โบท็อก คืออะไร ดีจริงหรือไม่ ทำไมคนถึงฮิตไปฉีดกัน!?

GUEST1649747579

สุดยอดขีดเีขียน (439)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:801
เมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2566 12.59 น.

โบท็อก

 

ทำไมเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็นิยมไปฉีดโบท็อกซ์กัน แล้วโบท็อกซ์ มันคืออะไร จริงหรือไม่ที่ว่ากันว่า มันช่วยลดริ้วรอยได้อย่างเห็นผล แถมใช้เวลาไม่นาน แต่มีเสียงเล่าบอกว่า การฉีดนั้น มันอันตราย ไม่ควรฉีด แล้วสรุปว่า มันดีหรือไม่ วันนี้ เรามาคำตอบมาฝาก

 


 

แล้วโบท็อกซ์คืออะไร!?

 

โบท็อกซ์ (Botox) เป็นนวัตกรรมที่นิยมใช้สำหรับเสริมความงาม ด้วยการลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า และลำคอ รวมถึงลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ เช่น น่อง กราม เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบัน การฉีดโบท็อกซ์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เพราะเป็นการตอบโจทย์ผู้ที่รักสวยรักงามได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยเห็นผลภายใน 3 - 7 วัน

ซึ่ง “โบท็อกซ์” เป็นชื่อทางการค้าของสาร “โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ” (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ถ้าหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้อาหารเป็นพิษ หรือเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อย ๆ อย่างพอเหมาะ จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวอันเป็นผลดีกับวงการแพทย์ 

โดยในสมัยก่อน วงการแพทย์ใช้สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ เพื่อรักษาทางตา เช่น อาการตาเหล่ (Strabismus) หนังตากระตุก (Blepharospasm) โดยเมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีปัญหาแล้ว พบว่า สารนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากการหดเกร็ง และเมื่อผ่านไปสักพัก แพทย์ก็สังเกตเห็นว่า ริ้วรอยบริเวณหางตาจางลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่แพทย์นำสารนี้มาใช้ในการเสริมความงาม สำหรับลดริ้วรอย

ในปัจจุบัน สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ที่ใช้ในประเทศไทยผลิตจาก 2 บริษัท คือ โบท็อกซ์ (BOTOX®) และดีสพอร์ต (Dysport®) จะเห็นว่า ที่เราเรียกกันว่า “โบท็อกซ์” นั้น เป็นชื่อยี่ห้อของสารจากประเทศอเมริกา แต่ทุกคนเรียกกันจนติดปาก เป็นที่เข้าใจว่า โบท็อกซ์ คือ ชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อฉีดลดริ้วรอย

 


  

มันมีดีอะไร ทำไมเราต้องฉีดโบท็อกซ์?

 

ทำไมเราต้องฉีดโบท็อกซ์

 

คำถามต่อมาคือ แล้วโบท็อก ดียังไง ทำไมเราถึงต้องฉีดโบท็อกซ์ อย่างที่ทราบเบื้องต้นว่า โบท็อกซ์ช่วยรักษาริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น ซ้ำยังใช้รักษาโรคบางอย่างได้อีกด้วย เราลองมาดูข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์กันทีละข้อดีกว่า

 

  1. โบท็อกซ์ช่วยกระชับกรอบหน้า ทำให้ใบหน้ากลับมาตึงกระชับ หรือถ้าฉีดบริเวณกรามก็จะทำให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง รูปหน้าเรียวลง เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าแบบไม่ให้หน้าเปลี่ยนไปมาก ยังเหมือนเดิมแต่สวยขึ้น 

 

  1. โบท็อกซ์ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ทั้งบริเวณหางตา หว่างคิ้ว และหน้าผาก ด้วยริ้วรอยพวกนี้เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการรักษา กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว ริ้วรอยจะเริ่มลดลงและหายไปในระยะเวลา 1 - 2 สัปดาห์ และคงสภาพอยู่ได้ 4 - 6 เดือน

 

  1. ฉีดโบท็อกซ์ที่บริเวณน่อง กล้ามเนื้อจะเล็กลงได้ตามต้องการ ทำให้ขาดูเรียว 

 

จากข้อดีข้างต้นเป็นเหตุผลที่ว่า คนที่มีปัญหาเหล่านี้ควรจะฉีดโบท็อกซ์เพื่อเสริมความงาม แต่คนที่ปัญหาทางสุขภาพเอง ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน ซึ่งทาง USFDA ซึ่งเป็นองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้การรับรองในการใช้โบท็อกซ์สำหรับการรักษาอีกด้วย เช่น

 

  1. ภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานมากเกินของกล้ามเนื้อ เช่น ตาเข (Strabismus) หนังตากระตุก (Blepharospasm) กล้ามเนื้อคอเกร็งตัว (Cervical dystonia) เป็นต้น

 

  1. การปวดศีรษะแบบไมเกรน (Migrain) หรือ การปวดศีรษะจากความเครียด (Tension)

 

  1. ภาวะกล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง (Myofascial pain) 

 

  1. ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) เพื่อลดเหงื่อ โดยจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ ต่อมเหงื่อทำงานน้อยลง การบีบรัดของต่อมเหงื่อก็ทำงานน้อยลง เมื่อเหงื่อออกน้อยลง กลิ่นตัวก็จะลดลงตามไปด้วย

 

จากข้อดีที่กล่าวมา จึงสรุปได้ว่า การฉีดโบท็อกซ์นั้น ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมความงามที่จะทำให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น แต่ยังช่วยรักษาโรคภัย อาการเจ็บป่วยที่คุณเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอีกด้วย

อีกทั้งโบท็อกซ์เป็นกระบวนการที่ง่าย ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องดมยาสลบ และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เมื่อเทียบกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าลดริ้วรอย เช่น facelifts ซึ่งอาจใช้เวลา 3 - 4 ชั่วโมงในการผ่าตัด และต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายสัปดาห์ จะเห็นได้ว่า การฉีดโบท็อกซ์นั้น สามารถเรียกได้ว่า เป็น Lunch time beauty หรือ “ทำสวยตอนพักกลางวัน” ก็ยังได้

 


 

โบท็อกซ์ทำงานอย่างไรกัน

 

จากที่เราอธิบายว่า โบท็อก คือ สารสกัดโปรตีนจากธรรมชาติที่เราฉีดเข้าสู่ร่างกายของเราในบริเวณที่มีปัญหา โดยมีฤทธิ์ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ซึ่งเราสามารถอธิบายกระบวนการทำงานของโบท็อกซ์ได้ง่าย ๆ ดังนี้

เมื่อเราฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่บริเวณที่ต้องการรักษาแล้ว โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ไปจับตัวกับปลายเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท Acetylcholine ได้ ให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อนั่นเอง และหลังฉีดโบท็อกซ์ยังสามารถแสดงสีหน้าต่างๆ ได้ตามปกติ ไม่ว่าจะยิ้ม หัวเราะหรือขมวดคิ้ว แต่ริ้วรอยที่มักเกิดจากการแสดงอารมณ์เหล่านี้จะลดลงไป

โบท็อกซ์เป็นโปรตีนน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ

 

  • ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาท เป็นส่วนที่จะออกฤทธิ์ และถ้าส่วนนี้มีความเข้มข้นสูงก็จะทำให้โบท็อกซ์อยู่ได้นานขึ้น โดยมันจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ

  • ส่วนที่ถูกดูดซึม ส่วนนี้ จะปลิวไปตามกระแสเลือดในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชม. หลังฉีด และถูกขับออกไปโดยไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่นในร่างกาย

 

นอกจากการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่กล้ามเนื้อแล้ว ยังมีเทคนิคการฉีดที่เรียกว่า Microbotox  technique ซึ่งเป็นการฉีดเข้าที่ผิวหนัง จะช่วยให้ผิวหนังตึงกระชับ ผิวที่หย่อนคล้อยดูยกขึ้น รูขุมขนเล็กลง และลดความมันของใบหน้าด้วย ทั้งนี้ โบท็อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์ใน 2 – 3 วัน ออกฤทธิ์เต็มที่ เมื่อประมาณ 7 - 14  วัน และฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ สูญสลายไปในระยะเวลา 4 - 6 เดือน     

การรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินนั้น ถ้าเป็นการรักษาโดยแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ เพื่อการรักษาโรคหรือภาวะที่มีข้อบ่งชี้ ให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้และเป็นผู้ป่วยที่สามารถดูแลและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง ก็จัดว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดีและปลอดภัย อาจมีผลข้างเคียงที่เกิดชั่วคราวได้แต่ไม่ร้ายแรง

โบท็อกซ์สามารถนำมาฉีดในกล้ามเนื้อได้หลายจุด แต่บริเวณที่คนนิยมฉีด คือ ใบหน้า ฉีดเพื่อลดริ้วรอยและปรับรูปหน้าตามบริเวณต่าง ๆ ได้แก่ ลดกราม ลดริ้วรอย รักแร้ ลดเหงื่อ ปีกจมูก ยกหางตา ลิฟหน้า หน้าผาก ยกมุมปาก ตีนกา น่อง คิ้ว กระชับรูขุมขน ลดโหนกแก้ม แขน รักษาไมเกรน และรักษาออฟฟิศซินโดรม

แต่ก็ใช่ว่า ทุกคนจะสามารถฉีดโบท็อกซ์ได้ เพราะก็มีกลุ่มคนที่มีอาการเหล่านี้ ห้ามฉีดไว้อยู่ ได้แก่

 

  1. มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท เพราะอาจจะมีอาการแย่ลงได้ เช่น โรค Myasthenia gravis หรือ โรค Amyotrophic lateral sclerosis เป็นต้น

  2. กำลังตั้งครรภ์ / อยู่ในระหว่างให้นมบุตร แม้ไม่เคยมีรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าปลอดภัยจึงควรหลีกเลี่ยงการรักษา

 


  

โบท็อกซ์อยู่ได้นานแค่ไหนกัน!?

 

โบท็อกซ์อยู่ได้นานแค่ไหนกัน

 

เมื่อเห็นข้อดีต่าง ๆ ของโบท็อกซ์กันไปแล้ว หลายคนคงจะสงสัยว่า ฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล หรือ โบท็อกซ์สามารถคงสภาพได้นานแค่ไหน ซึ่งโดยทั่วไป เราใช้เวลาฉีดประมาณ 30 นาที และสามารถเห็นผลลัพธ์หลังการฉีดได้ภายใน 2 – 3 วัน สำหรับริ้วรอยตื้น ๆ และรอยลึกจะเริ่มเห็นผลประมาณ 7–14 วัน 

หลังการฉีด ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 6 – 8 เดือน หลังจากนั้น กล้ามเนื้อจะค่อย ๆ กลับมาหดตัวได้เหมือนเดิม เนื่องจากฤทธิ์ที่ไม่ถาวรนั่นเอง จึงทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาซ้ำ หากต้องการคงสภาพของผลการรักษา โดยอาจจะต้องฉีดใหม่ในระยะเวลา 4 - 6 เดือน

นอกจากนี้ เราอาจจะเลือกเพิ่มระยะเวลาได้จากยี่ห้อของโบท็อกซ์อีกด้วย เพราะในปัจจุบัน มีโบท็อกซ์หลายยี่ห้อจากหลายประเทศ ดังนี้

 

  • Botox Allergan (อเมริกา) เห็นผลลัพธ์ภายใน 2-3 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
  • Dysport (อังกฤษ) เห็นผลลัพธ์ภายใน 2-3 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
  • Xeomin (เยอรมัน) เห็นผลลัพธ์ภายใน 2-3 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 8 เดือน – 1 ปี
  • Nabota (เกาหลี) เห็นผลลัพธ์ภายใน 4-5 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
  • Botulax (เกาหลี) เห็นผลลัพธ์ภายใน 4-5 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
  • Aestox (เกาหลี) เห็นผลลัพธ์ภายใน 4-5 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน

 

สุดท้ายนี้ ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณและการทำงานของกล้ามเนื้อที่ต้องการรักษาด้วย สำหรับกรณีที่เกิดภูมิต้านทานขึ้น อาจจะทำให้ฤทธิ์สั้นลงและอาจต้องใช้ปริมาณยาที่เพิ่มขึ้นในการรักษา

 


  

โบท็อกมีผลข้างเคียงหรือเปล่า?

 

“ฉีดโบท๊อกอันตรายไหม” คำถามยอดฮิตที่ทุกคนมักสงสัย ด้วยโบท็อกซ์เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เป็นสารที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์แบบในตัวเองอยู่แล้ว แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจจะมีสาเหตุมาจากความชำนาญของแพทย์ที่ฉีด (หรือผู้ที่ฉีดไม่ใช่แพทย์) มาตรฐานของยาที่ฉีด (ยานั้นไม่ได้รับมาตรฐานหรือเป็นของปลอม) และการดูแลตัวเองของคนไข้หลังจากที่ฉีดไป

แต่ทั้งนี้ โบท็อกซ์เอง ก็มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

 

  •  หน้าแข็ง ไร้อารมณ์ เป็นหุ่นยนต์
  • หน้าผากตกและตึง
  • หน้าเลิ่กลั่ก หางคิ้วกระดก
  • หนังตาตก
  • ผิวช้ำ หน้าชา
  • มีอาการของโรคโบทูลิซึม (BOTULISM) เช่น ฉีดที่หน้าแต่เกิดอาการอ่อนแรงที่แขน-ขา มองเห็นภาพซ้อนหรือมองไม่ชัด เสียงหาย หายใจลำบาก หายใจถี่ ความสามารถในการอั้นปัสสาวะลดลง เป็นต้น
  • ใบหน้าบางส่วนเป็นอัมพาต
  • ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
  • เจ็บที่ใบหน้า ปวดศีรษะ ผิวเห่อแดง วิงเวียนศีรษะ อาเจียน

 


  

สรุป

 

สรุปโบท็อกซ์


โบท็อก คือ สารสกัดโปรตีนจากธรรมชาติที่นำมาใช้ในวงการเสริมความงาม เพื่อใช้ลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า และลำคอ ลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ รวมถึงรักษาบางโรคอีกด้วย ซึ่งใช้เวลาฉีดโบท็อกซ์เพียงแค่ 30 นาที สามารถเห็นผลได้เร็วในระยะเวลาไม่กี่วัน และอยู่ได้นานหลายเดือน แต่ทั้งนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

 


 

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา