมนจนคนอื่นๆอิจฉาแน่ๆ” ฉันคุยจ้อแม้เจ้าตัวจะยังไม่ปริปากพูดอะไรกับฉันสักคำ ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยมองฉันเหมือนตัวประหลาดจนฉันก็ชักจะฟิวขาดเหมือนกัน
ดูท่าจะหยิ่งไม่เบาเลยแฮะ!
“เธอชื่ออะไร?” ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายถามฉันขึ้น นั่นคงไม่ใช่เพราะว่าเขารำคาญที่ฉันพูดมากหรอกนะ แต่ยังไงก็ดีกว่าการที่เขาเงียบเฉยไปเลยไม่ใช่เหรอ
“ฉันชื่อแก้ว ยินดีที่ได้รู้จักนะ โทโมะ เคโอติค”
“เช่นกัน แก้ว...F F K” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายของวันที่เราได้คุยกน จากนั้นเราทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป
เวลาผ่านไปนานถึงหนึ่งปีแล้วความสัมพันธ์ของฉันกับเพื่อนๆในค่ายเป็นไปอย่างราบรื่นดี เพราะฉันเองก็เข้าได้กับทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว ช่วงนั้นฉันออกจะซนแล้วก็ทโมนเหมือนเด็กผู้ชายซะมากกว่า เวลาอยู่กับแก๊งค์เคโอติคฉันก็จำเป็นจะต้องทำตัวกลมกลืนกับพวกนั้นโดยเฉพาะกับเขื่อนเราสองคนสนิทกันจนเรียกได้ว่าแทบจะตบหัวกันได้เลยทีเดียว
และอีกคนก็คือ...โทโมะไง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพูด แล้วก็เงียบซะเป็นส่วนใหญ่แต่เอาเข้าจริงแล้วเขาก็ขี้เล่นไม่เบาเลยนะ แต่เขาก็มักจะไม่ค่อยแสดงออกกับใครเท่าฉัน คงจะเป็นเพราะว่าโทโมะมองฉันเป็นเหมือนเพื่อนผู้ชายเสียมากกว่า แถมเรายังถูกเพื่อนๆและแฟนคลับล้อว่าเป็นคู่แฝดกันเสียด้วย คงเป็นเพราะหน้าเราคล้ายๆกันล่ะมั้ง ก็ช่วงนั้นฉันซอยผมสั้นด้วยนี่นา
“ผีดิบ...ยิ้มหน่อยยยย~” ฉันเอื้อมมือไปหยิกแก้มเขาให้เผยยิ้มออกมาซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากเลยทีเดียว และคงไม่ต้องให้ฉันบอกว่าฉายา ‘ผีดิบ’ ของเขาได้มายังไง ก็ดูนิสัยเจ้าตัวสิ! ทั้งเย็นชา ทั้งเงียบเชียบขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องเอาตัวเองเข้าไปสนิทกับเขาด้วย
คงมีบางอย่างที่ฉันกับเขาจูนติดกันล่ะมั้ง...
“ผู้หญิงอะไร...ซนจัง” เขาว่าพลางทำคิ้วขมวดมุ่นแต่ก็ยอมยิ้มออกมานิดๆ สงสัยจะพ้นรำคาญฉันอีกเป็นแน่ แต่เขาก็ดูเป็นผู้ชายที่น่ารักดีนะ ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาจริงๆจะรู้เลยว่าโทโมะไม่ได้เป็นคนเงียบแล้วก็หยิ่งอย่างที่คิด เขามีอะไรที่ซ่อนอยู่ภายในมากกว่านั้น
“แก้วไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา...” ประโยคถัดมาของเขาทำเอาฉันต้องหุบยิ้มลงทันใด พูดจากวนประสาทแบบนี้แปลว่าเขาต้องการจะหาเรื่องฉันงั้นสินะ ผีดิบอะไรร้ายกาจที่สุดในโลกเลย
เราเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆและพักหลังๆหลายคนคงเห็นว่าฉันกับเขาอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นจนเรียกว่าเรากลายเป็นเพื่อนซี้ต่างเพศกันเลยก็ว่าได้ พอสนิทกับเขาจริงๆโทโมะก็ดูจะพูดเก่งกว่าที่ฉันคิดไว้มาก ชวนฉันคุยโน่นนี่จนบางทีฉันยังต้องยอมแพ้เลย คิดมาถึงตรงนี้แล้วฉันเองก็รู้สึกใจหายแปลก...รอยยิ้มที่แสนจริงใจของเพื่อนคนเก่าคนนี้เลือนหายไปพร้อมกาลเวลาแล้ว
มันหายไปพร้อมๆกับวันที่เราตัดสินใจเลิกใช้คำว่า ‘เพื่อน’ กัน...
ฉันมองหน้าเขาแล้วอดที่จะนึกย้อนกลับไปวันนั้นไม่ได้ วันที่เราเคยมีความสุข สนุกกันในแบบที่เพื่อนคนนึงจะมีให้กันได้ เราสนิทกันมากจนเพื่อนร่วมค่ายหลายๆคนต่างก็แซวจนกลายเป็นจิ้นกันไปในที่สุด รวมถึงบรรดาแฟนคลับที่ชื่นชอบผลงานของพวกเราด้วย พวกเขาพยายามเชียร์ให้ฉันกับโทโมะคบกันแบบแฟนเลยล่ะ
ตอนนั้นฉันรู้สึกขำมากๆเลย ฉันจะเป็นแฟนกับโทโมะได้ยังไงในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยพวกเขายังแสดงให้เห็นว่ายังติดตามผลงานของเราทั้งคู่อยู่ ไม่ว่าฉันกับโทโมะจะอยู่ในสถานะอะไรก็ตาม มันก็ตลกดีนะที่อยู่ๆวันนึงมีคนมาบอกฉันว่า...พี่แก้วกับพี่โทโมะน่ารักมากเลย เป็นแฟนกันเถอะพวกเราเชียร์นะ
ตอนนั้นฉันเองก็ทำหน้าไม่ถูก พอนึกไปถึงหน้าอีกฝ่ายฉันก็ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เรื่องของฉันกับเขาดูท่าจะบานปลายมากเลยทีเดียว ทั้งที่ฉันกับเขาก็พยายามปฏิเสธว่าเราสองคนเป็นเพียงแค่เพื่อนกันจริงๆ แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อกันนะ...เอาเถอะ ฉันจะถือว่านั่นคือกำลังใจเล็กๆที่พวกเขามีให้ฉันกับโทโมะก็แล้วกัน
“ไปไหนเหรอ...” โทโมะทักทายฉันตามปกติทันทีที่เราเจอกันที่บริษัท เป็นฉันเสียอีกที่ก้มหน้าหนีเขาแทนที่จะเป็นฝ่ายทักทายเขาเหมือนอย่างที่เป็นมา ไม่รู้สิ...ฉันรู้สึกแปลกๆหลังจากเริ่มมีข่าวลือของเราสองคนแพร่สะพัดออกไป
“ซื้อของน่ะ เดี๋ยวมา...” ฉันตอบเขาไปเพียงแค่ประโยคสั้นๆแถมยังหลบสายตาของเขาอีกด้วย และไม่ทันที่โทโมะจะถามอะไรอีก ฉันก็รีบวิ่งออกไปให้พ้นๆหน้าเขาทันที ให้เดานะ...โทโมะก็คงงงไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะ
ยิ่งเวลาผ่านไปเราก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น ฉันพยายามจะไม่คิด ‘เรื่องอื่น’ ให้ปวดหัว ตอนนี้เราสองคนมีความสุขดีไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องข่าวคราวที่แพร่ออกไป โทโมะเองก็ยังคงทำตัวปกติกับฉันแถมวันก่อนยังหิ้วลูกสุนัขสีขาวขนฟูมากฝากฉันอีกต่างหาก และฉันก็ให้ชื่อมันว่า...ดอลล่าห์
“ดอลล่าห์กับไปอยู่กับแก้วคงจะซนไม่แพ้กัน..” เขาพูดแซวฉันได้แรงเลยทีเดียว กล้าดียังไงมาอาฉันไปเปรียบเทียบกับหมา นับวันอีตาผีดิบคนนี้จะดูปากคอเราะร้ายมากขึ้นทุกทีแล้วนะ ให้มันได้อย่างนี้สิ เหอะ!!
“ซนเหมือนป๊านั่นแหละ!” ฉันพูดประชดเขาไปคำโตส่งผลให้อีกฝ่ายถึงกับเลิ่กคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ
“ป๊า?” นี่ฉันคงหลุดพูดอะไรน่าอายออกไปแล้วแน่ๆสินะ ถอนคำพูดไม่ทันแล้วเสียด้วยสิ!
“...ก็น่ารักดีนะ” เขาพูดยิ้มๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องซ้อมทิ้งให้ฉันยู่กับเจ้าลูกหมาขนฟูนั่นตามลำพัง ตอนนั้นฉันรู้สึกอยากจะตบปากตัวเองจริงๆเลยที่พูดออกไปแบบนั้น
หลังจากวันนั้นเมื่อไหร่ที่ฉันต้องเข้าบริษัทฉันก็มักจะพาเจ้าดอลล่าห์มาด้วยทุกครั้ง และเขาก็จะคอยเทคแคร์มันราวกับว่าดอลล่าห์เป็นลูกของเขาจริงๆ ฉันลืมบอกไปอย่างว่าโทโมะนะชอบสุนัขมากและเขาก็เลี้ยงพวกมันได้อย่างดีเลยทีเดียวล่ะ เห็นแบบนี้เขาก็แอบเป็นคนอบอุ่นเหมือนกันนะ ฉันเฝ้ามองโทโมะที่กำลังอุ้มเจ้าดอลล่าห์ขึ้นไปนั่งบนตักขณะที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หมุน ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพนั้นเอาไว้
โทโมะ เคโอติคกำลังหยอกล้อกับเจ้าหมาขนฟูดูแล้วน่ารักอย่าบอกใครเลยล่ะ
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ฉันมีความสุขมากเลยล่ะ ฉันมีเพื่อนตั้งเยอะแยะรายล้อมอยู่ตลอด และพวกที่ชอบแกล้งฉันเป็นระจำจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากพวกวงเคโอติคจอมแสบ! ฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางอสูรร้ายที่คอยจะเล่นงานทุกครั้งเวลาอยู่กับพวกเขา เขื่อนชอบเล่นอะไรรุนแรงกับฉันเสมอ และโทโมะก็จะคอยห้าม พอห้ามเสร็จเขาก็เป็นฝ่ายเล่นงานฉันแทนแถมยังชอบดุฉันด้วยล่ะเวลาที่ฉันเล่นๆอะๆไรแผลงๆ
ส่วนป๊อปปี้ก็ชอบแกล้งแหย่แกล้งแซวฉันตลอด จองเบเองก็เช่นกันถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ฉันแต่สิ่งที่เขาปฏิบัติกับฉันไม่ได้แสดงออกว่าเขามองฉันเป็นน้องสาวเลย ผู้ชายคนนี้น่ะมองฉันเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆไม่มีทางสู้ต่างหากพอๆกับเคนตะเลย รายนั้นก็ออกจะบ้าพลังแต่ก็ยังถือว่าป๊อปปี้ จองเบและเคนตะจะอ่อนโยนกับฉันมากกว่าผู้ชายสองคนก่อนหน้าที่ฉันกล่าวถึงนะ!
“เป็นผู้หญิงแน่เหรอแก้ว...จริงเหรอ” ภาษาไทยสำเนียงแปล่งๆของจองเบเอ่ยขึ้นเมื่อเขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉันรีบยกมือขึ้นปิดหน้าอกทันทีที่รู้ว่าผู้ชายบ้าวงเคโอติคกำลังล้อเลียนถึงเรื่องหน้าอกของฉัน! และฉันก็อดที่ฟาดแรงๆลงบนต้นแขนของเขาไม่ได้จริงๆ
“นั่นสิ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่รู้...แรงเยอะชะมัด” โทโมะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาราวกับว่าต้องการจะซ้ำเติมฉัน ให้ตายเหอะ ผู้ชายวงนี้ร้ายกาจกันทุกคนเลยจริงๆ ดูสิ! พอจองเบกับโทโมะว่าฉันพวกที่เหลือกลับพากันหัวเราะกันใหญ่ น่าเกลียดจริงเลยผู้ชายบ้า!
“พวกเคโอติคโรคจิต!” ฉันว่าพวกเขาหน้าง้ำด้วยความไม่พอใจแต่ดูท่าพวกผู้ชายโรคจิตวงนี้จะไม่สะทกสะท้าน
พวกเขาทั้งห้าเดินมาล้อมฉันเป็นวงกลมโดยที่ฉันถูกกักขังอยู่ตรงกลาง ตอนนั้นฉันคิดว่าพวกเขาคือปีศาจร้ายที่กำลังจะพาฉันไปเที่ยวสวนสนุก คิดดูสิ...มีผู้ชายหน้าตาดีถึงห้าคนกำลังรายล้อมอยู่รอบตัวฉัน เหมือนกับว่าพวกเขากำลังพาฉันขึ้นไปบนชิงช้าสวรรค์แล้วอยู่ๆเจ้าชายทั้งห้าก็กลับกลายเป็นปีศาจร้ายคล้ายๆกับผีโจ๊กเกอร์เข้าสิง พวกเขากำลังจะโยนร่างของฉันลงมาจากชิงช้าสวรรค์อันสูงลิบ...คิดดูสิ
นี่มันฝันร้ายของฉันชัดๆเลยนะ!
“จะไปไหนยัยเด็กดื้อ ฮ่าๆๆๆ” เขื่อนดึงแขนของฉันเข้าหาเขาจนฉันแทบเซล้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมฟังแล้วน่ากลัวชะมัด
“เธอต้องถูกพวกเราจองจำไปจนตาย...” ป๊อปปี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแล้วดึงฉันไปจากเขื่อนจนแขนฉันระบมช้ำไปหมด นี่พวกเขาเห็นฉันเป็นของเล่นหรือไงเนี่ยถึงได้แย่งกันไปมาอย่างนี้
“อ๊าย...หยุดนะพวกโรคจิต ช่วยด้วยยย~” ฉันร้องขึ้นเสียงดังก่อนจะถูกมือหนาของใครบางคนเอื้อมมาปิดปากฉันไว้แล้วลากฉันไปทางเขา …เคนตะนั่นเอง ไม่น่าล่ะตอนที่ฉันถูกกระชากไปจึงรู้สึกเจ็บกว่าทุกครั้งเพราะหมอนี่น่ะแรงเยอะแล้วก็บ้าพลังที่สุดในกลุ่มด้วยสิ
“อย่าโวยวายไป...มาเป็นน้องสาวของเราดีกว่า” ตอนนั้นสาบานได้เลยว่าเคนตะน่ากลัวมากจริงๆ ฉันเหลือบมองเขาด้วยแววตาหวาดหวั่นเป็นเชิงบอกว่าฉันชักจะไม่สนุกกับการที่พวกเขาหยอกฉันแรงๆแบบนี้แล้วนะ
“กลัวเหรอ...ตัวสั่นเชียว หึ หึ!” ฉันถูกกระชากเป็นรอบที่สี่แล้วนะ ตอนนี้จองเบล็อกคอฉันไว้พร้อมกระซิบเบาๆข้างหู เขากอดรอบคอฉันสินะถึงได้รู้ว่าฉันตัวสั่นจนเขาสัมผัสได้ แน่สิ! พวกเขามันน่ากลัวจะตายไปนี่นา
“ไม่เล่นแล้ว!” น้ำเสียงของฉันสั่นๆชอบกล ฉันส่ายหน้าดิกพยายามหาทางรอดพ้นจากเงื้อมือผู้ชายหล่อ(แต่โหดร้าย)พวกนี้ แต่ดูท่าพวกเขาจะล้อกรอบฉันไว้จนมิดมองไม่เห็นทางออกเลยจริงๆ
“เอ้า! ไปอยู่กับที่รักของเธอซะ” คราวนี้ฉันไม่ได้ถูกกระชากหากแต่ถูกผู้ชายเกาหลีผลักฉันออกต่างหาก...ที่รักของฉันงั้นเหรอ
“อยากซนเอง...ก็ต้องโดนแบบนี้แหละนะ”
ร่างของฉันถูกผลักเข้าสู่อ้อมกอดของโทโมะที่อ้าแขนรอรับฉันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และก่อนที่ร่างของฉันจะถึงมือเขา ข้อเท้าของซ้ายของฉันกลับพลิกแต่ยังโชคดีที่โทโมะรับไว้ทัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าฉันเจ็บข้อเท้า เขาถึงได้ทำท่าระรื่นใส่ฉันแบบนั้น
โทโมะยิ้มน้อยๆ ดวงตาคมๆมองฉันอย่างนึกสนุก หวังว่าเขาคงจะไม่อุ้มฉันแล้วโยนลงมาหรอกนะ บอกเลยว่าฉันรับมือเขาไม่ไหวแน่ๆ ฉันรู้สึกแปลกๆอีกแล้วล่ะตอนที่ตกอยู่ให้อ้อมแขนของเขา...มันแปลกยังไงฉันเองก็อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่ามันไม่เหมือนกับที่ฉันอยู่ใกล้ๆกับผู้ชายคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นป๊อปปี้ เขื่อน เคนตะ หรือแม้กระทั่งจองเบ
แต่มันเกิดขึ้นกับเขาเนี่ยนะ...
“ตายซะเถอะยัยตัวร้าย” เขายิ้มให้ฉันนิดๆเจือความหมั่นไส้หน่อยๆก่อนที่เขาจะอุ้มร่างของฉันลอยหวืดขึ้น
เอ่อ...ฉัน...
ย้อนอดีตรำลึกความหลังกันสักหน่อย
อดีตเป็นสิ่งสวยงามเสมอถึงแม้ว่าปัจจุบัน
จะไม่สวยงามเท่าแต่เก่าก่อน...แต่นุกเชื่อว่า
อนาคตจะดีกว่านี้แน่นอนถ้าเรายังอยู่เคียงข้างกัน ^o^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ