“นิ่วในถุงน้ำดี” ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็น มีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างไร?

thidarat

ขีดเขียนฝึกหัด (70)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:84
เมื่อ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2564 17.18 น.

     เพื่อน ๆ ผู้หญิงบางคนที่อยู่ในวัยทำงานช่วงอายุ 40 ต้น ๆ มักมีพฤติกรรมการทานอาหารไม่ตรงเวลา งดอาหาร หรืออดอาหารเพียงเพื่อต้องการลดน้ำหนักอย่างหักโหม จนทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น และชอบทานอาหารของมันของทอด ภายหลังเริ่มมีอาการ ปวดจุก แน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดใต้ลิ้นปี่ คลื่นไส้อาเจียน มีไข้หนาวสั่น รวมถึงอาการปวดท้องต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงหลังกินอาหาร

     ภายหลังเมื่อเข้าไปตรวจร่างกายพบว่า เป็นอาการโรคนิ่วในถุงน้ำดีต้องรีบทำการรักษาด่วน สำหรับเพื่อนหลายคนได้อ่านถึงตรงนี้ และกำลังมีอาการปวดในบริเวณท้องคล้าย ๆ ที่กล่าวมาเช่นกัน อาจเริ่มมีความกังวลใจ และสงสัยว่าโรคนิ่วในถุงน้ำดีนี้ แท้จริงแล้วอาการเป็นอย่างไร? และตัวเองมีความเสี่ยงจะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่? และหากเป็นแล้วมีแนวทางรักษาอย่างไร? เพื่อคลายความกังวลใจ วันนี้เรานำข้อมูลความรู้จากทาง ศูนย์ศัลยกรรม ของโรงพยาบาลนครธนมาฝาก เพื่อให้เพื่อนได้หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเอง ว่าจะใช่สัญญาณเตือนของนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ ตามมาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยค่ะ

     ทราบหรือไม่ว่าพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เป็นของทอดหรือของมันบ่อย ๆ มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี (Gall stone) ซึ่งโรคนี้เป็นโรคในระบบทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุด และไม่แสดงอาการอย่างแน่ชัด มีเพียงอาการปวดท้อง แน่นท้อง อืดท้องเพียงเท่านั้น หากไม่เคยรู้จักอาการของนิ่วในถุงน้ำดีมาก่อนอาจทำให้ปล่อยปละละเลยจนเป็นอันตรายมากกว่าที่คิด ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้ว่าโรคนิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากอะไร มีความอันตรายอย่างไร ใครที่สามารถเป็นได้บ้าง แล้ววิธีรักษาที่ดีที่สุดคืออะไร ไปหาคำตอบกันได้เลย

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็น "นิ่วในถุงน้ำดี" ?
     นิ่วถุงน้ำดีมักพบในคนที่มี 4 ลักษณะหรือที่เราเรียกว่า 4F คือ Forty, Fertile, Fatty และ Female หรือแปลได้ว่า มักพบในผู้หญิง รูปร่างท้วมอายุ ประมาณ 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีบุตรหลายคน ซึ่งบางคน บังเอิญตรวจพบแม้ไม่ได้มีอาการผิดปกติใด ๆ

     อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่มีลักษณะดังกล่าว มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี 1-2 % ต่อปี และในปัจจุบันเราพบว่าคนเป็นนิ่วถุงน้ำดีมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยนิ่วในถุงน้ำดีมี 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่

     ชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol stones) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยประมาณ 80% ของนิ่วในถุงน้ำดีทั้งหมด มีลักษณะเป็นก้อนสีขาว เหลือง หรือเขียว เกิดจากการมีคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในน้ำดี หรือการบีบตัวของกล้ามเนื้อในถุงน้ำดีมีสมรรถภาพไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถบีบสารออกได้หมด

     ชนิดที่เกิดจากเม็ดสีหรือบิลิรูบิน (Pigment stones) ก้อนนิ่วชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่าและมีสีคล้ำกว่าชนิดที่ เกิดจากคอเลสเตอรอล มักพบในผู้ป่วยโรคตับแข็งหรือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางจากการขาดเอนไซม์ G6PD

อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
     อาการของนิ่วในถุงน้ำดีนั้น โดยส่วนใหญ่ ช่วงแรกมักไม่เกิดอาการ และอาจจะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดจุกแน่นท้อง ใต้ชายโครงขวา หรือลิ้นปี่ ท้องอืด อิ่มง่าย โดยเฉพาะกินอาหารมันๆ หลังอาหารมื้อใหญ่ แต่ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการอักเสบของถุงน้ำดี จะทำให้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงบริเวณช่องท้องส่วนบน หรือด้านขวา มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน บางคนมีอาการปวดท้องแบบผิดปกติ นาน 2-3 ชั่วโมง โดยปวดร้าวไปสะบักขวาด้านหลังส่วนล่าง และถ้านิ่วตกลงไปอุดท่อน้ำดีใหญ่จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม

การตรวจวินิจฉัยและการรักษา
     การตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดี สามารถทำได้โดยการทำอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน (Ultrasound Upper Abdomen) เพื่อตรวจดูว่านิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ ซึ่งทำได้ง่าย ไม่เจ็บ ใช้เวลาไม่นาน และทราบผลได้ทันที โดยก่อนมาตรวจนั้นต้องเตรียมตัวโดยการงดอาหาร และเครื่องดื่มที่มีไขมันทุกชนิด ประมาณ 4-6 ชั่วโมงก่อนตรวจ แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ เพราะหากรับประทานอาหารก่อนมาตรวจจะทำให้ถุงน้ำดีหดตัว ส่งผลให้เห็นถุงน้ำดีไม่ชัดเจน

ส่วนการรักษา วิธีได้ผลดีที่สุดนั่นคือ การผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดถุงน้ำดีในปัจจุบัน มี 2 วิธี ได้แก่
     - การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เป็นการการผ่าตัดด้วยวิธีมาตรฐาน เหมาะกับการรักษานิ่วในถุงน้ำดีที่มีการอักเสบมากหรือแตกทะลุในช่องท้อง

     - การผ่าตัดผ่านกล้อง เป็นการผ่าตัดแบบเจาะรูเล็ก ๆ ที่หน้าท้อง มีข้อดีคือ แผลเล็ก เจ็บตัวน้อย ฟื้นตัวได้ไว แต่ทั้งนี้มีข้อจำกัดในการรักษาด้วยวิธีการนี้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันเกิน 3 วัน โอกาสที่จะรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องสำเร็จจะลดลง

รู้จักการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีด้วยวิธีส่องกล้อง 3 มิติ
     ในอดีตการผ่าตัดโรคนิ่วในถุงน้ำดีเป็นการผ่าตัดแบบเปิดแผลใหญ่เพื่อเลาะเอาถุงน้ำดีออก โดยแพทย์ต้องตัดกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านขวาบนก่อนที่จะเข้าไปในช่องท้อง ดังนั้นคนไข้จะเจ็บแผลมาก ทำให้รู้สึกเจ็บเวลาหายใจ ซึ่งการหายใจตื้นที่ไม่เต็มปอดก็จะส่งผลให้ปอดแฟบ และปอดอักเสบในเวลาต่อมา แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบัน แพทย์สามารถใช้เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง 3 มิติ มารักษาได้ ซึ่งจะช่วยลดอัตราการบาดเจ็บต่ออวัยวะ ลดเวลาในการผ่าตัด ทำให้มีความปลอดภัยในการผ่าตัดมากขึ้น เป็นวิธีการผ่าตัดที่ทำให้แผลมีขนาดเล็ก ช่วยให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็ว อยู่โรงพยาบาลแค่ 1-2 วัน ก็กลับบ้านได้ ทั้งนี้ศัลยแพทย์จะผ่าตัดผ่านกล้องได้แม่นยำมากขึ้นกว่าจอ 2 มิติ รูปแบบแผลเล็ก เจ็บน้อย คนไข้ฟื้นตัวเร็ว ทั้งนี้ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่ต้องลางานหลายวัน สามารถลดภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้อที่เกิดจากการผ่าตัด

กระบวนการวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง มีดังนี้
     - เจาะรูเล็ก ๆ บริเวณหน้าท้อง 4 แห่ง ด้วยเครื่องมือที่ออกแบบเฉพาะสำหรับการเจาะหน้าท้องอย่างปลอดภัย ขนาดของรูประมาณ 0.5 ซม. 3 ตำแหน่ง และขนาด 1 ซม.ที่สะดืออีก 1 ตำแหน่ง
     - ใส่กล้องที่มีก้านยาวๆ และเครื่องมือต่าง ๆ ผ่านรูที่ผนังหน้าท้องลงไป ศัลยแพทย์จะสามารถมองเห็นถุงน้ำดีและอวัยวะต่าง ๆ จากจอโทรทัศน์ที่กล้องส่งสัญญาณภาพมา
     - ศัลยแพทย์สามารถเลาะแยกถุงน้ำดีออกจากตับ และใช้คลิปหนีบห้ามเลือดแทนไหมเย็บแผล ก่อนตัดขั้วของถุงน้ำดี แล้วเลาะส่วนที่เหลือให้หลุดออก
     - เมื่อตัดถุงน้ำดีได้แล้ว นำบรรจุใส่ถุงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ หลังจากนั้นค่อยดึงออกจากร่างกายบริเวณรูสะดือ จากนั้นศัลยแพทย์จะสำรวจความเรียบร้อยเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนดึงเครื่องมือและกล้องออกแล้วเย็บปิดแผล
     - ในผู้ป่วยบางรายถ้ามีการอักเสบมาก อาจต้องมีการใส่ท่อระบายไว้ 2-3 วัน

ข้อจำกัดของการผ่าตัดถุงน้ำดีผ่านกล้อง
     สำหรับผู้ป่วยในบางภาวะไม่สามารถใช้วิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคปอดและหัวใจขั้นรุนแรง คนที่เคยผ่าตัดและมีพังผืดในท้องมาก ๆ รวมถึงแพทย์และทีมงานจะต้องที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคการผ่าตัดด้วยกล้องโดยเฉพาะ

     เนื่องจากอาการของนิ่วในถุงน้ำดี จะไม่พบอาการผิดปกติแสดงให้เห็นและมักจะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเช็คร่างกาย ทั้งนี้หากผู้ป่วยตรวจสอบว่าตนเองมีการปวดจุก แน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย รวมถึงอาการปวดท้องต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงหลังกินอาหาร อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในถุงน้ำดีที่เริ่มก่อกวนร่างกาย แนะนำว่าไม่ควรชะล่าใจหรือปล่อยทิ้งไว้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะอาการเริ่มแรก

     หากเพื่อน ๆ กำลังมีอาการเตือนของโรคนิ่วในถุงน้ำดี และมีความกังวลใจ แนะนำว่าควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และหาแนวทางการรักษาที่เหมาะ หากปล่อยไว้นานอาจเรื้อรังอาจลุกลามรักษายาก ทางศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลนครธน มีความพร้อมเป็นอย่างมาก บุคลากรทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไว้รองรับ และ คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษา สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลก่อนได้ตามลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลนครธน : https://www.nakornthon.com/Article/Detail/นิ่วในถุงน้ำดี-อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา