กระดูกเชิงกรานหัก อาการ วิธีรักษา วิธีป้องกันทำอย่างไร
กระดูก เป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญอย่างมาก ซึ่งจะประกอบขึ้นเพื่อทำหน้าที่หลักคือค้ำจุนเป็นโครงสร้างของร่างกาย การเคลื่อนไหว การสะสมแร่ธาตุและการสร้างเซลล์เม็ดเลือด โดยกระดูกในแต่ละส่วนของร่างกายจะมีชื่อเรียกต่างกันออกไป เช่น กระดูกต้นแขน กระดูกต้นขวา กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน เป็นต้น
โดยในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงกระดูกเชิงกราน ซึ่งเป็นโครงสร้างกระดูกของร่างกายที่อยู่ปลายล่างของกระดูกสันหลัง จัดเป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกรยางค์ ซึ่งกระดูกเชิงกรานจะประกอบด้วย กระดูกสะโพก กระดูกใต้กระเบนเหน็บ และกระดูกก้นกบ
ปัญหาที่พบมากที่เกี่ยวกับกระดูกเชิงกราน คือ ปัญหากระดูกเชิงกรานหัก โดยเป็นปัญหาที่พบได้ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งจะพบได้มากในผู้สูงอายุ เนื่องจากกระดูกมีการใช้งานมามากและเสื่อมสภาพลง เราจะมาหาตั้งแต่สาเหตุของกระดูกเชิงกรานหัก วิธีการรักษาและวิธีการป้องกันของกระดูกเชิงกรานหักกัน
กระดูกเชิงกรานหัก
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น กระดูกเชิงกราน เป็นโครงสร้างกระดูกของร่างกายที่อยู่ปลายล่างของกระดูกสันหลัง จัดเป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกรยางค์ ซึ่งกระดูกเชิงกรานจะประกอบด้วย กระดูกสะโพก กระดูกใต้กระเบนเหน็บ และกระดูกก้นกบ
สามารถอ่านข้อมูลเกี่ยวกับกระดูกเชิงกราน รวมถึงเรื่อง กระดูกเชิงกรานหัก ได้ที่นี่
โดยรายละเอียดของกระดูกเชิงกราน ได้แก่
รู้จักกระดูกเชิงกราน
กระดูกเชิงกราน (Pelvis) มีโครงสร้างแบบตามลักษณะรูปร่างออกได้เป็น 4 แบบ ได้แก่
- เชิงกรานแบบชาย (android pelvis) เป็นรูปแบบปกติของเพศชาย เป็นรูปหัวใจ
- เชิงกรานแบบหญิง (gynaecoid pelvis) เป็นรูปแบบปกติของเพศหญิง มีลักษณะกลม และเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง
- เชิงกรานแบบแพลติเพลลอยด์ (platypelloid pelvis) มีเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวขวางยาวกว่า
- เชิงกรานแบบแอนโทรพอยด์ (anthropoid pelvis) มีเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวหน้าหลังยาว
โดยมีความสำคัญต่อร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในร่างกาย ไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนอวัยวะภายในได้ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการควบคุมการเคลื่อนไหวของขาด้วย
กระดูกเชิงกรานหัก อาการเป็นอย่างไร
โดยผู้ที่มีภาวะกระดูกเชิงกรานหักนั้น จะมีอาการเช่น
- ปวดบริเวณท้อง ขาหนีบ ปวดสะโพก หรือหลังส่วนล่าง หลังจากเกิดอุบัติเหตุ
- รู้สึกปวดบริเวณกระดูกเชิงกรานเป็นอย่างมาก
- พบว่ามีอาการปวดรุนแรงมากขึ้น เมื่อเดินหรือขยับขา
- ไม่สามารถขยับร่างกาย ยืน เดิน ได้สะดวกเหมือนปกติ
- เมื่อพยายามจะนั่ง รู้สึกเจ็บบริเวณก้นอย่างรุนแรง
- จู่ ๆ เกิดอาการชา ที่บริเวณขาหนีบหรือขา
- พบความยากลำบากในการขับถ่ายต่าง ๆ เช่น การอุจจาระ ปัสสาวะ
สาเหตุที่ทำให้กระดูกเชิงกรานหัก
สาเหตุที่ทำให้กระดูกเชิงกรานหัก โดยทั่วไปแล้ว มักจะเกิดจาก
1. อุบัติเหตุ
การเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง เช่น การตกจากที่สูง การประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีการกระทบกระเทือนบริเวณสะโพกอย่างรุนแรง เป็นต้น ซึ่งอุบัติเหตุเหล่านี้อาจส่งผลกระทบทำให้กระดูกเชิงกรานรับได้ไม่ไหว จนอาจทำให้กระดูกเชิงกรานหักได้
ซึ่งอุบัติเหตุนั้น สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา จึงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ส่งผลให้เป็นสาเหตุหลัก ๆ ในการทำให้กระดูกเชิงกรานหักนั่นเอง
2. ภาวะกระดูกพรุน
ภาวะกระดูกพรุน เป็นสาเหตุหนึ่งที่พบได้มากในผู้สูงอายุ เนื่องจากมีอายุที่มากขึ้น ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง มีความเปราะมากมากขึ้น แตกหักได้ง่าย แม้จะเป็นการล้มเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ถึงขั้นกระดูกเชิงกรานหักได้ ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผู้สูงอายุ จึงควรรีบแพทย์เพื่อทำการตรวจดูว่ามีภาวะกระดูกเชิงการหักหรือไม่
กระดูกเชิงกรานหักในผู้สูงอายุ
จากที่กล่าวไปข้างต้น กระดูกเชิงกรานหักในผู้สูงอายุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะกระดูกเชิงกรานมีความเปราะมากขึ้น ซึ่งเกิดจากภาวะกระดูกพรุน
การวินิจฉัยอาการกระดูกเชิงกรานหัก
การวินิจฉัยของอาการกระดูกเชิงกรานหัก สามารถทำได้โดยการตรวจร่างกายอย่างละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งทำเพื่อหาสาเหตุและวางแผนในการรักษาภาวะกระดูกเชิงกรานหัก โดยทั่วไปจะวินิจฉัยหลัก ๆ ดังนี้
1. การซักประวัติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการซักประวัติส่วนตัวของผู้ป่วย เช่น ชื่อ - นามสกุล อายุ น้ำหนัก โรคประจำตัว รายละเอียดของประวัติการเกิดอุบัติเหตุ ประวัติการได้รับการผ่าตัด ประวัติคนในครอบครัวว่ามีภาวะกระดูกพรุนหรือไม่ วิถีการดำเนินชีวิต การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เป็นต้น เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน จะได้หาสาเหตุของการเกิดกระดูกเชิงกรานหักได้อย่างแม่นยำ
2. การตรวจร่างกาย
โดยการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจเช็กร่างกายว่า นอกจากกระดูกเชิงกรานหักแล้ว ยังมีส่วนอื่นที่ผิดปกติอีกหรือไม่ เช่น การบาดเจ็บของอวัยวะหรือเส้นเลือดบริเวณกระดูกเชิงกราน เพื่อจะได้วางแผนการรักษาส่วนอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย
3. การเอกซเรย์ (X-Ray)
การเอกซเรย์ (X-Ray) เป็นการใช้รังสีเพื่อใช้ถ่ายภาพกระดูกเชิงกรานหัก เพื่อประเมินระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และวางแผนการรักษาต่อไป
4. การตรวจ CT Scan
การตรวจร่างกายด้วย CT Scan เป็นการใช้รังสีเอกซเรย์หลาย ๆ ตัว ใช้ถ่ายภาพกระดูกเชิงกรานหัก ในมุมต่าง ๆ เพื่อทำให้ภาพที่ได้มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น เพื่อประเมินระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้แม่นยำขึ้น และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลต่อไป
วิธีรักษาอาการกระดูกเชิงกรานหัก
โดยการรักษาอาการกระดูกเชิงกรานหัก จะมีวิธีรักษาหลัก ๆ อยู่ 2 ระยะ ดังต่อไปนี้
การปฐมพยาบาลเมื่อกระดูกเชิงกรานหัก
โดยการปฐมพยาบาลเมื่อกระดูกเชิงกรานหักนั้น ในเบื้องต้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อที่จะทำให้อาการไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
- ลดการขยับตัวของผู้ป่วย โดยขยับให้น้อยที่สุดและช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด
- ไม่ควรขยับผู้ป่วยหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของกระดูก
- รีบโทรประสานแจ้งโรงพยาบาล เพื่อส่งรถพยาบาลให้การช่วยเหลือ
- ใช้การประเมินเบื้องต้นด้วยสายตา หากมีบาดแผลให้ใช้ผ้าสะอาดปิดบริเวณบาดแผลไว้ก่อน
- ไม่ควรนวด บีบ หรือดัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ป่วย
- หากพบว่ามีอาการปวด บวม ฟกช้ำ สามารถประคบเย็นบริเวณนั้น เพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นได้
การผ่าตัดรักษากระดูกเชิงกรานหัก
ในการผ่าตัดรักษากระดูกเชิงกรานหัก สามารถทำได้หลายวิธี โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินและเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายแต่ละบุคคล ดังนี้
- การดึงถ่วงน้ำหนักผ่านกระดูก (Skeletal traction)
เป็นการใช้แรงดึงถ่วงน้ำหนักจากเหล็กที่มีการแทงผ่านกระดูก เพื่อทำให้กระดูกเชิงกรานที่หักเข้าที่ตำแหน่งเหมาะสมและการหดเกร็งกล้ามเนื้อ การปวด การบาดเจ็บต่าง ๆ จากกระดูกที่หักแบบไม่มั่นคง โดยสามารถดึงได้นาน 3 - 4 เดือน และใช้น้ำหนักไม่มาก (ไม่เกิน 1 ใน 6 ของน้ำหนักตัวผู้ป่วย)
- การผ่าตัดยึดตรึงกระดูกเชิงกรานภายในร่างกายด้วยโลหะ (Open Reduction and Internal Fixation : ORIF)
เป็นการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ยึดกระดูกเชิงกรานบริเวณที่หักภายในร่างกาย เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่ของกระดูก และช่วยในเรื่องของการสมานกระดูก โดยวิธีการนี้ อาจเหมาะกับผู้สูงอายุ หรือบุคคลที่กระดูกเชิงกรานหัก แล้วมีการบาดเจ็บของหลอดเลือดหรือเส้นประสาทร่วมด้วย
- การผ่าตัดยึดกระดูกเชิงกรานจากภายนอก (External fixation)
เป็นการใช้อุปกรณ์อย่างหมุดโลหะ (Metal pin) และสกรู (screw) ยึดตรึงกระดูกเชิงกรานให้คงที่และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจากอุปกรณ์ภายนอกร่างกายของผู้ป่วย โดยจะทำการใส่หมุดโลหะหรือสกรูเข้าไปยังกระดูกบริเวณนั้นๆ ผ่านแผลขนาดเล็ก
ซึ่งลักษณะของหมุดโลหะหรือสกรู จะมีการยื่นออกมาติดกับแท่งคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยึดอยู่ภายนอกร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่กระดูกเชิงกรานหักแบบมีแผลเปิด มีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือกระดูกเชิงกรานหักหลายจุด
ภาวะแทรกซ้อนจากกระดูกเชิงกรานหัก
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากกระดูกเชิงกรานหัก มีได้ดังนี้
- อวัยวะข้างเคียง เส้นประสาท หรือหลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดความเสียหาย
- เกิดการบาดเจ็บหลาย ๆ ระบบ ทำให้อาการรุนแรงขึ้น จนอาจเสียชีวิต
- เกิดการติดเชื้อรุนแรง
- มีเลือดออกอย่างมาก
- มีอาการปวดเรื้อรัง
- ลิ่มเลือดอุดตัน
- ความผิดปกติทางเพศ (Sexual dysfunction)
- เกิดความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกเหมือนดั่งเดิม
แนวทางการป้องกันกระดูกเชิงกรานหัก
โดยแนวทางการป้องกันกระดูกเชิงกรานหักนั้น สามารถทำได้ด้วยตนเอง มีดังนี้
- มีความระมัดระวังในการขับรถยนต์ให้ปลอดภัย สังเกตความผิดปกติหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ บริเวณโดยรอบรถยนต์ ไม่ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด งดการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ เป็นต้น
- การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือการเดินในผู้สูงอายุ เช่น วอล์คเกอร์ ไม้เท้า เพื่อป้องกันการหกล้ม
- มีการเตรียมความพร้อมก่อนการออกกำลังกาย ด้วยการยืดกล้ามเนื้อต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นขณะเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
- มีการตรวจสอบบันไดพาด หรือบันไดพับพกพา ให้มีความแข็งแรง และใช้ให้เหมาะสมกับงาน
แนวทางการดูแลกระดูกเชิงกรานให้แข็งแรง เช่น
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากสารภายในควันบุหรี่อาจรบกวนการทำงานของเซลล์ที่สร้างกระดูก ทำให้กระดูกมีความแข็งแรงลดลง
- ออกกำลังกาย จะสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกได้
- ลดการรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็มมากเกินไป เพราะจะทำให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ลดลง
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่เพียงพอต่อการใช้งาน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอลล์ ชา กาแฟ เนื่องจากอาจเข้าไปรบกวนการดูดซึมแคลเซียมและทำให้เกิดการขาดสารอาหารขึ้น
คำถามที่พบบ่อย
คำถามที่พบบ่อย ซึ่งเกี่ยวกับกระดูกเชิงการหัก ได้แก่
กระดูกเชิงกรานหัก เดินได้ไหม
ซึ่งในปกติก็สามารถเดินได้ แต่จะเดินได้ไม่ค่อยสะดวก จึงอาจจะต้องรอให้กระดูกเชิงกรานมีการซ่อมแซมจนมีความแข็งแรงเสียก่อน โดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่หัก และวิธีการรักษา
กระดูกเชิงกรานหัก รักษานานไหม
โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาในการรักษาอยู่ที่ประมาณ 8-12 สัปดาห์ แต่ถ้าหากบุคคลนั้นมีภาวะกระดูกเชิงกรานหักระดับรุนแรง ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษานานยิ่งขึ้น แล้วแต่ละตัวบุคคล
ข้อสรุป
ภาวะกระดูกเชิงกรานหัก เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อุบัติเหตุ ภาวะกระดูกพรุน วิถีการดำเนินชีวิต เป็นต้น ซึ่งมักเกิดในผู้สูงอายุที่มวลกระดูกมีความแข็งแรงลดลง จึงทำให้ถึงแม้ว่าจะได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดภาวะนี้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้สึกผิดปกติบริเวณกระดูกเชิงกราน แล้วเหมือนจะเป็นภาวะกระดูกเชิงกรานหัก ควรรีบเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้