คิดถึงอัสดง
เขียนโดย ศิรญา
วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เวลา 13.55 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 14.00 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) คิดถึงอัสดง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ27มิถุนายนเวลา.....กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง.... เสียงที่แสนน่ารำคาญของนาฬิกาที่ปลุกให้ฉันลุกตื่น แต่สิ่งที่น่ารำคาญใจมากกว่านั้นคือการที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฉันยังติดจมอยู่กับชีวิตห่วยๆนี้ เมื่อไหร่จะหลุดพ้น ฉันคิดในใจ...
เช้าแสนน่าเบื่อกำลังผ่านไปอย่างเฉื่อยช้า พระอาทิตย์เองคงขี้เกียจทำสิ่งเดิมๆเหมือนกัน ฉันคิดเอาเองและภาวนาให้พระอาทิตย์หยุดพักงานตลอดกาลให้ทั้งโลกวุ่นวายกันคงสนุกน่าดู หมดเวลาคิดเรื่องพระอาทิตย์ ฉันลุกอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน ไม่แตะข้าวเช้าไม่ไหว้ใครก่อนไปโรงเรียน และไม่ลืมเงินสำหรับข้าวกลางวัน นี่คือทุกเช้าเดิมๆของฉัน....
เสียงกริ่งโรงเรียนดังขึ้นทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้ามา ทุกวันก็เป็นเช่นเดิมดั่งมีสิ่งหนึ่งมากำหนดไว้ว่าต้องเป็นแบบนี้เสมอๆประมาณว่าขโมยผลไม้วิเศษกินแล้วถูกจับได้เลยถูกลงโทษให้เจ็บปวดทุกครั้งที่หลุดจากรั้วล้อมของสิ่งนั้น เมื่อเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จเรียบร้อย ฉันกับกลุ่มเพื่อนที่น่ารำคาญก็เข้าเรียนตามปกติ ฉันไม่เคยพูดว่าพวกเขาเหล่านั้นน่ารำคาญ ถ้าพูดให้ได้ยินคงไม่มีใครยอมคบฉันเป็นเพื่อนแน่ อย่างน้อยพวกน่ารำคาญพวกนี้ก็ทำให้ฉันดูเป็นคนธรรมดา เรื่องน่ารำคาญอีกเรื่องที่เกิดกับฉันคือ กลุ่มนักเรียนชายที่วันๆชอบทำตัวเป็นหนอนพยาธิชอนไชผลไม้เน่าๆเล่น ชอบเข้ามาพัวพันรอบๆฉัน การมีรูปร่างและน่าตาที่ค่อนข้างดีกว่าเพื่อนหน่อยไม่ได้ทำให้ฉันดีใจหรือมีความสุขเลย เพราะสิ่งเหล่านี้มีแต่จะทำให้ชีวิตของฉันมีความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้น สื่งที่ฉันต้องการจริงๆคือ...."ความจริงใจ"..."กลับยัง?กูไปส่ง "เพื่อนเห่ยๆคนหนึ่งออกคำถามให้ฉันหลุดจากภวังค์ ฉันยกมือขึ้นดูนาฬิกา อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเลิกเรียน "อ้ออออ~~เอาดิ แต่รอกูจดโจทย์เสร็จก่อน" ฉันตอบผ่านๆ คิดในใจถึงมันจะเห่ยและดูแหลกในสายตาคนอื่นแต่อย่างน้อยมันก็เป็นคนที่ฉันกล้าเรียกว่าเพื่อนได้ค่อนข้างเต็มปากมากกว่าคนอื่น(?)....
"มึงทำโจทย์เสร็จถ่ายส่งให้กูด้วยนะ" นี่คือประโยคที่ฉันได้ยินจนชินทุกครั้งที่มีการบ้านให้ทำส่งและเพื่อนคนนี้เองคงพอใจกับคำพูดที่ฉันจะตอบกลับ .... "เออๆกูจะส่งให้มึงคนแรกเลยจ้าาาา" รู้สึกขยาดตัวเองที่ต้องพูดอะไรงี่เง่าแบบนี้ จริงๆอยากกลอกตามองบนแล้วทำปากห้อยตอบกลับไปว่า "โง่!!!" คงรู้สึกดีถ้าได้พูดสิ่งที่คิด
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการคบเพื่อนอีกอย่างคือ" ผลประโยชน์ " ทุกครั้งที่ฉันเกิดประโยชน์ต่างก็รุมล้อมฉันดั่งอีแร้งจิกกัดกันแย่งฉีกกระชากซากศพเปื่อยเละเน่าเหม็นยังไงอย่างนั้น พอไม่มีประโยชน์ที่จะแย่งฉันก็เอาเวลาว่างพากันจิกนินทาอิจฉารูปร่างน่าตาฉันรวมถึงกลุ่มผู้ชายน่าขยะแขยงที่เข้าหาฉัน "เฮ้อออออออ"คิดแล้วแอบปวดใจหน่อยๆไม่มีความจริงใจในชีวิตฉันเลย....
"ไม่อยากกลับบ้านเหรอ" เพื่อนคนเดิมถามขึ้นขณะที่ได้ยินฉันถอนหายใจยาวๆ "หึ!!!! มึงก็รู้มั้ยเหอะ " ฉันรำคาญกับคำถามที่คนถามรู้คำตอบอยู่แล้วรองจากการที่ต้องตื่นมาใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปในทุกๆเช้า "แวะกินข้าวกัน กูเลี้ยง" ทันทีที่พูดจบความเร็วของBigBikeรุ่นล่าสุดก็ถูกเร่งความเร็วโดยอัตโนมัติ..."ไอ่ลูกคนรวย ข้าวจานเดียวกูซื้อเองได้หรอก" ฉันไม่ได้พูดออกไปหรอก คนแบบฉันคงไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา
ไม่นานBigBikeคันเดิมก็ชลอความเร็วและจอดแวะเข้าร้านอาหารชื่อดังราคาพากระเป๋าตังเบา แต่ฉันไม่ได้กังวลเรื่องเงินเพราะฉันมีเพื่อนรวย ตราบใดที่เขาเองคิดว่าฉันเป็นประโยชน์เรื่องการเรียนของเขา เขาเองก็เป็นประโยชน์เรื่องการเงินให้กับฉัน ฉันคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับฉันแล้ว...."เอาไรสั่งเลยนะ" ฉันรู้สึกเกลียดคำพูดนี้เอามากๆ "อ้อออ~~แน่นอนๆ"ฉันตอบส่งๆ สั่งอาหารเสร็จสรรพระหว่างการเสพอาหารของฉันกับเพื่อนจำเป็นเป็นไปอย่างเงียบๆ "เงียบอะ พูดอะไรหน่อยสิ" ฉันอยากกินอาหารเข้าไปเต็มๆปากกินเข้าไปให้หมดทุกจานบนโต๊ะอาหารเส็งเครงแล้วอ้วกออกมาใส่หน้าของฝ่ายตรงข้ามเป็นที่สุด กลิ่นอาหารหลากชนิดกันคงทำให้สีหน้าของเขาดูแย่แต่ฉันไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด "ให้พูดอะไรล่ะ? " ฉันทำได้แค่นี้ เกลียดตัวเองชะมัด "มึงเบื่อกูเหรอ?" กูแค่เกลียดคนรวยที่คอยหาประโยชน์จากคนแบบกู ฉันคิดว่าสักวันจะพูดออกไปให้ได้ "มึงเพื่อนกู อย่าคิดมาก" ฉันรู้สึกคลื่นไส้แบบจริงจังเอามากๆหลังพูดประโยคนี้จบ
ลึกๆแล้วฉันเองก็รู้ว่าเพื่อนคนนี้แอบมีใจให้ฉันและพยายามจะพังกำแพงของฉัน เพราะเขาเป็นคนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับฉันค่อนข้างมากกว่าคนอื่นแต่ก็น้อยกว่าตัวฉันเอง นี่ก็เป็นอีกเรื่องนี่ทำให้ฉันเกลียดความรู้ดีของเขา แต่ถ้าไม่นับการรับผลประโยชน์จากฉันและเรื่องความลับของฉันที่เขารู้ดี เขาเองก็คงเป็นคนดีคนหนึ่งที่สังคมอาจจะต้องการ(?)
หลังมื้ออาหารที่รสชาติคล้ายทิชชู่เปียกผสมน้อยหน่าเน่า ฉันก็ถูกส่งถึงหน้าบ้าน(?) ฉันค่อนข้างไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เรียกว่าบ้าน แค่สภาพบ้านยังพอทนแต่กับคนที่ฉันต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกันด้วยแล้วนั้น...ค่อนข้างแย่ ถึงบ้านฉันก็มุ่งตรงไปยังที่นอนเปิดโทรศัพท์จมอยู่กับโลกออนไลน์และหลับไปทั้งอย่างนั้น
ทุกๆคืนของฉันมักจะยาวนานกว่าคนปกติทั่วไป ก่อนฉันจะข่มตาลงได้ ความคิดต่างๆก็พุ่งชนเข้ากับสมองของฉันให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
จริงๆชีวิตฉันน่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าฉันมีพ่อแม่เดียวกันกับพวกพี่ๆ ถ้าฉันโตเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นจากความรักของพ่อแม่ไม่ใช่ถูกตามใจแต่เด็กจนเสียนิสัยเป็นเด็กอารมณ์ร้อนเหมือนทุกวันนี้ ฉันเหนื่อยใจกับเรื่องนี้มาก ถ้าความจริงพวกเขา(?)ฉันหมายถึงบุคคลที่คนปกติทั่วไปเรียกว่าพ่อแม่ไม่ต้องมาเจอกันเลยนั่นจะเป็นเรื่องที่ประเสริฐที่สุด เพราะนั่นจะไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะต้องแหกปากร้องออกมาตอนถูกหมอตบก้นเป็นแน่ คิดๆแล้วแค้นใจพวกเขามากที่ไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของฉัน พวกเขาเริ่มทะเลาะและลงมือทุบตีกันเมื่อตอนที่ฉันเริ่มจำความได้ ฉันไม่รู้สาเหตุแต่ฉันเก็บเหตุการณ์แย่ๆเหล่านั้นมาจำใส่สมองที่เปรียบเหมือนผ้าขาวบางให้ติดราดำๆจากพวกเขา และไม่กี่ปีที่ผ่านมาคนที่ฉันควรเรียกว่าแม่กลายเป็นม่ายอีกครั้ง
"แม่" ฉันเรียกได้ไม่เต็มปาก หันหลังจมอยู่กับขวดเหล้าเถื่อนที่ซื้อจากคนข้างบ้าน ทุกวันทั้งเช้าและเย็นจะได้กลิ่นเหล้าจากคนคนนี้ เขามักจะโยนโทษความผิดทั้งหลายมาที่ฉัน ฉันไม่เข้าใจเขาบางทีเขาอาจขาดความอบอุ่นจากลูกๆคนโตจากพี่สาวที่เข้ากรุงหาเงินเป็นค่าเหล้าให้เขารวมถึงค่าเทอมของฉัน หรือจากพี่ชายลูกผู้ชายสุดที่รักที่เขาหวงแหนมากที่สุดที่หนีไปเอาหญิงแปลกหน้าที่เครือญาติรู้จักกันดีแล้วเตือนว่าอย่าเอาเป็นเมีย
แย่สุดคือคนอารมณ์ร้อนแบบฉันต้องมาใช้ชีวิตกับหญิงขี้เหล้าที่ทั้งหมู่บ้านรู้จักกันดี นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันขี้เหวี่ยงขี้วีนติดเป็นสันดาน คล้ายระเบิดที่พร้อมตูมได้ทุกครั้งเมื่ออยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่อาการฉันจะคล้ายคนปกติมากที่สุดก็ตอนอยู่โรงเรียนเพราะฉันจะคุมตัวได้ดี
ทุกๆคืนเป็นไปเช่นนี้เสมอ ฉันเกลียด เกลียดทุกอย่างที่ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ชอบตัวเองที่ต้องปั้นหน้ายิ้มแสร้งทำเป็นมีความสุข หรือการแสแสร้งเหล่านี้ฉันอาจรับมาจากความไม่จริงใจของพวกเขาก็ได้ นั่นยิ่งทำให้ฉันกลัวการโตเป็นผู้ใหญ่แย่ๆที่เห็นแก่ตัวเอาแต่โทษเด็กไร้เดียงสา ฉันเริ่มสร้างกำแพงในใจตั้งแต่ฉันรู้ความจริงทางสายเลือดพี่น้อง ฉันไม่วางใจในตัวใครสักคนที่เขาเอาแต่ปิดบังความจริงเห็นฉันเป็นตัวอะไรสักอย่าง ฉันไม่ชอบคนพวกนี้เลย
ฉันอยากโตพอที่จะอยู่คนเดียวได้ไม่ต้องพึ่งใคร ฉันหวังว่าสักวันฉันจะมีความสุขจริงๆ และฉันไม่เคยคิดเรื่องครอบครัวเลย ฉันเห็นความแหลกเหลวของครอบครัวตัวเองแล้ว คงยากที่จะรับใครเข้ามาฉันคิดแบบนี้ เพื่อนจำเป็นคนนั้นคงไม่รู้ว่าตัวเองล้มเหลวที่แอบมาชอบคนแบบฉัน สิ่งที่ฉันต้องการคือความจริงใจ ความจริงใจที่ได้รับจากคนอื่นและการมอบความจริงใจให้คนอื่น ฉันเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องการครอบครัวที่......"อบอุ่น"
ความคิดต่างๆเริ่มจางหายไปกับความมืด วันที่28มิถุนายนกำลังคืบคลานเข้ามา
ถ้ามีข่าวดีฉันอาจจะไม่ต้องตื่นมารับรู้อะไรอีกฉันหลับภาวนาให้ไม่เกิดข่าวร้าย...
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ