10 Years Later...

-

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.40 น.

  4 chapter
  1 วิจารณ์
  6,700 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556 14.49 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

4) ตอนที่ 4 10 Years. Later...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของเรื่องสั้นเรื่องแรกของฉันแล้วล่ะ  ขอบคุณทุกท่านะคะที่เข้ามาแวะอ่านกัน   อ่านจบแล้วก็หวังว่าทุกคนจะความสุขนะ  ขอบคุณมากๆคะแล้วเจอกันใหม่เรื่องหน้า ^^

 

 

 

ตอนที่ 4   10  Years Later…

 

 

           

                  อาริทสุ   อายาเมะ  และโทโมโกะบุกเข้ามาในห้องเรียนหลังจากที่ชินอิจิจากไปได้พักใหญ่        ทั้งสามรอฮารุเนะอยู่แต่เห็นหายไปนานจึงเป็นห่วงจนต้องเดินตามขึ้นมาถึงห้องเรียน             ภาพที่ฮารุเนะกำลังร้องไห้ตาบวมกับช็อคโกแลตที่ยังอยู่ในกระเป๋าที่วางอยู่สร้างความตกใจและความสงสัยให้กับบรรดาเพื่อนๆมาตลอดเวลาหลายปี

 

 

                   อีกทั้งหลังจากวันนั้นชินอิจิก็ทำตัวเหินห่างกับทั้งสี่อย่างชัดเจนอีกด้วย   ฮารุเนะเองก็ปิดปากเงียบเวลาที่ทุกคนถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้น   ทั้งสามต่างคิดกันเอาเองว่าฮารุเนะก็คงจะโดนปฏิเสธมาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ  ความจริงทุกอย่างพึ่งจะปรากฏชัดในวันนี้นี่เอง        ทั้งอาริทสุ   อายาเมะ  และโทโมโกะรู้สึกผิดและปวดร้าวไปกับฮารุเนะมากจริงๆ     เรื่องผ่านมาถึงสิบปีทุกคนถึงจะได้รู้ความจริง...ฮารุเนะเก็บงำความลับนี้มานานกว่าสิบปีเชียวงั้นหรือ  เธอจะรู้สึกเจ็บปวดมากเท่าไหร่กัน

 

 

                    จู่ๆทั้งวงสนทนาก็พลันเงียบกริบ   อาริทสุเป็นคนแรกที่กล้าพอจะเอื้อมมือมาสัมผัสตัวของฮารุเนะ

 

 

                   “ฮารุจังเธอยังจำวันงานโรงเรียนที่พวกเราทั้งสี่คนออกมาร้องเพลงประสานเสียงได้หรือเปล่า?”

 

 

                     ฮารุเนะพยักหน้า “จำได้สิ...วันนั้นพวกเราทุกคนต่างรวมใจเป็นหนึ่งเดียว   และเพลงที่ร้องออกมาในวันนั้นก็สุดยอดมาก”

 

 

                    “วันนั้นเป็นวันเดียวกันที่ชินอิจิต้องออกเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วย    พวกเราไม่สามารถไปส่งชินอิจิได้และก็รู้ดีว่าชินอิจิก็คงไม่ต้องการ   พวกเราเศร้ากันมากและร้องไห้กันก่อนขึ้นเวทีทุกคน” อายาเมะเอ่ยขณะที่เขยื้อนกายมาโอบไหล่ฮารุเนะเอาไว้อีกคน

 

 

                   “แต่ที่พวกเราประหลาดใจที่สุดก็คือการที่ชินอิจิยอมเลื่อนไฟท์เครื่องบินเพื่อที่จะมาดูพวกเราแสดงเป็นครั้งสุดท้ายเนี่ยล่ะ”  โทโมโกะกระซิบขณะที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

 

 

                    ฮารุเนะยิ้ม 

 

 

                    “สิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนั้นก็คือคำมั่นสัญญาของพวกเราทั้งสี่คน   คำมั่นสัญญาที่ทำให้เราได้มาพบกันวันนี้ทั้งๆที่ผ่านมาสิบปีแล้วแท้ๆ

 

 

                     พวกเธอทั้งสามคือเพื่อนรักที่สุดของฉันตลอดมา  อย่าเสียใจหรือรู้สึกผิดไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย  ฉันดีใจนะที่วันนี้พวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่   ขอให้ทุกคนอย่าเก็บเรื่องที่ฉันเล่าวันนี้ไปคิดอีกเลย  ตอนนี้ฉันมีความสุขที่สุดที่ได้เจอพวกเธอนะ”

 

 

                    “ฮารุเนะ...ฉันรักเธอนะ”

 

 

                     “อืม...ดีใจจริงๆเหมือนกันที่เราทำตามสัญญาได้ในที่สุด”

 

 

                     เมื่อนั้นเองอาริทสุก็พลันลุกขึ้นยืน  

 

 

                     “ฮารุเนะเธอคงไม่รู้สินะว่าฉันเป็นคนเจาะจงเลือกร้านนี้ด้วยตัวเอง  เพื่อให้เป็นสถานที่เฉพาะในการนัดพบของพวกเรา”

 

 

                      “เอ๊ะ?”

 

 

                       อาริทสุหันไปพยักหน้าให้กับพนักงานคนหนึ่งในร้าน   ตอนนั้นเองแสงไฟในร้านก็พลันมืดสลัวลง    แสงไฟถูกเปิดพุ่งไปเวทีเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางร้าน   ฮารุเนะไม่สังเกตเห็นมาก่อนว่าบนเวทีนั้นมีไมค์ตั้งเอาไว้ทั้งหมดสี่ตัวด้วยกัน

 

 

                     “อะไรนะ!”  มีเพียงฮารุเนะคนเดียวเท่านั้นที่แสดงอาการตกใจออกมา    อายาเมะกับโทโมโกะกลับพยักหน้าให้แก่กันแล้วเอามือประคองให้ฮารุเนะลุกขึ้นยืนตามตนเอง

 

 

                     อาริทสุเดินไปถึงเวทีเป็นคนแรกเธอหันกลับมาพร้อมกับยื่นมืออย่างเชื้อเชิญ

 

 

                     “เธอคิดเหรอว่าพวกเราทั้งสามจะไม่รู้ว่าจริงๆว่าแท้จริงชินอิจิมีใจให้กับใคร?”

 

 

                     “อ๊ะ?”  ฮารุเนะเบิกตากว้าง

 

 

                     “เพราะพวกเราทุกคนต่างก็ชอบชินอิจิ...เพราะเฝ้ามองเขามาตลอด  เธอยังรู้เลยว่าพวกเราทั้งสามชอบชินอิจิแล้วทำไมถึงคิดว่าพวกเราจะไม่รู้ว่าชินอิจิชอบใครล่ะ    แต่ตอนนั้นพวกเรากลับทำไม่เห็นไปซะ  เพราะพวกเรายังเด็กและเห็นแก่ตัวมากเกินไปจนไม่อาจยกชินอิจิให้เธอจากใจได้” อายาเมะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

                     “แต่พวกเราไม่คิดเลยจริงๆว่าฮารุจังจะทำเพื่อพวกเราขนาดนี้   พวกเราทำให้ฮารุจังต้องเจ็บปวดมากถึงขนาดนี้  พวกเราไม่รู้จริงๆว่าจะขอโทษเธออย่างไรดี   นอกจากขอโทษแล้วพวกเราก็ขอขอบคุณเธอจากใจจริงเหมือนกัน” โทโมโกะเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ

 

 

                     “วันนี้พวกเรามาร้องเพลงด้วยกันอีกครั้งเถอะ    ร้องเพลงในวันนั้นเพลงที่ทำให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ร้องเพลงให้กับมิตรภาพที่ยังคงอยู่ของพวกเรา”

 

 

                     “ทุกคน...” ฮารุเนะยังคงยืนตะลึงขณะที่เพื่อนๆอีกสองคนขึ้นไปบนเวทีเสียแล้ว  หญิงสาวก้าวไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆก่อนจะขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้ายไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

                     ไมค์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ   ภาพและบรรยากาศที่คุ้นตานี้ทำให้ภาพแห่งความทรงจำหวนคืนกลับมา  ฮารุเนะพลันหันกลับไปมองเพื่อนๆที่สาม    เมื่อนั้นเธอก็เห็นทุกคนพยักหน้าให้เธอพร้อมกัน

 

 

 

**********

 

 

 

                     “ทุกคนรอให้เธอเริ่มต้นอยู่นะ  ฮารุจัง!”

 

 

                     ฮารุเนะสูดลมหายใจลึกก่อนจะหันกลับมาแล้วยกมือขึ้นมากำไมค์เอาไว้แน่น   เธอกำลังจะร้องเพลงอีกครั้งแล้ว

 

 

                     “ฉันไม่เคยลืมความใฝ่ฝันในวันสุดท้ายของฤดูร้อนที่ได้อยู่กับเธอ   เพราะฉันยังคงเชื่ออยู่เสมอว่าอีกสิบปีข้างหน้าเราจะได้พบกันอีกครั้งในเดือนสิงหา    ความทรงจำที่สุดแสนจะมีค่านั้น....”  น้ำเสียงของฮารุเนะยังคงไพเราะจนสะกดทุกการเคลื่อนไหวเอาไว้ได้ในชั่วพริบตา

 

 

                     ดนตรีบรรเลงได้ถูกตระเตรียมเอาไว้แล้ว    เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าจะได้มาร้องเพลงนี้กับทุกคนอีกครั้ง    ยิ่งได้ร้องเพลงนี้เธอก็ยิ่งนึกถึงความทรงจำฉากสำคัญที่เธอมีกับชินอิจิ   ความทรงจำสุดท้ายที่มีแต่เพียงเธอและชินอิจิเพียงสองคนเท่านั้น

 

 

                     “ตอนเธอถามว่า       “กลับบ้านด้วยกันนะ”           หลังจากที่เราบังเอิญพบกันที่สี่แยกระหว่างกลับบ้าน” ฮารุเนะเริ่มร้องเพลงวรรคถัดไป

 

 

                     เสียงของอาริทสุขึ้นมาเป็นลำดับถัดไปได้อย่างพอดิบพอดี แม้เสียงของเธอจะกระด้างกว่าเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ได้ทำให้เพลงไพเราะน้อยลงเลย   

 

 

                     “ตอนนั้นฉันเขินมากเสียจนต้องซุกหน้าไว้หลังกระเป๋า เพราะความจริงแล้วฉันดีใจมาก... มากๆเลย”

 

 

                     “อา...ดอกไม้ไฟบนท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นช่างสวยเหลือเกิน   ทว่ามันแฝงไปด้วยความเศร้า   อา...สายลมที่พัดเอากาลเวลาไหลผ่านไป”  ทันใดนั้นเสียงเล็กๆใสๆของโทโมโกะก็ดังแทรกขึ้นมา

 

 

                     “ทั้งความสุข   ทั้งเรื่องสนุก  ทั้งการผจญภัย หลายต่อหลายเรื่องที่ฐานทัพลับของพวกเราสองคน”  ปิดท้ายด้วยเสียงห้าวๆของอายาเมะที่ให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง      กำลังจะถึงท่อนกลางแล้วทั้งสี่ก็หันหน้ามาหากันแล้วเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน

 

 

                     “ฉันไม่เคยลืมความใฝ่ฝันในวันสุดท้ายของฤดูร้อนที่ได้อยู่กับเธอ    เพราะฉันยังคงเชื่ออยู่เสมอว่าอีกสิบปีข้างหน้าเราจะได้พบกันอีกครั้งในเดือนสิงหา

 

 

                     ฉันรู้ดีว่าคำ “ขอบคุณ” จนถึงท้ายที่สุดนั้นมาจากก้นบึ้งจิตใจของเธอ    การกลั้นน้ำตาทั้งที่ยังยิ้มอยู่นั้นช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน    ความทรงที่สุดแสนจะมีค่านั้น...”  ทุกคนดูมีความสุขมากจริงๆเวลาที่ได้ร้องเพลงด้วยกันแบบนี้

 

 

                     “การแสดงวันนี้สำเร็จอย่างงดงามโว้ย!”  อายาเมะตะโกนออกมาสุดเสียงพร้อมกับนอนแผ่หลากับพื้นหญ้าตรงสนามโรงเรียนอย่างผ่อนคลายสุดขีด

 

 

                     “เหมือนความฝันเลยเนอะ”  โทโมโกะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคลิ้มฝัน

 

 

                     “อยากร้องเพลงกับทุกคนอีกจังเลยนะ”  ฮารุเนะกลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

 

 

                     “ฮารุเนะ...”

 

 

                     “ทุกคนกำลังจะเรียนจบแล้ว   ต่อจากนี้แต่ละคนก็จะแยกย้ายกันไปเรียนคนละมหาลัยคนละคณะ  พวกเราคงจะไม่มีช่วงเวลาแบบนี้อีกแล้ว”

 

 

                     “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามานัดเจอกันดีไหม?”  อาริทสุพลันเสนอขึ้นมา

 

 

                     “เอาสิๆ”  โทโมโกะเห็นด้วยในทันที

 

 

                     “นานเท่าไหร่ดีล่ะ  ปีหน้าเลยดีไหม?”  อายาเมะเสนอบ้าง

 

 

                     “เร็วไปย่ะ!” อาริทสุขัดขึ้นมาในทันที

 

 

                     “สี่ปีแล้วกันทุกคนจะได้เรียนจบพอดี”

 

 

                     “บ้าหรือไงยัยอายะ  ฉันเรียนแพทย์นะ  ใครจะไปเรียนจบภายในสี่ปีเล่า”

 

 

                     “โอ๊ย....เรื่องมากจริงๆ งั้นสิบปีเลยไหม?” อายาเมะเอ่ยออกมาแบบประชด

 

 

                     “อืม  งั้นอีกสิบปีพวกเรามานัดเจอกันแล้วกัน”  ฮารุเนะสรุปหน้าตาเฉย

 

 

                     “เฮ้ย! นานไปไหมอ่ะ”

 

 

                     “ฮึ...ตัวเองเป็นคนเสนอเองแท้ๆ”  อาริทสุอดไม่ได้ที่จะพูดขัดจริงๆ

 

 

                     “ก็ได้สิบปีก็สิบปี”

 

 

                     “ตกลงสิบปีนะทุกคน” โทโมโกะเอ่ยย้ำ

 

 

                     “ฮ่าๆๆ เอาไงก็เอา  อีกสิบปีพวกเราจะต้องมาเจอกันให้ได้  สัญญานะทุกคน!”  อายาเมะประกาศเสียงดังอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

 

 

                     “อื้ม!”  อีกสามคนที่เหลือตอบรับพร้อมกันก่อนจะยกมือขึ้นประสานกันเอาไว้

 

 

                     ฮารุเนะที่พลันนึกถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นขึ้นมาก็รู้สึกตื้นตันใจ   แต่เธอจำต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ก่อน  เพลงนี้เธอยังร้องไม่จบ

 

 

                     “อา...ปิดเทอมฤดูร้อนกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว   อา...พระอาทิตย์กับพระจันทร์จะยังคงหมุนต่อไป”

 

 

                     อาริทสุเขยิบไมค์เข้ามาใกล้ฮารุเนะ   เธอรู้ดีว่าฮารุเนะกำลังรู้สึกอย่างไรในเวลานี้     “ทั้งเรื่องเศร้า  ทั้งความเหงา”

 

 

                     “ทั้งเรื่องที่ไม่ลงรอยกันหลายต่อหลายเรื่องที่ฐานลับของพวกเราสองคน”  ทั้งฮารุเนะและอาริทสุต่างกอดคอกันและกันขณะร้องเพลงประสานไปด้วยกันก่อนจะเข้าท่อนกลางเพลงอีกครั้ง

 

 

                     “ฉันรู้ดีว่าคำ “ขอบคุณ” จนถึงท้ายที่สุดนั้นมาจากก้นบึ้งจิตใจของเธอ     การกลั้นน้ำตาทั้งที่ยังยิ้มอยู่นั้นช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน     ความทรงที่สุดแสนจะมีค่านั้น...”

 

 

                     นาทีนั้นทุกคนที่อยู่ในคาเฟ่ต์ต่างก็จับจ้องไปยังเวทีเล็กๆแห่งนั้น   บทเพลงที่ทั้งสี่ร้องประสานกันช่างเพราะจับใจจริงๆ   ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไปเสียแล้ว

 

 

                     “จู่ๆเธอก็ต้องจากไปอย่างกะทันหัน” เสียงของโทโมโกะกำลังสั่นเครือ    เธออยากหยุดช่วงเวลานี้เอาไว้ตลอดกาลเสียจริง

 

 

                     บ้าจริง...เธอกำลังจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

                     “ฉันยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดเลย....”  อายาเมะบีบมือโทโมโกะเอาไว้  แต่ตนเองก็กำลังร้องเพลงด้วยเสียงที่สั่นเครือไปไม่น้อยไปกว่ากัน

 

 

                     “ทั้งเขียนจดหมายไป  ทั้งที่จะโทรศัพท์ไปหา  ได้โปรดอย่าลืมฉันนะ   เรื่องราวต่างๆที่ฐานทัพลับของพวกเราสองคนตลอดไป”   ตอนนั้นเองเพื่อนที่เหลืออีกสองคนก็เข้ามาช่วยร้องเสริมของสองคนนั้น   ต่างคนต่างสื่อสารออกมาทางสายตาว่าทุกคนจะไปด้วยกัน

 

 

                     “ในวันสุดท้ายของฤดูร้อนนั้นเราคุยกันจนตะวันดับ   จนดวงดาวประกายบนท้องฟ้า    ฉันจะไม่มีวันลืมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอแน่นอน     ฉันจะไม่มีวันลืมภาพเธอที่โบกมือส่งจนลับตา  เรื่องราวต่างๆฉันจะไม่มีวันลืมแน่       ฉันจะจดจำสิ่งเหล่านั้นเอาไว้  ในความฝันตลอดไป”   ทั้งสี่พลันร้องประสานเสียงด้วยกันอีกครั้ง   เพลงกำลังจะจบลงแล้ว   ดวงตาของฮารุเนะขุ่นมัวไปด้วยม่านของน้ำตา   เมื่อนั้นภาพของชินอิจิในวันนั้นก็ผุดขึ้นมา

 

 

                     “ขอบใจนะที่ยอมมาพบฉัน” ชินอิจิเอ่ย  ตอนนี้ทั้งเขาและฮารุเนะกำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารเรียนกันลำพังเพียงสองคนเท่านั้น

 

 

                     ฮารุเนะเอาแต่ก้มมองพื้นเพราะไม่อาจสบตาชายหนุ่มตรงๆได้  “ชินอิจิคุงจะออกเดินทางวันนี้แล้วสินะ  เดินทางดีๆ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยนะ”

 

 

                     บัดนั้นชินอิจิก็ก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าวก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างรวบต้นแขนของเด็กสาวเอาไว้แน่น  ใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ 

 

 

                     “ตั้งแต่วันนั้นฉันก็คิดมาตลอดเลยนะ   ฉันกังวลมากจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี   แต่แล้วสุดท้ายฉันก็ได้คำตอบ”

 

 

                     “...” ฮารุเนะไม่อาจหลบสายตาของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป

 

 

                     “ฉันจะไม่ยอมแพ้อยู่แค่นี้หรอกนะ”  แววตาของชินอิจิเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

 

 

                     “ชินอิจิ!” ฮารุเนะพยายามจะสะบัดตัวออกห่างแต่ไม่อาจทำได้

 

 

                     “สักวันหนึ่งในเวลาที่เหมาะสมเมื่อนั้นฉันจะมาขอคำตอบจากเธออีกครั้ง”

 

 

                     “คำตอบ...”

 

 

                     “คบกับฉันได้ไหม ฮารุเนะ?  เธอคือคนเดียวที่ฉันต้องการ”

 

 

                     “ชินอิจิ.. ฉันไม่...”

 

 

                     “อย่าพึ่งตอบคำถามนั้นในตอนนี้  สักวันหนึ่งฉันจะมาขอคำตอบเธอเอง”  ชินอิจิปล่อยมือออกจากต้นแขนของฮารุเนะแล้ว  เขายื่นนิ้วก้อยของตนเองออกมาแทน

 

 

                     “สัญญานะ...ว่าเมื่อฉันถามเธออีกครั้งเธอจะตอบคำคามนี้ด้วยหัวใจของเธอเอง”

 

 

                     ฮารุเนะรู้สึกเหมือนตนเองกำลังยืนอยู่บนขอบเหว  โดยไม่รู้ตัวเธอก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับอีกฝ่ายเสียแล้ว

 

 

                     “ขอบใจนะ”  ชินอิจิเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน

 

 

                     ทั้งสองคลายนิ้วก้อยออกจากกันอย่างเงียบเชียบ   “ฉันต้องไปแล้ว”

 

 

                     “ขอบใจมากนะ...ที่วันนี้มาดูการแสดงของทุกคน”  ฮารุเนะรีบเอ่ยออกมา   ชินอิจิพยักหน้าก่อนที่จะเดินจากไป  เด็กสาวยกนิ้วก้อยข้างนั้นมาจุมพิตโดยไม่รู้ตัว  ชินอิจิจากไปแล้ว...

 

 

                     เวลานับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบปีเต็มแล้วที่เธอและชินอิจิไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

 

 

                     “สิบปีถัดมา...”

 

 

                     “ฉันไม่เคยลืมความใฝ่ฝันในวันสุดท้ายของฤดูร้อนที่ได้อยู่กับเธอ   เพราะฉันยังคงเชื่ออยู่เสมอว่าอีกสิบปีข้างหน้าเราจะได้พบกันอีกครั้งในเดือนสิงหา    ฉันรู้ดีว่าคำ “ขอบคุณ” จนถึงท้ายที่สุดนั้นมาจากก้นบึ้งจิตใจของเธอ    การกลั้นน้ำตาทั้งที่ยังยิ้มอยู่นั้นช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน   ความทรงที่สุดแสนจะมีค่านั้น...

 

 

                     ความทรงจำที่สุดแสนจะมีค่านั้น...” ความรู้สึกทั้งมวลกำลังท่วมท้นอยู่ในใจของฮารุเนะ    คำสัญญานั้นยังคงอยู่หรือเปล่านะ?   มิตรภาพของเธอยังคงอยู่   ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่มีเหตุการณ์ใดที่เธอต้องการเปลี่ยนเลยแม้แต่เรื่องเดียว

 

 

                     ฮารุเนะ  อาริทสุ  โทโมโกะ  และอายาเมะสิ้นสุดบทเพลงไปด้วยดนตรีบรรเลง   ทุกคนที่อยู่คาเฟ่ต์ ณ เวลานั้นต่างก็เต็มอิ่มไปด้วยความสุข     รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน

 

 

 

**********

 

 

 

                     “ฮารุจัง...พวกเราทุกคนขอขอบคุณจากใจอีกครั้ง   พวกเราดีใจมากที่ได้เป็นเพื่อนกันเธอ    นี่คือสิ่งที่พวกเราอยากจะตอบแทนเธอ  พวกเรายินดีที่จะมอบให้กับเธอจริงๆ”  อาริทสุเอ่ยขณะที่เสียงดนตรียังไม่สิ้นสุดลง

 

 

                     “อาริทสุ...”

 

 

                     “มองไปทางนั้นสิ ฮารุจัง”  โทโมโกะชี้มือออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

 

 

                     ฮารุเนะเลิกคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมมองไปตามทิศทางที่โทโมโกะชี้ไป

 

 

                     “นั้นมัน...”  ฮารุเนะรู้สึกเหมือนลมหายใจของตนเองกำลังติดขัด   

 

 

                     ภาพที่เธอเห็นในตอนนี้เป็นความฝันหรืออย่างไรกัน      ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรักมาตลอดและไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาจนถึงวันนี้   เธอรักผู้ชายคนนี้มาสิบปีเต็มแล้ว     น่าอัศจรรย์ที่ความรู้สึกของเธอไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย     เธอยังคงรอคอยเพื่อหวังที่จะได้ตอบคำถามนั้นออกมาจากใจของเธอเอง   วันนี้คือวันที่เธอจะสามารถตอบคำถามของเขาคนนั้นออกมาจากใจได้แล้วสินะ

 

 

                     “นี่คือของขวัญจากพวกเรานะ ฮารุจัง” อายาเมะกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว

 

 

                     ชินอิจิในวัยยี่สิบปลายก้าวออกมาเบื้องหน้าพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือ     ด้านหลังของเขายังคงสะพายกีตาร์เอาไว้อย่างที่เคยเป็น    และแววตาของเขาก็ยังจับจ้องอยู่ที่ฮารุเนะแต่เพียงผู้เดียว

 

 

                     “คบกับฉันได้ไหม ฮารุเนะ?  เธอคือคนเดียวที่ฉันต้องการ”

 

 

                     ฮารุเนะร้องไห้ขณะที่รับดอกไม้มาไว้ในมือ   แววตาของทั้งสองพลันประสานกัน      และแล้ววินาทีนั้นฮารุเนะก็เอ่ยคำตอบจากหัวใจของตนเองออกไป

 

 

 

**********

 

 

สุดท้ายนี้...ที่จริงทางเว็ปก็มีที่ใส่เพลงแล้วล่ะ  แต่อยากเอาลิงค์มาแปะให้มากกว่า (แต่หาทางทำไม่ได้สักที )เพราะงั้นใครสนใจจะค้นหาเพลงต้นฉบับก็ลองไปเสิร์ชหาชื่อเพลงนี้เอาเน้อ "Anohana - Secret Base ~Kimi ga Kureta Mono~ 10 Years After" อยากบอกว่าเพลงที่เพื่อนๆทั้งสี่คนร้องในเรื่องแปลมาจากเพลงที่มีอยู่จริงนะจ๊ะ    สำหรับคนที่อยากฟังเพลงต้นฉบับก็ตามลิงค์ไปได้เลยจ้า   เรื่องสั้นเรื่องนี้ก็มีแรงบันดาลใจมาจากเพลงนี้เองแหละ 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา