ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
66) ผจรกาญวิมาศ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“สวรรค์ก็เป็นสถานที่ที่วิจิตรงดงามมากๆ เลยล่ะ” นางฟ้าสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับประสานมือไว้ระหว่างอกเหมือนกำลังอธิษฐาน “อย่างชั้นดาวดึงส์ที่ฉันอยู่เนี่ยก็ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ ไม่รู้ว่านายเคยได้ยินรึเปล่า ที่นั่นมีแต่แสงสว่าง และมีสายลมพัดเย็นสบาย มีอุทยานร่มรื่น สระน้ำสวยใส กำแพงแก้ว ปราสาททองคำ ทุกอย่างระยิบระยับเรืองรองไปหมด มีแต่เทพยดาชาวฟ้าหนุ่มสาว เล่นสนุกสนาน รื่นเริง เสวยสุขกันอย่างเปรมปรีดิ์”
“บนสวรรค์นี่ดีเนอะ คงจะมีแต่ความสุขความสบาย”
“อืม…ก็จริงนะ แต่ถึงแม้ว่าพวกเทวดานางฟ้าจะเสกอะไรต่อมิอะไรได้ แต่ก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีความทุกข์หรือหลบเลี่ยงปัญหาต่างๆ ได้หรอกนะ เพียงแต่ผู้คนบนสวรรค์นั้นเลือกที่จะมองทุกอย่างในด้านที่ดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่า
“แล้วถ้าผมอยากจะขึ้นสวรรค์บ้างผมต้องทำยังไง”
“เรามีหลักเกณฑ์มากมายนับพันๆ ข้อ แต่ถ้าจะให้สรุปโดยเข้าใจ แค่มนุษย์นั้นมีเพียงสองอย่างนี้ในหัวใจก็พอจะเรียกว่าเป็นคนดีได้แล้ว” เธอกล่าวพร้อมกับชูสองนิ้วขึ้นมาประกอบ “นั่นคือการรู้จักที่จะให้ และละอายต่อบาป”
จากนั้นนางฟ้าสาวก็ลดมือลงแล้วพูดต่อไปว่า
“มนุษย์น่ะ ยังไงเสียก็ไม่ได้ขาวสะอาด คงเคยทำเรื่องเลวร้าย หรือผิดพลาดกันมาทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ถ้าเรารู้จักที่จะให้ ไม่ใช่แค่เรื่องการเอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ หรือการแบ่งปันอย่างเดียวนะ แต่รวมถึงการยกโทษให้แก่ผู้อื่นและให้อภัยตัวเองให้เป็นด้วย ขณะเดียวกันก็เกรงกลัวที่จะทำเรื่องเลวร้าย รู้จักที่จะคิดถึงใจเขาใจเรา โลกใบนี้คงไม่สับสนวุ่นวายกันมากขนาดนี้
แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ผู้คนต่างสรรเสริญว่าประเสริษฐ์กว่าสัตว์ทั้งหลาย แต่สุดท้ายก็อ่อนแอแพ้พ่ายต่อกิเลสตัณหาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”
“สวรรค์ยังเหลือที่ว่างมากมายให้แก่คนที่ทำคุณงามความดี”
“จากข้างล่างนี้ จนถึงสวรรค์นี่ไกลกันมากมั๊ยคุณ” ผมซักต่อพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน
“ไกลแสนไกลเท่าที่จะนึกได้” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ “แต่ถ้าตามตำราเก่าๆ จะบอกไว้ว่าสี่หมื่นสองพันโยชน์ หรือประมาณหกแสนเจ็ดหมื่นกว่ากิโลเมตรละมั้งถ้าฉันจำไม่ผิดนะ”
“โหไกลมากเลยนะนั่น อย่างนี้จะมีใครไปถึงได้ละนี่”
“พวกมนุษย์ไม่มีทางได้เห็นหรอก เพราะอยู่คนละภพกัน”
“เออนั่นสิผมก็ลืมไป”
“หากเป็นคนเลวแล้วไม่ว่าจะใช้เวลายาวนานเท่าใดก็ไม่มีวันไปถึงแต่สำหรับคนดีแค่เพียงลัดนิ้วมือเดียวก็ไปถึงแล้วละ”
“เอ้อ…ถ้านายอยากจะเห็นฉันก็จะให้ดูนะ” สาริกาบอกก่อนจะเสกของวิเศษปรากฏขึ้นมาในมือมีลักษณะคล้ายกล้องส่องทางไกลเล็กๆ แบบมีด้ามจับ หรือที่เรียกว่าแว่นโอเปร่าซึ่งมีสีทองอร่ามส่วนตัวเลนส์เป็นผลึกแก้วส่องประกายวิบวับแวววาวประหนึ่งเพชรน้ำงาม
“อะไรน่ะคุณ” ผมร้องถาม
“นี่คือผจรกาญวิมาศ ที่สามารถส่องไปถึงชั้นสวรรค์ได้ ฉันไว้ดูเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวข้างบนนั่นเวลาลงมาทำงานที่โลกมนุษย์นี่”
“บนสวรรค์นี่มีแต่ของหรูหราเนอะ” ผมเอ่ยนึกอิจฉานิดๆ ในความมั่งมีของชาวสวรรค์ชั้นฟ้า
“พวกเราชอบของสวยๆ งามๆ น่ะ” สาริกาบอกพลางยื่นด้ามจับมาให้
‘เบาจังแหะ’ ผมเอื้อมไปรับมาถือไว้รู้สึกสบายมือเหมือนได้จับก้านไม้เล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ลองส่องดูสิ”
“อึ้มมขอบใจนะ” ผมตอบแล้วจึงค่อยๆ ดึงมันเข้ามาใกล้ระดับสายตาแล้วส่องดู
“ไหนอ่าคุณ ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหน้าคุณเนี่ย”
“ใครใช้ให้มาส่องฉันเล่า…” เธอว่าพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นข้างบน “กวนประสาทจริงนายเนี่ย”
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาวอีกครั้ง โดยมีผจรกาญวิมาศถืออยู่ในมือ ตาผมที่มองผ่านกระบอกกล้องและเลนส์แก้วแววใสนั้น ได้เห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ปรากฏชัดแจ้งชวนให้ตื่นตะลึงยิ่ง…นั่นก็คือภาพของสรวงสวรรค์ที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ