รอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากอะไร รักษายังไงดีให้ผิวเนียนใส
รอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากอะไร รักษายังไงดีให้ผิวเนียนใส
รอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากอะไร รักษายังไงดีให้ผิวเนียนใส
รอยแผลเป็นจากสิว ปัญหาผิวที่หลายคนรู้สึกกังวลใจ พบคำตอบว่ารอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากอะไร พร้อมแนวการรักษาในบทความนี้
รอยแผลเป็นจากสิวไม่เพียงเป็นปัญหาด้านความงาม แต่ยังส่งผลต่อจิตใจและความมั่นใจของหลายคนอย่างมาก แม้ว่า “สิว” จะหายได้ในเวลาไม่นาน แต่รอยแผลเป็นที่เกิดตามหลังนั้นอาจอยู่กับเราไปอีกหลายเดือน หรือแม้แต่หลายปี การเข้าใจกลไกการเกิด การป้องกัน และการรักษารอยแผลเป็นจากสิวอย่างถูกต้องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นคืนผิวที่เรียบเนียนและสดใส
รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร
รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการอักเสบในชั้นผิวหนังที่ลุกลามจนทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างผิว ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจน เส้นเลือดฝอย หรืออีลาสติน หลังสิวหายแล้ว ร่างกายจะเร่งสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาทดแทน แต่การซ่อมแซมนั้นอาจไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ผิวเกิดรอยบุ๋มหรือรอยนูน
รอยเหล่านี้ไม่ใช่เพียงปัญหาผิวที่มองเห็นได้ชัด แต่ยังส่งผลให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในยุคที่การดูแลผิวกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและเป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์
กระบวนการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
เมื่อสิวเกิดการอักเสบ ร่างกายจะส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้าไปจัดการแบคทีเรียและขจัดเซลล์ผิวที่เสียหาย ซึ่งกระบวนการนี้อาจส่งผลให้ผิวหนังรอบ ๆ โดนทำลายไปด้วย การซ่อมแซมเนื้อเยื่อจึงเกิดขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะสร้างรอยแผลเป็นจากสิว หากมีความไม่สมดุล
- หากร่างกายสร้างคอลลาเจนน้อยเกินไป เกิด “รอยหลุม”
- หากสร้างคอลลาเจนมากเกินไป กลายเป็น “แผลนูนหรือคีลอยด์”
- หากมีการผลิตเม็ดสีมากเกินหลังการอักเสบ กลายเป็น “รอยดำหรือรอยแดง”
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
1. ความรุนแรงของสิว
สิวอักเสบรุนแรงมีแนวโน้มทำให้เนื้อเยื่อเสียหายลึกกว่า จึงเพิ่มโอกาสเกิดแผลเป็นมากขึ้น เช่น สิวหัวช้าง สิวซีสต์ สิวหนองขนาดใหญ่
2. การบีบหรือแกะสิวผิดวิธี
การกดสิวด้วยมือหรืออุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ทำให้เกิดการอักเสบซ้ำ และทำลายชั้นผิวลึกขึ้น เกิดรอยหลุมหรือแผลนูนได้ง่าย
3. พันธุกรรม
บางคนมีแนวโน้มสร้างคอลลาเจนมากผิดปกติ จึงเกิดแผลเป็นชนิดคีลอยด์ได้ง่าย หากคนในครอบครัวมีประวัติรอยแผลเป็นจากสิว ก็อาจสืบทอดลักษณะผิวแบบเดียวกัน
4. การไม่ทาครีมกันแดด
แสงแดดกระตุ้นการผลิตเมลานินมากขึ้น รอยแดงและรอยดำจึงเด่นชัดขึ้น และคงอยู่ยาวนานกว่าปกติ
5. ลักษณะผิวเฉพาะ
ผู้ที่มีผิวมัน ผิวแพ้ง่าย หรือรูขุมขนกว้าง จะมีโอกาสเกิดสิวอักเสบและรอยแผลเป็นมากกว่าผิวประเภทอื่น
ประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว
1. รอยแผลเป็นชนิดหลุม (Atrophic Scars)
เกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลาย และร่างกายสร้างคอลลาเจนซ่อมแซมไม่เพียงพอ
- Ice Pick Scar – รอยแผลลึก ขอบแคบ ลักษณะเหมือนโดนเจาะด้วยเข็ม
- Boxcar Scar – รอยแผลเป็นขอบชัด แบนและกว้าง มักเกิดบริเวณแก้ม
- Rolling Scar – รอยแผลเป็นตื้น ลักษณะผิวเป็นลอนคลื่น เนื่องจากพังผืดดึงรั้งใต้ผิว
2. แผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic & Keloid Scars)
เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินจำเป็น
- Hypertrophic Scar – นูนเท่าขอบแผลเดิม มักเกิดที่หลัง หน้าอก หรือไหล่
- Keloid – นูนเกินขอบเขตของแผลเดิม อาจมีอาการคัน หรือสีคล้ำ มักพบในคนเอเชียและแอฟริกันมากกว่าคนยุโรป
3. รอยสีผิวผิดปกติ (PIE & PIH)
- รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema) – เกิดจากเส้นเลือดขยาย พบมากในคนผิวขาว
- รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) – เกิดจากเมลานินสะสม พบในผิวคล้ำ มักคงอยู่หลายเดือน
บริเวณที่มักเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
- รอยแผลเป็นจากสิวที่ใบหน้า (แก้ม, หน้าผาก, คาง, กราม) – มักเกิดหลุมและรอยดำจากสิวฮอร์โมน
- รอยแผลเป็นจากสิวที่หลังและหน้าอก – พื้นที่มีต่อมไขมันมาก สิวมักอักเสบรุนแรง ทำให้เกิดแผลเป็นนูน
- รอยแผลเป็นจากสิวที่ไหล่ – ผิวเสียดสีกับเสื้อผ้า ทำให้แผลหายช้า เกิดแผลนูนง่าย
ใครเสี่ยงเป็นรอยแผลเป็นจากสิวมากที่สุด
- ผู้ที่เป็นสิวอักเสบรุนแรงซ้ำ ๆ
- ผู้ที่ชอบแกะสิว
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นแผลเป็นง่าย
- ผู้ที่ละเลยการปกป้องผิวจากแสงแดด
- ผู้ที่นอนน้อย เครียดบ่อย หรือทานอาหารไม่มีคุณภาพ
ป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวได้อย่างไร
- รักษาสิวให้หายเร็ว หากสิวหายก่อนที่จะลุกลามไปสู่การอักเสบลึก โอกาสเกิดแผลเป็นจะน้อยมาก
- อย่าแกะหรือบีบสิวเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้ทำการกดสิวหรือรักษาให้ปลอดภัย
- ทาครีมกันแดดทุกวัน แสงแดดทำให้รอยแผลเข้มขึ้น ควรเลือกกันแดดสูตรสำหรับผิวเป็นสิว
- เลือกผลิตภัณฑ์อ่อนโยน หลีกเลี่ยงสครับแรง ๆ หรือโฟมล้างหน้าที่มีแอลกอฮอล์สูง
- ทานอาหารที่ดีต่อผิว เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและลดการอักเสบ
แนวทางการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
1. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว รักษารอยแผลเป็นจากสิว
- วิตามินซี – ลดจุดด่างดำ กระตุ้นคอลลาเจน
- Retinol / Tretinoin – เร่งการผลัดเซลล์ผิว
- Niacinamide – ลดการอักเสบ เสริมเกราะผิว
- AHA/BHA – ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน
2. เลเซอร์และทรีตเมนต์รักษารอยแผลเป็นจากสิว
- Fractional Laser – กระตุ้นการสร้างผิวใหม่
- Pico Laser – ลดรอยดำ/แดง
- Microneedling – เจาะผิวเบา ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- Subcision – ตัดพังผืดใต้หลุมสิว
- Filler – เติมเต็มร่องลึกชั่วคราว (6–18 เดือน)
3. การดูแลหลังทำหัตถการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
- หลีกเลี่ยงแสงแดด 2 สัปดาห์แรก
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่อุดตัน
- งดใช้กรดผลไม้หรือวิตามินซีเข้มข้นในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก
- ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตร/วัน และนอนหลับให้เพียงพอ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากสิว
- รอยแผลเป็นจากสิวหายได้ไหม ? รอยตื้นหรือรอยดำแดงอาจจางเองได้ภายใน 3–12 เดือน แต่รอยหลุมและแผลเป็นนูนต้องการการรักษาเพิ่มเติม
- รอยแผลเป็นจากสิว ใช้ครีมเพียงพอหรือไม่ ? ครีมช่วยได้มากสำหรับรอยใหม่และตื้น แต่ถ้าเป็นหลุมลึกต้องใช้หัตถการร่วมด้วย
- เมื่อไหร่ควรรักษารอยแผลเป็นจากสิว ? การรักษารอยแผลเป็นจากสิว ควรเริ่มหลังสิวหายหมด เพื่อไม่ให้การรักษากระตุ้นสิวเพิ่ม
บทสรุปรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวอาจเป็นสิ่งที่หลายคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเข้าใจกลไกการเกิด เลือกวิธีดูแลผิวที่เหมาะสม และมีวินัยในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง
หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหารอยแผลเป็นจากสิว อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์และความเข้าใจในผิวพรรณที่ลึกซึ้งขึ้นในปัจจุบัน ทำให้การฟื้นคืนผิวเนียนใสไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป
https://board.postjung.com/1625209 | https://pr.postjung.com/1625209 |
https://www.horonumber.com/topic.php?id=9749
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=teawpretty&month=18-07-2025&group=1&gblog=88
https://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=teawpretty&month=18-07-2025&group=1&gblog=88
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้