[Omegavers] เมื่อไหร่คนจะเลิกเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเบต้า!

-

เขียนโดย GUEST1716463936

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 18.41 น.

  4 ตอน
  1 วิจารณ์
  273 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 18.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่ 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“โพธิ์… โพธิ์! เสร็จแล้ว ปะ” ยัยแพรวเร่งผมที่ไม่รู้หลับไปตอนไหน ผมผงกหัวขึ้นมาจากไหล่ของมัน 

 

“ปวดไหล่มั้ย” ผมใช้มือนวดๆ ให้ ส่วนอีกมือก็ขยี้ตาด้วยความง่วง เกิดเสียงหัวเราะใสๆ ของหญิงสาว จากนั้นมันก็ลากผมออกจากร้านทำเล็บ และเดินไปอีกนิดจนถึงโรงหนัง

 

ผมปล่อยให้อีกฝ่ายกึ่งลากกึ่งจูงผมไปมา ผมเห็นมันไปที่หน้าเคาน์เตอร์ จัดการอะไรนิดหน่อยแล้วก็ได้ป๊อบคอร์นถังใหญ่กับแก้วน้ำมา มันใช้บัตรฟาสต์พาสแล้วเราก็เดินเข้าโรงหนังแบบไม่ถึงสามนาที

 

เร็วขนาดที่ว่าผมเข้ามาในโรงหนังแล้วยังแกะขี้ตาตอนนั่งปุลงบนโซฟาแถวหลังสุดอยู่เลย

 

“ดูเรื่องอะไร” ผมถามมัน

 

“ไม่รู้ หนังใหม่” มันตอบก่อนส่งป๊อบคอร์นรสคาราเมลเข้าปากผม

 

“หนังผีนี่นา” ผมเปรย ก่อนวางถังป๊อบคอร์นไว้ตรงกลาง ใช้มือช้อนฝ่ามือนิ่มๆ ของอีกฝ่าย ได้รับสัมผัสเย็นวาบจากแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของมัน ผมรวบมือมันเข้ามาใช้นิ้วสอดประสาน กอบกุมเอาไว้จากนั้นก็เอนหัวหาตำแหน่งเหมาะๆ แล้วซบแหมะเข้ากับลาดไหล่ของคนข้างๆ

 

“กลัวเหรอ?” มันถามเสียงเบา ผมส่ายหน้าแทนคำตอบขณะขยับศีรษะให้จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแกลดิโอลัสจากตัวมัน ยัยแพรวเอื้อมมือมาลูบศีรษะของผมเบาๆ จากนั้นก็เอียงตัวมาซบผมอีกชั้น

 

ผมนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้นจนยัยแพรวบ่นว่าเหน็บกินแขนเบาๆ ผมถึงขยับออกรอให้มันเปลี่ยนท่าแล้วค่อยกลับไปซบใหม่

 

“ทำไมวันนี้อ้อนจัง?” มันถามทีเล่นทีจริง

 

“เป็นเมนส์มั้ง” ผมตอบกลั้วหัวเราะ 

 

ยัยแพรวยีหัวผมไปทีนึง ก่อนจะเอนตัวเข้ามาใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดผมเอาไว้ ผมรับรู้ได้ถึงร่างกายนุ่มหยุ่นที่ทับลงบนสีข้าง หัวทุยๆ ของยัยแพรวกดอยู่บนแผ่นอก ความอบอุ่นจากอีกร่าง และจังหวะหายใจที่ผสมไปกับกลิ่นประจำตัวมันที่เป็นกลิ่นหอมๆ ของดอกไม้

 

ผมหลับตาลงอีกครั้ง จมไปกับกลิ่นอันหอมหวนราวกับกระแสน้ำวนที่ดูดให้ทั้งร่างผมจมลงไปยากจะถอนตัว ท่ามกลางเพลงระทึกขวัญของหนังที่ดำเนินมาถึงจุดพีค

 

 

หลังจากหนังจบยัยแพรวก็ปลุกผมให้ตื่นอีกเหมือนเคย ผมขยี้ตางัวเงีย ปล่อยให้มันหัวเราะเยาะเย้ยก่อนจะจับจูงผมไปตามทางเดิน “อือ กี่โมงแล้ว”

ผมหงายข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้วนี่…

 

“ไปไหนต่อนะ” ผมถามไปหาวไป ยัยแพรวกดผมให้นั่งลงบนม้านั่งก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมานั่งข้างกัน แล้วใช้ทิชชู่เปียกเย็นๆ เช็ดหน้าให้ผม

 

“ไปล่องเรือกับคุณพ่อไง” ฝ่ายนั้นว่าก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา 

 

ผมผงกหัวรับมองใบหน้าของอีกฝ่ายมีรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อพูดถึงครอบครัวของตัวเอง ไม่นานนักพวกเราก็ย้ายสถานที่ไปที่ท่าเรือก่อนจะถึงเวลานัดเล็กน้อย หลังรออยู่ครู่หนึ่งฝ่ายพ่อยัยแพรวก็โผล่มา ทั้งสองคนอายุอานามย่างห้าสิบแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงดี

 

“ว่าไงเรา เป็นไงบ้าง” หนึ่งในนั้นเป็นชายรูปร่างสูงผอม แต่ไม่ถึงกับผอมบาง ถึงจะอายุเยอะแต่ก็ยังมีเค้าโครงที่พอบอกได้ว่าดูดีมีเสน่ห์ เขาสวมแว่นทรงเหลี่ยม เส้นผมตัดสั้นสีดำขลับเสยไปด้านหลัง มีแววตาเป็นประกายโดดเด่นคล้ายๆ ยัยแพรว

 

อันที่จริงควรต้องบอกว่ายัยแพรวถอดแบบดวงตาคู่นั้นมาต่างหาก

 

“สวัสดีครับท่าน ผมสบายดีครับ” ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม

 

“เฮ้ย! ไม่ต้องพิธีรีตองขนาดนั้นม้าง มานี่มา” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนรวบผมเข้าไปกอด ร่างนั้นมีกลิ่นดอกมยุเรศติดอยู่จางๆ “โอ๊ย! ไม่เจอน้องโพธิ์นาน โตขึ้นเยอะเลย คุณแม่เป็นไง”

 

“เด็กเขามีมารยาท ไม่แก่นแก้วเหมือนคุณ” เสียงของอีกคนพูดขึ้น อีกฝั่งเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเริ่มมีสีดอกเลาแซมตรงข้างขมับ ดวงตาสีเดียวกันที่มองมาให้ความรู้สึกดุดันต่างจากอีกคนโดยสิ้นเชิง

 

ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ยกให้กับลูกสาวเต็มๆ คลี่ยิ้มให้กับผม ต้องบอกว่ายัยแพรวเป็นพ่อของมันเวอร์ชันสลับเพศ หน้าสวยๆ ของมันทำเอาผมเสียหลักมาหลายรอบเพราะมองเท่าไร่ก็ไม่ชินกับความสวยขนาดนั้นซะที

 

“นี่คุณ!” อีกฝ่ายเอ็ดเสียงดัง ก่อนทำหน้ายู่แบบเดียวกับที่ยัยแพรวชอบทำ

 

“พ่ออย่าแกล้งอาป๊าสิ อยู่ต่อหน้าโพธิ์นะ” ยัยแพรวโวยวายขึ้นมาบ้าง แล้วทำแก้มป่องดูแล้วน่ารักพิลึก

 

“พอแล้วคุณชล พาลูกขึ้นเรือไป ผมจะคุยกับน้องโพธิ์” ฝ่ายอาป๊าของยัยแพรวออกปากไล่ก่อนหันมาหาผม “ช่วงนี้เรียนเป็นไง จะจบแล้วนี่เรา”

 

“ครับท่านแก้ว ตอนนี้ครึ่งเทอมแล้ว คงจบในสี่ปีตามที่วางแผนไว้ได้” ผมรายงาน ก่อนจะเป็นอีกฝ่ายที่ทำหน้าหงิกอีกรอบ

 

“บอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกกันขนาดนั้นก็ได้” ท่านชายแก้วเอ็ด

 

“แต่ว่…” มือของเขาเอื้อมมาบีบแก้มผมจนปากยู่แบบที่เขาชอบทำตอนหมั่นเขี้ยวผม

 

“ดื้อ… บอกไม่ฟังเหมือนแม่เธอ” ท่านแก้วหรืออาป๊าของยัยแพรวถอนหายใจคล้ายจนปัญญา “แต่เอาเถ้อ…”

 

บ้านของยัยแพรวประกอบด้วยคุณชลและท่านชายแก้ว โดยมียัยแพรวเป็นลูกคนเดียวของทั้งคู่  แม้จะหวงแหนลูกสาวเป็นพิเศษแต่เวลาอยู่กับพวกเขาผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกแยก กลับกันนั้นเองเวลามีทั้งคู่อยู่ข้างๆ กลับให้บรรยากาศอบอุ่นเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกันมานาน

 

ถ้าให้ผมพูดก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะอาป๊าของยัยแพรวหรือท่านชายแก้วค่อนข้างสนิทกับแม่ของผมพอสมควร แถมผมกับลูกสาวบ้านนั้นยังเกิดไล่ๆ กันอีกเลยโดนจับมาเล่นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

ผมเดินตามทุกคนขึ้นไปยังพื้นที่บนเรือที่เปิดโล่งสัมผัสกับอากาศยามค่ำคืน  ในห้องโดยสารที่ด้านนอกมองไปเห็นวิวทิวทัศน์ของลำน้ำทั้งสองฟากประดับประดาไปด้วยแสงสีสมกับเป็นเมืองที่ไม่หลับไหล

 

สายลมเอื่อยๆ เย็นๆ เคล้าคลอไปกับเสียงเครื่องสายบรรเลงสดบนเรือ ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ยัยแพรว ดูชายสองคนที่จับมือถือแขนกันอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอย่างรักใคร่

 

พอนั่งลงยัยแพรวก็จัดการตักกุ้งตัวใหญ่วางลงในจานให้ผม ขณะที่บทสนทนาในครอบครัวเริ่มต้นขึ้น พวกเขาคุยกันเรื่องการงานที่ทำ ช่องทางการทำอาชีพในอนาคตของทั้งผมและยัยแพรว ผมต่อบทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติและหัวเราะร่วมไปกับพวกเขา

 

“โพธิ์ อันนี้อร่อย พ่อยกให้” คุณชลใช้มีดและส้อมช้อนหอยเชลล์ตัวหนึ่งมาวางบนจานผม

 

“ขอบคุณครับคุณพ่อ” ผมกล่าวอย่างสุภาพก่อนหั่นมันและส่งเข้าปาก จากนั้นก็หันไปคว้าช้อนกลางและตักชิ้นเนื้อให้เขา “คุณพ่อลองทานอันนี้ดูครับ”

อีกฝ่ายเอ่ยขอบใจผมแบบพึงพอใจ

 

“ป่ะ สั่งเหล้ากัน” ท่านแก้วประกาศอย่างรื่นเริง

 

“คุณถามลูกๆ หรือยังว่ามายังไงจะกลับยังไง” คุณชลเหมือนจะเอ่ยปราม

 

“น่า…คุณชล พวกเราอยู่ต่างประเทศ กินของที่อื่นจนเอียนแล้ว อยากชิมเหล้าไทยบ้าง” ท่านแก้วคร่ำครวญ

 

“ถึงคุณพูดแบบนั้นแต่ก็สั่งไวน์ฝรั่งมากินอยู่ดี” ส่วนอีกฝั่งก็เหน็บเขาเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ก็เถียงกันหงุงหงิงเรื่องท่านแก้วติดเปิดไวน์ขวดละแสนสองแสนทิ้งๆ ขว้างๆ 

 

ยัยแพรวปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันจนพอใจ แล้วก็ปฏิเสธที่จะดื่มด้วยด้วยการบอกว่าขับรถมาคงดื่มด้วยไม่ได้

 

“ผมติดรถมากับยัยแพรวครับ” 

 

“งั้นไม่เป็นไร แพรวดูพวกป๊าดื่มกันก็ได้” ท่านชายแก้วเสนอขณะที่สั่งให้บริกรนำเครื่องดื่มออกมาบริการ

 

“อาป๊า!!!” มันร้องออกมาแล้วเริ่มใช้กำลังประทุษร้ายท่านแก้วด้วยการตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ

 

“โอ๊ย! ช่วยด้วย ยัยหนูลูกป๊าเริ่มเข้าสู่วัยต่อต้านแล้ว” คนพ่อร้องโอดโอยก่อนเอนตัวลงไปอิงพ่ออีกคนของยัยแพรวอย่างแนบเนียน ศึกครั้งนี้จบด้วยการที่พ่อมันเข้าข้างภรรยาตัวเอง ทำให้ยัยแพรวต้องหันหน้ามาซุกผมแทน

 

ผมหัวเราะร่วนก่อนรับแก้วจากคุณพ่อยัยแพรว บริกรเทไวน์ให้ผมในปริมาณก้นแก้ว ผมใช้สองนิ้วกดที่ฐานแก้วและวนของเหลวสีเกือบใสไปมากับหน้าโต๊ะ พอสังเกตสีของเหลวในแก้วแล้วผมก็กลั้วทั้งหมดในปาก รับรู้ได้ถึงรสชาติผลไม้ออกเปรี้ยว ความฝาดนิดๆ และปริมาณแอลกอฮอล์ ก่อนกลืนทั้งหมดลงคอ

 

ผมพยักหน้าให้บริกรคนที่ถือขวดไวน์รินของเหลวในขวดในปริมาณที่มากขึ้น จากนั้นก็ทำแบบเดิม แต่คราวนี้จิบไปทีละนิด ผมเอ่ยชนิดและวันที่บ่มเพาะออกมา ท่านแก้วชมเปราะว่ายังแม่นไม่เปลี่ยน

 

จากนั้นพวกเราก็คุยถึงเรื่องสัพเพเหระอีกเล็กน้อย จวบจนบิดาทั้งสองคนของเพื่อนผมเมาจนเริ่มประคองสติไม่อยู่พวกผมก็ได้เวลาเซย์กู้ดบาย แล้วเจอกันเมื่อชาติต้องการ ลงจากเรือกลับไปที่รถ

 

ผมที่เห็นภาพติดๆ ดับๆ รู้ตัวอีกทียัยแพรวก็ยัดผมเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นก็กระแทกประตูปิดใส่หน้าผม หือ… นี่แกแค้นฉันใช่มั้ย ยัยแพรวโผล่มาอีกทีตอนขึ้นรถ จำได้ว่ามันเอื้อมตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม

 

“ไหวมั้ย หน้าแดงมากละเนี่ย” มันเอามือนุ่มๆ เย็นๆ มาแปะบนหน้าผากผม

 

ผมไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง แต่สุดท้ายก็มีคนใจดีช่วยสอดหมอนรองคอมาให้ผม ช่วยลูบเปลือกตาผมให้หลับ จากนั้นภาพก็ตัดไปอีกรอบ พอรู้ตัวอีกทีผมก็พบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่

 

หือ… ผมพยายามสำรวจรอบๆ ไม่นานนักโลกก็คล้ายจะหมุนคว้าง เหวี่ยงตัวผมตกลงบนอย่างที่นุ่มๆ จนทั้งร่างเกือบจะจมลงไป น่าจะเป็นเตียง… ผมพลิกร่างไปอีกด้าน จากนั้นก็ถูกแรงมหาศาลกระชากกลับให้หงายท้องมองเพดานขาวๆ

 

ผมนอนมึนๆ อยู่แบบนั้นประมาณห้าวิก่อนที่จะมีอะไรสักอย่างขยุกขยิกอยู่บนอก แล้วเสื้อผ้าของผมก็หายไป ตามด้วยกางเกง พอผิวกายสัมผัสกับอากาศเย็นๆ ผมก็ห่อตัวทันที จากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว รู้แค่ว่ามีอะไรนุ่มๆ อุ่นๆ แนบกับผิวตัวเองแล้วผมก็หลับไป

 

ผมตื่นมาอีกครั้งในตอนสายๆ ของวัน พบว่าตัวเองนอนน้ำลายยืดอยู่บนหมอนสีขาวใบใหญ่ ผ้าห่มหนานุ่ม กับชุดเครื่องนอนเข้าเซต อื๋อ… เดี๋ยวนะ  นี่กี่โมง อ้อ… สิบโมงครึ่ง ผมหันซ้ายหันขวา ก่อนเดินไปส่องหน้าต่างดู พบว่าข้างนอกเป็นวิวตึกสูงระฟ้าหลายแห่ง 

 

แน่นอนว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องผมอย่างสิ้นเชิง หลังหอผมยังเป็นป่าละเมาะอยู่เลย…

 

“ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวมา” ยัยแพรวกวักมือเรียกผมหยอยๆ หลังมันสวมวิญญาณเชฟสาวกระทะเหล็กรังสรรค์อาหารหน้าตาน่ากินเป็นอย่างยิ่งออกมาสามสี่เมนู

 

“นับถือว่ะ… เดี๋ยวนะ! เสื้อผ้าฉันหายไปไหน” ว่าละทำไมมันหวิวๆ 

 

“เมื่อคืนแกเมาแล้วก็ถอดทิ้งไว้บนเตียง ฉันซักให้แล้ว อยู่ในเครื่องอบผ้านู่น” ยัยแพรวชี้ตะหลิวไปทางระเบียง ผมเลยเดินโทงๆ ไปชะเง้อดูสักหน่อย 

ประจวบเหมาะกับที่เครื่องอบหยุดทำงานพอดี ผมเอาเสื้อผ้าอุ่นๆ ของตัวเองออกมาแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ ขอยืมผ้าขนหนูสะอาดกับครีมอาบน้ำเคาน์เตอร์แบรนด์ของยัยแพรวมันซะเลย

 

ในตอนที่ผมเดินกลับออกมาอีกรอบยัยแพรวก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก ก่อนเอาไอแพดมาเปิดดูซีรีส์จีนที่มันติดงอมแงม ผมชะโงกหน้าไปดูอาหาร ซึ่งประกอบไปด้วยเบคอน ไข่ดาว สลัด ขนมปังและแพนเค้ก กับพวกผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มันชอบกิน

 

ข้างๆ กันมีแก้วสมูธตี้สีชมพูอมม่วงที่มีคนใจดีทำมาให้ เดาจากรสชาติคงไม่พ้นเบอร์รี่โยเกิร์ตกับครีมเทียม ตอนผมหันไปเห็นบรรดาวัตถุดิบที่มันใช้แล้วก็ไม่แปลกใจ ไข่ไก่งี้ เบคอนงี้ เกรดดีๆ ทั้งนั้น

 

“ถ้าไม่อิ่มเติมได้นะ” มันหันมาหาผมก่อนจะหันกลับไปดูซีรี่ส์ต่อ

 

ผมงึมงำใส่มันสองสามคำก่อนตักอาหารเช้าเข้าปาก พร้อมกับส่องจอไอแพดที่มันเปิดซีรีส์ค้างไว้

 

ในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ผมส่งเสียงครืดคราดอันเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้ามา พอผมรับสายอีกฝ่ายก็ปล่อยโฮออกมาให้ได้ยิน

 

“แงงงงง พี่โพธิ์! พี่โพธิ์ช่วยเบสด้วย!!!”

 

ผมกะพริบตาปริบๆ “ครับ มีอะไรให้พี่ช่วย”

 

“คือที่ร้านมีเรื่องยุ่งมากเลยครับ พี่ช่วยมาเคลียร์สักแปบหน่อยได้มั้ย”

 

น้องเบสเล่าไปร้องไห้ไปว่ามีลูกค้าเข้ามาป่วนร้าน ขนาดน้องที่พลีกายออกไปรับหน้าด้วยลูกอ้อนก็ยังต้านทานเอาไว้ไม่ได้

 

เนื่องจากวันอาทิตย์ไม่ใช่เวรของผม แต่เรื่องยุ่งยากขนาดนี้จะปล่อยเอาไว้ก็ไม่ได้ ผมเลยรีบโซ้ยข้าวเช้าในจาน ต่อให้เชฟมิชลินจะมาปรุงให้ตอนนี้ไอ้โพธิ์ก็กินไม่รู้รสแล้ว 

 

ยัยแพรวที่ได้ยินผมทำเสียงดังโคร้งเคร้งรบกวนเวลาซีรีส์ของมันหันมาขมวดคิ้วใส่ผมนิดๆ “ทำอะไร”

 

“รีบกินอยู่ มีเรื่องยุ่งที่ร้านนิดหน่อย” ผมบอกทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปาก

 

“รอสักห้านาทีได้มั้ย” มันเอาจานที่กินเสร็จแล้วของผมไปคว่ำไว้ในเครื่องล้างจานให้ จากนั้นก็เดินหลบไปอีกมุม ผมกะพริบตาปริบๆ ตามมันพลางตะโกนถามว่าจะทำอะไร

 

“จะไปส่งแกไง เปลี่ยนชุดแปบเดียว” ห้านาทีต่อจากนั้นมันก็ออกมาพร้อมชุดกระโปรงสั้นสีขาว เส้นผมรวบเป็นหางม้าสูง ผมด้านหน้าเบี่ยงไปข้างๆ แล้วปาดเจลเนียนกริบ มันถือกระเป๋าสีแดงแปร๊ดแบบเดียวกับลิปสติก สวมแว่นกันแดดทรงแคทอายโคตรเฉี่ยว

 

“หือ…วันนี้อีเว้นท์อะไรต่อมั้ยเนี่ย” ผมแซวมัน แต่งตัวเหมือนนางร้ายไปรังแกนางเอกเยี่ยงนี้นี่แกจะแค่ไปส่งฉันใช่มั้ย

 

“ทำไม ทีแม่แกยังใส่โพเอมไปโรงเรียนได้เลย” 

 

“...” อันนี้จริง ตอนที่ผมทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นแล้วมีเชิญผู้ปกครองแม่ผมก็ปรากฏตัวในลุคนางร้ายละครหลังข่าวแบบเดียวกับมันนี่แหละ แต่นั่นมันก็คนละกรณีกันไหมวะ!

 

ผมคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับมันต่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปใส่รองเท้าที่กองกันอยู่หน้าห้อง ส่วนยัยแพรวก็ดึงเอารองเท้าพื้นแดงที่มันใฝ่ฝันออกจากตู้ ทำเอาผมสงสัยขึ้นมาว่ามันจะไปส่งกูจริงๆ หรือเอากูไปขายเข้าซ่องที่ไหนกันแน่

 

พวกเราออกจากคอนโดโครงการสิบล้านอัปของมันด้วยรถคนละยี่ห้อกับเมื่อวาน หือ… นี่ลงทุนเอารถตัวเด่นสุดในโรงจอดออกมานี่มันต้องมีซัมติงแน่ๆ ผมนั่งนิ่งๆ ขณะรอให้มันวาร์ปผมไปที่ร้านด้วยเวลาไม่ถึงห้านาที

 

พอผมเปิดประตูลงมาได้ก็รีบพุ่งเข้าร้านทันที ก่อนจะพบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ บางอย่าง

 

“...” ในร้านมีน้องเบสที่กำลังเจรจาอยู่กับนายปีขาลอัลฟ่าที่จีบน้อง ส่วนกลุ่มของพวกเขาที่เหลือก็นั่งกันคนละโซน และในร้านก็เต็มไปด้วยชายใส่สูทร่างกำยำล่ำบึกเต็มไปหมด ผมได้แต่เกาหัวแกรกๆ 

 

ตอนนั้นเองที่น้องเบสสังเกตเห็นผม เขาใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนของตัวเองหว่านใส่แด๊ดดี้ที่โตกว่าแค่ปีเดียวแล้วลากผมเข้าไปคุยกันหลังร้าน

“อันนี้คือสถานการณ์ที่ว่าเหรอ”

 

“ใช่ครับ พี่พวกนั้นบอกว่าอยากเจอพี่ ต้องเป็นพี่เท่านั้น แล้วก็เอาลูกน้องมานั่งเต็มร้าน ลูกค้าต้องสั่งแบบกลับบ้านมาสิบรายการแล้ว ฮือๆ” น้องเบสพูดไปก็เบะปากทำหน้าจะร้องไห้ไป

 

“โอเค เดี๋ยวพี่ไปคุย เช็ดหน้าเช็ดตาก่อน”

 

 

“โพธิ์!” พอเข้ามาในร้านผมก็ปะกับนายหาญอะไรนั่นทันที เขาส่งยิ้มแล้วถลาเข้ามาหาผม “เมื่อวานโพธิ์ไม่เห็นมาทำงานเลย”

 

“ก็เมื่อวานไม่ใช่เวรเรา” ผมบอก ก่อนจะกอดอกหลิ่วตาไปรอบๆ “พวกนี้คืออะไร”

 

“ลูกน้องบ้านไอ้ขาล มันเอามามาอุดหนุนร้านโพธิ์ไง โพธิ์กลัวเหรอ?” เขาตอบก่อนฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีเป็นสระอิ ทำเอาผมอยากจิ้มหน้าหล่อๆ ดีกรีรองเดือนมหาลัยนั่นสักที

 

“โอเค แต่มันรบกวนลูกค้าคนอื่นนะ” ผมบอกนิ่งๆ

 

“เดี๋ยวเราบอกให้ไอ้ขาลให้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับท่าทางตอนไล่ชายใส่สูทออกจากร้าน

 

กูว่าลูกน้องบ้านมันนี่แหละ ไม่ใช่บ้านเพื่อนมันหรอก

 

“งั้นถ้าจัดการเรียบร้อยแล้วก็อย่าทำอีกก็แล้วกัน” ผมตัดบทก่อนจะหมุนตัวกลับ 

 

“เดี๋ยวก่อน!” อีกฝ่ายคว้าข้อมือผมไว้อย่างแรงจนเรียกได้ว่าเป็นการกระชาก ความเจ็บแล่นริ้วจนผมนิ่วหน้าเล็กน้อย “วันนี้โพธิ์ไม่ทำงานใช่มั้ย มีงานที่ไหนต่อหรือเปล่า”

 

“ไม่มี เรามาแค่นี้ พอดีน้องบอกว่าร้านวุ่นวาย”

 

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคฝ่ายนั้นก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนเหมือนกลัวไม่ได้พูด “โพธิ์ไปดูหนังกับเรามั้ย เดี๋ยวตอนเย็นเราจะพาโพธิ์ไปดินเนอร์”

 

“เอ่อ…” ผมตั้งท่าจะปฏิเสธ ตอนนั้นเองที่ตัวช่วยของผมก็มา

 

“น้องคะ อเมริกาโน่ไม่หวานแก้วนึง รับกลับค่ะ” ยัยแพรวที่มาในมาดนางร้ายละครหลังข่าว หิ้วกระเป๋าหนังแท้ของมันเดินดุ่มๆ เข้ามาในร้านก่อนสั่งออเดอร์พร้อมวางบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินไว้ที่เคาน์เตอร์พอให้น้องเบสมีจังหวะหายใจหลบฉากออกมาจากอัลฟ่าร่างสูงใหญ่ที่จ้องจะจับน้องกินตาเป็นมัน

 

“คะ ครับ!” น้องเบสขานรับเสียงดังฟังชัด

 

พอจัดการฝ่ายโน้นเสร็จยัยแพรวก็ย่างสามขุมเข้ามา มือก็ถอดแว่นกันแดดออกให้เห็นดวงตาที่คัดเบ้ามาอย่างดี กรีดอายไลนเนอร์คมกริบแทบบาดตาผม

 

“โพธิ์ทำอะไรอยู่ นึกว่าเสร็จแล้วซะอีก” ยัยแพรวทำเสียงเข้มใส่ ส่วนผมก็ร้องโฮกในใจปกติคำถามที่ผมมักจะถามมันก็คือแกยังไม่ไปอีกเหรอ แต่ตอนนี้ผมไม่สนแล้ว

 

“จ จัดการธุระเสร็จแล้ว กำลังไป… แกไม่รอที่รถล่ะ” ผมรีบสะบัดมือออกแบบเนียนๆ ก่อนเดินเข้าไปสมทบกับมัน

 

“ฉันรอจนเงกแล้ว แกไม่มาสักที” มันตอบ ผมเลยคุยต่อกับมันอย่างเป็นธรรมชาติ “จะกินอะไรมั้ยเดี๋ยวฉันเลี้ยง”

 

“เอาดิ” ผมพยักหน้าหงึกๆ

 

“โพธิ์! โพธิ์มีแฟนแล้วเหรอ” เสียงของนายหาญนั่นดังขึ้น ส่วนยัยแพรวก็หันไปตอบแบบทุกที

 

“แล้วคิดว่าไงคะ?” ยัยแพรวทำเสียงแข็งตาขวางแทบจะขู่ฟอดๆ ใส่อีกฝ่าย เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่มันตอบแบบอื่นนอกจากคำว่าเราเป็นเพื่อนกัน

 

“ไม่จริง เราแอบสืบ… แฮ่ม! ถามคนรู้จักมาแล้ว โพธิ์ยังโสด”

 

“...” เมื่อกี้กูเหมือนได้ยินอะไรนะ ใครส่งๆ สืบๆ นะ ผมอยากเอามือขึ้นมากุมหัวแต่ต้องรักษาท่าทีไว้ก่อนหันไปหายัยแพรวแล้วตอบรับ… “ใช่ เรายังไม่มีแฟน”

 

“งั้นโพธิ์ก็ว่างน่ะสิ”

 

“ใช่” ผมรับแบบแกนๆ ตอนนี้มันถามอะไรคงต้องบอกอืมๆ เซเยสโนโอเคกับมันไปก่อน

 

“งั้นเราไปเดทกันนะ”

 

“ได้ ห๊ะ! ไม่ๆ เดี๋ยว…” ผมเกือบพ่นน้ำใส่หน้าเขา ดีนะไม่ได้กินน้ำอยู่

 

“ทำไมอะ” เขาทำหน้าหงอยเหมือนลูกหมา

 

“อืม ก็… อ้อ! แกจะไปไหนต่อมั้ย” ผมหันไปพึ่งตัวช่วยเพียงหนึ่งเดียวของตัวเอง ตอนนี้แกอย่าเปลี่ยนเป็นตัวชงนะเว่ย ไม่งั้นฉันจะร้องไห้ใส่แกเดี๋ยวนี้แหละ

 

“เราจะไปกินข้าวเที่ยงกันไง”

 

“คนสวยไปกินกับเราดีกว่าปะ เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง” เสียงของใครอีกคนดังขึ้น ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนในกลุ่มอัลฟ่าของนายฐากูร (ชื่อจริงของหาญ) นั่นเอง

 

เขาเป็นชายรูปร่างพอๆ กับหาญ เตี้ยกว่าเล็กน้อย ผิวไม่ดำไม่ขาวออกแนวกลางๆ หน้าตาจัดว่าออกแนวแบดบอย ซอยอย่างแบด… แซดละกะปอย… แฮ่!

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเสือก” ยัยแพรวชักสีหน้าใส่เขาที่กุมอกแล้วดิ้นๆ

 

“โหวเธอว์ เจ่บจี๊ดส์~” นายนั่น (ผมมารู้ทีหลังว่าชื่อคิง) ยังไม่รามือ เขาหยอดมุกจีบยัยแพรวต่อในทันที ผมดูทั้งคู่เถียงกัน (จริงๆ คือยัยแพรวด่าไม่เลี้ยง อิมพอร์ทสัตว์ทุกสปีชีย์มาลงในบทสนทนาแล้วทั้งหมด)

 

เผลอแวบเดียวผมก็โดนหาญกึ่งลากกึ่งจูงไปที่รถด้วยความไม่เต็มใจเล็กน้อยถึงปานกลาง ไอ้พวกนี้มันทำงานกันเป็นทีมนี่หว่า!!!

 

“เอ่อ…” ผมส่งเสียงเอ่อๆ ใส่หมอนี่มาประมาณสามสี่ทีแล้วเห็นจะได้ อีกนิดไอ้โพธิ์จะเอ๋อจริงๆ แล้วนะ “เอ่อ คือ…”

 

ร่างกายกูหยุดเอ่อใส่มันได้แล้ว!

 

“ข้างในร้านวุ่นวาย” ผมโดนอีกฝ่ายจับยัดใส่ที่นั่งข้างคนขับยี่ห้อตัวที ซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ รถสีแดงแปร๊ดตราวัวกระทิงของยังแพรว ฝ่ามือใหญ่ๆ ของเขาวางบนศีรษะของผมกันชนขอบประตูให้ “เดี๋ยวเราไปหาที่นั่งในร้านเย็นๆ แล้วคุยกันนะ”

 

ผมกะพริบตาใส่เขา จากนั้นก็ยกโทรศัพท์ที่สั่นวืดๆ ของตัวเองขึ้นมา “ฮัลโหล”

 

“โพธิ์! อยู่ไหน!” ปลายสายซึ่งเดาได้ว่าคือใครถามแบบเสียงเหวี่ยงๆ ใส่

 

“ในรถกับหาญ” ผมตอบไปสี่พยางค์ และได้รับคำตอบเป็นความเงียบที่เนิ่นนาน ก่อนตัดสายยัยแพรวก็จิ๊ปากแบบที่ชอบทำตอนหงุดหงิดใส่

 

นับจากนั้นผมก็มารู้เอาทีหลังว่าคาเฟ่เล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างฟิตเนสกับร้านชาบูกลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมๆ แฮ่ม! เอาเป็นว่าผมก็ไม่รู้ก็แล้วกัน

 

หลังวางสายผมลดโทรศัพท์ลงมาถือไว้นิ่งๆ จนหาญที่อ้อมมาเข้ามานั่งอีกฝั่งต้องถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ผมส่ายหน้าน้อยๆ แล้วคว้าเอาเข็มขัดนิรภัยมาคาดเป็นจังหวะพอดีกับที่พ่ออัลฟ่ารูปหล่อพ่อรวยยืดตัวมาจะคาดเข็มขัดให้ผม มือของพวกเราชนกัน ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา