เทพตกสวรรค์ ทัณฑ์นิรันดร์กาล

9.3

เขียนโดย 秋冬夢春

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.05 น.

  14 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2565 18.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) เทพผู้ร่วงโรย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          “…ข้า…อยู่ที่ใด?” นาการะกล่าวขึ้น เมื่อพบว่าตนอยู่ในที่ที่แปลกประหลาดอีกครั้ง ถ้าจำไม่ผิด เมื่อครู่เขากำลังนั่งมำงานอยู่ในห้องของตนอยู่มิใช่หรือ?

          “เป็นเจ้าเองงั้นหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้ามันเทพที่ประพฤติตนเยี่ยงพวกนอกคอก!” ถ้าชายหนุ่มจำไม่ผิด เสียงนี้……เป็นของเทพีอมาเตระสึ ไฉนพระองค์จึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า? เบื้องบนหัวของชายหนุ่มปรากฏภาพของเทพีอมาเตระสึและเทพเด็กอีกองค์หนึ่ง ที่ตอนนี้ดูเหมือนองค์เทพีจะกริ้วมากเสียด้วย

          “ตะ…แต่ เสด็จแม่ ข้าไม่ได้ทำนะขอรับ……” เทพเด็กองค์นั้นกล่าว “ข้าไม่รู้ว่ามันมาได้เช่นไร”

          “หุบปาก! อย่าได้เรียกข้าว่าเช่นนั้นอีก!! (เพี๊ยะ!) ” เทพีอมาเตระสึตรัส ก่อนจะตบเข้าไปที่หน้าของเทพองค์นั้นอย่างแรง

          “เจ้ามันพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก ยูเมะ!” พระองค์ตวาดเทพตรงหน้าอย่างดุร้าย ชั่วชีวิตของนาการะตลอด 5000 ปี ชายหนุ่มไม่เคยเห็นพระองค์กริ้วขนาดนี้มาก่อน

          “………” เทพเด็กองค์นั้นเริ่มร้องไห้ เมื่อได้รับความเจ็บปวดจากแรงตบเมื่อครู่

          “เทพอารักษ์!! นำตัวมันไปคุมขังยังเรือนจันทรา!!” องค์เทพีตรัสเรียกเทพอารักษ์สององค์ให้เข้ามาลากตัวเทพเด็กองค์นั้นออกไปให้พ้นหน้า

          “เสด็จแม่!! เสด็จแม่!!” เทพองค์นั้นตะเกียกตะกายหนีเทพอารักษ์จนสุดชีวิต เขาใช้นิ้วจิกแผ่นหินจนเล็บนั้นหักและครูดไปกับแผ่นหิน “อ๊ากกกกกก!!”

          “………” นาการะเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้านั้น เพราะมันโหดร้ายจนเกินจะบรรยาย เทพเด็กองค์นั้นทั้งถูกซ้อมและทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น

          “เห็นแล้วสิ……” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของชายหนุ่ม

          นาการะสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะพบกับชายผู้ที่มีหน้าตาเหมือนกับเขาราวกับส่องกระจก หากแต่ดวงตานั้นกลับเป็นสีแดงสดราวกับเลือด ยืนมองภาพนั้นเช่นเดียวกับเขา

          “เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ…อดีตของข้า” ชายตรงหน้าพูดขึ้น

          “เจ้าเป็นใคร?” นาการะถาม ก่อนจะเรียกพลังเวทย์สุริยันต์ออกมา จากประสบการณ์ที่ผ่านมามันทำให้เขาไม่ไว้ใจชายตรงหน้า

          “เก็บพลังของท่านแม่ไปเถิด…ถ้าหากว่าข้าจะฆ่าเจ้าจริงๆ เจ้าได้หมดลมหายใจไปนานแล้วล่ะ” เสียงอันเย็นเยียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความกดดันที่ลึกสุดหยั่งถึง

          “……ตอบข้ามาว่าเจ้าเป็นใคร?” นาการะถามซ้ำอีกรอบ

          “เอาเป็นว่า…ทั้งเจ้าและข้าทำไมไม่มานั่งคุยกันดีๆ เสียล่ะ?” ชายตรงหน้าพูดพร้อมดีดนิ้ว ก่อนที่บรรยากาศรอบตัวจะเปลี่ยนไป กลายเป็นห้องทำงานของนาการะเอง

          “ที่นี่………” นาการะกล่าว “ไม่ต้องตกใจไป มันยังคงเป็นความฝันของเจ้านั่นแหละ” ชายผู้นั้นพูด

          “เชิญนั่งสิ!” เขาเชื้อเชิญนาการะ “จะนั่งตรงไหนก็ตามใจ เพราะอย่างไรเสียมันก็คือห้องของเจ้า”

          เมื่อสัมผัสได้ว่าชายตรงหน้าไม่มีภัยอันตราย นาการะจึงค่อยๆ ลดระดับการป้องกันลง แล้วจึงนั่งลงที่เก้าอี้ของตน ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร? แล้วภาพที่ข้าเห็นคืออะไร?”

          ชายผู้นั้นทำท่านึกอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมา “องค์ชายอมาเตระสึ โนะ ยูเมะ เป็นเทพแห่งความฝันและเทพอารักขาองค์โพธิสัตว์”

          “อมาเตระสึที่ว่า? คือ อมาเตระสึโอมิคามิน่ะหรือ?” นาการะเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ที่ชื่อของบุรุษตรงหน้าคล้องจองกับชื่อของเทพีอมาเตระสึ และเท่าที่ชายหนุ่มรู้ ในช่วงมหาสงคราม นามของเทพองค์นี้ไม่ปรากฏขึ้นเลยบนหน้าประวัติศาสตร์ของสงคราม ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม

          “ไม่ใช่! นามของข้าคือ อมาเตระสึ โนะ ยูเมะ” ชายผู้นั้นแสดงท่าทีไม่พอใจ เมื่อนาการะกล่าวถึง เทพีอมาเตระสึ “แล้วเจ้าเล่า มีนามว่าเช่นไร?”

          “โฮชิ คายาเสะ นาการะ นั่นคือนามของข้า” นาการะกล่าวนามของตนบ้าง

          “โฮ่ว……ลูกของเจ้าอิเซคาว่าเช่นนั้นหรือ?” ชายตรงหน้าพึมพำ

          “เจ้าเป็นเทพองค์นั้นหรือ?” นาการะไม่ได้ใส่ใจนัก หากแต่เปิดประเด็นถามถึงเทพเด็กองค์นั้นที่พึ่งเห็นไปเมื่อครู่

          “จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ ข้าเป็นเทพ เทพผู้ร่วงโรย” ยูเมะพูดพลางมองหน้าชายหนุ่ม

          “แล้วเจ้าเป็นอะไรกับเทพีอมาเตระสึ?” เพราะชายหนุ่มเห็นเทพองค์นี้เรียนองค์เทพีว่าท่านแม่

          “ข้าน่ะเหรอ……ไม่รู้สิ…พวกเจ้าเรียกว่าเช่นไรนะ…พวกนอกคอก พวกลูกพ่อแม่ไม่รักกระมัง” องค์ชายยูเมะกล่าวพลางส่ายหัวเบาๆ หากแต่น้ำเสียงนั้นฟังดูเจ็บปวดยิ่งนัก

          “……” นาการะเงียบก่อนจะเอ่ยปากถาม “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท่าน?”

          “ก็นะ…ตามที่เจ้าเห็นนั่นแหละ ข้าถูกทรมาน กักขังหน่วงเหนี่ยว ด้วยเหตุเพราะคำทำนายอันไร้แก่นสาร ว่าข้าจะนำ อามัตสึมิกาโบชิ กลับมาสู่สรวงสวรรค์” ชายตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าและท่าทางเหนื่อยหน่าย

          “อามัตสึมิกาโบชิ?” นาการะรู้สึกคุ้นเคยกับนามนี้ “ข้าว่าข้ารู้จักมันนะ”

          ด้วยเหตุเพราะอามัตสึมิกะโบชิ หรือที่รู้จักกันในนาม อาเมะ โนะ คางาเซโอะ นั้นเคยเป็นเทพเจ้าแห่งดวงดารามาก่อนบิดาของชายหนุ่ม ก่อนจะร่วงโรยลงมากลายเป็นมารร้าย ผู้กลายเป็นนายแห่งความชั่วร้าย ที่ตรงข้ามกับเหล่าเทพโดยสิ้นเชิง หากจำไม่ผิดบิดาของเขาเคยเล่าว่าในการปราบมันจำต้องใช้พลังของเทพโบราณกาลสูงสุดถึงหกองค์ในการปราบมัน ก่อนจะจองจำมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของขุมนรกเบื้องล่าง อันเป็นดินแดนของเทพีอิซานามิ จอมเทวีแห่งความตายและการพลัดพราก

          “แล้วท่านเกี่ยวข้องเช่นไรกับอามัตสึมิกาโบชิ?” นาการะเอ่ยถามอีกครั้ง

          “ไม่รู้สิ แม้แต่ชื่อข้าก็ยังไม่คุ้นหูเลยด้วยซ้ำ” องค์ชายยักไหล่เบา

          “แล้วตอนนี้ตัวตนของท่านอยู่ที่ใด?” นาการะเอ่ยถาม เพราะถ้าหากนี่เป็นเพียงความฝัน ชายตรงหน้าย่อมไม่ใช่ร่างจริงเป็นแน่

          “ร่างของข้าตอนนี้โดนผนึกไว้ที่ชั้นใต้ดินของพระราชวังสวรรค์” องค์ชายกล่าว

          “แล้วเหตุใดท่านจึงมาเข้าฝันข้า?” นาการะถาม เพราะครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ที่ชายหนุ่มฝันถึงองค์ชายตกสวรรค์ผู้นี้ ถึงแม้ในครั้งแรกและครั้งที่สองมันจะไม่น่าพิสมัยเท่าใดนัก

          “ข้าเป็นเทพแห่งความฝัน ข้าย่อมเข้าฝันผู้ใดก็ได้ตามใจนึก……” บุรุษตรงหน้าเว้นจังหวะหายใจ “หากแต่ที่ข้ามาเข้าฝันเจ้าในครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะเจ้ามีเศษเสี้ยวพลังส่วนหนึ่งของสตรีผู้นั้นก็เป็นได้กระมัง” ชั่วครู่หนึ่งเมื่อกล่าวถึงเทพีอมาเตระสึ นาการะสัมผัสได้ว่าชายตรงหน้านั้นเต็มไปด้วยความแค้นสุดประมาณถึง

          “แล้วเหตุใดท่านจึงหยาบคายนักเล่า ในครั้งที่พบข้าเป็นครั้งแรก” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

          “………” องค์ชายยูเมะไม่ตอบ หากแต่ยิ้มตอบกลับมา ราวกับว่าข้าไม่ฆ่าเจ้าก็บุญแล้ว

          นาการะรู้สึกแปลกๆ เวลาเห็นใบหน้าของตนเองยิ้มให้ มันดูราวกับตัวตนของชายหนุ่มมีสองคนเสียอย่างนั้น

          “………” บรรยากาศห้องเงียบโดยพลัน เมื่อชายหนุ่มมิได้เอื้อนเอ่ยถามสิ่งใดอีก กลับกันยูเมะหรือองค์ชายผู้ร่วงโรยกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยความสนอกสนใจ แต่แล้วนาการะก็พลันนึกบางอย่างออก

          “ข้าได้ยินว่าท่านพูดว่าเทพผู้อารักขาองค์โพธิสัตว์ มันหมายความว่าเช่นไร?” นาการะกล่าวถาม

          “หน้าที่ข้างั้นหรือ? อารักขาองค์โพธิสัตว์ทั้งหลายในยามที่พระองค์ประสูติ” องค์ชายกล่าวตอบสั้นๆ

          “?????” นาการะแสดงสีหน้าที่ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

          “ข้า อมาเตระสึ โนะ ยูเมะ เป็นเทพแห่งความฝัน ผู้มีหน้าที่อารักขาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในยามที่พระองค์ประสูติลงมาเพื่อตรัสรู้ยังโลกเบื้องล่าง ขจัดภัยอันจะก่อให้เกิดอันตรายแก่พระองค์ และอารักขาเหล่าโพธิสัตว์ผู้ติดตามทั้งหลาย” องค์ชายกล่าวสีหน้าเรียบพลางเงยหน้าขึ้นมามองนาการะ

          “กล่าวคือ ท่านถูกกักขังอยู่ในพระราชวังใต้ดินเพราะจะเป็นภัยแก่สรวงสวรรค์ แต่ท่านก็ยังมีหน้าที่ที่สำคัญคือการอารักขาองค์โพธิสัตว์ทั้งหลายด้วยใช่หรือไม่?” นาการะกล่าวทบทวนความคิดของตนเอง

          “ย่อมมิผิด เมื่อครั้นพุทธประสูติหรือคราวที่เหล่าโพธิสัตว์ลงมาโปรดมนุษย์ยังโลกเบื้องล่าง ข้าจะได้รับอนุญาตให้เป็นอิสระจากการคุมขังและความทุกข์ทรมานทั้งปวง เพื่อกระทำการอารักขาองค์โพธิสัตว์ตราบจนกว่าภารกิจจะจบลง” องค์ชายพยักหน้า

          “เช่นนั้นท่านอารักขาพระองค์ไหนมาแล้วบ้าง?” นาการะพูดออกมาด้วยความอยากรู้

          “ข้าเหรอ……” องค์ชายทำท่าครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเอ่ยออกมา “ก็มี พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ รวมไปถึง พระสมณะโคดมพุทธเจ้า เป็นต้น”

          นาการะพยายามคิดภาพตาม หากแต่ก็ไม่สามารถจินตนาการถึงชะตากรรมบุรุษตรงหน้าออก ว่ามันจะหนักหนาเพียงใด ทั้งการถูกตราหน้าว่าเป็นตัวตนที่จะนำอามัตสึมิกาโบชิกลับมายังสรวงสวรรค์ และ การอารักขาองค์โพธิสัตว์ทั้งหลาย

          “เจ้ามิต้องคิดเรื่องของข้าหรอก เพราะอย่างไรเสีย นี่มันก็เป็นหน้าที่ของข้าที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ข้ามิอาจจะหลีกเลี่ยงมันได้” องค์ชายกล่าวเสียงเรียบ หากนาการะไม่ได้คิดไปเอง น้ำเสียงขององค์ชายดูอบอุ่นเมื่อกล่าวถึงหน้าที่ของตน แตกต่างจากที่พูดถึงเทพีอมาเตระสึอย่างสิ้นเชิง

          “…………” ทั้งห้องตกอยู่ในบรรยากาศความเงียบอีกครั้ง เมื่อองค์ชายกล่าวจบลง

          “ข้าจะออกไปได้หรือยัง?” นาการะเอ่ยขึ้นมาหลังจากผ่านไปสักพัก

          “เชิญสิ เปิดประตูออกไปแล้วเจ้าก็จะตื่นเอง” ยูเมะผายมือไปที่ประตู 

          นาการะจึงลุกขึ้นเตรียมตัวจะเดินออกประตูไป แต่ก่อนจะออกนาการะได้หันมากล่าวขอบคุณเทพตรงหน้าอีกหน 

          “ขอบคุณ” 

          “………” องค์ชายโบกมือให้เสมือนว่าไม่ต้องคิดมาก

          ชั่วขณะหนึ่งที่ชายหนุ่มเดินออกจากประตู มิติโดยรอบก็พลันแตกสลายลง ก่อนที่ชายหนุ่มจะโดนดึงกลับออกมาสู่โลกความเป็นจริง 

          “!!” นาการะสะดุ้งตื่นบนโต๊ะทำงานของตนเองภายในห้อง เขาอาจจะเผลอหลับไปในระหว่างที่กำลังทำงาน

          นาการะจึงลุกขึ้นมาเพื่อขับไล่ความง่วงงุน แหงนมองนาฬิกานี่ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว นางจะทำอะไรอยู่กันนะ?

          “ก๊อกๆ!” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดึงความสนใจของนาการะ

          “เข้ามาได้!” นาการะเอ่ย ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ปรากฏร่างของหญิงสาวที่มีใบหูแบบจิ้งจอก เป็นคิสึเนะนั่นเอง

          “โอ๊ะ! เจ้าตื่นแล้วหรือ” คิสึเนะเอ่ย ในมือของนางถือถาดของว่างพร้อมด้วยน้ำชาหนึ่งกา “ข้าเข้ามาเมื่อครู่แล้วเห็นว่าเจ้ากำลังหลับเลยมิได้ปลุก”

          “อืม…แล้วเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

          “ข้านำของว่างยามบ่ายมาให้” นางพูด “อีกอย่างข้ารู้สึกเบื่อที่จะอยู่ในห้อง จึงมาหาเพื่อนคุยด้วย”

          “ย่อมได้” นาการะเอ่ย ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะของตนเองมองดูคิสึเนะที่กำลังลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งฝั่งตรงข้าม

          นางนั่งลงก่อนจะรินชาให้ชายหนุ่มดื่ม เพื่อขับไล่ความง่วงงุน

          “ดื่มมันสิ~ ข้าชงเองกับมือเลยนะ” นางคะยั้นคะยอ นาการะจำต้องดื่มอย่างเลี่ยงมิได้

          รสชาติของชานั้นช่างแปลกประหลาด จนชายหนุ่มอธิบายไม่ถูก แต่เมื่อจะเอ่ยปากติชมรสชาติ นาการะพลันเห็นใบหน้าของนางที่ราวกับเด็กน้อยรอคำชม มันทำให้เขาตินางไม่ลงเรื่องรสชาติ

          “เจ้าชงชาได้ยอดเยี่ยมนัก” นาการะเอ่ยโกหกเพื่อชมคิสึเนะแทน สร้างความดีใจให้แก่นางเป็นอันมาก

          “จริงเหรอ? ดีใจจังเลย เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ข้าชงชาเอง” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดรสชาติชาจึงแปลกประหลาดนัก เป็นเพราะนางไม่เคยชงมาก่อนนี่เอง

          ชายหนุ่มเหลือบมองใบหน้าของหญิงสาว ภาพที่นางยิ้มจนแก้มแทบปรินั้นมันช่างงดงามราวกับดอกซากุระแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ งดงามจนเหมือนว่าหากเขาแตะต้องมันจะแตกสลายลง

          “นี่…เจ้ามองข้าด้วยเหตุอันใด?” คิสึเนะเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านาการะจ้องหน้าตน

          “ข้าก็เพียงคิดว่า……เจ้าช่างงดงาม…” นาการะเอ่ยเย้านางบ้าง

          “……//////////……” ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีเป็นสีแดงระเรื่อราวกับสีผลของเชอร์รี่

          นาการะกัดคุกกี้เข้าไปคำนึง สายตาพลางจ้องเอกสารไปด้วย ส่วนคิสึเนะนั้นนางหาอะไรทำไปเรื่อย หยิบหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้มาอ่านบ้าง

          “นี่! มุมปากของเจ้ามีเศษขนมติดอยู่น่ะ” คิสึเนะที่เห็นว่ามุมปากของนาการะมีเศษขนมติดอยู่ จึงค้อมตัวมาหาเพื่อปัดมันออก

          “………” นาการะที่ไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ เมื่อมืออันนุ่มนิ่มของนางสัมผัสเข้าที่มุมปากของตน และนางเข้าใกล้เสียจนชายหนุ่มได้กลิ่นหอมราวกับดอกไม้จากตัวของนาง

          “เสร็จเรียบร้อย……” นางกล่าวยิ้มแย้ม ก่อนจะถดตัวกลับ หากแต่นางการะกลับรั้งแขนนางเอาไว้ ก่อนจะทำในสิ่งที่นางเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน

          “………” ชายหนุ่มจุมพิตไปที่ริมฝีปากอันนุ่มนวลของคิสึเนะ ท่ามกลางความตกใจของนาง ร่างเล็กค้างแข็งกลางกลางอากาศ จนกระทั่งเขาถอนจุมพิตของตนออก คิสึเนะที่ตั้งสติได้จึงรีบถอยห่างออกมา ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงเข้มราวกับมะเขือเทศสุกงอม

          “จะ……เจ้าทำอะไร……” นางเอ่ยออกมา พลางจ้องนาการะ

          “ข้าก็แค่ตอบแทนน้ำใจของเจ้า…” ชายหนุ่มยิ้มแย้มก่อนจะกล่าวออกไป

          หางทั้งเก้าของนางส่ายไปมาด้วยความเขินอาย ใบหูนั้นสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองปิดใบหน้าสีแดงก่ำ ก่อนที่นางจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก ทิ้งให้นาการะนั่งอยู่คนเดียวในห้อง

          “อ๊าาาาาาาา” เสียงนางตะโกนดังลั่นโถงด้วยความเขินอาย

          ไม่แปลกนักเพราะนับแต่นางเกิดมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของนาง มิแปลกที่จะรับมือไม่ถูก อันที่จริงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ชิมมธุรสจากสตรีด้วยเช่นกัน จะเรียกว่าครั้งแรกของทั้งคู่ก็คงไม่ผิดนัก

          “………” ใบหน้าเรียบนั้นแสดงท่าทีออกมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ

          “โหว……เจ้าเองก็ไม่เบานี่~” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นในหัว “ใจกล้าใช่ย่อย”

          “องค์ชาย?” นาการะตอบกลับไป เพราะน้ำเสียงที่กวนประสาทแบบนี้มีเพียงคนเดียว

          “ข้านึกว่าท่านกลับไปแล้วเสียอีก” นาการะเอ่ย

          “ข้าก็อยู่กับเจ้าตลอดนั่นแหละ ว่ากันตามตรง ข้าเริ่มจะเบื่อใต้พระราชวังอันดำมืดนั่นของเสด็จแม่แล้ว” องค์ชายกล่าว “เมื่อใดกันที่องค์โพธิสัตว์จะเสด็จออกจากพุทธเกษตรมาโปรดเหล่ามนุษย์บ้าง”

          “…แล้วครั้งสุดท้ายนั้นเมื่อใดกันเล่า?” นาการะถาม

          “คงจะราวๆ 500 ปีที่แล้วกระมัง” องค์ชายครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา

          ในทีแรกองค์ชายแสดงท่าทีเฉื่อยชา ไม่ได้สนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ แต่แล้วองค์ชายกลับเปลี่ยนเป็นท่าทีขึงขังขึ้นมาและปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมา จนนาการะที่หัวเสียอยู่ถึงกับสะดุ้งในความน่ากลัวนั้น

          “ท่านเป็นอะไร?” นาการะเอ่ยด้วยความแปลกใจ

          “เสด็จแม่รับรู้แล้วว่าข้าใช้ดวงจิตหลบหนีออกจากการคุมขัง” องค์ชายกล่าวเสียงเรียบน่ากลัว

          “แล้วจะเกิดอะไรขึ้น” นาการะถาม

          “ก็คงจะส่งคนมาไล่ล่าข้ากระมัง ข้าก็ไม่อาจทราบได้ ความโหดเหี้ยมของเสด็จแม่นั้นเด็ดขาดและอำมหิตกว่าที่เจ้าคิดนัก” องค์ชายพูด “ข้าว่าข้าคงต้องซ่อนตัวสักพัก”

          “อืม……” นาการะกล่าว ก่อนจะไม่สามารถสัมผัสการมีอยู่ขององค์ชายได้อีกต่อไป

          หลังจากการจากไปขององค์ชายไม่นานนัก คิสึเนะก็พุ่งเปิดประตูเข้ามาอย่างแรงพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก

          “เจ้าเป็นอะไร?” เดี๋ยวนี้คนรอบตัวชายหนุ่มมักจะทำอะไรโผงผาง จนเขามักจะแอบสะดุ้งบ่อยๆ

          การมาของนางในครั้งนี้ไร้ซึ่งความเขินอายเช่นเมื่อครู่ นาการะสัมผัสได้ถึงความจริงจังจากตัวของนาง

          “ขะ………ขะ………ข้า” นางเอ่ยเสียงสั่น

          “เจ้าทำไม?” ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้นางที่ยืนตัวสั่น ก่อนจะสัมผัสหัวไหล่นางอย่างแผ่วเบา

          “ข้าโดนเรียกตัวกลับไปยังหมู่บ้านจิ้งจอก ที่ดินแดนแห่งเทพ” คิสึเนะพูด

          ความรู้สึกตอนนางบอกว่าจะกลับไปยังหมู่บ้านจิ้งจอก นาการะก็รู้สึกประดุจดั่งโดนหินหนักหล่นทับ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าหา เพราะเขาจำเป็นต้องแยกจากนางจริงหรือ แต่มันจะนานสักเท่าใด ใครเล่าจะรู้ ความรู้สึกปวดใจหนึบก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจของชายหนุ่ม เขาไม่อยากให้นางจากไป แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้………

 


writer : เนื่องจากเป็นช่วงใกล้สงกรานต์ ไรต์จึงอาจจะไม่ค่อยได้อัพน้า แต่หลังสงกรานต์จะพยายามอัพให้ตามเว็บอื่นๆโดยไวที่สุด สุขสันต์วันสงกรานต์จ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้?

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา