เธอยังคงอยู่ตลอดไป แม้เพียงในความคิดถึงของฉัน

-

เขียนโดย nappy

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.23 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,616 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 21.28 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปิดเทอมหน้าร้อนครั้งนี้ของผมดูเหมือนจะยาวนานเกินไป เหตุเพราะปีหน้าประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทางการจึงมีนโยบายปรับเวลาเรียนให้ทัดเทียมสากลโดยการให้มหาวิทยาลัยปิดเทอมทีเดียวเกือบหกเดือนติดต่อกัน เพื่อนร่วมรุ่นของผมที่จบม.หกมาด้วยกันต่างมีแผนการสำหรับปิดเทอมใหญ่ครั้งนี้กันทั้งนั้น บางคนที่มีฐานะดีก็เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ บางคนที่จริงจังกับอาเซียนก็หาที่เรียนภาษาอังกฤษหรือไม่ก็ภาษาที่ใช้ในชาติอาเซียนเพิ่ม บางคนก็หางานทำเสริมสร้างรายได้ไปพลางๆ

ส่วนผมหรือครับ...สารภาพตามตรงเลยว่า นอกจากจะไม่มีแผนการอะไรสำหรับปิดเทอมอันยาวนานนี้แล้ว ผมยังนั่งรอฟังผลคะแนนแอดมิชชั่นปีนี้อยู่เลย แถมนี่ก็เพิ่งจะสอบปลายภาคเสร็จ ปิดเทอมได้ไม่นานเสียเท่าไร ผมขอกินลมเชยชมความเอื่อยเฉื่อยไปก่อนเสียแล้วกัน หลังจากต้องวิ่งพล่านเข้าสถาบันกวดวิชาเพื่อเรียนตามคอร์สเอนทรานซ์ และคอร์สตะลุยโจทย์เข้มข้นอย่างดุเดือดให้ทัน ละลายเงินเหมือนเกลือละลายน้ำให้แก่สถาบันเหล่านี้ และต่อสู้กับหนังตาอันหนักอึ้งเพื่ออ่านหนังสือ และทำโจทย์ตอนกลางคืนอย่างทรมาน ดังนั้นผมกล้าพูดเลยว่า ถึงแม้ตอนนี้ผมจะยังไม่มีที่เรียนเป็นหลักแหล่ง ได้แต่รอการประกาศผลของแอดมิชชั่นก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าระยะเวลาอันต้องแย่งชิงแข่งขันกันหาที่เรียนต่ออย่างแทบจะไม่ได้พักกับเด็กทั่วประเทศก็แล้วกัน

เพื่อนๆของผมหนีไปกบดานตามความพอใจของพวกเขาหมดแล้ว ยิ่งช่วงนี้ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษหลังจากภาระอันหนักอึ้งหมดไป ผมจึงมักจะชวนพ่อของผมไปนั่งเล่นที่ร้านน้ำชาตรงหัวมุมปากซอยบ้านผมบ่อยๆในตอนเช้า ร้านน้ำชาร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ แต่ดูสว่างสดใส พ่อผมชอบมานั่นอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าที่นี่พร้อมๆกับทานติ่มซำไปด้วย ส่วนผมถ้าไม่มานั่งอ่านนิยายเล่นๆ หรือก็มานั่งดูผู้คนที่ต่างง่วงงุนต่อเช้าวันใหม่ พร้อมๆกับชาร้อน และอาหารเช้าสักจาน ทั้งพ่อและผมก็นั่งได้เป็นชั่วโมงๆจนกระทั่งตอนสายแดดแข็งแล้ว ถึงค่อยยุรยาตรจากไป

ตอนนี้ชาร้อนมาเสิร์ฟแล้ว ไอชาสีขาวที่หอบเอากลิ่นอายหอมหวานลอยขมวดเรี่ยอยู่เหนือฟองชาที่ผุดพรายอยู่ตามผิวแก้ว พร้อมกับใบหน้าของพ่อผมที่หายไปหลังหนังสือพิมพ์ ผมเองก็จะล้วงเอาหนังสือในกระเป๋าสะพายออกมาอ่านบ้าง แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปในทันทีเมื่อผมนึกขึ้นได้ ว่าตอนเข้านี้ ผมดันเกิดขี้ลืมขึ้นมากะทันหัน ดันลืมหยิบหนังสือเล่มใหม่ออกมาเสียได้ ในกระเป๋ามีแต่หนังสือเล่มเก่าของเมื่อวานที่ผมอ่านจบไปแล้ว ผมจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกั๊กแทน

ผมชอบใส่เสื้อกั๊กเป็นประจำครับ แม้ยามไปโรงเรียนก็สวมทับเสื้อนักเรียนไปเลย มันใช้กันหนาวได้ และนอกจากนี้กระเป๋าเสื้อกั๊กผมยังเป็นที่เก็บอะไรเสียหลายอย่างตั้งแต่ปากกา ดินสอ เศษกระดาษไว้จดข้อความ เศษเหรียญ ปลอกปากกาเก่าๆที่ตัวปากกาหายไปนานแล้ว เศษกระดาษห่อลูกอมที่แอบอมเล่นในห้องเรียน การ์ดเกมสัตว์ประหลาดที่เคยใช้เล่นกับเพื่อน และอีกหลายๆอย่างมากมายที่กล่าวถึงได้ไม่หมดไม่สิ้น บางทีเวลาที่ผมยืนเฉยๆหรือไม่มีอะไรจะทำผมก็มักจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกั๊กเสมอจนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว

ผมคลำไปเจอพบก้อนเล็กๆแข็งก้อนหนึ่งที่ดูเหมือนจะอยู่รวมกับเศษเหรียญที่ก้นกระเป๋าเสื้อกั๊กช่องใดช่องหนึ่งของผม ผมจึงหยิบมันออกมา ปรากฏว่ามันคือม้วนกระดาษก้อนเล็กๆก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะถูกม้วนไว้นานแล้วหากแต่สีของการดาษยังขาวสะอาดไม่จืดจาง มันดูคุ้นตาชอบกลพิลึกผมจึงค่อยๆคลี่มันออกมา

มีชื่อของใครคนหนึ่งที่ถูกเขียนด้วยลายมือของผมเองประทับอยู่ ...

ทันทีที่ผมเห็นชื่อนั้น ความทรงจำบางอย่างก็ย้อนคืนมาหา แม้รอยน้ำหมึกของชื่อจะจางลงแล้ว แต่ความทรงจำกลับคมชัดยิ่งกว่าสิ่งใด...

ผมจบจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศ เป็นโรงเรียนที่ดีเด่นเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาค และก็เป็นหนึ่งในสี่ของประเทศอีกด้วย ผมเรียนที่สถาบันแห่งนี้มาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลย ว่าที่แห่งนี้สร้างสมผมมา หากไม่มีที่นี่ก็ไม่มีผม ผมผูกพันกับโรงเรียนแห่งนี้ จนกระทั่งจบมาแล้วก็ยังอดระลึกถึงอยู่มิวาย อย่าหาว่าผมพูดเกินจริงเลย แต่ผมเคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมาการของโรงเรียนแห่งนี้ ที่มีชื่อเสียงและประวัติอันยาวนานว่าเป็นคณะกรรมาการนักเรียนตัวอย่างด้านประชาธิปไตย ผมเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนที่เคยไปแข่งระดับประเทศติดอันดับหนึ่งในสามสามปีซ้อม นอกจากนี้ผมยังเคยเป็นนักศึกษาวิชาทหารอาสาสมัครตัวอย่าง ผมมีแฟนคนแรก(และอกหักครั้งแรก) ก็ที่นี่ ผมได้มีโอกาสเรียนหนังสือตักตวงความรู้มากมายมหาศาลก็ที่นี่ ทุนต่างๆของรัฐบาลก็ต้องผ่านที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นที่แรกเสมอ

ที่ๆผมชอบที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้นอกจากสนามกีฬาแล้วก็คือ ห้องสมุดครับ ผมเรียนสาขาวิทย์คณิตก็จริง แต่ผมรักวิชาประวัติศาสตร์ และพระพุทธศาสนา ใครที่มารู้จักผมคงยากที่จะเชื่อว่าคนอย่างผมจะชอบสองวิชานี้ มันเป็นวิชาที่ผมโปรดมากที่สุดเลย แถมห้องสมุดโรงเรียนนี้ก็ไม่ใช่ย่อย อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั่นแหละครับ มันมีความรู้มากมายมหาศาลรอให้คนมาตักตวงไป

มันอาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่หมวดพระพุทธศาสนาที่ผมชอบแวะเวียนไปเป็นประจำกลับเป็นหมวดที่มีคนน้อยที่สุด หนังสือถูกจัดวางอย่างระเกะระกะไม่เป็นระเบียบที่สุดเหมือนถูกทอดทิ้งมานาน ผมสำรวจอยู่นานวันนับตั้งแต่วันที่ผมเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ ไปจนกระทั่งผมเรียนอยู่มอหก หมวดนี้ก็ยังแทบจะร้างคนตลอดกาล ผมมาจัดหนังสือที่นี่ทุกวันครับ จองให้ชั้นๆหนึ่งเป็นชั้นประจำของผม หนังสือในหมวดนี้ที่ผมอยากอ่านผมก็จะเอามันมาจัดเรียงไว้ให้เรียบร้อย ส่วนชั้นอื่นๆผมก็จัดเรียงหนังสือให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ตามหัวเรื่อง

และตอนที่ผมอยู่ชั้นมอหก ผมก็เจอเจ้าของชื่อบนกระดาษขาวใบจ้อยที่นี่เอง...

เธออยู่มอสี่อายุห่างจากผมสามปี และเธอก็ตัวเล็กมาก หากมองเพียงผิวเผินคุณอาจจะคิดว่าเธอเรียนอยู่ชั้นม.หนึ่งเท่านั้น ตอนแรกผมคิดว่าเธอมาหาหนังสือผิดหมวด นานแล้วที่ผมเห็นคนเข้ามาเยี่ยมกรายที่หมวดนี้ เธอวนไปเวียนมารอบๆชั้นหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง และเธอก็หันมาเห็นผมเข้า

“พี่คะ”เธอเรียก น้ำเสียงสุภาพนิ่มนวล “พี่หาหนังสือในหมวดนี้อยู่หรือเปล่าคะ”

ผมพยักหน้าให้

“ใช่ครับ...”แล้วอดเสริมต่อด้วยความสนเท่ห์ไม่ได้ว่า”น้องก็มาหาหนังสือที่หมวดนี้เหมือนกันหรือครับ”

“ใช่ค่ะ แต่หนูไม่รู้จะเริ่มอ่านจากเล่มไหนดีค่ะ หนุอยากเริ่มลองอ่านศาสนาดูบ้าง ตอนแรกหนูลองอ่านพระไตรปิฎกเลย แต่เข้าใจยากมาก แล้วก็มีหลายอย่างในนั้นที่หนูต้องการคำอธิบายเพิ่ม”

ผมมองไปที่เด็กสาวตัวเล็กตรงหน้าผม เธอตัดผมสั้นติดกิ๊ฟเรียบร้อย นัยน์ตาของเธอดูอ่อนเยาว์ และโศกเศร้าแปลกๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบศึกษาศาสนา ผมพบว่ามีคนนับถือศาสนาพุทธหลายคน แต่มีน้อยคนนัก ที่จะลงมือศึกษา และปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และจากการที่ผมคลุกคลีอยู่ในวงการนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่า คนที่เข้ามาศึกษาศาสนาส่วนมากมักจะมีสาเหตุมาจากความไม่สงบทางใจ ปัญหาอกหักรักคุดบ้าง ปัญหาครอบครัวบ้าง หนี้สินบ้าง ความเครียดบ้าง มีน้อยนักที่มาศึกษาเพราะชอบจริงๆ

ผมเดาในใจว่า เธอคนคงต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างในใจแน่นอน

“ได้สิ พี่จะแนะนำให้” ผมว่า “หนังสือของท่าน ว.วชิรเมธีก็ดีนะ ท่านเขียนเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเยอะเหมือนกัน อ่านแล้วสนุกมากๆ เข้าใจง่ายด้วย... หรือไม่ก็หนังสือพวกนี้(ผมหยิบหนังสืออีกสองสามเล่มออกมา) พี่ชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในเชิงศาสนานะ พี่ว่ามันสนุกดี ได้ความรู้อีกด้วย”

เธอยิ้มให้ผมอย่างสุภาพ กล่าวขอบคุณและแนะนำตัว พอเธอจากไปแล้วผมก็ล้วงมือเอาเศษกระดาษขาวเล็กๆออกมา แล้วบรรจงเขียนชื่อเธอลงไป พอผมมาคิดย้อนหลัง ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมตนเองจึงจดชื่อเธอลงไป อาจเป็นเพราะ ผมเจอคนที่อ่านหนังสือศาสนาน้อยเต็มทีก็เป็นได้ แต่หลังจากวันนั้น ผมก็พบเธอบ่อยๆ ไม่ใช่แค่ที่ห้องสมุดเท่านั้น เธอดูเหมือนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าผมทุกหนแห่งที่ผมไป อาจเป็นเพราะ แต่ก่อนผมไม่เคยรู้จักเธอก็ได้ คนเราบางทีเพียงไม่รู้จักกันก็ย่อมไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเป็นธรรมดา แต่พอผมรู้จักเธอ เธอก็ดูมีตัวตนขึ้นมาในชีวิตผมเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ผมรู้จักและสัมพันธ์ด้วย

หลังจากนั้นผมได้มีโอกาสหนังสือเล่มอื่นๆให้เธออีก ตอนนั้นผมเรียนม.หกเทอมสองแล้ว เวลาเอนทรานซ์ใกล้เข้ามาทุกที ผมจึงไม่ค่อยได้เยี่ยมกรายมาห้องสมุด แต่หนังสือหมวดพระพุทธศาสนาก็ยังคงเรียบร้อยเช่นเดิม เพราะเธอมาจัดทุกวัน

“หนังสือชีวประวัติของพระพุทธเจ้า เขียนหลายเล่ม หลายคนแต่งไม่เห็นเหมือนกันสักเล่มเลย” เธอทำหน้าย่นใส่ผม “พี่อ่านเล่มไหนเหรอ”

“พี่อ่านหลายๆเล่มรวมๆกัน หนังสือที่น้องถืออยู่พี่ก็อ่านหมดแล้ว” ผมตอบเธอ แต่ผมก็ยังสังเกตว่าในอ้อมแขนเธอไม่ได้หอบแต่หนังสือศาสนาแต่หมวดเดียว ยังมีหนังสือหมวดจิตวิทยา และประวัติศาสตร์แถมมาด้วย ทำให้ร่างเล็กๆของเธอยิ่งดูเล็กลงไปอีกเมื่อถูกบดบังด้วยหนังสือกองใหญ่ ผมเพิ่งมีโอกาสพินิจดูเธอเป็นครั้งแรกหลังจากที่ผมเจอเธอครั้งแรก

เธอดูโตขึ้น ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งความขึงขัง นัยน์ตาที่ดูเศร้าประหลาดนั้นหายไป แต่กลับถูกแทนที่ด้วยนัยน์ตาที่ดูครุ่นคิดสงสัยแทน

“น้องอ่านหนังสือหมวดอื่นด้วยเหรอ”ผมถามด้วยความสนเท่ห์ใจ”ทำไมถึงอ่านหมวดอื่นเพิ่มล่ะ”

“ก็มีหลายอย่างที่อยากจะลงมือทำ ลงมือแก้ไข แต่ไม่รู้จะทำยังไง แล้วก็ไม่รู้จะถามใครด้วย เลยเข้าห้องสมุด”

“หนังสือทางจิตวิทยากับประวัติศาสตร์จะช่วยแก้ไขเหรอ”ผมถามกลับขำๆ เธอไม่ตอบหากแต่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ผมจึงลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงข้ามเธอ

“หนูคิดว่า...ยังมีหลายสิ่งอีกมากมายในโรงเรียนนี้ที่ต้องปรับปรุง”เธอตอบเรียบๆ แต่ดวงตาเป็นประกายจัดจ้าเจิดจรัส

“เช่นอะไรบ้างเหรอ”ผมถามกลับทันควัน ก่อนจะยั้งปากตนเองไว้ได้ทัน ในฐานะที่ผมเป็นอดีตกรรมาการนักเรียน ผมก็อยากรู้

“หนูมาจากโรงเรียนต่างจังหวัด”เธอเล่าเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเนิบๆนิ่มนวล”หนูมาสอบเข้าที่นี่ หนูหวังอะไรมากมาย แต่สุดท้าย ที่นี่ก็ไม่เป็นอย่างที่หนูคิด ป้ายประกาศที่ติดรอบรั้วโรงเรียนไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกเลยว่า โรงเรียนนี้ดีหรือเลว

“ที่นี่กอปรไปด้วยคนมากมาย ร้อยพ่อพันธุ์แม่ มีธารแห่งความคิดอันหลากหลาย สิ่งที่หนูรู้จากมัน คือ บางครั้งการศึกษาก็ไม่ช่วยพัฒนาความคิดคน ตอนที่หนูเข้ามาที่นี่ใหม่ๆ หนูเคยถูกกระแสแห่งสังคมพัดพาความคิด พัดพาตัวตนไปเสียจนกระเจิดกระเจิง สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ตอนหลังถึงค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมา ว่าสิ่งที่หนูเป็นอยู่มันไม่ใช่ตัวหนูเลย หนูหลงไปกับสิ่งที่หนูคิดว่าดี เครื่องแบบอันภาคภูมิใจที่หนูสวมใส่อยู่ บางครั้งมันก็กลายเป็นกรงขังอิสรภาพหนูไป

“ที่นี่มีคนเก่งมากมาย เด็กโอลิมปิกก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งโรงเรียน แต่หนูพบว่า ไม่ว่าจะเป็นคนเก่งมาจากไหน ถ้าไม่รู้จักยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางความผันแปรแห่งกระแสสังคมก็จะต้องถูกกลืนกินในที่สุด

“หนูเคยสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า ‘อิสระ’ ไป โดยที่ไม่รู้ตัว แล้วหลงคิดว่า การละลายพฤติกรรมให้เข้ากับผู้อื่นมันเป็นสิ่งดี หนูไม่เคยเจ็บปวดและเสียใจเท่านี้มาก่อนเลย” พอพูดถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มน้อยๆ “แต่หนูไม่หวังว่า พี่จะเข้าใจสิ่งที่หนูพูดหรอก ในสายตาของหนู ในบรรดาสัตว์หลายล้านเผ่าพันธุ์บนโลกนี้ หนูดีใจนะคะ ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่หนูไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่มนุษย์มีสมองให้คิด มีจินตนาการให้สร้างสรรค์ และยังเป็นสัตว์ชนิดเดียวบนโลกที่สามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ แต่ทำไม... ถึงไม่รู้จักใช้ความคิดสร้างสรรค์มาสรรค์สร้างดีๆให้แก่คนอื่น สำหรับหนูการละลายพฤติกรรม เป็นการกระทำที่น่าละอายใจ เด็กที่เพิ่งเข้าใหม่ที่นี่หลายคนถูกละลายพฤติกรรมตั้งแต่ตอนเข้ามา จนตอนนี้ก็ยังหลงคิดว่าสิ่งนี้ดี”

“น้องหมายถึงการละลายพฤติกรรมตั้งแต่ตอนเข้ามารับน้องใช่ไหม”ฟังถึงตรงนี้ผมเริ่มจับความได้”น้องไม่ชอบก็ไม่แปลก มีคนไม่ชอบก็มี แต่มันเป็นประเพณีที่สืบสานกันมาเนิ่นนานของโรงเรียนเรา มันเป็นสิ่งที่ดีงาม น้องไม่เป็นเหรอ ว่าโรงเรียนเรามีการเคารพอาวุโสกันขนาดไหน แล้วมันดีขนาดไหนกับการบริหารงานของโรงเรียนเรา รุ่นน้องเชื่อฟังรุ่นพี่ทุกอย่าง”

“การเคารพอาวุโสเป็นสิ่งดี เด็กเคารพผู้ใหญ่มันเป็นเรื่องที่ควรกระทำ เด็กเชื่อฟังผู้ใหญ่เป็นสิ่งดี แต่มันจะกลายเป็นสิ่งที่แย่ขึ้นมาทันทีหากการกระทำที่ผ่านมาปราศจาก”คิด” ”เธอพูดเบาๆ ไม่ก้าวร้าว”ส่วนคำว่า ประเพณี หนูก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน ประเพณีเป็นสิ่งดีงามที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ หากแต่มันแปรเปลี่ยนได้ เพราะความคิดของคนเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และที่สำคัญคือ หนุไม่ชอบวิธีการละลายพฤติกรรม”

“น้องหมายถึง การว้าก ใช่ไหม” ผมเริ่มจับความได้ “ น้องน่าจะรู้นะ ว่าการว้ากเป็นวิธีที่เร็วสุด ได้ผลดีที่สุด ในการทำให้รุ่นน้องสนิทกับรุ่นพี่เร็ว เคารพรุ่นพี่เร็ว”

“โดยที่รุ่นพี่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย” เธอพูดต่อประโยคที่จบลงของผม

“รุ่นพี่รักรุ่นน้องทุกคนที่มาเรียนที่สถาบันแห่งนี้ พี่ๆรอน้องๆทุกคนตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าน้องๆ จะมาพูดแบบนั้นไม่ใช่นะ”พอมาถึงตรงนี้ผมเริ่มระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้

“ที่บ้านพี่... พ่อแม่รักพี่ไหมคะ”

“รักสิ” ผมตอบเสียงขุ่นๆ

“แล้ว...เวลาที่พี่ทำผิด พวกท่านเคยว่าอะไรพี่ไหม”

“ว่าสิ บางครั้งก็จับพี่ตีก้น”

“งั้นพี่ตอบหนูหน่อยสิคะ เวลาที่พี่ทำผิด พ่อแม่พี่ที่รักพี่มาทั้งชีวิต คอยดูแลเลี้ยงดูพี่มาทั้งชีวิต รอคอยพี่มาตั้งแต่ที่พี่ยังไม่เกิดมาบนโลก เคยลงมือว้ากพี่ไหม เคยจับพี่เข้าไปในห้องร้อนๆอับๆ บังคับให้พี่นั่งในที่แคบๆ หรือบอกให้พี่นั่งเอามือกอดอกหลังตรงไหม เคยว่าพี่ว่า “ไม่รักพ่อรักแม่เหรอ ถึงได้ทำแบบนี้” หรือกระทั่งเคยบอกกับพี่ไหมว่า “พ่อแม่ผิดหวังในตัวลูกจริงๆนะ ไม่น่ามาอยู่ในบ้านนี้เลย” เหมือนกับที่รุ่นพี่ของพี่ที่เคยว้ากพี่บอกว่า “น้องไม่น่ามาเข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้เลยพี่ผิดหวังในตัวน้องจริงๆ” “

มาถึงตรงนี้ผมก็เงียบไป ความทรงจำบางอย่างฉายวาบเข้ามาในหัวที่ละฉาก ตั้งแต่ที่ย่างก้าวเข้าโรงเรียนแห่งนี้มา สิ่งที่ถูกปลูกฝังกันมาเนิ่นนานในสถาบันแห่งนี้

“หนูไม่เคยถูกพ่อแม่บังคับให้รักบ้าน รักครอบครัว แต่หนูมาที่นี่ หนูถูกบังคับในรักสถาบัน ร้องเพลงสถาบันแสดงความรัก ถูกสั่งให้ยกมือไหว้รุ่นพี่” เธอบอกผมเบาๆ “อย่างที่หนูได้กล่าวไป หนูไม่หวังทำให้พี่เข้าใจสิ่งที่หนูพูดทั้งหมดหรอก ไม่ว่าหนูมองไปทางไหน ก็มีแต่คนที่ชอบการว้าก ชอบการละลายพฤติกรรม แต่หนูไม่สนใจหรอก หนูยินยอมอยู่อย่างเดียวดาย เพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องสูญเสียอิสระของตนเองไป”

“แต่...มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งนี้ เราจำเป็นต้องมีพฤติกรรมที่เป็นไปในทางเดียวกัน” ผมพยายามเถียง

“แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจึงจำเป็นต้องมีหลักการร่วมกัน ในการกำหนดพฤติกรรมให้เป็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งหลักการนั้นเกิดจากศีลธรรม แล้วการว้าก หรือการละลายพฤติกรรมให้คิดเหมือนกันหมด คือ ศีลธรรมอย่างนั้นหรือ”เธอชี้มือไปยังกองหนังสือประวัติศาสตร์ข้างตัว “พี่ก็ชอบประวัติศาสตร์ไม่ใช่เหรอ งั้นตอบหนูหน่อยสิคะ ว่าประเทศไทยควรเลิกทาสไหม”

“ควร” ผมตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

“ทำไมล่ะคะ”

“การปฏิบัติต่อทาสไม่ใช่การปฏิบัติต่อมนุษย์ทั้งๆที่ทาสก็เป็นมนุษย์”

“ยังไงล่ะคะ”

“เช่น การใช้งานหนัก การเฆี่ยนตี การสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่สิทธิ์คิด ไม่มีสิทธิ์ทำต่างจากที่เจ้านายสั่ง”

“ถ้างั้นแล้วการละลายพฤติกรรม การว้าก การพูดตะคอกใส่ การยัดเยียดความรักลงไป ถ้าใครทำ หรือคิดอะไรแตกต่างก็จะถูกว่าถูกด่าเนี่ย ต่างอะไรจากทาสในสมัยก่อน” เธอพูดเสียงเฉียบ “บางครั้งคนเราก็เสียอิสรภาพไปทั้งๆที่ยังไม่รู้ตัว ประเทศไทยเลิกทาสมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่สาเหตุที่ประเทศยังไม่พัฒนา เพราะยังมีทาสในเครื่องแบบ ขับรถยนต์หรูหรา มีการศึกษาระดับศาสตราจารย์อยู่เต็มประเทศ ประเทศไทยเลิกทาสมาร้อยกว่าปีแล้ว แต่สาเหตุที่ยังมีทาสอยู่เต็มไปหมด เพราะไม่สามารถกำจัดทาสจากใจคนได้ เพราะคนยังไม่รู้จักคิด “

“หนุผิดหวังกับโรงเรียนที่มีการศึกษาชั้นนำแห่งนี้ แต่อย่างน้อยหนูก็ได้เรียนรู้ ว่าสิ่งที่แลกไปกับการสูญเสียอิสรภาพเป็นการสูญเสียที่ไร้ค่านัก และการศึกษาไม่ช่วยในคนพัฒนา เพราะระบบการศึกษามันล้มเหลว สอนให้จำ แต่ไม่สอนให้คิด มีศาสตราจารย์เต็มประเทศก็ไม่ทำให้ประเทศพัฒนา

“หนุเรียนรู้ว่า การลงมือศึกษาค้นคว้าหาทางแก้ไข มันดีกว่าการมานั่งด่านั่งว่า ย้ำคิดย้ำทำจนฟุ้งซ่านจนตรมด้วยความทุกข์ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด “

เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ นัยน์ตาวาวแสงเป็นประกาย

“หนูไม่คิดหรอกว่า พี่จะเข้าใจสิ่งที่หนูพูด แค่พี่รับฟังหนูก็รู้สึกดีมากแล้วนะคะ หนูภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของหนูค่ะ”

เธอเดินจากไป ทิ้งให้ผมเห็นภาพหลายอย่างในความทรงจำ ความคิดหลายหลายกำลังรบราในตัวผมอย่างรุนแรง ความภาคภูมิใจในโรงเรียน ความรักในสถาบันอย่างแรงกล้า ความศรัทธาในระบบ จะว่าไปแล้วเธอดูเหมือนผู้ที่จงใจยืนอยู่ในสิ่งที่อยู่คนละขั้วกับผม...

ทุกวันตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมตรงรี่ไปที่สถาบันกวดวิชา แข่งขันกันเรียนแข่นขันกันสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ตนหวัง ยึดติดกับหลายสิ่งหลายอย่างในโรงเรียน แต่เธอตรงกันข้าม เธอชอบเข้าห้องสมุด นานวันผ่านไปผมก็ยิ่งเห็นเธออ่านหนังสือหลายหลากมากขึ้น จากที่ผมเห็นเธอเป็นเพียงเด็กหญิงเล็กๆ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่แยแสต่อกระแสสังคม เธอดูอิสระต่อสายตาของคนรอบกาย หลายครั้ง ที่ผมพบว่าตนเองอดอิจฉาเธอไม่ได้ ผมอยู่ในกรอบล้อมของสังคมมานานแสนนาน อยู่ในกรงขังอันสร้างจากสายตาของผู้คนที่จับจ้องมานานโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถกักขังเธอไว้ได้เลยสักนิด เธอมีความสุขกับสภาพรอบกาย พยายามที่จะยืนหยัดในสิ่งที่เธอไม่เห็นชอบ

หลังจากผมจบออกไปจากโรงเรียน ผมก็กลับมาเยี่ยมโรงเรียนอีกหลายครั้งหลายหน แต่ผมไม่เคยเจอเธออีกเลยไม่ว่าที่ไหนๆในโรงเรียนนี้ เด็กสาวตัวเล็กๆที่นับวันจะยิ่งเปล่งประกายอยู่ในความทรงจำของผม จนบัดนี้ผมยังตอบไม่ได้เลย ว่าสิ่งที่เธอพูดที่เขย่ารากฐานแห่งความเชื่ออันมั่นคงของผมเป็นสิ่งที่ถูกหรือว่าผิด แต่ผมรับรู้ได้ ว่ามันมีความสดใส และความบริสุทธิ์ใจบางอย่างที่แวววาวทอแสงอยู่ในความหมายของถ้อยคำ

ผมมองชื่อของเธอบนแผ่นกระดาษใบจ้อย กาลเวลาผ่านไปนานแล้วแต่ชื่อของเธอยังคมชัดดังสิ่วสลักในใจผม กระดาษขาวยังสว่างสะอาดอยู่ ผมหยิบปากกาแดงออกมา บรรจงเขียนลงไปใต้ชื่อของเธอว่า

“เธอยังอยู่ตลอดไป แม้เพียงแค่ในความคิดถึงของฉัน”

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา