เรื่อง "สั้น"

-

เขียนโดย Mawmeaw

วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 21.24 น.

  1 ตอนเดียวจบ
  0 วิจารณ์
  2,163 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 21.52 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ✍️

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ผมเกิดมามีชีวิตที่ยอดเยี่ยมจนหลายๆคนอิจฉา พ่อกับแม่ของผมเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านติดอันดับต้นๆของมหาเศรษฐีเมืองไทย ผมโชคดีเกิดมาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว พ่อกับแม่ก็เลยตามใจผมทุกอย่าง อยากได้อะไร อยากกินอะไรก็หามาให้หมด ชีวิตผมเกิดมาแทบจะเรียกได้ว่า "คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด" ก็ไม่ผิดนัก

     ผมเกิดและโตที่กรุงเทพฯ พอผมเรียนจบ ม.6 ที่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พ่อกับแม่ก็ส่งผมไปเรียนต่อที่อังกฤษ ผมได้รับเกียรตินิยมอันดับ1 ถึง 3 ใบซ้อน ตั้งแต่ปริญญาตรีจนจบปริญญาเอก ชีวิตของผมสุดแสนจะสมบูรณ์แบบดุจเจ้าชายในเทพนิยายก็ไม่ปาน แต่แล้ววันแรกที่ผมเรียนจบและกลับมาเมืองไทย เหตุการณ์ก็พลิกผันชนิดที่เรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว

     วันที่ผมเดินทางมาถึงสนามบินดอนเมือง มีเพียงแม่คนเดียวเท่านั้นที่มารอรับผม แม่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อผมถามถึงพ่อ แม่ก็นิ่งเงียบ ดวงตาแม่แดงก่ำจนผมเริ่มใจคอไม่ดี ผมไม่เคยเห็นแม่เป็นแบบนี้มาก่อนเลย คนขับรถพาลีมูซีนคันหรูเคลื่อนที่เข้ามาจอดในคฤหาสน์หลังใหญ่ของครอบครัวอย่างเงียบเชียบ แม่เปิดประตูและเดินเข้าไปภายในคฤหาสน์เงียบๆโดยไม่พูดอะไรกับผมเลยสักคำ

     ผมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของแม่ เมื่อผมอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยเตรียมจะเข้านอนแล้ว ผมก็ได้แวะไปเคาะประตูห้องเรียกแม่ แต่เงียบไม่มีเสียงแม่ตอบ ผมเคาะประตูซ้ำอีก 2-3 ครั้ง ด้วยความร้อนใจผมถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป ประตูไม่ได้ล็อค ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมเข่าอ่อนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น แม่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ข้างๆมีขวดยาและเม็ดยาจำนวนหนึ่งหล่นเกลื่อนไปทั่ว ผมหยิบขวดยาขึ้นมาดู มันเป็นยาคลายเครียด ภายในขวดเหลือยาแค่ไม่กี่เม็ด ในมือซ้ายของแม่ยังค้างเกร็งกำเม็ดยาอีกจำนวนหนึ่งเอาไว้แน่น เศษแก้วน้ำแตกกระจายอยู่ข้างๆมือขวาของแม่ ผมตกใจแทบสิ้นสติกับสภาพของแม่จนทำอะไรไม่ถูก พอรู้ตัวอีกทีคนรับใช้ก็ได้เรียกรถพยาบาลมารับแม่ไปโรงพยาบาลแล้ว

     เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมงงไปหมด เหมือนสมองของผมเบลอจนไม่รับรู้อะไรในเวลานี้แล้ว แม้แต่เสียงของหมอหน้าห้องฉุกเฉินที่ออกมาแจ้งข่าวว่าแม่ของผมหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตแล้วตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาล หมอพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่อาจยื้อชีวิตแม่ของผมเอาไว้ได้ แม่ผมมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไปเสียแล้ว

     งานศพของแม่ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วนโดยบรรดาญาติๆทางฝ่ายแม่ เมื่อล่วงเข้าสู่วันที่สามของการสวดพระอภิธรรมศพ พ่อมาปรากฏตัวในงาน ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นร่างของพ่อเดินเข้ามาในงาน อย่างน้อยผมก็ยังเหลือพ่ออยู่อีกคน ผมอยากเข้าไปกอดพ่อและถามว่าพ่อหายไปไหนมา แต่เมื่อพ่อมองเห็นผม พ่อกลับมีสายตาเย็นชาอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปหาพ่อด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ ผมกลับต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าข้างกายของพ่อมีสาวแปลกหน้าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำรัดรูปเดินนวยนาดตามพ่อมาด้วย หล่อนคล้องแขนพ่อเอาไว้ตลอดเวลาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเปิดเผย ผมได้แต่อึ้งมองหน้าพ่อเป็นเชิงถาม พ่อแกะแขนสาวชุดดำออกและพูดกับหล่อนสองสามคำเบาๆ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะปรายตามามองที่ผม และยอมเดินไปหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ที่จัดไว้ด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก พ่อเดินตรงมาหาผม ใช้มือรุนหลังผมเบาๆเพื่อชวนออกไปคุยด้านนอกศาลา และเรื่องราวต่างๆที่ผมสงสัยก็ถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของพ่อจนหมด

     พ่อบอกผมว่า พ่อกับแม่แยกกันอยู่มาสามปีแล้ว ด้วยเหตุผลที่ต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กัน เพราะมัวแต่ทุ่มเททำธุรกิจของตัวเอง พักหลังๆ พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก จนต่างคนต่างรู้สึกเหนื่อยใจ และพ่อก็ได้ไปพบสาวคนใหม่ จึงตัดสินใจแยกกันอยู่กับแม่ แม่ทำใจไม่ได้ ถึงกับป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และล่าสุดพ่อกำลังจะแต่งงานใหม่ แม่คงรู้สึกเจ็บช้ำใจมาก คาดว่าแม่คงจะตัดสินใจกินยาเกินขนาด เพื่อจบชีวิตตัวเองลง พ่อบอกว่าเหตุผลที่พ่อไม่ได้บอกให้ผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เพราะตอนนั้นผมกำลังทุ่มเทกับการเรียนเพื่อคว้าเกียรตินิยมอันดับ1อย่างมุ่งมั่น กลัวว่าถ้าบอกผมไป ผมจะไม่สบายใจแล้วส่งผลกระทบกับการเรียนของผมเปล่าๆ ผมฟังแล้วถึงกับอึ้งไปทันที 

     ประโยคสุดท้ายที่พ่อพูด พ่อขอโทษผมและพ่อขอไปใช้ชีวิตใหม่ในแบบที่พ่อต้องการ ผมนิ่งอึ้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าสมองของผมด้านชา จนพูดอะไรไม่ออกไปเสียแล้ว

     "แล้วผมล่ะพ่อ พ่อจะทิ้งผมไปเหมือนแม่อีกคนเหรอครับ"

     คำถามนี้ถูกกลืนหายเข้าไปในคอทันทีเมื่อสาวชุดดำรัดรูปเดินเข้ามาจูงแขนพ่อออกไปต่อหน้าต่อตาพร้อมสายตาต่อว่าเชิงตำหนิที่ผมรบกวนเวลาของหล่อนกับพ่อมากเกินไปแล้ว พ่อหันมามองผมด้วยแววตาเห็นใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเดินตามแม่สาวคนนั้นออกไปแต่โดยดี

ผมมองตามแผ่นหลังพ่อไปด้วยความรู้สึกใจหายและสับสน นี่คงจะเป็นภาพความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เก็บภาพพ่อของผมเอาไว้ในใจ

     หลังเสร็จงานศพไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ธนาคารก็เข้ามายึดคฤหาสน์ของครอบครัว รวมถึงทรัพย์สินในธนาคารส่วนใหญ่ โดยแจ้งว่าแม่ได้จำนองคฤหาสน์หลังนี้เอาไว้ช่วงที่ธุรกิจทำท่าว่าจะล้มละลายเมื่อปีก่อน ผมเพิ่งรู้ว่าตอนนี้ธุรกิจของครอบครัวเจ๊งไม่เป็นท่า ก็เมื่อผมสูญเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว แม้กระทั่งที่ซุกหัวนอนของตัวเองก็ไม่มี

     ตอนนี้ผมรู้สึกเคว้งเคว้งเหลือเกินหลายสิ่งหลายอย่างประดังประเดกันเข้ามาจนผมตั้งตัวไม่ติด ผมเดินห่างออกมาจากคฤหาสน์เรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง...

---------------------------

เหตุการณ์แห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ผ่านไปเป็นปีแล้ว ตอนนี้สมองของผมว่างเปล่า ผมคิดเอาว่าผมคงจะค่อยๆลืมทุกอย่างไปได้เอง ตอนนี้ความทรงจำต่างๆของผมมันเริ่มจางหายจากสมองจนแทบไม่เหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

     เช้านี้ในกรุงเทพฯ ผมลืมตาตื่นขึ้นมาหายใจได้อีกวัน ผมรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว แสงแดดส่องลงมาบนที่นอนแข็งๆที่ผมนอนอยู่จนผมเหงื่อโชกไปทั้งตัว ผมค่อยๆลุกขึ้นนั่งช้าๆ หยิบกระดาษสีขาวยับยู่ยี่แผ่นหนึ่งและดินสอแท่งเก่าๆที่ไส้สั้นกุดออกมาจากถุงพลาสติกสีขาวใบเก่าแล้วเขียนขยุกขยิกลงไปว่า

 

"ผมชื่อ 'สั้น' เรียกผมว่า 'ด็อกเตอร์สั้น' เพราะผมเป็นยอดอัจฉริยะ..."

 

      จากนั้นผมค่อยๆเขียนสูตรคำนวณและตัวเลขออกมาบนกระดาษยาวเฟื้อยเกือบเต็มแผ่น หนุ่มสาวออฟฟิศหลายคนมองมาที่ผม ก่อนค่อยๆขยับตัวถอยห่างจากผม บางคนเอามือปิดจมูกและมีสีหน้าท่าทางรังเกียจผมอย่างเห็นได้ชัด แม่กับลูกคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆผม ผู้เป็นแม่รีบดึงแขนลูกชายตัวเล็กให้ออกห่างจากผม พร้อมกระซิบข้างหูลูกชายเบาๆว่า

 

"ถอยออกมาเร็วลูก อย่าไปใกล้... มันอันตราย"

 

     ครู่ต่อมา รถเมล์วิ่งมาจอดตรงที่ผมนั่งเขียนอยู่ ผมพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมก้าวขึ้นรถเมล์ หนุ่มสาวออฟฟิศกลุ่มใหญ่ที่ยืนอยู่เมื่อครู่รีบกระวีกระวาดเบียดเสียดกันขึ้นรถเมล์อย่างรีบร้อน ตามด้วยคู่แม่ลูก ที่ผู้เป็นแม่รีบดันตัวลูกชายขึ้นไปและตนเองก็รีบตามขึ้นไปบนรถเมล์แทบจะทันที ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเท้าไปเหยียบบนบันไดรถเมล์ ประตูรถก็ปิดลงอย่างฉับพลัน พร้อมๆกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของกระเป๋ารถเมล์บนรถว่า

 

"รีบปิดประตูเร็ว อย่าให้ 'คนบ้า' มันตามขึ้นมา"

 

ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของผู้โดยสารส่วนใหญ่บนรถเมล์

-----------------------------------------------------

#ชีวิตมีขึ้นมีลง

#ขณะยังมีลมหายใจโปรดใช้ชีวิตอย่างมีสติ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา