DREAMS COME TRUE จากฝัน...ถึงเธอ

10.0

เขียนโดย winnerella

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.04 น.

  17 บท
  0 วิจารณ์
  14.16K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เคียงข้าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     
หลังจากที่บรรดาพี่วินัยพูดเรื่องกฎระเบียบข้อบังคับเสร็จใช้เวลาประมาณร่วมๆ สามสิบนาที สภาวะอันตึงเครียดได้จบลงพร้อมกับเสียงกลองสันทนาการดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าบัดนี้ ได้เวลาสนุกแล้วสิ
เราต่างร่วมกิจกรรมกันอย่างสนุกครับ ทั้งร้องทั้งเต้น ทั้งเล่นเกมที่แข่งขันกันระหว่างกลุ่มสีต่างๆ ตามที่เราได้ถูกแบ่งไป ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะไปมา จนสุดสนท้ายการแข่งขันก็ได้สิ้นสุดลง สีเหลืองของไอ้ดิวมีคะแนนเป็นที่หนึ่ง ต่างกับสีฟ้าของผมที่..โหล่ครับ
“ต่อไปเราจะมาเล่มเกมสุดท้ายของคืนนี้ น้องๆ จำซองจดหมายที่พี่แจกให้น้องไปได้ไหมครับ”
ซองจดหมาย ที่รุ่นพี่แจกเราให้ไปเขียนลักษณะของตนเองลงไป มันถึงเวลาของมันแล้ว
รุ่นพี่ผู้นำกิจกรรมนี้ได้หยิบซองจดหมายขึ้นมาเพื่ออ่านลักษณะของเพื่อนคนนั้น ก่อนจะให้เหล่าบรรดาเฟรชชี่ปีหนึ่งวิ่งหากันว่าใครคือบุคคลลักษณะนั้นๆ เพื่อนคนใดที่มีเพื่อนไปล้อมเป็นวงกลมมากที่สุดแล้วถูกต้องกับลักษณะนั้น จะต้องลุกขึ้นมาแนะนำตัวพร้อมกับเต้นเพลงอะไรก็แล้วแต่ที่พี่กิจกรรมสันทนาการร้องขึ้นมา
ผมว่าเกมนี้มันก็สนุกดีนะครับ ได้วิ่งกับเพื่อนๆ ได้มองหาเพื่อนๆ ได้รู้จักเพื่อนอีก แถมเหมือนได้ปลดปล่อย เท่าที่มองคนที่มีความสุขมากกว่าผมคงเป็นไอ้ดิว มันเขียนบรรยายลักษณะของมันว่า ‘หล่อ สูง ใหญ่ และยาว’
ผมนี้ปวดหัวกับมันจริง แต่ก็นั้นไม่ได้ขัดอะไร เพราะมันหล่อจริง สูงจริงแต่ใหญ่และยาว ผมไม่รู้ครับ
บรรดาสาวๆคณะแพทย์ต่างวิ่งไปรุมมันครับ ไม่ใช่แค่ปีหนึ่ง พี่สันทนาการทั้งเก้งกว้างบ่างชะนีวิ่งไปล้อมมันหมดครับ มันดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันเต้นตามจังหวะเพลง เต้นท่าไหนสาวๆส่งเสียงร้องโหยหวนอยากได้มันเป็นผัวจนตัวสั่น มันคงเป็นที่น่าหมั่นไส้ของบรรดาชายหนุ่มของคณะนี้แน่นอน รวมถึงผมด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน พี่กิจกรรมก็บอกว่าใกล้หมดเวลาแล้ว จะเปิดซองจดหมายเป็นฉบับสุดท้าย
“'ผมทรงรองทรง สีผมน้ำตาลเข้ม สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้า ใส่แว่นบ้างไม่ใส่บ้าง มีแก้มกลมๆ แต่ไม่อ้วนนะ'” พี่กิจกรรมอ่านข้อความบนจดหมายเสียงดังฟังชัด
ทุกคนต่างวิ่งหาว่าใครคือคนนั้น ยกเว้นผมที่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร เราต่างหากันอยู่เป็นสิบนาที หาเท่าไรก็ไม่รู้ว่าคนที่มีลักษณะแบบนั้นคือใคร
“เอาทุกคนนั่งลงกับที่ได้แล้วครับ” พี่กิจกรรมพูดขึ้นมาเพื่อในทุกคนสงบจากการวิ่งหาบุคคลที่มีลักษณะนั้น
“พี่ว่า เราหาให้ตายเราก็อาจจะหาไม่เจอ งั้นเอางี้พี่อยากให้คนนั้นออกมาเฉยเลยแหละกัน”
งานเข้าแล้วไหมล่ะ
ผมได้แต่นั่งแข็งทื่อราวกับหิน ที่ต่อให้โดนลมพายุพัดโหมกระหน่ำเท่าไร ก็ไม่มีทางที่จะเคลื่อนไปได้
“ออกมา ออกมา ออกมา” เสียงเชียร์เร่งเร้าของผู้คนในหอประชุมดังขึ้นเป็นระยะๆ ก่อนใครคนนึงจะสังเกตความผิดปกติของผมได้
“ไอ้ปอ อยากบอกนะว่านั้นมึงอ่ะ” เสียงไอ้ดิวพูดข้างหูผมเป็นเสียงกระซิบที่บอกว่ามึงโดนแน่
ผมได้แต่ตอบมันกลับไปเบาๆ ว่า
“เออ กูเอง”
ทันทีผมพูดจบ เสียงนรกที่ผมไม่อยากฟังมันก็ดังขึ้น
“พี่คร้าบบบบบ ไอ้คนนั้นมันคือคนนี้ครับ”
 
ไอ้ดิว... ไอ้เพื่อนเลว
หลังจากที่ไอ้ดิวได้เผยตัวตนของบุคคลที่มีลักษณะนั้น นั่นก็คือ ผมเอง ผมจำต้องลุกขึ้นช้าๆ อย่างเขินอายก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าหอประชุม มันเป็นเหมือนกันทุกคนครับที่เวลาเราไม่คุ้นเคยกับใคร เราจะเขินอายไม่กล้าแสดงออก
ระหว่างทางที่เดินไปหน้าหอประชุม เสียงกลองก็บรรเลงเพราะทำนองที่เราคุ้นเคยอีกครั้ง เสียงร้องเพลงสันทนาการทุกรูปแบบดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนผมเดินไปหน้าเวที พี่กิจกรรมคนนั้นจึงบอกให้ผมเลือกเพลงที่จะเต้น แต่ผมก็ไม่รู้จะเต้นอะไร ใจหนึ่งมันก็อายอยากออกไปจากตรงนี้ให้ได้ แต่อีกใจก็อยากจะร่วมกิจกรรมนี้ให้มันจบๆ จะได้ไม่ค้างคา
“งั้นพี่เลือกเพลงให้ละกัน แอปเปิลมะละกอกล้วยส้ม สามสี่”
พี่คงรอผมเลือกเพลงไม่ไหวเลยชิงบอกชื่อเพลงทันทีโดยไม่สนว่าผมจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
“แอปเปิล แอปเปิล แอปเปิล มะละกอ มะละกอ มะละกอ กล้วย กล้วย กล้วย ส้ม ส้ม ส้ม แอปเปิล มะละกอ กล้วย ส้ม” เสียงร้องดังไปทั่วหอประชุม ผมเต้นตามพี่กิจกรรมที่ยืนล้อมรอบน้อง ไปจนจบเพลง
เพียงแต่สายตาของผม กับเห็นชายคนหนึ่งที่ยืนมองผมอยู่ตรงประตูทางออก
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงหัวใจผมเต้นเร็วอีกครั้ง
เสียงหัวใจผมมันดังชัดเจนมากขึ้น
เสียงหัวใจของผมมันดูไม่เหมือนเดิม...
 
หลังกิจกรรมสันทนาการเสร็จสิ้นลงไป ก่อนเราจะได้แยกย้ายกลับไปที่หอพักกัน หลังจากเหน็ดเหนื่อยมานาน เสียงผู้หญิงหวานๆ ดังออกมาท่ามกลางเสียง
“น้องค่ะ พี่ขอเวลานิดหน่อย พี่เป็นพี่หลีดคณะนะคะ อยากจะมาคัดตัวหลีดคณะสักหน่อย”
เสียงนั้นดึงความสนใจของไอ้ดิวได้อย่างดี พี่คนนั้นคือคนที่ไอ้ดิวมันเจอตอนกินหมูกระทะก่อนเปิดเทอม คนที่มันอยากเจอหนักหนา
“น้องคนใดอยากสมัครเป็นหลีดคณะ สามารถมาลงชื่อที่พี่ได้เลยนะจ๊ะ”
เหล่าบรรดาชายโฉดรวมทั้งไอ้ดิวเดินเรียงรายกันไปต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อลงชื่อสมัครเป็นหลีดคณะ บางคนก็สนใจจะเป็นจริงๆ บางคนก็มีความคิดเดียวกันกับไอ้ดิว คือ ชอบพี่เขาครับ แถมคงเป็นความคิดส่วนใหญ่
“ปอ เธอไม่สนใจไปลงชื่อบ้างหรอ” พาวถามขึ้นมาขณะเดินมาหาผมที่ยืนอยู่ประตูทางออก
“อ๋อ ไม่อะ ร่างกายเราไม่ค่อยแข็งแรง กลัวซ้อมหนักๆ ไม่ค่อยไว้ แล้วพาวล่ะ ได้ลงไหม”
“เราก็ไม่ได้ลงหรอก พี่พีทบอกว่ามันเหนื่อย แต่แพรวลงนะ” พี่พีทคือชื่อแฟนของพาวที่เป็นหลีดคณะปีสี่ พี่เขาคงเล่าเรื่องความหนักหน่วงของการซ้อมหลีดให้พาวฟังแน่ๆ เลยทำให้พาวมีจิตใจแน่วแน่ว่าจะไม่ลงชื่อ
“โห่ แพรวลงหรอ ดีเลย ถ้าผ่านการคัดเลือกเราจะตามไปเชียร์แพรวเต้น”
“ขอบคุณนะ” แพรวตอบกลับอย่างเขินอาย
“ไอ้ปอ เมื่อกี้ไปลงชื่อมา คนแม่งเยอะสัส พี่บอกว่าต้องมีการคัดเลือกหลีดอีกพรุ่งนี้” เสียงไอ้ดิวดูเสียดาย มันกลัวคัดไม่ผ่าน กลัวทำตามความฝันไม่สำเร็จที่มันจะได้เจอพี่คนนั้นทุกๆวัน
“ดิวลงด้วยหรอ” แพรวถามด้วยความสงสัย
“อืม” มันตอบ
“เราก็ลงเหมือนกันนะ ดิว”
“เห้ยจริงดิ เราอยากเป็นมาก เห็นแพรวลงเราก็ลงตามเลยเนี่ย” มันตอบด้วยคำพูดที่ผมมองว่ามันโกหกสุดๆ
 
หลังจากสนทนากันเล็กน้อย เราสี่คนต่างแยกย้ายกันกลับหอพัก ไอ้ดิวขอตัวไปอาบน้ำก่อนเพราะมันจะรีบนอน พรุ่งนี้มันมีคัดหลีดแต่เช้าตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ส่วนผมก็นั่งรอมันอาบน้ำ พลางเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือของผม จัดข้าวของเล็กน้อยบนโต๊ะให้มันดูระเบียบ สายตาผมมองไปที่ไดอารี่สีน้ำตาลเล่มนั้น...
ผมหยิบไดอารี่ขึ้นมา เปิดไปหน้าล่าสุดที่ว่างไว้เพื่อเขียนเรื่องราวอย่างทุกๆ วัน แต่วันนี้ ทำไมกัน ทั้งที่มีเรื่องราวมากมายในวันนี้ แต่กลับเขียนอะไรไม่ออกเลย เขียนได้แต่สิ่งเดียวที่มาผ่านเข้ามาให้หัวตอนนี้
นั้นก็คือ
ธารา...
 
ติ๊งๆๆๆ
เสียงนาฬิกาของดิว รูมเมทของผมดังขึ้น ผมมองดูเวลาจากนาฬิกาของผมมันแสดงเวลาว่าหกโมงเช้าแล้ว เสียงนาฬิกายังดังต่อเนื่องนานหลายนาที เสียงมันไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของเจ้าของมันเลย ไอ้ดิวมันยังคงนอนกางขา ผ้าห่มตกกองลงไปกับพื้น ผมอยากจะถ่ายรูปไว้เพื่อแบล็กเมล์ลงประจานทางโซเชียลให้บรรดาสาวๆ ที่ชื่นชอบมันเห็นเบื้องหลังความน่าเกลียดของมันจริงๆ
“ไอ้ดิว วันนี้มีคัดหลีดไม่ใช่หรอ” เสียงผมยังคงทำหน้าที่เตือนสติมันได้ดีอย่างเคย
ร่างไร้วิญญาณที่นอนติดเตียงนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตาเบิกโพลงอีกครั้งราวกับซอมบี้ที่ตื่นจากความตาย
“เชี่ย กี่โมงแล้วว่ะ”
“หกโมงยี่สิบแล้ว”
“ชิบหายแล้วววว” มันรีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวทันที
ส่วนผมนั้นกลับไปนอนต่อ วันนี้เป็นวันว่าง ไม่มีกิจกรรมในช่วงเช้า มีอีกที่ก็ตอนเย็นที่เดียวเลย ผมเลยได้มีโอกาสนอนตื่นสาย ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะเริ่มเรียนพื้นฐานของทางคณะ
ไม่ถึงห้านาทีไอ้ดิวมันอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนิสิต เรียบร้อย พร้อมฉีดน้ำหอมกลิ่นมันฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ผมว่ามันเป็นกลิ่นที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย
“ไอ้ปอ เจอกันทีเดียวตอนเย็นเลยนะมึง กลางวันกินข้าวคนเดียวนะ อย่าคิดถึงกูละ”
“เออ รีบไปเถอะ เดียวไม่ทัน”
 
โรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางหมู่บ้านเล็กๆ ที่รายล้อมด้วยป่าไม้ หลังโรงเรียนจะมีธารน้ำที่เชื่อมต่อกับน้ำตกกลางเขาซึ่งห่างไม่ไกลมากจากโรงเรียน ถ้าจะเดินไปตามทางไปเรื่อยก็จะพบเนินเขาสูงลาดชันที่มีดอกหญ้าสีน้ำตาลโบกพัดตามกระแสลมอ่อนๆ
ในโรงเรียนเรามีสถานที่นั่งไม่ได้เยอะมาก ม้านั่งหินอ่อนก็น้อย ในช่วงเวลาพักกลางวันเด็กนักเรียนต่างพากันจับจองกันแน่นขนัดเราสองคนจึงเลือกที่จะนั่งใต้เงาของต้นหูกวางข้างโรงเรียนแทน
ผู้ชายที่แสนอบอุ่นของฉัน ที่มือหนึ่งถือหนังสือวิชาชีววิทยาอ่าน อีกมือหนึ่งใช้นิ้วชี้เขียนบนหน้าขาตัวเอง ฉันไม่รู้เค้าเขียนอะไร พลางฟังเพลงจากมือถือผ่านหูฟังสายสีขาวที่เราฟังกันคนละข้างเสมอ บทเพลงก็เป็นเพลงที่เราคุ้นเคยเหมือนเดิม
“พี่ว่าเราจะสอบหมอกันได้ไหมอ่ะ”
หลังจากที่ฉันได้ถามคำถามไป ชายคนนั้นก็หยุดสนใจสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ หันมามองสบตาฉัน
“อย่ากังวลไปเลย ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ อันไหนไม่เข้าใจก็ถามพี่ได้” เสียงอบอุ่นนั้นตอบกลับมา ใจฉันรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเสมอ
หัวของฉันรู้สึกหนักนิดหน่อย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อากาศอาจจะร้อนไปก็ได้ ฉันซบหัวของชั้นลงบนไหล่อันกว้างใหญ่ พอที่จะให้ฉันได้รู้สึกสบาย ฉันหลับตาลง เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อไป
“เราสองคนต้องเป็นหมอให้ได้นะ หนูอยากอยู่เคียงข้างกับพี่ แบบนี้ตลอดไป”
 
แสงแดดแยงตาผมผ่านหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง มันคงเป็นสัญญาณเตือนว่าผมคงนอนมากไปแล้ว ผมเดาว่าตอนนี้มันอาจจะใกล้เที่ยงแล้วก็ได้มั้ง ผมเดาไม่ผิดครับ นาฬิกาเจ้าปัญหาของผม ตัวเลขมันบอกแบบนั้นจริงๆ สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า
ผมค่อยๆ ลุกจากเตียง ตรงไปเข้าห้องน้ำ เพื่อชำระล้างร่างกายที่นอนติดเตียงมานาน เสียงท้องร้องผมดังขึ้นอยากชัดเจน มันถึงเวลาที่ต้องกินข้าวแล้วล่ะ
วันนี้มันก็เป็นวันว่างของเฟรชชี่ปีหนึ่งคณะแพทย์ บรรยากาศหอในยังคงเป็นเหมือนเดิม บรรดาเหล่าน้องใหม่ต่างพากันลงจากหอเพื่อมากินข้าวกลางวัน
“ปอ” เสียงทักทายเสียงแรกของวันจากบุคคลอื่น ที่ไม่นับเสียงไอ้ดิวตอนเช้า
“พาว หวัดดี”
“กำลังจะไปไหน กินข้าวป่ะ”
“ใช่”
“พอดีเลยมาเราก็จะไปเหมือนกัน ไปด้วยกันไหม”
“เค”
“เออนี้ เพื่อนเราชื่อดวง”
สายตาผมมองไปเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมาพร้อมเรา เดาว่าจริงๆ เดินลงมาพร้อมพาวนั้นและ แต่ผมไม่ทันสังเกต เป็นผู้หญิงผมสั้น ใส่แว่นหนาเตอะ เงียบๆ แต่ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรเท่าไร
“รูมเมทเราเอง” ไม่ทันให้ผมสงสัยว่าคนนี้คือใคร พาวก็ตอบคำถามเหมือนรู้ใจ
เราเดินไปที่ศูนย์อาหารหน้าหอในที่ประจำ ที่ต้องฝากท้องเกือบทุกวันแน่ๆ ถ้ายังอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ เราแยกย้ายไปซื้ออาหารของแต่ละคน ผมสั่งอาหารที่คุ้นเคยตามเดิม ร้านเดิม คิดไม่ออกจะไปร้านไหนแล้ว มองรอบๆ ก็ไม่ค่อยมีร้านอะไรเปิดเท่าไร อาจเป็นเพราะช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอมจริงๆ ของมหาวิทยาลัยก็ได้ นอกจากร้านอาหารตามสั่งที่ผมกินไปเมื่อวานแล้ว ก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวที่คนก็ต่อแถวยาวเหยียดเปิดอีกร้านหนึ่ง
ระหว่างรออาหาร ผมนึกได้ว่ามีร้านกาแฟร้านหนึ่งอยู่หน้าศูนย์อาหาร จึงตัดสินใจเดินไปสั่งน้ำเพื่อรอเวลาอาหารกลางวันของผมเสร็จ ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งหน้าร้านด้วยบรรดาต้นไม้สีเขียวเต็มไปหมดดูสบายตา ภายในร้านมีโต๊ะนั่งสำหรับรอน้ำประมาณสามโต๊ะ ร้านนี้ไม่มีแอร์หรอกครับ จึงไม่ค่อยมีคนมานั่งสักเท่าไร ส่วนใหญ่ซื้อกลับไปกิน เมนูส่วนใหญ่ของทางร้านก็มีพวกกาแฟ ชา น้ำผลไม้ปั่น
ผมยืนจองดูเมนูครู่หนึ่งก่อนสั่งเมนู พร้อมกับ....
“ชาไทยหวานน้อยครับ”
พร้อมกับ...เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาประสานเสียงสั่งเมนูนี้ ผมคุ้นเสียงนี้ ถึงแม้จะไม่เคยได้ยินชัดๆ ใกล้ๆ แต่ก็คิดว่าคุ้นเคยดี
“พะ พี่ ธาร วะ หวัดดีครับ”
ผมพูดตะกุกตะกัก ราวกับว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า ป้าย...ป้ายชื่อ ก็ห้อยมานี้น้า เอาไงดี จะโดนอะไรหรือเปล่า
“ไม่ต้องกลัวพี่ขนาดนั้นหรอกครับ” ความผิดปกติจากธรรมชาติของผมคงส่งไปถึงคนที่ฟังได้
“คะ ครับ”
เจ้าของร้านกาแฟรับเมนูของเราสองคนไป ที่นี่ไงต่อ จะยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์รอรับของที่เราสั่ง หรือยังไง เอาไงดี ผมได้แต่ยืนแข็งทื่อ นึกถึงประโยคที่ว่าเจอหมีให้แกล้งตาย ก่อนจะได้ยินเสียง...
“ไปนั่งรอตรงนั้นไหม” ไอ้อาการผิดปกติผิดธรรมชาติของผมมันก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิมอีกครั้ง
“คะ ครับ”
 
เราสองคนเดินไปนั่งรอที่โต๊ะหน้าร้านเพื่อรอเสียงเรียกของเจ้าของร้านให้มารับเมนูที่เราได้สั่งไป ชายร่างสูงเลื่อนเก้าอี้ออก พร้อมชี้ให้ผมนั่งตรงนี้ ไม่รอให้บรรยากาศมันจะเกร็งไปมากกว่านี้ ผมจึงพูดในสิ่งที่ผมคิดว่าควรจะพูดที่สุดนั้นคือ..... แนะนำตัว
“ผมชื่อ ปอ ครับ รหัส 073”
ชายร่างสูงหันมาฟังสิ่งที่ผมพูด อย่างให้ความสนใจราวกับว่ารอสิ่งที่จะออกจากปากผม
“พี่ชื่อธารา เรียกธารก็ได้”
“สร้อยข้อมือจี้รูปดาวสวยดีนะครับ”
หลังพูดประโยคนั้นจบความเงียบงันราวกับว่า ความสุข ณ ตรงนั้นมันหายไป สายตาของพี่ธารจากเดิมที่ดูเฉยชาอยู่แล้ว กลับเปลี่ยนเป็นสายตาที่เศร้ามองอย่างบอกไม่ถูก เอาแล้วไง ทำไงดี กูพูดอะไรผิดไป
ไม่นานมาก เสียงสวรรค์จากเจ้าของร้านเหมือนช่วยชีวิตผม  “ชาไทยหวานน้อยสองที่ได้แล้วครับ” 
“ไปเอาน้ำกันเถอะครับ”
“อืม” พี่ธารตอบเสียงในคอ
เราสองคนเดินออกจากร้าน ก่อนจะแยกย้ายไปหาสิ่งที่เราจะทำก่อนจะมาร้านกาแฟนี้
“เจอกันตอนเย็นนะครับ” ผมไม่ลืมที่จะเอ่ยคำลาก่อนที่คู่สนทนาของผม เพียงแค่พยักหน้า แล้วเดินจากไป
 
“สัญญานะ”
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมมักจะได้ยินเสมอ ดังเข้ามาในโสตประสาทผมอีกครั้ง สัญญาอะไรกัน...
หัวใจผมเต้นเร็วอีกครั้งไม่เป็นจังหวะ แต่ทำไมครั้งนี้มันเจ็บที่หัวใจราวกับว่าใจจะขาดลงตรงนี้ให้ได้
ทำไมกัน...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา